(๗)

จรวยกำลังสำรวจรายการบางอย่างให้ผดุง หล่อนทำหน้าที่เลขานุการให้สามีมาแต่แรกแต่งงาน วันหนุ่มสาวและความรักของคู่สมรสใหม่ ดูเหมือนจะทำให้งานสำรวจยุ่งเหยิงอย่างนั้นกลับเป็นเครื่องผูกพันเพิ่มขึ้น คู่ผัวเมียมีเรื่องถามกัน ถกเถียงกันและได้ยิ้มแย้มอยู่เสมอ เมื่อผดุงแนะนำให้จรวยเปลี่ยนเวรกับกานดาเสียบ้าง จรวยก็ยืนยันอยู่เสมอว่า

“ฉันช่วยคุณนี่คะ ยิ่งไม่มีภาระเรื่องเลี้ยงลูกเล็ก ๆ ยั้วเยี้ยอย่างคนอื่น ฉันก็มีแต่คุณคนเดียวที่จะต้องเลี้ยงกันจำเจจนตาย”

“คุณตั้งให้ผัวเป็นลูกเรอะนี่! อีกหน่อยเถอะผมจะขอบวช แล้วก็ขอให้คุณใหญ่ซึ่งมีพระคุณคล้ายแม่หาเมีย–ง่า–หาอีหนู ๆ ไว้ห้องหลังบ้านแบบจมื่นเนรศบำเรอสักโขยงยังไงล่ะ”

จรวยรีบออกตัว

“สาธุ–ถ้าจะบวช! บุญกุศลอะไรจะยิ่งใหญ่เท่ากับสละผัวให้แก่ผ้ากาสาวพัสตร์ล่ะคะ? คุณน่ะเป็นคนดิบเพราะไม่มีโอกาสบวชพระแบบผู้ชายไทย ถ้าได้บวชหรือเป็นคนสุกเสียบ้าง บุญกุศลคงจะช่วยให้เกิดบารมียืนยาวยิ่งขึ้น”

เขามองดูภรรยาอย่างตรึกตรอง

“ใครจะทันบวช! คุณพ่อของผมปล่อยให้คุณยายของเราจับตัวผมบวชเณรหน้าศพคุณแม่เพียงเจ็ดวันพอเรียนสำเร็จสวนกุหลาบก็ถูกคุณพ่อกับคุณแม่ตาเผด็จ–คุณหญิงดวงแขต้อนให้ไปสอบชิงทุนหลวงไปเรียนนอก”

“นั่นคือต้นเหตุที่คุณต้องทำอะไรรีบร้อนหลายอย่างจนไม่ได้บวช” จรวยรีบต่อด้วยจับหางเสียงเก้อเขินของสามี เมื่อพูดถึงอะไรซึ่งอาจโยงไปถึงเมียคนเก่าก็ได้ “ตกลงคุณไม่ได้บวชพระจนแล้วรอดเพราะคุณป้ากัญจนาตายครั้งหนึ่งละ แล้วก็เก้ออีกครั้งหนึ่งเพราะ...”

แต่ผดุงได้สติทันเลี่ยงเรื่องเก้อเขินครั้งนี้เอง

“เออ! สมัยเมื่อสามสิบปีมาแล้ว นักเรียนหนุ่ม ๆ ที่ได้ไปเรียนเมืองนอกเมืองนาด้วยทุน King’s Scholarship ละก็นับว่ามีดีกรีโก้เก๋กว่าเพื่อน ผมจะทำเฉยเมยไม่ได้เพราะเป็นลูกกำพร้าแม่ จนกระทั่งได้มาอยู่กับคุณใหญ่ที่นี่”

จรวยนิ่งเงียบเพราะคำยกย่องอย่างนั้นเรื่องเป็นลูกกำพร้าแม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผดุงได้รับความเห็นอกเห็นใจจากเมีย เขากับจรวยเป็นลูกเรียงพี่เรียงน้องใกล้ชิดเช่นนี้ นายจิตร–ภายหลังมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงจิตรเลขา มีน้องสาวชื่อกัญจนา กับจำเรียง จิตรเลขา กัญจนาแต่งงานกับเพื่อนหัวรักหัวใคร่ของหลวงจิตรฯ คือ เผดิมบิดาของผดุง เผดิมอายุยืนจนได้เป็นหลวง พระ, พระยาวรพันธุ์พิทักษ์ พอผดุงอายุได้ ๗ ปีกัญจนาก็ตาย หลวงวรพันธุ์ฯ จึงพาลูกชายไปอยู่กับญาติข้างเมียใหม่คือแม่ของเผด็จที่บ้านเดโชแห่งสกุลสายโสม ผดุงจึงได้แต่งงานกับดวงแก้วแม่ของกานดาก่อนไปเรียนนอก ฉะนั้นคุณหญิงดวงแขแม่เลี้ยงของผดุงจึงถูกญาติมิตรเมียเก่านินทาว่ารีบจับตัวลูกเลี้ยงแต่งงานกับหลานสาว เพื่อกีดกันมรดกให้ตกอยู่ทางบ้านเดโชฝ่ายเดียว แต่เรื่องชั่วที่สองก็ย้อนรอยเรื่องเก่าอีก ผดุงเป็นหม้ายเมื่อยังอยู่ต่างประเทศ เพราะดวงแก้วตายในปีเดียวกับที่แต่งงาน ผัวจากไปเรียนต่อและตนก็คลอดบุตรหญิงในปลายปีนั้นเอง กานดาจึงตกอยู่ในอุปการะของคุณหญิงดวงแขยายเลี้ยงจนบิดากลับมาเมืองไทย และแต่งงานกับจรวยซึ่งเป็นลูกน้าสาวของเขาเอง

จำเรียงน้องสาวเล็กแต่งงานกับหลวงเจริญรัถการเพื่อนหลวงจิตรฯ อีกคนหนึ่ง ปรากฏว่ามีบุตรหญิงเพียงสองคนคือจรวยกับจิตรี

ส่วนหลวงจิตรเลขาพี่ชายใหญ่นั้นเกิดมาเป็นชายแบบขุนแผน หรือที่หนุ่มสาวห้าสมัยเรียกว่า ‘ดอนยวน’ ยุคนั้นนับว่ากุลสตรีในวงสังคมครั้ง ร. ๖ มีเรื่องในใจกับหลวงจิตรเลขาหลายคนตามข่าวร่ำลือเหล่านี้

‘เขาเป็นเพื่อนสนิทกับหม่อมหลวงติ๋ว’

‘แต่หม่อมหลวงดวงแข กับคุณประภา คุณประภา คุณเฉลา ก็เคยให้รูปถ่ายและของจุกจิกแก่หลวงจิตรฯ’

‘คุณจำรัสเป็นญาติห่าง ๆ ข้างแม่หลวงจิตรฯ เคยได้ยินว่า หลวงจิตรฯ มุ่งหมายมาแต่เล็ก’

อย่างไรก็ตาม บรรดาหญิงสาวซึ่งมีชื่อเกี่ยวพันยุ่งเหยิงอยู่ครั้งโน้นต่างก็แต่งงานกับชายอื่นทุกคน หลวงจิตรฯ เป็นพ่อพวงมาลัยอยู่จนกระทั่งถึงแก่กรรมระหว่างไปราชการต่างประเทศ

แต่เรื่องของหลวงจิตรฯ ยังเป็นข่าวคุมเชิงกันอยู่เสมอในหมู่หญิง ซึ่งมีข่าวลือว่าเคยติดพันธ์เพื่อหวังเป็นคู่เคียงครั้งหนึ่ง นี่คือสาเหตุที่ลูกหลานรุ่นต่อมาต้องมีเรื่องปั่นป่วนไปด้วย เป็นต้นว่าจรวยถูกพวกบ้านเมียเก่าของผดุงนินทาที่รีบรวบตัวพ่อหม้ายหนุ่มตั้งแต่โผล่เข้ามาเมืองไทย ‘ลูกสาวซอยสามบ้าน’ จึงได้ชื่อว่า ‘เปรี้ยวปรู๊ดปร๊าด’ ไปหมด แม้กานดาซึ่งเป็นเลือดดิเรกกุลทางเดโช ก็พลอยถูกกล่าวหาอย่างเปะปะไปด้วยทั้งที่หล่อนเองก็ถูกแม่เลี้ยงคุมเชิงเช่นเดียวกัน

คุณหญิงติ๋วยังชอบพอกับคุณจำรัสดีอยู่ แต่เมื่อพันตรีตะวันลูกชายคนเดียวของเธอจะคิดแต่งงานกับจิตรีอย่างกระทันหัน คุณหญิงติ๋วก็ปิดบัญชีเงินซึ่งอยู่ในการควบคุมของเธอหมด ตะวันระเห็จไปอังกฤษพร้อมกับทิ้งจิตรีให้อยู่กับความยุ่งเหยิงอย่างหนัก

นั่นคือ–คุณหญิงติ๋วสนิทสนมกับคุณจำรัสมากกว่าหญิงคู่แข่งคนอื่น ๆ เธอจึงอาจรู้เรื่องดีกว่าคนอื่นว่าหญิงเงียบ ๆ และอ่อนโยนอย่างคุณจำรัสนั่นเองคือสาเหตุแท้จริง ภาพในหัวใจของหลวงจิตรฯ หรือดอนยวนยุคโน้นนี่อาจเป็นเหตุสำคัญข้อเดียวที่ทำให้คุณหญิงติ๋วเขม่นสาว ๆ ซอยสามบ้านอยู่ในที เป็นการทดแทนเรื่องขุ่นข้องครั้งเก่า แต่เธอเป็นผู้คงแก่เรียน เจนสังคมและมีความรู้สึกผิดชอบอันละเอียดอ่อนอีกด้วย การแสดงความน้อยใจจาก ‘เรื่องเก่า’ จึงละเมียดละไมมากกว่าการแสดงของหญิงคู่แข่งคนอื่น ๆ อันมีคุณหญิงเฉลาป้าสะใภ้ของเผด็จทางบ้านเดโชกับคุณนายประภา ญาติฝ่ายบิดาวิชัยทางเทเวศร์เป็นตัวตั้งตัวตี

แต่จรวยกับพี่น้องชายหญิงรุ่นเดียวกันซึ่งเป็นชั่วที่สองและที่สาม แล้วก็ยังไม่เคยลืมเรื่องขุ่นข้องระหว่างครอบครัวครั้งโน้น

วันนี้จรวยกำลังสำรวจรายการอย่างเก่าก็จริง แต่ใจหล่อนปรวนแปรไปจากเดิม ผดุงนั่งเอกเขนกอยู่ข้าง ๆ และเขายังมีความรัก อารมณ์และอะไร ๆ เหมือนเก่าเกือบทุกอย่าง ถึงกระนั้นจรวยก็รู้สึกอิดโรยเล็กน้อย นัยน์ตาหล่อนยังคมวาวก็จริง แต่เมื่ออ่านเขียนหนังสือบางชนิดจรวยต้องสวมแว่นตา มันเป็นเครื่องกระตุ้นให้ผู้ล่วงเขตกลางคนสำนึกว่า บัดนี้เขาเป็นอีกผู้หนึ่งซึ่งได้ล่วงเลยมาพ้นอาณาเขตของหนุ่มสาว

ความสำนึกอย่างนี้ บางครั้งก็ทำให้คนเรารู้สึกยุ่งเหยิงอย่างประหลาด จรวยและคนอีกไม่น้อยยังไม่อยากก้าวเข้าไปสู่อาณาเขตคนแก่!

ยิ่งกว่านั้นก็คือ จรวยสังเกตเห็นว่า เหตุการณ์พิกล ๆ กำลังจะเกิดขึ้นภายในครอบครัวของหล่อนอีกทั้งที่มือทำงาน ใจหล่อนก็ครุ่นคิดคนเดียว

“คุณผดุงยังไม่หายขุ่นเรื่องลูกสาวของเขากับน้องชายของเรา แม่น้องสาวจิตรีก็ลงมือก่อเรื่องผะอืดผะอมอีกแล้ว เรากับคุณป้าจำรัสเห็นจะถูกชาวบ้านที่เคยเขม่นกันมาโขกสับเสียแหลกเป็นเขียงละคราวนี้––น่ากลุ้ม!”

กำลังคิดยุ่งเหยิงอย่างนั้น นัยน์ตาจรวยเผอิญแลลอดม่านหน้าต่างออกไปที่ถนนเล็กระหว่างเรือนคุณจำรัสกับเรือนของหล่อน นางม้วนกำลังถือถาดเปล่าเดินอุ้ยอ้ายออกไป จรวยวางปากกาและลุกขึ้นบอกผดุงโดยไม่คอยรับคำยินยอมอย่างใด

“คอยประเดี๋ยวนะคะ ฉันจะลงไปเตือนของว่างมื้อเย็น”

หล่อนรีบลงไปห้องเก็บอาหาร และพบนางแม้นต้นห้องกำลังเก็บผลไม้แช่กับขนมบางอย่างเข้าตู้เย็นอยู่

“ทำไมถึงปอกผลไม้แช่ ถึงเยอะแยะยังงั้นล่ะแม้น?”

นางต้นห้องหันมาย่อตัวตอบนายหญิงด้วยสีหน้ากระเรี่ยกระราดเล็กน้อย

“แม่แกมาขอยืมเมื่อเช้าค่ะ–เมื่อคุณออกจากบ้านไปพร้อมคุณผู้ชายดิฉันเลยยังไม่ได้เรียน คุณป้าริ้วรับรองว่าจะมีขนมใส่ตู้ไว้ทัน ดิฉันคิดว่าผลไม้ที่แม่ยืมไปคงหมดตั้งแต่ตอนเที่ยง–ถึงได้ทำแช่เย็นอย่างเก่าอีก แม่กลับเอามาคืนเมื่อกี้–แกบอกว่า–ว่าไม่ได้ใช้ค่ะ”

“ใครใช้–ใครต้องการกินเยอะแยะยังงี้ล่ะ ถ้าคุณป้าเอาไปวัดก็คงไม่เอากลับคืน หรือคุณวิชัยจะเลี้ยงเพื่อน?” นางแม้นกระพริบตาถี่

“ไม่ใช่ท่านที่เรือนค่ะ”

เสียงจรวยเริ่มห้วน พอดีหญิงมีอายุอีกผู้หนึ่งยกขนมเข้ามาอีกสองจาน

“จวนเวลายกของว่างหรือยังแม่แม้น? นี่ไงขนม! เห็นฝีมือนังริ้วเรอะยัง? คุณใหญ่ไม่ทันสังเกตหรอก”

หญิงผู้นั้น หรือนางริ้วพูดเรื่อยมาแต่นอกประตูต่อจะถึงตู้เย็นอยู่แล้วจึงได้ยินเสียงถามอย่างขุ่นเขียวของนายหญิง นางริ้วไม่รู้จะทำอะไรดีเท่าก้มก้าวตามเท้าที่เข้าไปแล้ว แต่อารามประหม่าจึงหาที่วางจานขนมไม่ได้ นางแม้นเห็นมีเพื่อนมาร่วมรับผิดชอบทันเวลาจึงรีบตอบคำถามนายหญิงด้วยเสียงมั่นคงขึ้นบ้าง

“คุณน้อง–คุณจิตรีค่ะ! เธอให้แม่ผิวไปขอยืมของหวานกับผลไม้ที่จัดแล้วจากตู้ท่านที่เรือนกลาง เพราะเธอจะเลี้ยงอาหารกลางวันคุณหลานกับคุณตะวันที่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกค่ะ ท่านที่เรือนกลางก็ไปนา แม่เลยรับธุระมาขอยืมป้าริ้วไปให้ก่อน”

“ดิฉัน–ดิฉันเห็นตึกนอกมีแขกเจ้าค่ะ” นางริ้วรีบออกตัว “ทั้งป้าม้วนก็มาเอง ดิฉันรีบทำใหม่แล้วเจ้าค่ะ คุณท่านจะให้ยกของว่างเดี๋ยวนี้ก็ได้แล้ว”

จรวยนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งสีหน้าตึงเครียดดูยุ่งเหยิงยิ่งขึ้น

“ของสำหรับเลี้ยงคนร่วมสิบนี่น่ะเรอะ? ช่วยแบ่งสักหนึ่งในสิบส่งขึ้นไปให้คุณผู้ชายกับฉันกินก็ได้ ดีจริง! เจ้ากี้เจ้าการทำของทิ้งขว้างกันบ่อย ๆ แบบนี้น่ากลัวฉันจะต้องลงมือเอง ตั้งแต่ท้ายครัวขึ้นไปหาข้างบนบ้านกระมัง ไม่ว่าหัวหงอกหัวดำดูช่างไม่รู้สึกเลยว่าบ้านเมืองเขาคับแค้นยุ่งเหยิงยังไงบ้าง! แล้วไงป้าม้วนถึงได้ขนกลับมาคืนโดยแม้ริ้วก็ไม่รู้ รีบตวงทำมาใหม่เหมือนจะเลี้ยงพระ”

นางแม้นตอบอ้อมแอ้มอีกครั้ง

“แม่บอกแต่ว่า คุณ–คุณจิตรีสั่งให้คืน คุณกานดากับคุณตะวันไม่มาค่ะ”

“ขวาง!”

จรวยรีบออกไปจากห้องพร้อมกับปล่อยคำขุ่นเคืองครั้งสุดท้าย นางแม้นกับนางริ้วมองหน้ากันอย่างประหม่า ๆ เหมือนเก่า

“เกิดเรื่องละซี!” นางริ้วมองขนมและผลไม้ที่มีจำนวนล้มหลามเหล่านั้น “นึกแล้วเชียวจะโดนถอนหงอก! มันเขม่นตาตั้งแต่แม่ม้วนมาเอาไป หมู่นี้คุณใหญ่ยิ่งกวดขันขึ้นด้วย”

“หัวดำก็โดนถอน” นางแม้นสั่นหัว “แม่แกยุ่งไปกับเขา เพราะแกรักคุณจิตรีเหลือเกิน แกเป็นต้นเหตุให้ฉันกับป้าริ้วถูกไล่เบี้ยแบบนี้ด้วย แล้วแกก็ไปนอนไขหูสบายใจ เพราะคุณใหญ่เองก็ไม่ใคร่แซะแม่เหมือนแซะพวกเราหรอกป้าริ้ว แม่แกเป็นคนเดียวในบ้านที่อยู่เหนือกฎหมาย”

“ก็แม่ม้วนเลี้ยงคุณ ๆ มาทุกคนนี่จ๊ะ เอาเถอะ! โทษแกก็ไม่ถูก มันถึงคราวของหญ้าแพรกอย่างพวกเรา นี่จะทำยังไงกับของเยอะแยะยังงี้หนอ? น่าจะใส่สำรับยกกลับไปแจกชาวบ้านแบบเดิม”

“ไม่ได้หรอก! ลงคุณท่านไม่สั่งแล้วทำไม่ได้ ยิ่งมีเรื่องคืนกันมายังงี้ คุณท่านคงปล่อยให้ของเสียดีกว่าแต่พวกบ้านเราจะกินก็ได้”

“ดี! ฉันจะเปิดวงตอนดึกแล้วเลี้ยงขาไพ่พวกเราเอง เขาว่าเคราะห์ร้ายกลายเป็นเคราะห์ดี–ทนถูกด่าเอาหน่อย”

นางแม้นไม่พูด เพราะหล่อนอยู่ในฐานะที่พอรู้คิดว่าการทนถูกด่าเป็นเรื่องพึงรังเกียจกว่านางงิ้ว แม้จรวยและ ‘พวกนาย’ รุ่นจรวยจะมิได้ดุดันคนในความปกครองถึง ‘ด่า’ จริง ๆ เลยก็ตาม

แต่จรวยกลับขึ้นไปหาผดุงด้วยสีหน้าสงบและยิ้มแย้มอย่างเคย เขาเห็นหล่อนรีบเก็บงาน

“เลิกกันเรอะ?”

“ตาลายเหลือเกินค่ะ คนเรานี่แก่ตัวแล้วก็เลยเหยาะแหยะอย่างประหลาด ถ้าคุณไม่เร่งร้อนละก็ฉันเก็บไว้ให้กานดาช่วยตีตารางแล้วก็บวกลบดีกว่า”

“หมู่นี้หายไป คงยุ่งงานโรงเรียน”

ภรรยาของเขาพูดซื่อ ๆ แต่ก้มหน้าก้มตาเรียงกระดาษเข้าแฟ้ม ผดุงจึงมองไม่เห็นแววตาหล่อน

“ลูกหลานน่ะมักจะหายตัวแต่กับพ่อแม่ ในหมู่พวกหนุ่มสาวเองละก็–เขายังคงสนุกสนานและติดต่อตามเคย อย่างวันนี้–กานดานัดจิตรีว่ามากินข้าวกลางวัน ร้อนถึงที่นี่ต้องทำของไปช่วยล้นหลามเพราะจิตรีท้องแก่ กานดาก็ไม่ยักมา ของเหลือแจกกันกินไม่หมด”

“ทำไมถึงทำของมากล่ะ ถ้ากานดามาคนเดียวแล้วลูกสาวฉันยุ่งอะไรนักถึงนัดเหลว ๆ ล่ะคุณ?”

“เขาไม่ได้นัดมากินคนเดียวน่ะซิคะ ง่า–ฉันก็รู้เรื่องจากแม้นเขาหรอก–หลังจากที่กลับมาเมื่อหลังเที่ยง กานดาไปได้ตัวนายตะวันมาจากไหนก็ไม่รู้ เราไม่ได้ยินข่าวกลับของนายคนนี้เลย กานดาเลยนัดจิตรีว่าจะพาเพื่อน ๆ มาเยี่ยมยังงั้นกระมัง คุณก็รู้ว่าเด็กพวกนี้เขาสนิทสนมกันมานานก่อนตะวันกับจิตรีจะทำเรื่องยุ่งเหยิงยังงั้น กานดากับจิตรีน่ะคู่คี่กันมาเสมอเมื่อเป็นเพื่อนกับนายตะวัน คุณจะแปลกใจเรอะ–ถ้าเวลานี้ตะวันกับกานดาต่างก็ไม่มีคนมุ่งหมายเหมือนเก่าแล้ว–จะชอบพอกันยิ่งกว่าเก่า”

ผดุงหยุดสูบบุหรี่ แต่ก็ไม่ทันโต้ตอบคำคาดคิดของจรวย หล่อนจึงพูดต่อไปเหมือนเห็นเป็นเรื่องธรรมดาทั้งที่ภายในใจของจรวยร้อนรนเหลือเกิน

“กานดาแต่งงานกับตะวันเสียได้ก็ดี บาปจะได้หลุดจากพ่อวิชัยเสียบ้าง ทั้งคุณหญิงติ๋วก็คงเต็มใจเพราะเขาชมให้ได้ยินอยู่เสมอ แม่กานดาเป็นแบบผู้หญิงไทยแท้ ถึงคุณเองก็คงชอบนายตะวันมากกว่านายเด่นแสงซึ่งไม่มีอะไรเป็นหลักฐาน ถึงจะมีนามสกุลเก่าแก่ก็จริง”

“คุณสั่งให้กานดาช่วยเรื่องทำรายการสำรวจก็แล้วกัน”

“แน่ละค่ะ! เขามีเวลาว่างพอที่จะไปเที่ยวเตร่ตามสบายแล้ว ก็ควรช่วยยายแก่ตาเสียสักหน่อย”

“นั่นเป็นเพราะคุณไม่เชื่อผมที่บอกให้กานดาช่วยทำตั้งนานแล้วลูกหลานเลยขี้เกียจกันใหญ่ แต่คราวนี้คุณชี้แจงให้เขาฟังเองนะ อย่าเพิ่งให้กานดาเข้ามาใกล้ผมจนกว่าจะมีเรื่องจำเป็นที่ผมต้องพลอยเข้าไปยุ่งเหยิงอย่างพ่อ”

จรวยเลิกพูด เพราะเกรงเรื่องจะวกเข้าตัวต่อไป หล่อนรู้ดีว่าถ้าเรื่องตะวัน วงศ์วิโรจน์จะทำให้ยุ่งเหยิงอย่างเก่า จิตรีก็มีส่วนเป็นตัวการมากกว่ากานดา แต่จิตรีเป็นเมียและแม่ จึงไม่มีสิทธิจะทำยุ่งเหยิงอย่างสาวโสด ถ้ามีเรื่องนินทาถึงเครือญาติ เรื่องที่เกิดจากสาวโสดอย่างกานดาย่อมได้รับอภัยมากกว่าที่จะเกิดจากจิตรี อนึ่งจิตรีก็เป็นน้องของหล่อน กานดาเป็นลูกเลี้ยง ถึงคราวคับขันเข้าจริง ๆ คนเราต้องเลือกช่วยเลือดเนื้อที่ใกล้ชิดเช่นนี้ กานดาเป็นลูกของผดุงกับหญิงอื่น จรวยมีแต่จิตรีคนเดียว หล่อนดูแลมาเหมือนลูก ถึงหล่อนจะบีบบังคับจิตรีหลายอย่าง จรวยก็ยังรักยังหวังในตัวจิตรีอย่างมั่นคงและลำเอียงอีกด้วย

เมื่อกินอาหารค่ำแล้ว จรวยไม่ได้หยิบกระเช้าเครื่องเย็บเข้าไปนั่งเป็นเพื่อนสามีในห้องเขียนหนังสือเหมือนทุกวัน ผดุงก็ไม่คะยั้นคะยออย่างเคย เขาคงคิดถึงเรื่องฟุ้งซ่านของลูกสาวและใจคอยุ่งเหยิงอย่างหล่อน

“ถูกแล้ว” จรวยสะกดกลั้นความอนาทรถึงผัวด้วยการตัดสินใจอย่างเฉียบขาดของผู้หญิงที่ยอมทำทุกสิ่งเพื่อลูกหรือคนที่รักเหมือนลูก “เราเองก็รู้สึกทรมานเหมือนกันเมื่อรู้ว่าจิตรีทำตัว เป็นลูกผ่าเหล่าเหลือเกิน คุณผดุงเป็นผู้ชายเข้มแข็งคนหนึ่ง เขาคงจะผ่านความผิดหวังไปได้ดีกว่าเรา–แล้วก็–กานดาไม่เคยมีนิสัยฟุ้งซ่านพอที่จะทำอะไรเหลวแหลกเหลือเกิน เรื่องที่เราเกริ่นเป็นการล้อมคอกเขาไว้เพื่อช่วยจิตรี ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดเกินควร”

จรวยบอกผดุงว่าจะไปคุยกับคุณจำรัส เรื่องของจับฉลากวันปีใหม่ แต่เมื่อหล่อนพบวิชัยนั่งอยู่กับมารดาของเขา จรวยก็คุยกับญาติของหล่อนเรื่องกานดากับตะวันผิดนัดเลี้ยงอาหารกลางวันที่บ้านจิตรี หล่อนต่อว่าวิชัย

“คนชอบกันอย่างนั้น ไม่รู้หรือว่าเขากลับมาเมื่อไหร่ คุณตะวันยังควงแม่กานดาเที่ยวตามสบายแบบนี้”

จรวยเห็นวิชัยกัดก้นบุหรี่ ก่อนจะตอบอย่างเฉื่อยชาเช่นเคย

“เขาถูกเรียกตัวกลับด่วนตามมรสุมการเมือง เขามาถึงได้สองอาทิตย์แล้วครับ ผมพบเขาครั้งหนึ่งแถวกลาโหมแต่ไม่ได้คิดว่า–ใคร ๆ ที่บ้านเราจะสนใจตะวันมากมายเหมือนเก่าอีก ผมไม่พูดเพราะเข็ดครั้งจิตรี ดูเหมือนจะเป็นความผิดของผมที่ต้องมีเพื่อนชายเช่นตะวัน”

จรวยสำเหนียกเสียงหนัก ๆ ของวิชัยเมื่อย้อนคำบอกเล่าของหล่อนเรื่องกานดาด้วยข้อความครั้งอดีต จรวยรู้ดีกว่าใคร ๆ ว่า วิชัยชอบลำเอียงข้างกานดาแม้เขาจะรักจิตรีเหลือเกิน ทั้งนี้ เพราะวิชัยชอบสังเกตแก่จรวยเองว่า จรวยลำเอียงข้างจิตรี จรวยกับวิชัยจึงมักมีเรื่องขัดแย้งอยู่เสมอเมื่อมีเรื่องต้องถือหางกานดากับจิตรีข้างใดข้างหนึ่ง

“นั่นแปลว่า นายตะวันเที่ยวควงกานดาอยู่ตั้งสองอาทิตย์แล้ว โดยไม่ต้องเข้าหน้าพี่น้องพ่อแม่เหมือนครั้งโน้น”

จรวยพูดแกมหัวเราะ วิชัยกัดบุหรี่อีกครั้ง แต่ไม่พูดอะไรอีก คุณจำรัสชำเลืองดูนางม้วนซึ่งนั่งเย็บสะบงอยู่ใกล้ ๆ แต่เมื่อนางม้วนไม่ถอย เธอจึงพูดเบา ๆ แบบเดิม

“กานดาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทั้งไปประจำอยู่โรงเรียนมากกว่าอยู่บ้าน บางทีเพื่อนฝูงของแกคงไปที่โรงเรียนหรือที่บ้านเดโชเสียหมด”

เมื่อจรวยเดินลัดออกไปที่ตึกนอกกับวิชัย พระจันทร์กำลังขึ้น เขาเดินตามพี่สาวไปเงียบ ๆ เพราะไม่อาจขัดคำชักชวนเช่นนี้

“น้องสาวไม่สู้สบาย ท้องแก่เต็มที คุณเผด็จก็ไม่อยู่พ่อชัยไปถามข่าวด้วยกันหน่อยซิ”

แต่แสงไฟบนตึกเล็กสว่างจ้าทุกห้อง ประตูหน้าต่างห้องรับแขกยังเปิดเต็มที่ จรวยจึงเลี้ยวไปหาถนนหน้าตึกแทนที่จะขึ้นด้านหลังตามความตั้งใจเดิม

“ดูเหมือนมีแขก! ใครนะมาเอากลางคืน? คงไม่ใช่หมอมาเยี่ยมจิตรีหรอกนะ ไม่ได้ข่าวว่าถึงกำหนดเดือนนี้

ไม่มีใครในห้องรับแขกสักคน แต่เสียงจิตรีที่ดังลอดออกมาจากห้องนั่งเล่น ระหว่างห้องรับแขกกับห้องกินข้าวนั้นแหละดังจนจะเรียกว่าเสียงตะโกนก็ได้

“ดีจริงจิ๊ง–สะใจยายผิว! พอหาของเลี้ยงแขกเสียเต็มยศ แขกก็ไม่มา พอไม่มีอะไรติดบ้านสำหรับที่ลูกแมวจะกินได้เท่านั้น เจ้านายเหนือหัวก็โผล่มาถึงทันที ไม่ต้องบอกให้รู้เนื้อรู้ตัวตามเคย”

“คุณผิดหวังเรอะ” เป็นเสียงถามค่อย ๆ ของเผด็จแต่กังวานเสียงขบขันนั้นมีกระแสเยาะเย้ยอยู่ด้วย “กานดาคงฟังข่าวจากคุณผิด เพราะโทรศัพท์สมัยนี้มันยุ่งเหยิงอย่างประหลาด หรือไม่ตะวันคงเห็นอาหารภัตตาคารดีกว่าอาหารในบ้านของจิตรี–แล้วก็เป็นจิตรีที่กำลังอุ้ยอ้ายอีกด้วย ผมได้ยินตะวันชวนกานดากับหู ว่าเขาจองห้องและอาหารที่เคยชอบไว้แล้ว”

“ร้าย–ร้ายเหลือทน! คุณหลานเดี๋ยวนี้แปลกไปมาก อยู่ ๆ แกล้งทำให้เราเก้อก็ได้!”

“ดูคุณถือเป็นเรื่องร้ายแรงเหลือเกินนะ นายตะวันกับกานดาเขาอิ่มแปล้ไปแล้ว จิตรียังห่วงใยอยู่อีก อ้ายผัวท้องกิ่วกลับมาถึงทั้งที ต้องทนหิ้วท้องฟังนิยายหยุมหยิมอย่างเก่า”

จิตรีลุกขึ้นพูดเสียงกระด้างทันที

“เรียกผิวซีคะ–ฉันจะเข้านอน!”

“นั่งลง!”

เสียงสั่งของเผด็จขุ่นเขียวขึ้นบ้าง จรวยรีบส่งเสียงขัดคอเข้าไปก่อน

“กลับมาเมื่อไหร่ คุณเผด็จ? ดีจริง! จะได้ช่วยเตรียมงานชุมนุมญาติมิตรวันปีใหม่เสียเลย”

เงียบกันไปครู่หนึ่ง จิตรีทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นอนตามเดิม ขณะที่เผด็จลุกขึ้นยิ้มเก้อ ๆ กับจรวยและวิชัย จรวยนั่งลงข้างเผด็จและสังเกตเห็นการตบแต่งห้องเปลี่ยนแปลกไปมาก ม่านหน้าต่างประตูติดใหม่ เครื่องเรือนแลดูเกลี้ยงเกลากว่าปกติ เครื่องตั้งเช่นกระถางไม้ใบ โถลายคราม รูปปั้น นาฬิกา แจกันและกรอบรูปก็ไม่มีฝุ่นละอองอีกด้วย ดอกไม้สดสีต่าง ๆ ตั้งแต่งอยู่ตามที่ทางทุกห้อง เห็นได้ถนัดว่าจิตรีสามารถเป็นแม่เรือนและรู้จักวิชาการตบแต่งตามควร ใครทำให้แม่บ้านสาวลุกขึ้นทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งครั้งนี้ในเมื่อสามีและบ้านเรือนไม่เคยได้รับความสนใจจากหล่อน?

จรวย วิชัย เผด็จและตัวจิตรีเองก็พอจะตอบได้โดยไม่ยากว่าการเปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้คืออิทธิพลแห่ง ‘แขก’ สำคัญ องจิตรี–ตะวัน วงศ์วิโรจน์ เขาผู้นั้นคือความรักความหลังหรือชะนักสนิมในอกจิตรีซึ่งยังคงเสียดแสยงอยู่เสมอ!

“มานั่งใกล้ ๆ น้องหน่อยค่ะคุณพี่ชัย!” จิตรีลดเสียงพูด “คุณพี่เอามือวางหน้าผากน้องอย่างเคย ทำให้น้องซิคะ”

วิชัยซึ่งหาที่นั่งไม่ได้ จึงทำตามน้องสาวขอร้อง เขาแลดูหน้าเคร่งเครียดของเผด็จอย่างขอโทษในที

“ถ้าผมต้องบินไปบินมาเหมือนคุณเผด็จก็คงหมดแรงล้มป่วยไปเสียแล้ว ขอชมว่าช่างสามารถไปโน่นมานี้ได้รวดเร็วเหลือเกิน”

“กำลังพูดอยู่เชียวว่า พี่คอยคุณเผด็จอยู่เรื่องเลี้ยงญาติมิตรวันปีใหม่” จรวยรีบต่อเพื่อกลบเกลื่อนเหตุการณ์ที่กำลังยุ่งเหยิงอยู่นั้น “พี่ชัยของคุณคิดเอง ท่านว่าในคราวฉุกเฉินเช่นนี้อย่าออกเที่ยวเปะปะไปที่อื่น อาจมีเรื่องขลุกขลักขึ้นได้ ดูเหมือนจะเชิญเฉพาะญาติมิตรสนิทมาเอะอะเสียบนบ้านของเราเพื่อส่งปีเก่ารับปีใหม่ พี่กับพวกผู้หญิงคงดูแลเรื่องอาหารกับเรื่องจับฉลาก แต่เรื่องเปิดบาร์ฟรีต้องโยนให้คุณเผด็จ พ่อวิชัยช่วยหาโต๊ะเก้าอี้และช่วยติดต่อตามเคย คุณเผด็จมาเสียได้ก็ดี ทีแรกวิตกกันว่าจะต้องไปติดอยู่ที่อื่นเรื่องค้าขาย”

“คุณใหญ่ช่างมีเวลาคิดทำอะไร ๆ ได้ทั่วถึงหมดดีจริงนะครับ” เผด็จพูดยิ้มแย้มอย่างเคยอีก “อ้ายผมนี่ขอโทษครับ! –ดูผมออกจะเป็นคนวิเศษในสายตาคุณใหญ่อย่างประหลาด เรื่องที่ผมบินกลับมาบ้านอย่างฉุกละหุกนี่เป็นเรื่องที่แม่บ้านของผมเขาถือเป็นโทษทัณฑ์ทีเดียว”

จรวยรีบตัดบท

“แบบเดียวกับพี่น่ะแหละ! เรื่องไปมาไม่บอกให้รู้ตัวแต่เนิ่น ๆ น่ะทำให้ผู้หญิงเรายุ่งเหยิงอย่างหนึ่ง นั่นคือกลัวจะไม่มีอะไรไว้พอให้ความสุขความสบายแก่ท่านที่เป็นหัวหน้าครอบครัวของเรา จิตรีไม่ใคร่ปรกติอยู่แล้วคงต้องวิตกเรื่องยุ่ง ๆ อย่างนี้มาก แม่กานดานัดมาให้ทำของเลี้ยงเพื่อนเก่าแก่ที่กลายเป็นแขกสำคัญของกานดาแล้ว คุณตะวันไงล่ะ จิตรีต้องให้ยายผิวไปรื้อครัวของพี่มา แต่เมื่อคุณตะวันกับกานดาพากันไปเสียที่อื่นจิตรีเลยส่งของคืนหมด ไม่เป็นไร ของกินในตู้อาหารของพี่เยอะแยะอยู่เสมอ ให้ยายผิวไปเอามา”

“ไม่เป็นไรครับ!” เผด็จพูดเรื่อย ๆ เพราะแลเห็นว่าจรวยพยายามไกล่เกลี่ยก็ได้ “ความจริงผมก็มีนัดกินข้าวค่ำกับเพื่อนชาวต่างประเทศที่สาธรอยู่แล้ว แต่กลับมาบ้านเพราะคิดจะหาอะไรรองท้องตามนิสัยไทย ๆ เท่านั้นเอง เผอิญเห็นจิตรีกำลังหัวเสียเรื่องหลานดากับ–กับแขกสำคัญของแก–ก็เลยพยายามจะอธิบายว่าคุณหลานเขาลืมบอกเลิกเรื่องกินข้าวที่นี่เพราะเขามีธุระยุ่งเหยิงอย่างอื่น หรือไม่ก็เป็นเพราะโทรศัพท์ปั่นป่วนไปด้วย เดี๋ยวผมก็ออกจากบ้านอีก”

“อ้าว!” จรวยหัวเราะ “ดู ๆ ก็จริงอย่างพ่อวิชัยพูดเมื่อกี้ คุณเผด็จบินไปบินมาเหมือนนก”

“นัดแล้วนี่ครับ ผมทิ้งงานทางใต้บินกลับด่วนก็เพราะเพื่อนของผมมาถึงกรุงเทพฯ อย่างฉุกเฉินเช่นเดียวกัน”

วิชัยเห็นจิตรีไม่สนใจจะถามถึงธุระของผัวที่กำลังยุ่งเหยิงอยู่ต่อหน้าก็รู้สึกท้อถอยแทนเผด็จ เขาจึงถามน้องเขยเพื่อคลี่คลายบรรยากาศที่กำลังขัดเขินขึ้นอีก

“ใครนะครับ–เพื่อนชาวต่างประเทศของคุณเผด็จ จู่มาให้ยุ่งเหยิงยังงี้?”

“เขาชื่อเอลิซาเบ็ธเบิร์นครับ”

“อ้อ! เป็นมาดัม–เห็นจะเป็นนักการค้าคนหนึ่งนะ?” จรวยถามเรื่อย ๆ ไปบ้าง หล่อนรู้สึกอายใจแทนจิตรีซึ่งยังนอนคอแข็งคนเดียว “ผู้หญิงเดี๋ยวนี้เก่งไม่แพ้ผู้ชาย เชิญเขามาเลี้ยงตอบที่บ้านบ้างซิคุณเผด็จ”

ทั้งที่พี่สาวพี่ชายช่วยทำหน้าที่แทนแล้ว จิตรีก็ยังนอนเฉยเช่นเดิม เผด็จชำเลืองหางตาไปทางหล่อนครู่หนึ่งก่อนพูดกับจรวยด้วยเสียงขบขันขึ้นอีก

“ผมอาจเชิญเขามาที่นี่ เราเป็นเพื่อนสนิท–ง่า–รักกันมาก! เบสเป็นคนใจนักเลงเหลือเกิน ถ้าจิตรีไม่ขัดข้องผมคงเชิญเขาพักด้วย เดี๋ยวนี้–ถ้าจิตรีรู้สึกสบายบ้างแล้วผมก็จะลาไปกินข้าวกับแขกสำคัญของผมบ้าง”

ภายในห้องเงียบกริบครู่หนึ่งรู้สึกว่าบรรยากาศกลับเคร่งเครียดขึ้นทันทีโดยทั้งสองไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เผด็จลุกขึ้นก้มศีรษะให้ทุกคนขณะที่ชำเลืองดูหน้าจิตรีด้วยนัยน์ตาคมคายคู่นั้น หน้าของเขายิ้มเรื่อย ๆ หางคิ้วขวาเผยอขึ้น ไฝดำที่หางคิ้วจึงเด่นชัดและนัยน์ตาก็มีแววยิ้มหยันอยู่ด้วย

เผด็จออกประตูไปโดยเร็ว คนทั้งสามในห้องนั่งเล่นได้ยินเขาเรียกหานายบุญพบให้เอารถออก เขาคงขึ้นไปทำสะอาดตัวอีกครั้งก่อนออกจากบ้านเพราะเสียงเขารีบร้อนขึ้นบันไดไปชั้นบน พร้อมกับผิวปากเป็นเพลงครึกครื้นคนเดียว

จิตรีเผยอตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้นอน หน้าหล่อนแดงเข้ม นัยน์ตายาวเรียวขุ่นขวางครู่หนึ่ง

“เชิญ! เชิญไปหากินกับเพื่อนให้ตาย!” หล่อนร้องตามหลังเผด็จโดยไม่เอาใจใส่กับอาการตื่นเต้นของจรวยและวิชัย “ไปตายเสียเถอะ–ไปตายเสีย–อย่ากลับมานะ!”

“จิตรี! อะไรกัน?”

จรวยร้องห้ามเพราะเห็นแววตาและเสียงจิตรีบอกอาการคลุ้มคลั่งคล้ายวิกลจริต อย่างไรก็ตามจิตรีลุกขึ้นยืนอย่างคนตัวเปล่าและส่งเสียงกรีด ๆ อีกครั้ง

“คนผี! ไปตายเสีย–ไปตายเสีย–ให้รถคว่ำตาย–”

เสียงจิตรีขาดห้วนลง หล่อนมีอาการหายใจไม่ออก หน้าแดงเข้มกลับเป็นซีดขาวจนเขียวคล้ำ ครู่หนึ่งพอเสียงรถยนต์เผด็จเดินออกจากบ้าน จิตรีก็ล้มลงในวงแขนของวิชัย ชั่วขณะหนึ่งภายในตึกหลังเล็กก็ปั่นป่วนไปหมด

เขาไม่ได้ตามหมอ เพราะจิตรียังรู้สึกตัวอยู่และรีบรับรองว่าหล่อนคลุ้มคลั่งด้วยเรื่องทางใจมากกว่าเรื่องป่วยไข้ทางกาย คราวนี้หญิงผู้ลิขิตโชคชะตาตนเองดูเหมือนจะทอดอาลัยเรื่องราวรอบข้าง หล่อนไม่สู้จะปิดบังแบบเดิมใจคอและความคิดก็ดูเข้มข้นขึ้นด้วย

“คุณดาเป็นลูกเลี้ยงของคุณใหญ่นะคะ! คุณป้าก็ดูแลเรื่อยมาแต่ไม่ดูแลให้ตลอด–เลยออกไปทำยุ่งเหยิงยังงั้น ประเดี๋ยว เด่นแสง ประเดี๋ยวตะวัน”

จรวยลุกหนี แต่พูดออกตัวต่อทุกคน

“ตัวใครก็ตัวใคร เขาเป็นเพียงลูกเลี้ยง พ่อบังเกิดเกล้ายังควบคุมเขาไม่ได้ น้องในไส้ฉันแท้ ๆ ยังไม่ใคร่อยู่ในถ้อยคำของฉัน คุณป้าไปวัดแล้ว! ถ้าลูกหลานแต่ละคนเคยฟังเสียงคนแก่ก็จะดี ฉันเห็นแต่พากันเคี่ยวเข็ญคุณป้า ประเดี๋ยวคนโน้นจะเอาอย่างนี้ คนนี้จะเอาอย่างโน้นแล้วก็พาโลกริ้วโกรธกันเอง”

“แต่มันเรื่องอะไรของจิตรีถึงต้องเที่ยวเป็นทุกข์แทนคนอื่น” วิชัยฉิวขึ้นบ้าง “เธอก็อยู่กับลูกผัวของเธอไปซิ!”

“เซี้ยว! ลูกผัวที่ไหนกัน” จิตรีร้องขึ้น “คุณใหญ่เป็นคนวางแผนการก่อนใคร ๆ อีตาคนนั้น–น้องเขยของพี่ชัยน่ะเลยโอกาสรวบหัวรวบหางฉันเพราะมีกลโกงกว่าเพื่อน คราวนี้พ่อนั่นคงยุหลานสาว–คุณกานดาของพี่ชัยกับของชายอื่น ๆ อีกเยอะ–คุณกานดาถึงกระโดดเข้าคว้าคอคุณตะวันต่อหน้าคู่รักเก่าแก่ก็ได้! พี่ชัยกินฟรีคุณดาแล้วทิ้งขว้างให้เขายุ่งเหยิงยังงี้!”

“หยุด!” วิชัยตวาดจนตัวเองสะดุ้งเยือก “ยังมีหน้าพูดเปะปะไปถึงเรื่องเสเพลพวกนั้นอีก! นี่จะล้างผลาญเกียรติของสกุล แล้วก็หักอกผู้ใหญ่ยังงั้นเรอะ คู่รักอะไรกัน? ตัวมีผัวแล้ว หรืออยากจะยั่วผัวให้เขาตีตายโหงตายห่าให้ได้ กานดาเสเพลเพราะใครชักนำ? แต่นายตะวันก็คงเห็นว่า ถึงไงกานดาก็คงดีกว่าผู้หญิงมีผัวแล้วยังท้องโย้ยังงี้!”

จรวยรีบปิดหู

“คุณพระคุณเจ้าช่วยที! ทำไมถึงพูดกันรุนแรงเหลือเกิน! ฉันกราบลาคุณพ่อแม่คุณจ๋า! ใครจะด่าใคร–ฆ่าใครก็เชิญเถิด ขอบอกว่าถ้าพวกเธอยังมีกตัญญูอย่างมนุษย์แล้วอย่าได้ไปเคี่ยวเข็ญคุณป้าอีก ฉันดีใจที่คุณลุงคุณพ่อคุณแม่ตายไปเสียก่อนทันได้ยินได้เห็นเรื่องเลว ๆ เหล่านี้ คุณผดุงกับฉันล้างมือหมดแล้วนะ! ที่นี้ใครดีใครช่วยังไงอย่าไปยุ่งกับฉัน”

จิตรีพูดระคนหัวเราะแค้น ๆ ขึ้นอีก

“ใคร ๆ ก็เห็นแต่คุณใหญ่น่ะแหละเที่ยวยุ่งกับใครต่อใครเขาเสมอ”

จรวยแลดูน้องสาวด้วยน้ำตาคั่งคลอครู่หนึ่งแล้วก็หันหลังออกไปจากห้องเงียบ ๆ

“เห็นไหม จิตรี?” วิชัยลุกขึ้นไปที่ประตูอีกคนหนึ่ง นัยน์ตาของเขามีแววปวดร้าวเหลือเกิน “ความหัวรั้นของน้องน่ะ ทำให้ทุกคนปั่นป่วนไปหมด”

“ล้างมือเหมือนคุณใหญ่ซิคะ! ตัวใครก็ตัวใคร ฉันเป็นเพียงคนหัวหายหรือลูกขี้ข้าคนหนึ่ง!”

เมื่อจิตรีท้าวความถึงกำเนิดคลุมเครือของหล่อนและวิชัยไม่อาจแก้ไขความเข้าใจผิดอันร้ายแรงเหล่านี้โดยไม่กระทบกระเทือนถึงมารดา เขาจึงได้แต่ผลุนผลันออกไปจากห้องนั้นเช่นเดียวกับจรวย

จิตรีแลตะลึงตามร่างของพี่ชายเหมือนคนสิ้นคิดครู่หนึ่ง

ภายในห้องนอนที่เขาพากันอุ้มหล่อนเข้ามาเมื่อเป็นลมแลดูว่างเปล่าไปหมด แม้นางผิวหรือเด็กผุดอาจนั่งคอยฟังเสียงกริ่งที่หล่อนจะใช้เรียกใช้อยู่ในที่ใกล้เคียงข้างห้อง จิตรีรู้สึกเยือกเย็นอย่างเก่า เผด็จไปหาเมีย พี่น้องหนีหมด!”

ตะวันกลับมา! แต่ไม่เห็นตะวันผู้ยิ้มแย้มร่าเริงและผู้รักอย่างอบอุ่นอีกแล้ว ตะวันกลับมาและจากไปกับเพื่อนใกล้ชิด เช่นกานดาผู้ยังโสด และปรับปรุงตัวใหม่จนคมคายขึ้นมาก อาจมีคนเห็นกานดาเดี๋ยวนี้กลับเป็นสาวโก้เก๋กว่าจิตรี หล่อนขบฟัน! น้ำตาที่ไหลซึมแห้งผากเพราะความเคียดแค้นข้อนี้ น่าหึง! เหตุไรหล่อนจึงหลงคิดอยู่ว่าตะวันจะมีเยื่อใยอยู่อีกในเมื่อเขาได้พบกานดาผู้ยังบริสุทธิ์และเกลี้ยงเกลากว่าหล่อน? จิตรีอยู่ในสภาพพึงทุเรศเหลือเกิน จะว่าเหตุการณ์กลับไปตรงกับภาษิตเก่าแก่ก็ได้

“ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก”–หรือ ‘เพื่อนเก่ากับคู่รัก’

จิตรีลุกขึ้นนั่ง

“ฉันต้องต่อสู้เสียที! ทำไมฉันจะมีอะไรบ้างก็ต้องให้เขายื้อแย่งอยู่เสมอ เมื่อครั้งก่อน เผด็จฉกฉวยฉันไปด้วยอุบายกับความใคร่ของเจ้าชู้ คราวนี้กานดากำลังจะยื้อแย่งตะวันไปเสียอีก และอาจเป็นวิธีการจากสมองนักค้าของเผด็จ ใครดีใครได้! ดีละ!”

จิตรีคิดถึงความหลังด้วยความคั่งแค้นขึ้นอีก เผด็จจู่ลู่เข้าไปในเขตแหลมเหลือเวลาฉุกเฉินเช่นไร แต่เขาช่างเผอิญได้พบร่องรอยหลายประการ ที่แสดงถึงความประพฤติหละหลวมเหล่านั้น หญิงอย่างหล่อนย่อมจะไม่นัดชายหนุ่มออกมาในที่วิเวกนอกชายคาเรือนยามวิกาล และอภิรมย์ราตรีมืดอย่างโดดเดี่ยวด้วยกัน ถ้าหล่อนไม่เคยประพฤติเพราะมีนิสัยเหลาะแหละเหลือเกิน เผด็จก็หมิ่นน้ำใจหล่อนตั้งแต่คืนที่เขาหลงคิดว่าหล่อนคือหญิงพะเยาว์อยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ตะวันจะต้องรู้ว่าจิตรีถูกผู้ใหญ่แยกจากเขา หล่อนถูกพล่าพรหมจรรย์โดยนักการค้าคนนี้ หรือจะเรียกเผด็จว่านักฉวยโอกาสก็ได้ กานดามีดีเพียงยังไม่มีชายคุมเป็นหลักฐานเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้กานดาก็มีเรื่องผู้ชายยุ่งเหยิงกว่าหล่อน จิตรีเป็นญาติมิตรคนเดียวที่เห็นใจและช่วยป้องกันกานดาในเรื่องยุ่งเหยิงอยู่เสมอ เมื่อจิตรีแสดงว่าขุ่นข้องขึ้นบ้าง ตะวันและคนอื่น ๆ ย่อมจะพิจารณากานดาอย่างหมดความเชื่อถือทั้งสิ้น

“ใครจะทำลายเราได้โดยสิ้นเชิงเท่ากับคนที่รักสนิทและใกล้เคียงของเรา”

จิตรีรำลึกได้อีก ครั้นแล้วหล่อนเหลือบไปพบเครื่องหมายแห่งความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นระหว่างหล่อนและกานดาเกลื่อนอยู่ตามที่ทางทั่วบ้าน

“ปลอกหมอนคู่แรกก็เป็นฝีมือคุณดา” จิตรีหยิบหมอนเผด็จขึ้นกอดไว้ แม้เขาจะแยกไปนอนห้องสำรองนานแล้ว บนเตียงวิวาห์ยังคงจัดไว้และตกแต่งตามเคย “ผ้าปูเตียง ปูตู้ พรมเช็ดเท้าหน้าห้องน้ำ ในห้องรับแขกก็มีหมอนอิงอีกหลายใน แม้แต่ผ้าเช็ดมือเขาก็เย็บปักอักษรย่อชื่อคุณเผด็จกับชื่อเราทั้งโหล–เสื้อนอนตัวนี้–เสื้อนอนคืนเข้าหอก็สำเร็จเพราะด้ายเข็มคุณดา เดี๋ยวนี้–อนาถ–!”

น้ำตากระเซ็นจากเบ้าตาทั้งสองของจิตรี เมื่อหล่อนตกลงใจตัดกานดาออกไปเป็นคู่แข่งและคู่แค้นของตน

แต่ตะวันก็คือตะวัน ชีวิตวัยสาวของจิตรีเริ่มรากฐานความรักความหวังขึ้นมาภายในอ้อมแขนของตะวัน ชีวิตวัยรักของกานดาก็เริ่มรากฐานที่วิชัย จิตรีรู้ว่ากานดาจะไม่มีวันเปลี่ยนความรู้สึกในตัววิชัย แม้กานดาจะมีชายอื่นเข้ามายุ่งเหยิงอย่างนี้ กานดาไม่มีความเข้มแข็งพอจะต่อสู้เพื่อความรักแรกอันเป็นรากฐานมั่นคงของชีวิต กานดาจึงล่องลอยเรื่อยไป

“แต่ฉันไม่ยอมให้ชีวิตปั่นป่วนไปอีก–เมื่อตะวันได้แสดงว่าเขายังมีเยื่อใยอยู่อีกมาก ไม่งั้นเขาคงไม่ให้คุณดานัดเราไปพบในที่ ๆ เราเคยไปหาความสุขด้วยกัน” จิตรีรีบบอกตัวเองอีกครั้งหนึ่ง “แน่ที่เดียว! ตะวันคงอยากบอกเราเองว่า เราได้ความเห็นอกเห็นใจจากเขาอยู่ ไม่มีอะไรในโลกจะตัดดวงใจจากตะวัน–เขาเคยสัญญาอยู่เสมอ เรายังคงเป็นดวงใจของเขา เคราะห์ร้ายเราเปลี่ยนสถานที่นัดพบเสียเอง อาจเป็นเพราะเผด็จโผล่มาแล้วกานดาทำยอกย้อนอย่างนี้ ตะวันจึงเปลี่ยนปุบปับไปด้วย ดีละ!”

จิตรีขว้างหมอนเผด็จไปที่เก้าอี้หน้าเตียง

“ไปตายกับเมียฝรั่งแล้วซิ! สมกับที่จากกันนาน–ชาติเจ้าชู้!”

น้ำตาจิตรีแห้งผากไปอีกเหมือนหัวใจที่แข็งกระด้างเพราะความคั่งแค้น คำเผด็จที่กล่าวแก่หล่อนคืนสวรรคต ร.๘ เป็นคำเผ็ดร้อนเหล่านี้

‘ถ้าเมียมาตาม’ ในใจจิตรีรู้สึกเสียดแสยงอยู่เสมอ “ผมไม่รู้ จะเอาคุณไปไว้ที่ไหนน่ะซิ!”

เมียของเขามาแล้ว! จิตรีเป็นเพียงหญิงบำเรอ ฉากผ่านหรือโสเภณีนั่นเอง! อาจเป็นได้ว่าหล่อนยังคงเป็นโดยกฎหมายไทยแท้จริง ตราบใดที่หล่อนมิได้อาศัยอำนาจกฎหมายจนความจริงอื้ออึงออกมา แต่จะมีประโยชน์อะไรแม้กฎหมายผัวเมียทั่วโลกจะช่วยยืนยันอยู่ว่า จิตรีเป็น ‘เมีย’ ในเมื่อผัวไม่ยอมรับนับถือ ทั้งความรักและธรรมนิยมอย่างนี้? หล่อนจะไปเสียเอง เพราะหล่อนเป็นหญิงหัวหายหรือ ‘Miss No Name’ แน่แล้ว หล่อนเคยทอดอาลัยเรื่อง ‘ชื่อ’ จนสละตะวันโดยไม่ต่อสู้สักนิด ครั้งนี้หล่อนกลับมองเห็นภาวะต่ำช้าเช่นนั้น เป็นวิถีทางที่จะนำหล่อนกลับไปสู่วงแขนของตะวันอีก จริงอยู่หล่อนจะทำลายเกียรติสกุล ผจญความอัปยศอย่างหนัก ถ้าหล่อนจะบอกความจริงแก่ตะวัน เพื่อขอความเห็นอกเห็นใจจากเขา หล่อนสยองที่จะโจนลงไปสู่ความต่ำช้าเช่นนั้น และการเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพื่อ ‘ความรักครั้งหนึ่งในอดีต’

แต่เหตุการณ์กดดันเดี๋ยวนี้ไม่ให้เวลาแก่หัวคิดและประสาทอันตึงเครียดของจิตรี หล่อนต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่แสดงว่าหล่อนไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใด!

จิตรีเอื้อมมือไปกดกริ่งอยู่นาน หญิงกลางคนเข้ามาทันที คล้ายกับคอยฟังเสียงสัญญาณอยู่แล้ว

“ผิว! ช่วยเปลี่ยนปลอกหมอนผ้าปูทุกชิ้นเป็นชุดสำรองทีเถอะ อย่าเอาชุดแรกมาใช้อีก เอาไปเดี๋ยวนี้”

นางผิวหยิบหมอนของเผด็จขึ้น

“คุณผู้ชายกลับเรอะยัง?”

นางผิวถอดปลอกหมอนพลางตอบคำถามขุ่น ๆ ของนายสาว

“คุณผู้ชายสั่งนายบุญพบให้เอากระเป๋าไปกับรถค่ะ ท่านบอกว่าจะไปค้างโฮเต็ล ดิฉันคิดว่าคุณทราบแล้ว”

จิตรีร้องกรี๊ด

“ไป๊ ฉันบอกให้เก็บชุดแต่งงานไปให้หมด–ฝีมือคุณดาน่ะ! โน่นผ้าปูเตียง ปูหลังตู้ โต๊ะข้างเตียงเก็บไปทุก ๆ ชิ้นเชียวนะ! ยังจะมัวเยิ่นเย้ออยู่อีก ออกไป๊–!”

นางผิวรีบเก็บของและรีบออกไปจากห้อง สวนกับนายบุญพบที่หน้าประตู บุญพบหน้าตื่น เขาคิดว่านายสาวส่งเสียงร้องเพราะเจ็บป่วยไปอีก นางผิวรุนตัวเด็กหนุ่มออกไปจนพ้นเสียงขุ่นแค้นของจิตรี

“ไปเร็ว! คุณท่านกำลังเหม็นเบื่อบุญพบ”

“พะผ่า!–ผมทำอะไร”

“เร็วเข้า! คุณไล่”

“เรอะ! งั้นผมจะไปเที่ยวดูสาว ๆ สักหน่อย”

นางผิวฉุดแขนข้างหนึ่งไว้

“อย่าบ้าหน่อยเลย! ช่วยเลือกเก็บผ้าปูทุก ๆ ชิ้นที่ห้องข้างล่างไปให้น้าทีเถอะผุดมันทำการบ้าน อีกอย่างหนึ่งน้าไม่กล้าอยู่คนเดียวกับเด็กหญิงอย่างผุดหรอก คุณจิตรีมีอาการชอบกล ยังไง ๆ จะได้ช่วยกันตามคนโน้นคนนี้บ้าง”

“บอกเสียแต่แรกก็หมดเรื่อง ผมรู้แล้ว–คุณผู้ชายขอ ผมก็ฉุนกึก ๆ เหมือนกินขิงข่าเข้าไป”

ตะวันกับกานดากินอาหารกลางวันได้คนละเล็กละน้อยแต่ก็กินช้าที่สุด เพราะต่างคนก็มีเรื่องคิดเรื่องพูดมากมายเหมือนกัน กานดาเป็นฝ่ายตอบคำถามทั้งที่สมองหล่อนเองก็เต็มไปด้วย ‘ปัญหา’ ยุ่งเหยิงอยู่แล้ว

เปล่า! จิตรีไม่ได้ปรึกษาหารือกานดาหรือใคร ๆ เมื่อจะแต่งงานกับเผด็จ ดูจิตรีก็มีความสุขดีก่อนตั้งครรภ์ ต่อจากนั้นสังเกตดูเผด็จกับจิตรีมีเรื่องหยุมหยิมอยู่บ้างตามธรรมดา แต่จิตรีก็ไม่เคยเดือนร้อนอะไรจริงจังแม้มีข่าวเผด็จกับญาติอยู่บ้าง เผด็จเป็นผัวที่ดีในสายตาคนทั่วไป

“แปลว่าคนซื่ออย่างคุณกานดาก็ต้องคอยพูดแก้กับผม ผัวที่ดีดูมีข่าวไปค้าและไปคุยกับพวกญาติหญิงอยู่เสมอแม้เมียจะต้องนอนป่วยไข้คนเดียว”

“เรื่องมีครรภ์ไม่ใช่เรื่องป่วยของหญิง”

“ดูคุณช่างคอยแก้แทนทุกอย่างหมด อ้อ! คุณเผด็จเป็นอาของคุณเอง ผมลืมไป”

แต่เมื่อตะวันมองตาหญิงสาวเป็นเชิงประชด เขาก็พบแต่ความซื่ออันอ่อนโยนอย่างเก่า ตะวันเปลี่ยนสีหน้า

“ขอโทษ! ผมพูดหยุมหยิม เพราะยังสำรวมไม่ได้ คุณดาคงเห็นใจว่าผมปรับตัวไม่ทันเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่เกินความคาดคิดของผมหมด มันอาจเป็นความผิดของผมโดยสิ้นเชิงจึงต้องเสียจิตรีไปแก่ผู้ชายท่าทางชอบข่มขี่คนนั้น เอ้อ! ขอโทษ ผัวที่ดีอาจจะต้องเป็นชายเจ้าชู้และชอบข่มขู่คนอื่น”

“อาเผด็จเที่ยวเก่งก็จริง แต่ไม่ปรากฏว่าจริงจังกับใคร เขามีท่าทางคล้ายคนดุ ทั้งที่คนส่วนมากก็เห็นเขาอ่อนโยนกับผู้หญิงอยู่เสมอ คุณใหญ่กับคุณป้าโปรดอาเผด็จไม่ใช่น้อย”

“แน่ละ! ลูกเขยเศรษฐีทั้งคน–ขอโทษอีกที! ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่ากำลังอิจฉาโชคของเขา ใครเคยรักจิตรีแล้วพลาดเขาก็คงคลั่งทุกคน ผมได้ข่าวครั้งแรกเกือบหนีราชการกลับมาเสียแล้ว กลับมายังไม่มีโอกาสพบเขาอีก”

“อะไรทำให้คุณตะวันยังต้องการพบจิตรีในคราวยุ่งเหยิงอย่างนี้”

“ผมนึกว่าคนที่เคยรักกันอย่างผมกับจิตรี ควรจะได้ทำความเข้าใจกันบ้างว่า อะไรเป็นอะไร ผมยังมืดแปดด้านอยู่จนทุกวันนี้ว่า ทำไมจิตรีจึงไม่ยอมทำตามที่ผมเขียนจดหมายมาขอร้อง ถ้าเขายอมติดต่อกับคุณแม่ผม เรื่องก็คงไม่ยุ่งเหยิงอย่างนี้ แต่เขาเลือกแต่งงานกับผู้ชายแปลกหน้า นี่เองคือสาเหตุที่ทำให้ผมขอพบเขา แต่เขาก็เปลี่ยนปุบปับไปอีก”

“นั่นเป็นเพราะคุณจิตรีถืออย่างกันเองยังไงคะ จึงขอให้ไปกินที่บ้าน แต่เปลี่ยนปุบปับไปหน่อย ดิฉันไม่รู้จะโทรไปบอกคุณที่ไหน”

“นั่นซี! คุณกานดาควรเชิญผมไปที่บ้านให้ได้ ถึงคุณเผด็จจะโผล่มาคุมเชิงเช่นนั้น”

กานดานิ่ง ตะวันหัวเราะอย่างขุ่นใจ

“ผัวที่ดีดูใจคอไม่สู้จะกว้างขวาง ถึงเขาจะบอกผมว่าเขาเคยได้ยินข่าวของผม อาจเพราะเขาเห็นสายตาเราไม่กินกันก็ได้ ดูรีบเลือกใสให้ผมพาคุณดามาตามนัดเก่าจนเกิดเรื่องกับนายเด่นแสง”

กานดาไม่กล้าบอกความจริงแก่ตะวันว่า ‘ข่าว’ ของตะวันเคยทำให้จรวย จิตรี และเผด็จยุ่งเหยิงอย่างไรบ้าง

“รับเสียเถอะน่ะ ว่านายเผด็จขี้หึง แม้แต่กับผมที่เคยเป็นเพื่อนเก่าแก่กันมา”

“ค่ะ! เขาหึง...ผู้ชายทุกคน” กานดายอมให้เรื่องเป็นไปตามความนึกคิดของตะวันก่อน เผด็จเป็นผัวขี้หึงในสายตาคู่แข่งคนเก่า ก็ยังดีกว่าตะวันจะรู้ว่า เผด็จกับครอบครัวของจิตรีถือว่า ตะวันทำให้จิตรีเสื่อมทรามเสียแล้ว “กราบละค่ะ! ถ้าคุณตะวันเห็นแก่จิตรีหรือพี่ชัยก็ขอให้สงบเสียเถิด ที่แล้วก็ให้แล้วไป ลืมจิตรีเสียเถอะค่ะ”

“คุณ...” เขาย้อน “คุณเคยมีความรัก ถ้าเรื่องคุณกับวิชัยยังไม่ถึงกับแตกหักอย่างเรื่องผม... คุณมีกะใจจะบอกได้เชียวเรอะ ว่าให้ผมลืมจิตรีง่าย ๆ? ตอบผมซิ! ไหน ๆ เราก็เป็นเพื่อนเก่าแก่กันมา”

หญิงสาวยังซื่อพอที่จะจนถ้อยคำครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดกานดาหวนคิดถึงคำคุณจำรัสในเรื่องเกียรติยศและความกตัญญูอย่างนี้

“อย่าแก้ไขความหลังที่คนหลายคนได้เสียสละความรักและความสุขส่วนตัว เพื่อปลูกฝังชีวิตใหม่ให้เติบโตต่อมาและมีเกียรติยศอย่างผู้ดี เราไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงบุญคุณคนเหล่านั้น มนุษย์เราจะอยู่อย่างผู้ดีได้บ้างก็เพราะรู้จักคุณค่าของเกียรติยศและความกตัญญูอย่างนี้เอง”

กานดากับตะวันคือใครเล่าที่จะลบล้าง–เกียรติยศและ–ความกตัญญูอย่างนั้น? ถ้ากานดาจะบอกความจริงแก่ตะวันหมด เพื่อเห็นแก่มิตรภาพเก่าแก่กับความเห็นอกเห็นใจจากการที่มีความรักอันขื่นขมคล้ายกัน ก็เหมือนกับหล่อนทำลายล้างผลจากที่ถูกสร้างสรรเสร็จแล้ว ครอบครัวของจิตรีและเผด็จได้ช่วยกันโอบอุ้มจิตรีในคราวคับแค้นคราวนั้น จนจิตรีสามารถตั้งตัวตามเค้าโครงของชีวิตใหม่ แม้จะมีการเข้าใจผิดและเรื่องยอกย้อนอยู่บ้าง กานดาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตะวันกับจิตรีก็ได้เคยทำเรื่องยอกย้อนอยู่แล้ว ในเวลายุ่งเหยิงยิ่งนัก ตะวันมิได้อยู่เผชิญการร่วมกัน แต่กลับทิ้งจิตรีและมารดาให้หาทางออกด้วยวิธีเอาตัวรอดหรือหนีความรำคาญคนเดียว การที่ตะวันต้องขื่นขมคราวนี้ ก็นับว่าเป็นผลแห่งการหนีหน้าภาวะคับขันของตนเอง มันอาจเป็นความยุ่มย่ามของจรวยที่กักจดหมายตะวันถึงจิตรี และเผด็จอาจเป็นคนฉวยโอกาสก็ได้ แต่ตะวันเป็นคนแรกที่เปิดโอกาสแก่ผู้อื่นให้เข้าไปทำหน้าที่แทนตน จิตรีจะไม่วิ่งเข้าสู่วงแขนของเผด็จในเวลากระชั้นชิดเช่นนั้นถ้าตะวันจะยืนหยัดอยู่ข้างหล่อน และไม่ปล่อยให้เหตุการณ์เป็นตามคาดคิดข้างเดียว เช่นคาดว่ามารดากับจิตรีจะช่วยแก้ไขความยุ่งเหยิงครั้งแรก แต่เหตุการณ์ก็แปรปรวนไปเอง ใครจะช่วยใครได้ว่าต้นเหตุสำคัญของความยุ่งเหยิงอย่างนี้ต่างคนต่างสร้างความสุขและความคับแค้นของตน

ทำไมกานดาจึงจะบอกตะวันถึงเรื่องจรวยกักจดหมายของเขาถึงจิตรีและเผด็จได้ช่วยอุบอิบเอาไว้?

ทำไมกานดาจึงจะเอากรณีของตนกับวิชัยช่วยตะวันรื้อทำลายเค้าโครงของชีวิต ซึ่งหลายต่อหลายคนได้รับช่วงเอาไปสร้างสรรเสร็จแล้ว?

กานดาไม่อาจมองข้ามคติของคุณจำรัสซึ่งเกี่ยวกับเกียรติยศและความกตัญญูอย่างมนุษย์

จริงอยู่คุณจำรัสมิได้เป็นอะไรกับกานดา ความสัมพันธ์ที่มีวิชัยเชื่อมอยู่ก็นับว่าสิ้นสุดเสียแล้ว ตั้งแต่วิชัยปล่อยให้หล่อนขนของออกจากบ้านไป โดยไม่ขอแต่งงานกับหล่อนเอง หรือรับรองกับผู้ใหญ่ว่าเขากับกานดายังมีเยื่อใยอยู่บ้าง บัดนี้กานดาเป็นคนอื่นไปจริงๆ แต่การอบรมเลี้ยงดู ‘โดยธรรม’ ซึ่งคุณจำรัสให้แก่กานดานั้น เป็นความสัมพันธ์ที่หนักแน่นยืนยาวยิ่งกว่าอื่น

บิดาหล่อน จรวยซึ่งเป็นแม่เลี้ยง จิตรีน้องรักหรือเพื่อนคู่หู และวิชัยซึ่งเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในวงชีวิตแคบ ๆ ของกานดา อาจเป็นบุคคลที่พึงยำเกรงและสุดแสนรักใคร่ของหล่อน แต่คุณจำรัสเป็นคนเดียวที่กานดานับถือและยกย่องอยู่เสมอ แม้กานดาจะตัดตัวเองออกจากซอยสามบ้านแบบนี้แล้ว หล่อนก็ไม่อาจตัดความนับถือคุณจำรัสในเรื่องอบรมหล่อนมา เมื่อหล่อนพลอยรู้ความลับของคุณจำรัสที่เกี่ยวกับจิตรีและพ่อซึ่งเป็นสามีคนที่สองของคุณจำรัส กานดากลับบูชาน้ำใจและความอดกลั้นของหญิงมีอายุมากขึ้น มิได้ดูหมิ่นเหมือนวิชัยคาดคิดคนเดียว แต่บทเรียนชีวิตคุณจำรัสและจิตรีทำให้กานดามองชีวิตรักของตนด้วยอาการขยักขย่อนอย่างใหม่ มันกลายเป็นสาเหตุให้วิชัยเข้าใจว่าหล่อนถือเอาความลับเรื่องแม่กับน้องสาวของเขาเป็นเครื่องมือแข็งข้อเขาก่อนภาวะยุ่งเหยิงทั่วไปทำให้เขาขาดความไว้ใจกานดา และต้องการจะทำให้หญิงสาวรู้สึกเสื่อมศักดิ์เสียด้วย กานดาสำนึกเรื่องนี้อย่างเลือนรางขณะที่หล่อนครุ่นคิดคนเดียวว่า วิชัยสิ้นรักหล่อนจริง

ชีวิตกานดาก็ขาดลอยไปจากวงจรเก่าแก่ภายในซอยสามบ้านแบบนี้เอง แต่กานดายังยึดมั่นการอบรมสั่งสอนของคุณจำรัสเรื่อยอยู่เพราะความนับถือและเชื่อถือเท่านั้น

นี่คือสิ่งซึ่งทำให้กานดาเงยหน้าขึ้นสู้สายตาตะวันและตอบเขาด้วยเสียงมั่นคงของหล่อน โดยไม่พูดถึงเรื่องอันล่วงเลยเหล่านั้นอีก

“ความรัก” หล่อนทวนคำของตะวันตามคติคุณจำรัส “ความรักจะหมดจดงดงามก็เพราะมีเกียรติยศและความกตัญญูอย่างหนึ่ง ในส่วนความรักเรอะคะ? คุณตะวันจะรู้สึกได้เอง ความรักจะให้ความสุขสมบูรณ์ตามคุณค่าของมันก็ต่อเมื่อความรักนั้นหมดจดงดงามพอที่เราจะรู้สึกเย่อหยิ่งอยู่ได้เสมอ จริงไหมคะ?”

เขาจำต้องพยักหน้าเงียบ ๆ

“งั้นคุณแน่ใจเรอะคะว่า การติดต่อปรับความเข้าใจกับคุณจิตรีในระยะนี้จะเป็นไปอย่างหมดจดจริง ๆ”

ตะวันผงะไปพิงพนักเก้าอี้ นัยน์ตาที่มองคาดคั้นคู่สนทนา กลับมีแววไหวหวาดและยุ่งเหยิงอย่างหนัก ในที่สุดเขาตอบกานดาด้วยเสียงราบเรียบลงมา

“ไม่สวยและหมดจดอย่างคุณดาคิดแน่เมื่อนายเผด็จเบิกโรงราวกับผมโผล่เข้าไปท้าทายถึงบ้าน จริงหรอกเขาตั๊นหน้านายเด่นแสงที่เสือกเข้าไปยุ่มย่ามอยู่ด้วย แต่ผมก็สำนึกตัวว่า ที่จริงคุณเผด็จเขาเล็งกะโดงคางของผม! พะผ่า ผมอยาก–แต่ก็จริงอย่างคุณดาพูด–คนเราจะรักหรือเกลียดก็ต้องให้ดูสวย ๆ สักหน่อย ไม่งั้นก็เกิดเรื่องผะอืดผะอมอีกมาก คุณแม่ผมพูดเหมือนคุณ ขอไหว้ที–” เขาพนมมือและยิ้มเก้อ ๆ กับหล่อน “คนเราไม่ได้เกิดได้เอง ผมต้องคิดถึงคุณแม่เหมือนกัน เอาเถอะ! ถ้าคุณดาวิตกว่าผมจะทำอะไรโสมมมากละก้อ–อนุญาตให้สั่งขัง–ขอโทษ! ทำพิษผมได้! เดี๋ยวนี้–ถ้าคุณพ้นจากพันธะเก่า ๆ เกือบหมด–ผม นายวิชัยน่ะ เพราะได้ยินว่าเขาโฉงเฉงชั่วคราว ผมก็ขอให้คุณดาเป็นผู้ควบคุมของผม ได้ไหมคุณ?”

กานดาตกตะลึง ตะวันหัวเราะและพูดอย่างขบขันขึ้นอีก

“ขอให้เป็นเพียงผู้ควบคุมของผมเท่านั้น ถ้าเกินกว่านี้ นายวิชัยเห็นจะวิ่งอู้ กลับมาฟาดกระโดงคางของผมอีก อ้ายหมอนั่นหวงคุณนัก”

กานดาร้องไห้เงียบ ๆ และทำให้ตะวันเป็นฝ่ายตกตะลึง หล่อนบอกเขาพลางเช็ดน้ำตาพลาง

“คุณตะวันคิดหรือว่า จะมีคนหวงผู้หญิงเสเพลและขี้แยอย่างฉัน?”

“ถ้าผมไม่รู้จักคุณมาก่อนก็จะไม่เชื่อหูที่คุณกล้าใช้คำหยาบคายแก่ตัวเอง”

“เอาเถอะค่ะ! ขอให้รู้ไว้เท่านั้น ว่าคุณกำลังจะคบใครอยู่” หญิงสาวสอดขึ้น “คุณตะวันควรรู้ว่าก่อนมากินข้าวกลางวันที่นี่ ฉันได้แสดงความจำนงแก่ครูใหญ่แล้วค่ะว่าขอลาออกทันทีที่ทำให้เขาต้องอึดอัด ฉันเห็นด้วยกับครูใหญ่ว่า โรงเรียนทุกแห่ง ไม่ใช่สถานที่ที่ครูคนใดจะใช้เป็นเวทีทำเรื่องยุ่งเหยิงส่วนตัว แต่ก็อาจเป็นเรื่องเสื่อมเสียส่วนรวม–นักเรียนเล็ก ๆ เหล่านั้น”

ตะวันอ้าปากแล้วทุบโต๊ะปัง

“บ้าพิลึก! โรงเรียนหรือโรงอะไรก็อาจมีเรื่องพิกล ๆ ก็ได้โดยเผอิญ นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณ ผมจะไปรับผิดเอง เขาโนติสคุณเรอะ?”

“ฉันลาออกเองค่ะ เมื่อเขาเรียกฉันไว้ให้ชี้แจงก่อนมากับคุณ ฉันไม่รู้จะชี้แจงยังไง เลยตัดบทชิงลาออกเสีย ครูใหญ่ขอให้ฉันคิดเสียใหม่ เขายังต้องการฉันอยู่ ฉันรู้ว่าครูใหญ่พูดอย่างจริงใจ แต่ต้องลาออกเพื่อสะดวกกับทุกฝ่าย เพราะก่อนเกิดเรื่องนี้ ภายในโรงเรียนก็มีเรื่องหยุกหยิกอยู่แล้วค่ะ ความจริงฉันกำลังเหนื่อย นึกอยากออกไปหลบพักผ่อนเสียสักคราว”

แต่ตะวันเห็นริมฝีปากกานดาสั่นเล็กน้อย และนัยน์ตามีแววเศร้าสยองอยู่ด้วย เขารู้ว่าหญิงสาวไม่มีงานอื่นที่หล่อนจะสามารถทำได้ดีเหมือนกับสอนนักเรียนเล็ก ๆ เหล่านั้น กานดารักเด็กดูดดื่มเพียงไร คนที่เคยรู้จักหล่อนดีอย่างตะวันกับครูใหญ่ จึงจะซึมทราบว่าการลาออกจากงานครูครั้งนี้เป็นเรื่องที่กานดาเสียสละเหลือเกิน

เขากลับทำตัวหละหลวม จนเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้กานดาผู้มีเรื่องยุ่งเหยิงอยู่แล้ว กลับต้องยุ่งเหยิงยิ่งขึ้น ตะวันให้สัญญาหญิงผู้ยอมรับมรสุมชีวิตด้วยอาการอ่อนโยนอย่างเก่าเพื่อทดแทนที่หล่อนเสียไป

“ผมจะ–พยายามให้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่เรื่องเก่า ๆ กลายเป็นเรื่องหมดจดงดงาม ตามความนึกคิดของคุณ–เท่าที่คนเลว ๆ อย่างผมจะทำได้”

กานดาฝืนยิ้ม แต่แสดงว่าโล่งใจอีกด้วย

“ขอบคุณค่ะ! ฉันควรจะรู้ดีว่าสิ่งที่ไม่หมดจดงดงามน่ะ ทำให้ชีวิตยับเยินยังไงบ้าง แต่–” หล่อนเลื่อนมือมาตามขอบโต๊ะ และก็มิได้แตะมืออันเข้มแข็งของเพื่อนชาย กานดากลับเป็นหญิงขี้อายและขี้ขลาดคนเก่า “คุณตะวันไม่ใช่คนเลวหรอกค่ะ”

ยิ้มของเขาคล้ายกับอิ่มเอิบในคำเยินยอเหล่านั้นเขาต้องการปลอบโยนหญิงผู้ฝืนยิ้มด้วยนัยน์ตาเศร้าสยองยิ่งนัก ตะวันเอื้อมมือไปบีบมือเล็ก ๆ ที่ขอบโต๊ะเสียเอง

“เอาละ! ตกลง–ผมยอมรับว่าผมยังไม่เลวเหลือเกินนัก แต่คุณก็ยอมเป็นสิ่งบริสุทธิ์ดุจดอกไม้บูชาพระ วิชัยเคยพูดถึงคุณกับผมอย่างนี้นานแล้ว หรือไม่คุณก็คือแม่ชีวาสิฏฐีเท่านั้น–นี่ไง! ผมยังจำเรื่องดี ๆ ได้อยู่ พวกเราเคยอ่านเรื่องกามนิตด้วยกันทั้งสี่คน คุณถูกพวกเรายกเป็นวาสิฏฐีตามความคิดของวิชัย”

กานดาหน้าซีด

“โธ่–คุณตะวันคะ! วาสิฏฐีตายทั้งไม่ได้พบกามนิตในโลกอีกเลย!”

ตะวันจึงรู้สึกว่าเขาปลอบกานดาผิดไปถนัด เดี๋ยวนี้หญิงสาวนึกถึงนิยายที่เคยเป็นเรื่องเย้าหยอกอย่างสนุกในด้านความระทมทุกข์เหล่านั้น

เขารีบกลบเกลื่อนก็จริง แต่ในใจกลับขุ่นข้องคล้ายหล่อน กานดาปล่อยให้มือหล่อนอยู่ในมือเขาและเมื่อคิดถึงความหลังในด้านดีได้อีก หญิงสาวซึ่งมีความรักใหญ่ยิ่งอยู่เสมอก็มองสบตาตะวันอย่างเคลิบเคลิ้มครู่หนึ่ง

บังตาเปิดดังเอี้ยด คนทั้งคู่คิดว่าคนประจำโต๊ะเข้ามาจึงมิได้เปลี่ยนอิริยาบถทันที จนได้ยินเสียงกระแอมไออีกครั้ง

เขาพากันหันไปพบใบหน้าอันเคร่งเครียดของวิชัยกับหน้าอูมแดงของชายอ้วนเบื้องหลัง ซึ่งอมยิ้มอมแย้มอยู่เสมอ

“จริงไหมครับ! ผมจำเสียงผู้พันตะวันได้ดี? คุณกานดาน่ะเงียบ ติ๋มตามเคยนะครับ คุณวิชัยจำเสียงคุณไม่แม่น เพราะคงจะรีบกลับกรมก็ได้! ดีแต่พ่อเลี้ยงชื่นเคยรักพวกคุณมาก แล้วมีความจำแม่นยำอยู่เสมอ ลองโผล่เข้ามาดูก็ใช่จริง ๆ ประมงค์ท่านกลัวว่าไม่ใช่แล้วจะโดนด่ากินเปล่า”

วิชัยพยักหน้าขรึม ๆ กับผู้ที่นั่งอยู่ ตะวันปล่อยมือกานดาพร้อมกับวิชัยพูด

“ถึงจะพบผู้พันของพ่อเลี้ยง ก็มีอะไรรับประกันว่าจะไม่โดนด่าในฐานที่ยื่นคางเข้ามาในห้องของท่าน”

“เข้ามาเสียทั้งตัวปะไร” ตะวันหัวเราะ “เรายังกินไม่หมดชุด เก้าอี้ยังว่างอีกตัว–”

ตะวันหยุดกึกเพราะคิดขึ้นได้ว่า เก้าอี้อีกตัวนั้นเป็นของใคร เขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้เรื่องที่นัดจิตรีมากินข้าวกลางวัน แล้วบังเอิญมีเรื่องเผด็จกับเด่นแสงขัดคอครั้งนี้ด้วย กานดายิ่งมีความประหม่ามากยิ่งขึ้น

“คุณพี่ชัยมาทานด้วยกันอีกเถอะค่ะ”

“ขอโทษ! อิ่มเสียแล้ว จะรีบกลับกรม พ่อเลี้ยงจะไปเรอะยัง?”

วิชัยยกข้อมือดูนาฬิกาแทนดูหน้าตะวันหรือกานดา ดูเหมือนเขาจะลืมความสัมพันธ์เก่าแก่เกือบหมด ชื่นชิงนั่งลง

“เชิญประมงค์เถิดครับ! ผมขอคุยกับผู้พันสักหน่อยเรื่องนั้นผม–ผมจะส่งข่าวคุณอีกกรุณาเตรียม ๆ ไว้นะครับ เรื่องกำลังชักคะเย่ออยู่แล้ว!”

วิชัยปล่อยบังตาให้ปิดดังปัง โดยมิได้ตอบคำคาดคั้นของชื่น พ่อค้ายิ้มอย่างขอโทษเจ้าของโต๊ะ

“ตั้งแต่สงครามยังไม่เลิกเชียวนะครับที่ผมไม่ได้พบผู้พัน! เป็นไงครับไปเมืองนอกเมืองนา การเงินเขาคงไม่ชุลมุนเหมือนเรา”

ตะวันหาวให้เห็น และลงมือจัดการกับอาหารที่คนประจำโต๊ะนำมาเติมใหม่

“เหมือนกันทั่วโลกแหละครับ! แต่ผมไปอย่างตัวจิ๋ว ๆ ทางการทูตเท่านั้น ไม่ได้ไปอย่างนักการค้า อีกอย่างผมไปอยู่ประเดี๋ยวเดียว ไม่ทันสังเกตอะไร”

“เคราะห์ดีครับ! ถ้าปิดหูปิดตาได้เสียเลย คนเราก็เป็นสุขเสียได้ เดี๋ยวนี้อ้ายคนอย่างผมยังมีกิเลสหลายอย่างเห็นอะไรรู้อะไรอดเก็บเอามาคิดหมกมุ่นไม่ได้ ดูแต่เรื่องคุณประมงค์–”

“ทำไมคะ?”

“เคราะห์ร้ายเรื่อง–” แล้วพ่อค้าชื่นก็ทำอึกอักเอาไว้ทั้งที่ตะวันก็มองเห็นว่า เขาต้องการจะพูดเรื่องวิชัยเช่นเดียวกับกานดา “นั่นแหละคุณ! มันก็เรื่องยุ่ง ๆ อย่างว่า–เงิน!”

“งั้นผมควรลุกไปชั่วคราวกระมัง ถ้าคุณชื่นต้องการพูดโดยเฉพาะกับคุณกานดา ผมไม่เคยมีเงิน”

“มิได้ครับ ถ้าคุณกานดาอยากรู้เรื่องละเอียดเอาไว้คุยกับผมโดยเฉพาะทีหลังได้ ผมไม่ควรพูดถึงเรื่องคุณประมงค์เลย แต่เห็นคุณล้วนสนิทสนมกันทั้งนั้น ข้างคุณกานดาก็เป็นพี่น้องสนิท ผมจึงเปิดออกมาบ้าง เพราะเห็นว่าคุณประมงค์มีญาติมิตรมากมาย ไม่ควรจะอ้ำอึ้งเอาไว้คนเดียว”

“นั่นมันความคิดของคุณ” เสียงตะวันบอกว่าฉุน “วิชัยเขามีหัวคิดของเขาเหมือนกัน เขามีสิทธิ์จะอ้ำอึ้งเอาไว้! นั่นเลิกกินแล้วเรอะคุณดา?”

“เดี๋ยวค่ะ! เอ้อ–! อิ่มแล้วค่ะ คุณชื่นจะรีบไปไหนอีกคะ?”

ชื่นทำท่าจะอำลาเพราะรู้สึกตัวว่าพูดผิดกาละเทศะเมื่อได้ยินคำย้อนอย่างขุ่นเขียวของนายพันตรี แต่เขาสังเกตได้ว่าหญิงสาวสนใจถ้อยคำของตนมาก เขาจึงถอนใจและวางไพ่ตายต่อกานดอก

“ผมกำลังยุ่งสมอง! ยังไม่ไปไหนครับ ถ้าลาคุณก็จะขับรถเปื่อยไปคนเดียว”

“ดีซิคะ ขอยืมรถคุณชื่นไปส่งที่โรงเรียนหน่อยค่ะ คุณตะวันก็ควรกลับกระทรวงแล้ว–นี่ร่วมบ่ายโมง”

“ไม่ยอม” ตะวันเสียงเขียวทั้งยิ้ม ๆ อย่างสนุก “นึกเรอะว่าผมจะพาสุภาพสตรีมาทิ้งง่าย ๆ ผมจะส่งคุณเอง ยังมีเรื่องจะพูดเยอะแยะอยู่นะครับ”

“ไว้คุยวันหลังค่ะ วันนี้จะขนของจากโรงเรียนเสียบ้าง”

กานดาดื้อตอบ ตะวันรู้ว่าความเป็นห่วงอยากรู้เรื่องวิชัยจากพ่อค้าปากพล่อยผู้นี้เอง ทำให้กานดาเข้มแข็งขึ้นทันที แม้เรื่องของหล่อนเองก็ไม่ทำให้กานดาเดือดร้อนเท่ากับกิติศัพท์ไม่สู้ดีของชายที่รัก ซึ่งทอดทิ้งหล่อนโดยไม่มีเยื่อใยอยู่เลย

หลุมฝังศพแห่งความรักและความใคร่ของมนุษย์เปิดออก กานดาก้าวลงไปฝังตัวเองโดยไม่มีคนขับไสสักนิด นั่นคือ–เมื่อหล่อนหวนไปเป็นทุกข์ถึงวิชัยทั้งที่เขาไม่ได้หวนมาขอความเห็นอกเห็นใจจากหล่อนอีก

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ