๑๐
นางผิวกำลังตื่นเต้นเต็มที่ เพราะได้ข่าวแปลก ๆ ใหม่ ๆ มาอีก
เด็กหญิงผุดลงไปรายงานว่า คุณผู้หญิงตื่นเช้าเป็นครั้งแรก และออกไปนั่งโต๊ะกินข้าวพร้อมคุณผู้ชายเป็นครั้งแรกเลยทีเดียว!
ดังนั้นแม่ครัวคนเก่าแก่ผู้มีนิสัยสอดรู้เล็กน้อย จึงจะขึ้นไปเสนอหน้าและเก็บโต๊ะอาหารเช้าเองอีกด้วย
“วันนี้ต้องมีลาภพิเศษเสียแล้ว” หล่อนว่า “คุณนั่งโต๊ะพร้อมกันตั้งแต่เช้าเชียวนี่!”
แต่นางผิวต้องไปนั่งหลบอยู่ข้างนอกนั่นเอง เพราะคุณผู้ชายคุณผู้หญิงยังคุยกันอย่างเคร่งเครียด แม่ครัวจึงไม่กล้าโผล่เข้าไปให้เห็นตัวตามเคย เสียงคุยของนายนางผิวพึมพำพอได้ยินในระยะซึ่งค่อนข้างไกลกันสักหน่อย
จิตรีกับเผด็จนั่งคนละฟากโต๊ะตามเคย เขาเข้ามานั่งโต๊ะหลังหล่อนหลายนาที ถึงกระนั้นเผด็จก็มิได้แสดงความประหลาดใจจนนิดเดียวที่จิตรีตื่นเช้าเช่นนั้น
ดูเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก!
เขามองดูหล่อนเหมือนมองอาหารเช้าจานหนึ่งเท่านั้นน้อยกว่านั้นอีก–เพราะเขาไม่พยายามจัดการกับหล่อนเหมือนไข่ลวกหรือน้ำชา ความต้องการของเขาคืนนี้ผ่านไปเหมือนพายุยามดึก เมื่อสว่างแล้วก็ไม่มีร่องรอยเหลืออยู่
จิตรีจำไม่ได้ว่า ความต้องการของเผด็จเมื่อสองเดือนเศษซึ่งผ่านไปได้เคยทิ้งร่องรอยหรือเปล่า หล่อนไม่เคยสนใจจนนิดเดียว ถึงกระนั้นหล่อนยังรู้สึกเสมอว่า หล่อนได้รับความทะนุถนอมและความสนใจจากเขาอย่างอบอุ่นอีกด้วย หล่อนไม่เคยรู้สึกว้าเหว่และเยือกเย็นอย่างเดี๋ยวนี้
เขายังสุภาพพอที่จะยิ้มแย้มและช่วยส่งอาหารให้หล่อนหลายครั้ง เขาเป็นคนละคนกับชายเมาและหยาบคายเมื่อคืนนี้ ถึงกระนั้นเผด็จก็แตกต่างกันกับเผด็จคนเก่าเกือบทุกอย่าง
“เอ! เช้านี้ทำไมมืดชอบกล เมื่อได้ยินฟ้าร้องหลายครั้ง แต่ไม่ยักมีเมฆฝนตั้งเค้าขึ้นเลยมืดเหมือนหน้าหนาวนะคุณ” เขาส่งท้ายมาทางหล่อน
จิตรีไม่ตอบ แต่รู้สึกว้าเหว่และเยือกเย็นยิ่งขึ้น!
ถ้าเขาหยาบคายเหมือนคืนนี้ หรือเพียงแต่มึนตึงต่อไป หล่อนก็พอจะล่วงรู้อะไรบ้างและมีความเด็ดขาดยิ่งขึ้น ขณะนั้นจิตรีอยากรู้เหลือเกินว่า เขายังต้องการหล่อนหรือเปล่า และเขาจะมีความรู้สึกนับถือหล่อนสักนิดเดียวได้ไหม–เมื่อหล่อนยังเป็น ‘เมีย’ เหมือนกันในสายตาสังคมของเมืองไทย
จิตรีรู้สึกสงสัยสมองตัวเองอีกด้วยว่า ไฉนหล่อนจึงเพิ่งอยากรู้ความคิดของเผด็จดังนี้–ในเมื่อหล่อนเองได้ลิขิตโชคชาตาเองมาถึงบทอวสานเสียแล้ว
ความอยากรู้แล่นวูบขึ้นมา ในสมองเหมือนเปลวไฟ จิตรีมองจับตาเขาครู่หนึ่ง จึงถามเผด็จด้วยเสียงเปล่าเปลี่ยวไปว่า
“คุณ–คุณ จะให้คุณใหญ่–ให้พวกเราไหมคะ–เรื่องเมียคุณที่อังกฤษ?”
เผด็จขมวดคิ้วครู่หนึ่ง นัยน์ตาที่ยิ้มแย้มอยู่เมื่อกี้กลับเคร่งเครียดขึ้นอีก
“ตามใจ! แต่ไม่เห็นมีประโยชน์ยังไงนี่”
แล้วเขาก็หันไปหาอาหารบนโต๊ะตามเดิม จิตรียังจ้องดูเขาด้วยดวงตายาวเรียวและแห้งแล้งเหลือเกิน หล่อนมิได้กินอะไรเลยสักคำ
“ดิฉันขอ...”
“เดือนนี้ ผมจ่ายเงินพิเศษให้คุณได้เพียงเท่าที่ให้เมื่อคืนนี้เท่านั้น” เขาสอดเสียก่อน “เงินกำลังติดเต็มที่ ถ้าไม่ระวังก็แย่อยู่หน่อยการค้าค่อนข้างแกว่ง ต้องคลุกกันเรื่อย เรื่องหย่าของเราต้องใช้เงินมากเหมือนกันถึงได้บอกให้รออีกหน่อย ถ้าคุณขอไม่หยุดยังงี้ ผมก็ต้อง โอเวอร์ดรอว์ เดี๋ยวนี้”
“ดิฉัน–” จิตรีย้ำอยู่อีก “ดิฉันขอให้คุณปิดเรื่องเมียคุณไว้ก่อน อย่าให้ใครรู้เลยนะคะ ถ้ามีคนรู้เรื่องเมียคุณ–ดิฉันเห็นจะทนไม่ได้เดี๋ยวนี้ ขายหน้า!”
เผด็จมองดูหล่อนเหมือนไม่แน่ใจว่าได้ยินอย่างนั้น ในที่สุดเขาพูดอย่างรำคาญขึ้นว่า
“ก็บอกแล้วว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงเบส–เมียผมไม่สนใจว่าจะรู้เรื่องเขาแค่ไหนเพราะเขายังไม่คิดจะมาเมืองไทยเวลานี้ ที่ยุ่งยังงี้ก็เพราะคุณยุ่งไปเองต่างหาก ไม่เห็นได้ประโยชน์ยังไง”
“สำหรับดิฉันก็ไม่มีประโยชน์ยังไงแล้ว” หล่อนตอบ “แต่ถึงดิฉันจะเสเพลเพียงไร ดิฉันก็ยังเกี่ยวอยู่กับเกียรติยศของคนดีอื่น ๆ อีกหลายคน คุณใหญ่–แล้วก็คุณพี่ผดุงด้วยเหมือนกัน เรื่องขายหน้าของดิฉันก็ต้องกระเทือนถึงผู้ใหญ่อย่างแน่ ๆ ดิฉันนึกถึงเท่านี้หรอก”
เขามองดูหล่อนด้วยแววขบขันครู่หนึ่ง
“งั้นคุณก็เพิ่งนึกได้เดี๋ยวนี้กระมัง เพราะที่แล้ว ๆ มาอย่างเมื่อคืน–คุณก็นึกถึงแต่ตัวคุณกับ–ตะวันไม่เห็นนึกถึงผู้ใหญ่ยังงี้ คุณเร่งรัดจะให้ผมจัดการหย่าจนกลับตัวไม่ทันทีเดียว เรื่องเบสถึงได้แตกออกมา เมื่อคืนนี้คุณเห็นว่าตะวันออกจะเสียเปรียบไปแล้ว เลยคิดถึงคนอื่นอีกบ้าง คุณอยากจะปกปิดที่คุณกับตะวันเสียเปรียบไปต่างหาก ไม่อยากจะขายหน้าหนักขึ้นที่เขาหลงคอยมิสโนเนมแน่แล้ว คุณกลับไปหาเขาในฐานะผู้หญิงหย่าผัวย่อมมีเกียรติและโก้กว่าผู้หญิงยังงี้–ขอโทษ!–ผู้หญิงที่เป็นเมียน้อยใครคนหนึ่งเท่านั้นเอง ในฐานะผู้หญิงยังงี้–ถ้าเรื่องอื้ออึงออกไปจริง–สงสัยว่าถึงนายตะวันก็จะกลืนไม่ลงละมั้ง! ผู้ชายชอบกลนา–”
“ดิฉันไม่คิดจะไปอยู่กับผู้ชายคนไหนอีกนี่คะ” จิตรีรีบสอด “ดิฉันไม่อยู่แม้แต่กับคุณหรอกค่ะ! ผู้หญิงเดี่ยวนี้ไม่ถึงกับจะสิ้นปัญญายังงั้นหรอก”
เขาลุกขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มเยาะอยู่อีก
“อยู่ไปก่อนเถอะ–จนกว่าผมจะเบื่อคุณมากกว่านี้สักหน่อย จริง ๆ นาจิตรี! ถ้าคุณจะดูแลบ้านเรือนเล็กน้อย แล้วก็” เขาท้าหล่อนด้วยดวงตาคมของเขา “จำผู้ชายที่เข้าไปในห้องนอนคุณให้แม่นยำยิ่งกว่านี้แล้วก็บอกความต้องการกันซื่อ ๆ สักหน่อยเท่านั้น คุณก็คงอยู่กับผมเหมือนกับ–เอ้อ–เหมือนกับเมียไม่มีผิดผมคงแคร์คุณมาก”
จิตรีลุกขึ้นบ้าง หน้าหล่อนแดงแล้วกลับซีดแล้วกลับแดงอีก เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้งขณะที่หัวใจหล่อนเริ่มรัวดัง
“ขี้ปด!” หล่อนใช้คำรุนแรงแต่เสียงหล่อนอิดโอยเล็กน้อย “คุณไม่แคร์ว่าดิฉันตื่นเช้าเป็นวันแรกเลยสักนิด! คุณไม่–ไม่คิดจะจูบลาดิฉันเช้านี้ ทั้งที่ดิฉันมานั่งโต๊ะตามที่คุณเคยบ่นว่าดิฉันตื่นไม่ทันส่งสักเช้าเดียว–ดิฉันจะไม่ยอมอยู่กับคนขี้ปด!”
เผด็จหัวเราะลั่นห้องแต่ไม่รื่นเริงอะไรนัก เขาเดินเข้าไปชิดหล่อนแล้ว บอกด้วยเสียงขบขันขึ้นอีก “แต่ปากผมเป็นแผล แสบเสียด้วย–ดูซิ!”
นัยน์ตาเรียวชำเลืองปราดไปดู จิตรีจำได้เดี๋ยวนี้รอยขีดยาวอยู่บนปากเผด็จเกิดจากเหลี่ยมเพชรแหวนหมั้น เมื่อหล่อนฟาดปากเขาคืนนี้!
“คุณข่มเหงเราเหลือเกิน! ข่มเหงให้ทำทุกอย่างที่เราไม่ตั้งใจจะทำเลยคุณ–”
แต่จิตรีต้องยั้งคำพูดเพียงเท่านั้น หล่อนรู้สึกวาบหวิวขึ้นมาเหมือนเช้าก่อนและเมื่อคืนนั้นเอง แขนที่คว้าเก้าอี้ปัดมันล้มปังไปกับพื้น! แต่เผด็จคว้าหล่อนไว้ในวงแขนเขาได้
พอนางผิวพรวดพราดเข้าไปเป็นครั้งที่สองก็ทันเห็นจิตรีเริ่มอาเจียนจนหน้าเขียวโดยไม่มีอะไรเลยสักนิด
หล่อนถูกพาตัวกลีบไปนอนอาเจียนอยู่บนเตียงตามเดิม
“เป็นลมเรอะผิว?” เสียงเผด็จดังขึ้น “คุณของแกไม่ได้กินอะไรเลยเช้านี้”
“อุ๊ย! อิฉันว่า–” แม่ครัวทำเสียงกระซิบกระซาบสักหน่อย “ไม่ใช่ลมใช่แล้งหรอกเจ้าค่ะ คุณเจ้าขา! คุณผู้หญิงมีอาการเจ้าค่ะ”
“อาการ?” เผด็จขึ้นเสียงสักหน่อย
“คุณแพ้ท้องเจ้าค่ะ! คุณจะมีคุณหนูนะเจ้าคะ อิฉันว่าไม่ผิดหรอก–ถ้าคุณหมอมาตรวจ อุ๊ย! ท่านที่เรือนโน้นคงดีใจแย่เชียวค่ะ!
ภายในห้องเงียบกริบกันครู่หนึ่ง
“ไปบอกเจ้าบุญให้เอารถไปตามหมอมาซิ!” เผด็จสั่งเสียงแข็ง “ระยำ!”
แต่นางผิวพ้นไปแล้ว จิตรีอาเจียนพลางพูดพลาง
“อย่าด่าหน่อยเลย! –ฉัน–ฉัน–โอ้ก–ไม่ยอมให้–โอ้ก–ไม่ยอมให้ลูกฉันเกิดมาไม่มีนามสกุลกับฉันหรอก–เข็ดแล้ว!”
“ลูกคุณ!” เขาตวาด “ลูกคุณคนเดียวได้เรอะ? ลูกฉันด้วย!”
จิตรีตอบด้วยการอาเจียนจนตัวงอ เผด็จจึงรีบลูบหลังหล่อนและปลอบว่า “จิตรี! จิตรี!” เรื่อยไป
เมื่อหมอมาถึงจิตรีเกือบหลับอยู่ในวงแขนของเผด็จ
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าจิตรีเลย หล่อนไม่มีพันธะกับคนใดโดยแท้จริงจนนิดเดียว เผด็จอาจคิดขึ้นได้เดี๋ยวนี้ว่าหล่อนมีความเกี่ยวข้องกับเขาแล้ว เพราะทารกที่ปฏิสนธิในครรภ์ของหล่อนเป็นเชื้อไขของเขาด้วย
แต่จิตรีรู้ว่า ชีวิตใหม่นั้นเป็นเพียงผลกรรมที่เกิดจากการลิขิตอันโง่เขลาของหล่อนเอง มันจะเป็นพันธะสมรสอย่างไรได้ ในเมื่อมันเกิดมาโดยหล่อนไม่ปรารถนาหรือรู้ตัวแต่สักนิด อนึ่งเล่า หล่อนมิใช่แม่ของมันโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือศีลธรรมทุกอย่าง มันมิใช่ตัวแทนของความปรารถนาอาลัยร่วมกันระหว่างชายหญิงอย่างใดเลย
มันเกิดมาจากความใคร่ของชายกับหญิงอย่างเดียว เหตุใดมันจึงจะมีสิทธิผูกพันหล่อนกับเผด็จได้เล่า และมันไม่มีสิทธิจะเรียกร้องความสนใจจากหล่อนหรือเผด็จ เขามีเมียโดยถูกต้องตามกฎหมายมาแล้ว และเขาอาจจะมีลูกมาแล้วหลายคน เขาคงไม่ยอมคิดว่า เขาจะต้องสนใจใยดีกับเด็กที่พลัดผลูเกิดมาจากหญิงเสเพลผู้หนึ่ง–นอกจากเขาจำใจต้องทำเพื่อรักษาหน้าของเขาครั้งนี้ ในหมู่ญาติมิตรเมืองไทยเท่านั้น
หล่อนเกิดมาเป็นหญิงสาวสมัยปรมาณูนี่เอง หล่อนมีสมรรถภาพพอตัว เว้นแต่มิได้ใช้มันด้วยความเข้มแข็งของตนเองจึงได้รับความผิดหวังและความทุกข์ทรมานไม่หยุด ในคราวคับขันครั้งสุดท้าย หล่อนจะไม่มีมานะพอที่จะช่วยตัวเองอีกหรือ?
ผู้ที่เคยประมาทหล่อนมาแล้วหลายครั้งควรจะได้สำนึกครั้งนี้ว่า ถึงคราวจิตรีลุกขึ้นสู้จิตรีก็ไม่เคยแพ้ราบเลยทีเดียว
ครั้งหนึ่ง หล่อนเคยพยายามยึดเหนี่ยวความรักความหลัง จนกลายเป็นประหนึ่งชะนักสนิมในอก ชะนักนั้นทิ่มแทงหัวใจจิตรีร้าวสลายเลือดตกใน และเกิดความเจ็บปวดเป็นโมหะแห่งจิตจนหนาแน่น จิตหล่อนก็กระด้างหยิ่งผยองและเหี้ยมเกรียมเกินควร ครั้งนั้นหล่อนผ่านชายที่หล่อนรักมาสู่อ้อมแขนของชายที่หล่อนไม่มีสิทธิจะรักเลยสักหน่อย หล่อนจับเขาด้วยความเป็นหญิงอย่างเดียว และได้รู้ความจริงจากเขาว่าหล่อนเองได้ถูกจับจนตายราบ–จนไร้เกียรติก็เพราะหล่อนทะนงในความเป็นหญิงอย่างเดียว!
หล่อนเสียตะวัน และเสียเผด็จโดย ‘ความเป็นหญิง’ อย่างเดียวโดยแท้
เมื่อหล่อนสมรสกับเผด็จได้แล้ว เกียรติยศของหล่อนที่มืดมัวมานานก็ดูเหมือนแจ่มใสกลับคืนมาเหมือนเก่าเหมือนกับว่าเขาได้ช่วยถอนความรักความหลังที่แหลมเหลือหรือชะนักสนิมในอกออกไปด้วย
ครั้นแล้วแผลเก่าก็เปิดออก! จดหมายตะวันเรื่องเอลิซาเบ็ธ เบิร์น ดิเรกกุล กับการสมรสอันเป็นโมฆะของหล่อน เรียงหน้ากันเข้ามาโจมตีหล่อนราวกับพายุอย่างหนัก จิตรีล้มทั้งยืน!–ไม่เป็นสมบัติของใครสักคนเดียว ไม่มีอะไรติดตัวแต่สักอย่าง การลิขิตของหล่อนเป็นการกระเสือกกระสนที่เปล่าไปหมด!
เขาถอนชะนักสนิมในอกออกไปแล้ว และจิตรีนอนจมอยู่ในกองเลือดแห่งความอัปยศอย่างสาหัส และความที่ไม่มีอะไรติดตัวแต่สักอย่าง
หล่อนควรยินดีได้หรือในเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี่เองเขาพากันมาแสดงความยินดีด้วยหล่อนว่า หล่อนเป็นผู้มีพร้อมแล้วตามฐานะของลูกผู้หญิงอย่างหล่อน
ทารกหนึ่งได้มาปฏิสนธิในครรภ์ของจิตรี! แต่หล่อนจะช่วยเหลือมันมิให้ต้องทรมานเหมือนหล่อน เผด็จจะได้สำนึกในเร็ววันว่า เขาไม่ใช่ผู้คุมของหล่อน และเลือดในครรภ์ของผู้หญิงย่อมเป็นสมบัติของผู้หญิงคนเดียวโดยแท้–ถึงจะเป็นผู้หญิงที่ปราศจากอันใดในโลกอย่างหล่อนนี้
เมื่ออาการป่วยตอนเช้าผ่านไปแล้ว พร้อมกับคำแนะนำของนายแพทย์, ความสนใจจากเผด็จและคนในครอบครัวของหล่อน จิตรีก็กลับเป็นปรกติตามเดิมโดยทางกายแต่ทางใจจิตรีนั้นก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอีก
อากาศตอนค่ำยังมืดมัวเหมือนเก่า เมฆดำพยับโพยมอยู่เบื้องบน บางครั้งมีเสียงครืน ๆ คล้ายฟ้าร้องและมีแสงแปลบปลาบไปมา แต่ก็ไม่มีลมเลยสักหวิวก็ว่าได้ ฝนจึงไม่ตกแต่สักเม็ด ใต้เมฆดำที่ขึงเป็นม่านมืดคลุ้ม ดวงอาทิตย์เป็นสีแดงดุจก้อนเลือดและทำให้บรรยากาศเข้มข้นขึ้นด้วย ดูประหนึ่งว่าธรรมชาติกำลังปริเวทนาการแก่โลกถึงสิ่งซึ่งโลกได้สูญเสียสิ้นแล้ว
จิตรีรู้สึกเหมือนสัญญาณภัยของธรรมชาติเช่นนั้น ได้แสดงปริเวทนาการแก่หล่อนด้วย!
หล่อนเหลือบดูปฏิทินที่โต๊ะตัวหนึ่งในห้องรับแขก ปฏิทินบล็อกบนแท่นเงินแผ่นใหม่เอี่ยมซึ่งเด็กหญิงผุดผ่องพลิกไว้ บอกหล่อนถึง วัน, เดือน, ดังนี้
วันอาทิตย์ที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙
วันนี้เองเป็นหัวเลี้ยวสำคัญที่สุดตอนหนึ่งในชีวิตหล่อน เมื่อเช้าพอหล่อนได้สติเต็มที่แล้วจิตรีรีบโทรศัพท์บอกเลิกซื้อปากกาเอเวอชาร์ปชุดนั้น แต่ได้โทรศัพท์ติดต่อไปหาเพื่อนหล่อนที่สถานีมีชื่อสองแห่งนัดหมายเรื่องกิจธุระสำคัญของหล่อนเรียบร้อยแล้ว จึงกลับขึ้นเตียงตามเดิม
อาหารกลางวันผ่านไปแล้ว จิตรีจึงเรียกเด็กผุดเข้าไปใช้ในห้องนอนนานมาก เมื่อเด็กผุดโผล่จากห้องก็มีคำสั่งคุณผู้หญิงติดตัวออกไปด้วยดังนี้
“คุณท่านไม่ให้ใครเข้าไปกวนจ้ะแม่! คุณท่านให้คอยรับห่อของคนที่จะเอามาให้ในราวบ่ายสองโมง แล้วก็คุณท่านจะทานข้าวค่ำคนเดียวในห้องนอนนะจ๊ะ”
“เฮอ–!” นางผิวถอนใจใหญ่อย่างท้อแท้ “ที่จริงคุณก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอกนะ งั้นเอ็งไปคอยดูคนอยู่หน้าตึกซิ พอได้ของก็รีบเอาไปให้คุณท่านเทียวนะ”
เด็กหญิงผุดเก็บกวาดที่ถนนหน้าตึกมาเล่นหมากเก็บคอยห่อของคนเดียว พอไปถึง ‘กาเข้ารัง’ รอบสองหล่อนก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้าโรงเลยทีเดียว อีกครู่หนึ่งคุณผู้ชายจึงเดินมาที่หล่อน นั่งอยู่ด้วยอาการรีบร้อนเล็กน้อย
“คุณให้มาคอยรับห่อของใช่ไหม?”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“เอ้า นี่แน่ะ” เผด็จส่งห่อกระดาษสี่เหลี่ยมให้เด็กหญิงที่ยังตกตะลึงเล็กน้อย “เอาไปให้คุณเขาเถอะ แต่ไม่ต้องบอกว่า ข้ากลับมาแล้วหรอกนะ เงินค่าของเอ็งเอาไปให้ข้าข้างบน แล้วอย่าบอกคุณอีกเหมือนกัน เข้าใจไหมอย่าเหลวนะ–นังผุด!”
“เจ้าค่ะ!”
แล้วเด็กหญิงก็รีบกระวีกระวาดขึ้นบันไดโดยเร็ว อารามกลัวท่าทางคุณผู้ชายจนไม่กล้าเหลียวหลังเลยสักแวบ
ค่ำวันนี้จิตรีรู้ว่าจะไม่มีใครเข้าไปรบกวนหล่อนอีก เผด็จยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับบ้าน ตั้งแต่นี้ต่อไปเขาคงจะต้องแสวงหาความบันเทิงที่อื่น เมื่อคิดถึงข้อนี้ความรู้สึกของหล่อนมืดมัวหมดสิ้น เพราะหล่อนไม่อยู่ในสภาพที่จะบำเรอเขาได้ดังเก่า–หล่อนก็ไม่อาจอวดความเป็นหญิงแก่เผด็จได้อีก! ค่ำวันนี้ดูหล่อนช่างไม่มีประโยชน์สักอย่างเดียว! หล่อนไม่ได้เป็นสมบัติของใคร และไม่มีใครของหล่อนเลยสักคน นอกจากเจ้าสิ่งซึ่งหล่อนทำลายแล้วนั้น
จิตรียิ้มละห้อยให้กับมัน!
หล่อนเปิดหน้าต่างเต็มที่ แต่ไม่ยอมเปิดไฟที่กลางห้องหรือที่หัวเตียงตามเคย คืนนี้หล่อนไม่ต้องการแสงสว่างอื่นใด นอกจากแสงดาวดาษฟ้าที่กราดแสงสลัวเข้ามาเพียงเล็กน้อยในห้องกลิ่นแก้วและกลิ่นพิกุลกลางบ้านฟังขึ้นมาตามลมรื่นอยู่ เสียงวิทยุที่เรือนวิชัยดังแว่วมาเหมือนเคย หล่อนคุกเข่าลงข้างเตียง พนมมือแน่นและพยายามจะสวดส่งวิญญาณแก่สิ่งหนึ่งในสวรรค์ หล่อนคิดว่ามันคงจะขึ้นไปสิงอยู่บนดาวดวงหนึ่งในท้องฟ้า มันยังบริสุทธิ์เสียจริงๆ!
ใครคนหนึ่งสับสวิทช์ไฟดังแกร๊ก! ห้องนอนก็แจ่มกระจ่างจนจิตรีหลงไปว่า ดาวทั้งหลายร่วงลงมาในห้องนอนนั่นเอง หล่อนสะอื้นในอก ดาวน้อย ๆ หนึ่งน่าจะเป็นดวงวิญญาณที่หล่อนเพิ่งทำลายแล้วนั้น เพื่อไม่ให้ต้องทรมานเหมือนหล่อน
“เรียบร้อยแล้วเรอะ–จิตรี”
เสียงเผด็จดังขึ้นข้างหลังหล่อน ทำไมเขาจึงกลับแต่หัวค่ำคืนนี้? หล่อนหันไปดูโดยเร็ว เขาแต่งตัวอย่างอยู่กับบ้านแบบหล่อน และเขาเพ่งดูหล่อนด้วยสายตาของผู้คุมคนหนึ่ง
“เรียบร้อย–อะไรคะ?”
“คุณได้รับห่อยาผสมที่เพื่อนคุณ–หมอนิพนธ์ฝากผมมาให้คุณแล้วเรอะ เขาโทรศัพท์บ่นไปกับผมว่าไม่รู้ว่าคุณจะต้องการมาทำไม เพราะถ้ากินเกินส่วนแล้วคนมีครรภ์ถึงกับแท้งทีเดียว แต่เขาไว้ใจว่าคุณคงใช้เป็น เพราะคุณก็เป็นนักวิทยาศาสตร์เสียด้วย! คุณเอามาทำไม?”
จิตรีลุกขึ้นนั่งบนขอบเตียงตามสบาย และมองดูเผด็จด้วยสายตาอิดโรยเล็กน้อย
“อ้อ! คุณรับมาเองเรอะคะ–ดิฉันเอามากินเมื่อกี้–เรียบร้อยแล้วค่ะ”
เขานั่งลงบนม้าหน้าเตียงตรงหน้าหล่อน แล้วถามเสียงขุ่น ๆ ขึ้นอีก
“คุณทำตามที่คุณขู่ผมเมื่อเช้าเรอะ–เรื่องลูกเราน่ะคุณจะลงมือลิขิตโชคชาตามันตั้งแต่เดี๋ยวนี้เรอะ?”
จิตรีตอบเสียงวิเวกว่าดังนี้
“ดิฉันทำตามสิทธิของผู้หญิงอย่างดิฉัน–ผู้หญิงที่ไม่มีนามสกุลกับใคร! ดิฉันทำเพียงว่าอีกไม่กี่วันเจ้าก้อนเลือดในท้องดิฉันก็จะไม่เป็นตัวตนต่อไปแล้ว ถ้าดิฉันป่วยไปละก็โปรดส่งดิฉันไปที่สถาน...นะคะ ดิฉันตกลงกับเขาไว้แล้วด้วยเงินที่ตั้งใจจะซื้อเอเวอชาร์ปชุดนั้น”
เผด็จหน้าแดงเข้มครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็หัวเราะลั่นขึ้น–เหี้ยมเกรียมและแห้งแล้งเหลือเกิน
“คุณน่ะมีแต่เย่อหยิ่งอย่างเดียว ไม่ได้คิดถึงเด็กหรือคิดถึงใคร ๆ ในโลกเลยสักคน คุณฆ่าเด็กก็เพราะคุณจะเอาชนะใครสักคนหนึ่งให้ได้เดี๋ยวนี้เท่านั้นเอง ในเมื่อคุณแพ้เขายับย่อยอย่างนี้แล้ว จิตรี! คุณหาทางเอาชนะกับทารกที่ยังไม่เดียงสาสักนิด–น่าสงสาร!”
“ไม่จริง! ดิฉันไม่ต้องการให้มันเกิดมาทรมานเหมือนดิฉันต่างหาก”
“คุณรู้ได้ยังไงว่า มันจะต้องทรมานเหมือนคุณ?” เขาย้อน “มันอาจจะไม่เหมือนคุณ”
จิตรีจนแก่ถ้อยคำเขาครู่หนึ่ง แต่แล้วหล่อนก็ว่า
“ถึงยังไงมันก็เป็นลูกดิฉัน ถ้าปล่อยให้เติบโตต่อไปประวัติของแม่มันจะไม่ทำให้มันรู้จักคิดมั่งเชียวเรอะ แล้วก็–พ่อมันมีลูกเมียมาก ดิฉันไม่ยอมให้คุณมาจัดการกับลูกดิฉันอย่างที่คุณเคยยุ่งอยู่เสมอ”
“นั่นไหมล่ะ!” เผด็จว่า “คุณคิดจะเอาชนะเท่านั้นเอง นี่ถ้าผมไม่ตกลงกับนิพนธ์ให้เปลี่ยนยาเสียใหม่ ก็แย่อยู่หน่อย”
“อะไรนะคะ!” จิตรีร้องขึ้น “คุณเปลี่ยนยายังไงกัน?”
เผด็จลุกขึ้นไปนั่งข้างหล่อน แล้วจึงตอบ
“ใครจะปล่อยให้ลูกตายทั้งคน ผมบอกความจริงกับเพื่อนคุณ เขาเลยผสมอะไรมาให้ก็ไม่รู้ ต่อให้คุณกินเกือบปีบก็ไม่ได้ประโยชน์ยังไงหรอก คุณเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เซ่อเสียแล้ว จิตรี! ทั้งเซ่อทั้งตาขาวด้วยนา!”
หล่อนนั่งตัวแข็งครู่หนึ่ง ในที่สุดหล่อนเย้ยเผด็จดังนี้
“คุณแคร์เขาเรอะ–แคร์ผู้หญิงยังงี้เรอะ?”
เผด็จก้มลงจูบไหล่จิตรีแล้วว่า
“เปล่า! แคร์ลูกหรอกน่ะ! อีกหน่อยเมียมาตาม ผมไม่รู้จะเอาคุณไปไว้ที่ไหนน่ะซิ!”
อีกหน่อยเมียมาตาม! และเขาคิดไม่ออกว่าเขาจะจัดการกับหล่อนอย่างไรดี เมื่อเขาต้องการหล่อนเขามิได้ใคร่ครวญถึงปัญหาสำคัญข้อนี้ เมียเขา! เมียของเขา! ผู้ชายชอบกลมาก! ผู้ชายชอบขมวดปมและปล่อยให้หญิงหาวิธีแก้เกือบตายตามลำพัง การแก้ปมของผู้ชายเช่นนี้ ไม่สู้จะเป็นปัญหาแก่หญิงที่เป็นเมียมากนัก แต่เป็นความขื่นขมของหญิงหลังฉากเช่นหล่อน จิตรีเพิ่งรู้สึกตัวตอนนี้เอง หล่อนไม่เคยตั้งใจจะแก้ความยุ่งยากอย่างนี้–ขณะที่หล่อนจนมุมหมดแล้ว! หล่อนไม่ได้รับการอบรมมาเป็นผู้หญิงอย่างนี้เลย
จิตรีลุกจากเตียงเต็มแรง และถลาไปที่ทิ้งหัวนอนนั้นอีก เมื่อหล่อนหันกลับมา มือขวาของหล่อนกำปืนพกกระชับมั่น!
“แคร์ลูกเรอะคะ? คุณจะไม่มีวันได้เห็นหน้ามันหรอก! สำหรับผู้หญิงอย่างจิตรีจะไม่คอยให้คุณเก็บซุกซ่อนหรือขว้างทิ้งเหมือนสิ่งของข้างถนน!”
ปืนกระบอกนั้นได้มีโอกาสยกถึงขมับขวาของหล่อนหรือไม่ จิตรีจำได้โดยถ่องแท้ทีเดียว เพราะเผด็จโดดเข้ามาเหมือนพยัคฆ์ร้าย และยึดข้อมือหล่อนโดยแรง เมื่อเขากระชากเอาปืนไปแล้ว เขายังใช้มือขวาของเขาขยุ้มผมเหนือหน้าผากหล่อนไว้ แล้วเขย่าหล่อนไปมาเหมือนสิ่งของข้างถนน!
จิตรีคุกเข่าลงกับพื้น ในใจครวญครางขึ้นว่า “พี่ชัยขา! พี่ชัยขา!” เพราะหล่อนหวนคิดถึงคำของพี่ชายซึ่งเคยเอ็ดตะโรลั่นว่าอยากให้สามีตีหล่อน ‘ตายโหง ตายห่า’ ให้ได้ เมื่อหล่อนยั่วเขาครั้งหนึ่งนานแล้ว ต่อหน้ากานดาด้วยอีกคน
แต่จิตรีไม่กล้ำร่ำร้องเลยสักคำ หญิงสาวยกมือทั้งสองขึ้นเหนี่ยวแขนของเผด็จ กระทั่งเขาเหวี่ยงหล่อนลงไปฟุบอยู่บนเตียงตามเดิม!
นัยน์ตาคมของเขาเป็นประกายแปลบปลาบไปมา ไม่มีต้องการ ไม่มีรื่นเริง และไม่มีเยื่อใยอยู่เลย จิตรีร้องขึ้นในคอค่อย ๆ
“คุณคะ! ขอโทษ! อย่าตี...อย่าตีฉัน!”
“กลัวตี!” เขาหัวเราะในคอขึ้นบ้าง “งั้นก็ไม่อยากตายจริงจังละซิ...ผู้หญิงอย่างนี้น่ะเรอะอยากตายจริง นอกจากหุนหันขึ้นมาไม่ทันคิด ถ้าเจ็บจัง ๆ เสียบ้าง...ก็คงไม่อยากตายง่าย ๆ ยังงี้หรอกหรือว่า...”
ทันใดนั้นวิทยุบ้านวิชัยก็ดังอ้าวออกมาว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลได้เสด็จสวรรคตเสียแล้ว!”
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลได้เสด็จสวรรคตเสียแล้ว” ดังแหวกอากาศอันมืดมนออกมาสู่ประสาทที่มิได้เตรียมรับเหตุการณ์อันยอกแสยงอย่างนั้น มีอุปมาเหมือนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงท่าม กลางคนไทยทั้งประเทศ–ขณะที่อากาศกำลังแจ่มใสสุดขีด!
จิตรีลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียงตัวสั่น เผด็จนิ่งฟังจนเสียงแถลงจบลงในเวลาเล็กน้อยนั้นแล้ว เขาจึงหันมาดูหญิงซึ่งนั่งหน้าซีดอยู่บนเตียงตามเดิม
“จิตรี” เสียงของเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก “ถ้าคุณขืนจะฆ่าตัวตายต่อไปอีก ก็ขอให้พ้นปีนี้หน่อยเถอะ ผมอยากจะเศร้าโศกให้คนที่เราควรเศร้าโศกสักหน่อย ไม่อยากให้ใครคิดว่า ผมไว้ทุกข์ถึงคุณ”
จิตรีเริ่มคิดถึงคนอื่น ๆ นอกจากตัวเมื่อตอบว่า
“คุณคะ ดิฉันมีอะไรดีนักเชียว ถึงจะต้องคิดฆ่าตัวตายต่อไปอีก ตายแล้วก็คงจะไม่มีคนอยากไว้ทุกข์ถึงดิฉัน ไม่มีใครคิดถึง ไหน ๆ จะต้องตาย ต้องมีคนรักคนเสียดายด้วยซิ โธ่! น่าเสียดายพระองค์ท่านแท้ ๆ! ยังกะเทพบุตร! ทำไมผู้หญิงเลว ๆ อย่างดิฉันถึงได้อายุยืนยังงี้!”
หล่อนเองมีอายุเท่า ‘เทพบุตร’ ซึ่งด่วนเสด็จสู่ทิพยพิมานเมื่อเช้า!
เผด็จค่อย ๆ เดินกลับมานั่งลงข้างจิตรี ยกแขนโอบไหล่หล่อนและพูดด้วยเสียงเครือขึ้นบ้าง
“เห็นจะเป็นเพราะผู้ชายเลว ๆ เหลืออีกเยอะ”
ฉะนั้น ในความทุกข์และความมืดมน ซึ่งย่อมมีแก่มนุษย์โลก จิตรียังแลเห็นดวงดาวดาษฟ้าภายในวงแขนของเผด็จดังนี้
----------------------------