(๑๐)
ตะวันนั่งง่วงอยู่ในรถคนเดียว ทุกครั้งที่กานดาลงไปทำธุระกับชื่นตามที่นัดหมายสองสามแห่ง แต่ละแห่งล้วนแต่เป็นเรื่องแห่งการค้าคนต่างชาติ ตะวันจึงไม่ปล่อยกานดาไว้ลำพัง แม้ชื่นมีท่าทางไม่พอใจที่ตะวันติดตามมาด้วย กานดาคงจะขอร้องให้ตะวันกลับไปก่อน ถ้าเขาไม่ยืนยันที่จะพาหล่อนกลับไปส่งบ้านไร่อีก
“ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะกลับไปเป็นแขกของใคร เมื่อเกิดมีเรื่องยุ่ง ๆ อย่างนั้นแล้ว” เขาบ่นกับกานดา “แต่ยังไงผมก็ต้องกลับไปลาสองคนนั่นเสียก่อน ถึงผมจะต้องหิ้วกระเป๋ากลับไปบ้านของตัวหรือออกไปเที่ยวยิงนกตกปลานอกกรุงเทพฯ สักพัก ผมออกจะสติลอยแล้วนะ”
กานดาปลุกเขาลงเรือจ้างตั้งแต่ตีสี่เศษ ๆ
“อาเผด็จกับคุณจิตรียังนอนไม่ไหวติงทั้งคู่ ฉันสั่งเด็กลิ้นจี่กับยายจันไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณตะวันอย่าเพิ่งเอากระเป๋าไปด้วย”
กานดาไม่เปิดโอกาสให้ตะวันพูดกับหล่อนถึงเรื่องจิตรีเลย ตะวันเชื่อถ้อยคำของเผด็จว่าเขาเป็นแขกของคนทั้งสอง แต่เขาไม่พอใจจิตรีที่ยังฉุนเฉียวและพาลว่ากล่าวกานดาด้วยเรื่องหยุมหยิมอย่างเด็ก จริงอยู่! เขาหาโอกาสจะทำความเข้าใจกับจิตรีเรื่องเก่า ๆ แต่เมื่อกานดาเตือนเขาด้วยการกระทำและวาจา จนหล่อนเองถูกญาติมิตรมองไปในแง่ร้าย ตะวันก็สำนึกว่าเขาจะทำให้ชีวิตตัวเอง จิตรีและอีกหลายต่อหลายคนต้องยุ่งเหยิงยิ่งขึ้น ถ้าเขายังคิดจะทำตามความรักและความคั่งแค้นของหนุ่มสาว
เขาต้องคืนเงินสองหมื่นแก่จิตรีเงียบ ๆ เหมือนว่าเขาได้กู้ยืมหล่อนไปตามธรรมดา จิตรีมิได้ทำตามที่เขาขอร้องเรื่องเงินจำนวนนั้น หล่อนแต่งงานกับเผด็จ แทนที่จะเข้าไปขอความช่วยเหลือมารดาของเขา จิตรีไม่ต้องการความรักที่มีความจนและความยุ่งเหยิงอย่างนั้น แต่ตะวันก็รักหล่อน–ยังรักและอาลัยเหลือเกิน เขาเกือบสาบานได้ว่าจิตรีก็รักเขาและยอมเสียสละมิใช่น้อย ถึงกระนั้นทั้งจิตรีและตัวเขา ไม่เคยรอบคอบหรือเสียสละอย่างทุ่มเททั้งหมด เขาก็เหมือนจิตรีเรื่องชอบปล่อยให้คนอื่นช่วยแบ่งเบาภาระของตัวด้วยอารมณ์เบาบางแบบเด็กรุ่น ความรักของเขากับจิตรีจึงเปราะเกินไปสำหรับเผชิญอุปสรรคอันเข้มข้นของโลก เขากับหล่อนรักกันจริง แต่มันเป็นความรักบอบบางแบบเด็กรุ่น กาลเวลาและความเป็นจริงได้เปลี่ยนภาวะของตะวันและจิตรีจากสภาพบอบบางแบบนั้น แล้วหล่อนเป็นเมียและเป็นแม่ เมื่อผัวของหล่อน ยู่ใกล้ จิตรีก็กลับเป็นเมียผู้เต็มใจจะอยู่แต่ในการควบคุมของผัว เขาคิดได้ว่าเขาไม่พอใจจิตรี เมื่อหล่อนแสดงความอิจฉาหยุมหยิมอย่างเด็กสาว ก็เพราะสภาพแท้จริงของหล่อนและเขาเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วนั่นเอง เขาอาจสะอิดสะเอียนตัวเองถ้าขืนกระทำเหมือนหนุ่มคะนองรักและคุมแค้นคนเก่า!
กาลเวลาไม่ใช่ของที่อาจหน่วงเหนี่ยวนั่นเอง! ตะวันคิด ขณะที่ความสำนึกค่อย ๆ แหวกวงล้อมออกมา ความขื่นขมครั้งอดีต ดูตัวเราเถอะ! เมื่อเราคล้ายกับติดปีกไปนอก ตำแหน่งและชื่อเสียงทำท่าจะข้ามขั้นอย่างรวดเร็ว แล้วเหตุการณ์ก็เปลี่ยนปุบปับไปอีก เราต้องกลับมาอยู่ในฐานะมืดมัวมากขึ้น ครั้งหนึ่งเราปล่อยโอกาสดี ๆ ไปแล้วเราก็ไม่อาจพบได้ง่าย ๆ เสมอไป เป็นความผิดของเราเอง–ทั้งเรื่องการงานและเรื่องรัก เราต้องรู้จักเวลาได้เวลาเสียสักหน่อย หญิงตัวนิดเดียวอย่างกานดาดูเหมือนจะเสียแล้วเสียเล่าหลายอย่าง แต่เขาก็ยังเยือกเย็นอยู่ได้ เพราะรู้จักได้รู้จักเสีย
“คุณดา!” ตะวันบอกหล่อนภายหลังที่นั่งไปในเรือเงียบ ๆ ในตอนเช้า และพูดกันแต่เรื่องอื่นเพียงเล็กน้อย “เดี๋ยวนี้ผมเห็นแล้วว่าผมแก่เกินไปที่จะทำเรื่องยุ่ง ๆ อย่างเด็ก คุณดารู้ได้ยังไงว่า คนเราไม่ถึงกับต้องตายหรือเสียผู้เสียคนครั้งเดียวในชีวิต ถ้าเขาต้องเสียความรักยิ่งยวดอย่างผม คุณรู้ได้ยังไงว่าคนเราเกิดรักและตายยอกย้อนอยู่หลายครั้งในชาติเดี๋ยวนี้?
แจวพุ้ยน้ำเป็นพรายขาวข้างท้ายเรือ ทางทิศตะวันออกมีแสงสีส้มซ่านขึ้นแล้วค่อย ๆ แปรเป็นสีแดง สีม่วงแก่ก่อนจะถูกปกคลุมด้วยสีทองทั่วไป พื้นน้ำราบเรียบกลายเป็นละลอกและพรายขาว ๆ ครู่หนึ่ง–กลับไปกลับมาเหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมปรวนแปรภายในขอบเขตของโลก ตะวันแลเห็นสิ่งเหล่านี้ ด้วยความสำนึกของกานดาซึ่งนั่งเพ่งดูปรากฏการณ์ของธรรมชาติด้วยอาการเคลิบเคลิ้มคนเดียว กานดาหันมาตอบคำถามตะวันตามความครุ่นคิดของหล่อน
“ฉันไม่รู้หรอกค่ะ! ฉันรู้แต่ว่าฉันรัก–ฉันรักกระทั่งพรายน้ำขาว ๆ กับแสงเงินแสงทองที่ขอบฟ้า บางทีฉันก็รักกระทั่งน้ำสีโคลนของเมืองเรา ฉันมีชีวิตท่ามกลางสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ ถ้าฉันตายก็คงถูกฝังถูกเผาให้จมอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ฉันรักเหล่านี้เอง การอยู่การตายของฉันจึงไม่น่าจะมีอะไรแตกต่างกันมากนัก คืนนี้จึงพูดได้ว่า ฉันตายไปกับแสงเงินแสงทองและพรายน้ำที่แจวหรือที่หัวเรือทำให้เกิดขึ้น แต่ฉันก็เกิดใหม่กับแสงขมุกขมัวและพื้นน้ำราบเรียบเยือกเย็นตอนค่ำ เกิดตายวนเวียนอยู่วันหนึ่ง ๆ ไม่รู้กี่ครั้งกับสิ่งซึ่งจิตใจฉันยึดมั่นและปรวนแปรด้วย”
“คุณดา!”
เสียงท้วงของตะวันทำให้หญิงสาวหยุดพูดและยิ้มอย่างประหม่าเหมือนเก่า
“ขอโทษค่ะ! คุณตะวันคงไม่เข้าใจ แต่ฉันไม่รู้เรื่องความรักหรือความตายมากกว่านี้”
“นั่นแปลว่า–” ตะวันชวนพูดให้เป็นเรื่องขบขันขึ้นเสีย “วาสิฏฐี กานดามีแต่ความรักรอบตัว หรือมิฉะนั้นก็ไร้รักเลยทีเดียว”
กานดายอมรับความคิดเห็นของเพื่อนชายด้วยแววตาสนเท่ห์และอ่อนโยนอย่างเก่า
แม้แต่ขณะนี้ที่เขานั่งคอยหล่อนกับชื่นอยู่ในรถคนเดียว ตะวันก็เกือบจะเชื่อตามคำพูดคำชวนขันของตนเอง กานดาอาจตายหรือเป็นอยู่ สุขหรือแสนเข็ญก็เพราะหล่อนไร้รักหรือมีความรักใหญ่ยิ่งอย่างประหลาด
ขณะนี้หล่อนเดินกลับมาที่รถกับเพื่อนพ่อค้าคนนั้น หน้าหญิงสาวค่อนข้างซีดแต่ไม่มีร่องรอยห่วงใยอย่างเก่า
“เกือบเที่ยงแล้ว! เราจะไปพบพี่ชัยที่ร้านขายอาหารใกล้กรมประมง เมื่อยไหมคะ–คอยเสียนาน”
ตะวันสั่นศีรษะยิ้ม ๆ
“ง่วงมากกว่าเมื่อย มาซิคุณชื่น ถ้าคุณจะไปประมงเหมือนกัน”
พ่อค้ารีบปฏิเสธด้วยเสียงร้อนรนเหลือเกิน
“ผมต้องกราบลาผู้พันตรงนี้ นัดเพื่อนไว้ว่าจะถึงท่าเรือเที่ยงตรงเป็นอย่างช้า ช่วยเรียนคุณประมงว่าผมจำเป็นรีบไป เพราะก็เห็นว่าเรื่องที่เกี่ยวกับท่านเรียบร้อยโดยวิธีดีที่สุดแล้ว ลาละครับคุณกานดา!”
ชื่นรีบผละออกไปจากรถและหายไปในหมู่คนสัญจรไปมาอย่างยัดเยียดอยู่นั้น
“นายนี่ชอบกล”
ตะวันเปรย แต่กานดาดูเหมือนตั้งใจจะนั่งนิ่ง ๆ กับความครุ่นคิดของหล่อน รถตะวันไปถึงร้านขายอาหารเล็ก ๆ ริมแม่น้ำหลังเที่ยงเล็กน้อย หน้าร้านมีคนไม่กี่คน วิชัยกวาดสายตาคล้ายคอยใครคนหนึ่งอยู่อย่างกังวล เมื่อเห็นกานดากับตะวันตรงเข้าไป เขาก็มีสีหน้าฉงนจนกานดาบอกด้วยเสียงขลาด ๆ ขึ้นก่อน
“คุณชื่นให้น้องมาพบคุณพี่แทนเขา”
“คุณน่ะเรอะ!”
กานดานิ่งเมื่อได้ยินคำย้อนอย่างขู่ วิชัยหน้าแดงก่ำและลมหายใจของเขากลั้วกลิ่นเหล้าเล็กน้อย
“นายด้วยเรอะ?”
เขาหันไปตะคอกสหายเก่า ตะวันหัวเราะตอบ
“ผมเป็นเพียงสารถีเท่านั้นหรอก แต่ถ้าคุณจะให้เหล้าให้ข้าวกินก็ได้ กินเสร็จแล้วจะรีบออกมาอยู่โยงอย่างเก่า คุณกานดากับคุณมีธุระอะไรก็เชิญพูดกันลำพัง ผมไม่ขัดขวาง”
อารมณ์ขันของนายทหารกลับทำให้วิชัยถือเป็นเรื่องคุมเชิงและเยาะเย้ยยิ่งขึ้น เขาหันเข้าไปในร้านอย่างฉุน ๆ
“เชิญ! มีทั้งเหล้าทั้งข้าวข้างบน ผมสั่งให้จัดไว้เฉพาะ–พวกผม”
แม้จะไม่มีลูกค้าอื่นเลย วิชัยกับกานดาก็ปล่อยให้ตะวันกินข้าวและคุยคนเดียว ฉะนั้นในเวลาเล็กน้อยตะวันก็ต้องอิ่มและลุกขึ้น แต่เขายังพูดด้วยอารมณ์เย็นอย่างเก่า
“ผมจะไปคอยข้างล่าง อิ่มแล้วยังงี้คอยเท่าไหร่เท่ากัน”
“นั่งลง!” วิชัยบอก “เมื่อคุณยื่นคอเข้ามาเองก็ควรรู้เห็นให้ตลอด”
“แล้วแต่คุณดาไม่ดีเรอะ? ข้างผมเองก็ไม่อยากรู้เรื่องหรอกน่ะ”
ตะวันหันไปดูหน้ากานดา ซึ่งนั่งตาตกและไม่มีสุ้มเสียงสักนิด
“นั่งลงเถอะ” วิชัยพูดเกือบเป็นตวาด “เรื่องของผม–คุณต้องขออนุญาตกานดาด้วยเรอะ?”
ตะวันนั่งลง
“ถ้าคุณขอร้องให้ผมอยู่ฟังเพื่อประโยชน์ของคุณ–” เขาไกล่เกลี่ย “ผมก็ย่อมสงเคราะห์คุณได้! แต่คุณดาไม่เคยพยายามเป็นผู้ควบคุมของผม”
วิชัยมองดูกานดาอย่างรู้เท่าทัน
“หรือนัยหนึ่ง–” เสียงย้อนของวิชัยมีกังวานเยาะเย้ยอยู่ด้วย “กานดาไม่สามารถจะควบคุมคุณได้ทันที ถึงได้หันมาเห็นหัวคนอย่างผมอีกบ้าง บอกมาซิ! ทำไมกานดาจึงต้องมาแทนนายชื่น?”
“คุณพี่ชัยคะ! ขอให้เราพูดกันลำพัง”
“พูดซิ!” วิชัยสั่งเสียงเขียว “ผมขอให้คุณตะวันอยู่ฟังพร้อมคุณให้ตลอด เมื่อคุณให้เขาควบคุมมาที่นี่เหมือนกับที่ไปทุกหนทุกแห่ง”
ตะวันลุกขึ้น
“ขอโทษนะครับคุณดา! ผมขอลงไปข้างล่างก่อนที่ต้องชกปากที่ชอบพูดบ้า ๆ แบบนี้”
“นั่งลง!” วิชัยลุกพรวดพราดขึ้นบ้าง “ถ้าคุณขืนลงไปก็ แปลว่าคุณจะลงไปหาคนอื่นให้ช่วยงั้นซิก่อนจะเล่นหมัดมวยเหมือนนักเลง”
กานดาดึงแขนตะวันให้นั่งลงและบอกวิชัยด้วยอาการพรั่นพรึงเพิ่มขึ้น
“คุณชื่นต้อง–ต้องเดินทางด่วนค่ะ เขาบอกน้องว่า นัดคุณพี่แล้วแต่รู้ทางโทรศัพท์จากคุณพี่เมื่อเช้าว่า–ว่าเงินทางบ้านเทเวศร์ยังจะต้องยืดเยื้ออยู่อีก อาจไม่ทันธุระคุณชื่น เพราะเรื่องรีบร้อนเหลือเกิน แล้วก็–” กานดาดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าถือวางให้วิชัยบนโต๊ะเป็นคอลัมน์หนึ่งในหน้าหนังสือพิมพ์เช้าวันนั้นเอง “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ตามข่าวคอลัมน์ที่บังคับให้คุณชื่นต้อง–ออกจากไทย–ต้องหลบเสียชั่วคราวเพื่อให้เรื่องขาดตอนไปจากคนที่ไม่รู้เรื่องอย่างคุณพี่กับคุณสลับ เขาต้องใช้เงินทันทีถึงได้คอยอีกไม่ได้ เดี๋ยวนี้คุณชื่นก็ได้เงินและเดินทางไปแล้วค่ะ คุณพี่บอกคุณนาย นายอำเภอ–คุณสลับได้ว่าเรื่องจะไม่พัวพันถึงเธอหรือคุณพี่แล้ว เพราะหลักฐานก็หมดไปพร้อมกับที่คุณชื่นไปเสีย เขาไม่กล้ามาพบคุณพี่เอง เพราะกลัว–แล้วก็ไม่มีเวลาอีกเลยค่ะ”
วิชัยนั่งฟังกานดาเหมือนคนกำลังฝันยุ่งเหยิงอย่างประหลาด หล่อนพูดตามคำสั่งเขาแล้วก็นิ่งเงียบงัน วิชัยอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ที่ถูกตัดมาแล้วก็ส่งให้ตะวันดูพร้อมกับถามห้วน ๆ
“คุณเห็นข่าวแล้วเรอะ–แล้วคุณรู้เรื่องอะไรของคุณชื่นอีกบ้าง”
ข่าวชิ้นเล็ก ๆ แต่สำคัญนั้นระบุชื่อบุคคลซึ่งทางการจะนำตัวไปควบคุมสอบสวนกรณีค้าข้าวด้วยทุจริตซึ่งเป็นข่าวใหญ่ส่งท้ายปีนั้น มีการคาดหวังกันว่าบุคคลที่ถูกเชิญตัวไปควบคุมบ้างแล้วและที่ยังตามตัวไม่พบเหล่านี้ จะเป็นกุญแจสำคัญเปิดเผยรายชื่อผู้ร่วมทุจริตและเรื่องที่ยังผะอืดผะอมอีกมาก มีชื่อนายชื่นอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
ตะวันเข้าใจเรื่องทันที ถ้าชื่นถูกจับตัวและเขาแสดงใบกู้เงินของนางสลับซึ่งมีชื่อวิชัยค้ำประกันแก่ทางการสืบสวนเพื่อช่วยเขาเมื่อใด ก็แปลว่าเมื่อนั้นแหละเป็นเวลาหายนะของความเป็นอยู่และชื่อเสียงของวิชัยพร้อมกับเมียนายอำเภอตลอดถึงตัวนายอำเภอผู้นั้นด้วย กานดาบอกแต่เพียงว่าชื่นได้เงินจำนวนนั้นหนีไป เรื่องร้ายก็ควรสิ้นสุดเสียที–ถ้าเขาจะมีหลักฐานที่แสดงว่าชื่นจะไม่เอาใบกู้ไปหากินอีก หรือชื่นได้เงินสี่หมื่นทันความต้องการได้อย่างไร
“ผมเพิ่งเห็นข่าวที่นี่” ตะวันตอบคำถามขุ่นเขียวของวิชัย “คุณชื่นพบผมคราวนี้ในรถ เมื่อคุณชื่นกับคุณกานดาลงไปทำธุระสองสามแห่งตลอดตอนเช้าผมก็เฝ้าโยงอยู่ในรถ แล้วไม่มีใครกอดคอผมให้ฟังเรื่องยุ่งเหยิงอย่างนี้ด้วย ก่อนจะมาพบคุณที่นี่ นายชื่นก็สั่งผมเพียงให้ช่วยบอกคุณว่า เขาจำเป็นต้องไปทันทีเพราะเห็นเรื่องที่เกี่ยวกับคุณก็เรียบร้อยโดยวิธีดีที่สุดแล้ว”
“วิธีดีที่สุดยังไง?”
“ถามคุณดาซิ! ผมรู้เพียงเท่านั้น”
กานดาสะดุ้งและขยับตัวไปทางตะวันเมื่อวิชัยหันไปขึงตา ใส่หล่อนแทนถาม ตะวันจึงล้มความคิดที่จะปลีกตัวลงไปข้างล่างอีก เขาไม่อาจทอดทิ้งกานดาให้นั่งตระครั่นตะครอคนเดียว กานดาสู้สายตาวิชัยอย่างวิงวอนแต่ตอบเขาไม่ถูก ดูเหมือนหล่อนไม่ได้คิดจะพบเขาด้วยอาการอย่างนี้
“นายชื่นได้เงินสี่หมื่นที่ผมค้ำประกันไปได้อย่างไร? บอกเร็ว” วิชัยถามซ้อน “กานดา! เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เวลาเล่นชั้นเชิงหรืออ้ำอึ้งอีกแล้ว”
หญิงสาวมือสั่นขณะที่เปิดกระเป๋าถือ และหยิบเอกสารสองแผ่นออกวางตรงหน้าวิชัย แล้วหล่อนก็นั่งอ้ำอึ้งอีกใหม่ ตะวันเห็นแววตาหวั่นหวาดของหล่อนเริ่มมีหวังและภาคภูมิเพิ่มขึ้นคล้ายเด็กที่คิดว่าตัวทำดีไปแล้ว แต่ยังไม่แน่ว่าจะถูกยกย่องอย่างไร ตะวันรู้สึกปั่นป่วนไปด้วย
วิชัยคลี่เอกสารทั้งสองแผ่นดูบนโต๊ะอย่างเปิดเผย ตะวันพอสังเกตได้ว่าเป็นใบกู้ยืมทั้งสองแผ่น ต่อมาอีกครู่หนึ่งวิชัยก็เสือกเอกสารทั้งสองมาทางตะวัน หน้าของวิชัยแดงจนเกือบเขียว เขาลุกขึ้นจากโต๊ะดังโครมและยืนจ้องหน้ากานดาเหมือนจะคว้าตัวหล่อนออกจากเก้าอี้ไปด้วย
ตะวันคาดไม่ถึงเหตุการณ์ต่อไป จึงเสหยิบเอกสารนั้นขึ้นดูเพราะถือว่าวิชัยส่งมาให้เขาเอง อนึ่งตะวันคิดว่าวิชัยคงลุกขึ้นเรียกกานดาไปพูดกันลำพังทางอื่นซึ่งเขาไม่ควรรู้เห็นด้วย
เอกสารแผ่นหนึ่งเป็นใบกู้เงินสี่หมื่นบาทของนางสลับซึ่งมีลายเซ็นค้ำประกันอยู่ ชื่นมิได้คิดหักหลังวิชัยเพื่อเอาตัวรอดเรื่องใบกู้ ตะวันพลอยโล่งใจด้วยเพราะเห็นแก่กานดาหรือมิตรภาพเก่าแก่ก็ตาม แต่เอกสารแผ่นที่สองทำให้เขาลืมเหตุการณ์รอบข้างครู่หนึ่ง
มันเป็นใบกู้เหมือนกัน ต่างกันก็แต่ว่าเป็นการขายฝากหลักทรัพย์ที่ดินหนึ่งไร่เพื่อเงินสี่หมื่นบาท ผู้รับขายฝากนั้นมีชื่อชายคนหนึ่ง ที่ตะวันไม่รู้จักแต่สังเกตได้ว่าเป็นเชื้อชาติผสมซึ่งมีชื่อกรีดกรายเกินควร เขารู้สึกคล้ายหัวใจจะหยุดเต้นต่อเมื่อเห็นชื่อผู้ทำการขายฝาก คือกานดา ดิเรกกุล!
กานดาได้เงินสี่หมื่นให้ชื่นไปทันเวลาฉุกเฉินเช่นนี้เพราะหล่อนยอมทำจำนองกับผู้มีเงินให้ทันท่วงที ชื่นอาจชี้ให้หล่อนเห็นความจำเป็นว่าจะต้องทำเช่นนั้นทันที ถ้าหล่อนต้องการใบกู้ซึ่งมีชื่อวิชัยค้ำประกันไว้ เวลาและเหตุการณ์ตามข่าวของหนังสือพิมพไม่ให้โอกาสกานดาได้คิดอ่านอย่างอื่นอีก ชื่นอาจขู่หญิงผู้อ่อนโยนอย่างสบาย แต่ตะวันรู้ว่ากานดายอมสละชื่อเสียงและทรัพย์สิน อันจำกัดจำเขี่ยของตน ก็เพราะหล่อนมีความรักอันใหญ่ยิ่งอย่างประหลาด หล่อนไม่มีความคิดแยบยลอย่างอื่น
นี่เองคือสาเหตุที่ดวงตาคมจำของหญิงสาวมีแววโล่งใจและภาคภูมิเพิ่มแทนความห่วงใยอย่างเก่า ถ้าความผิดพ้องหมองใจระหว่างกานดากับวิชัยยังมีอยู่ กานดาคงหวังว่าหล่อนได้ปัดเป่าไปหมดเพราะโอกาสและชื่นสงเคราะห์ให้หล่อนได้ช่วยเหลือวิชัยทันควันแต่ค่อนข้างโง่เขลาครั้งนี้ หล่อนคงหวังไม่มากก็น้อยว่าจะได้คืนดีกับวิชัยและได้ความเห็นใจจากเขา
ตะวันเหลียวไปดูกานดากับวิชัย ก็พบเหตุการณ์กลับมืดมัวมากขึ้น คนทั้งสองจ้องกันอยู่เงียบ ๆ จนตะวันเหลียวไปดู
“กล้าดียังไง?” เสียงวิชัยดุดันและเหยียดหยามยิ่งนัก “คุณกล้าดียังไงจึงหาเงินไปซื้อใบกู้นั้นมาจากคนทุจริตด้วยวิธีบ้า ๆ แบบนั้น? นี่ใคร ๆ คงคิดว่าผมเป็นอ้ายคนปอกลอกละซิ! คุณคิดว่าผมจะมองข้ามที่คุณทำเหลวแหลกงั้นเรอะ? คุณเรียนวิชาซื้อความรักผู้ชายจากจิตรี...” วิชัยกวาดหางตาเหยียดหยามมาทางตะวันแวบหนึ่ง “แล้วคุณก็ควรรู้เสียด้วยว่าได้ผลเพียงผู้ชายจะต้องกินเปล่าไปหมด! ไม่งั้นคุณก็ทำไปเพราะชอบยื้อแย่งอย่างเดียว คุณกานดา! คุณรู้จากนายชื่นใช่ไหมว่าผมผลัดเขาเพื่อหาเงินทางบ้านเทเวศร์ คุณดาว่าผมคิดจะแต่งงานกับวันวิภาเพื่อการกู้ยืมอย่างหนึ่ง คุณเหนี่ยวผู้ชายไว้ไม่ติดสักคนจึงหันมาซื้อของเก่ากันอีก คุณอิจฉาวันวิภาและหันกลับมาแย่งประมูลผมด้วยเงินสี่หมื่น เหมือนเคยพยายามประมูลนายเด่นแสงแย่งนายธำรง แล้วก็ยึดตัวตะวันจากคู่รักเก่าก็ได้ เดี๋ยวนี้จึงไม่มีพ่อแม่ญาติมิตรคนไหนจะคบค้าคุณแล้ว! คุณยังคิดว่าจะดักผมด้วยวิธีเก่า ๆ กระมัง
“ไม่จริงค่ะ! น้องคิดว่า...” กานดาละล่ำละลักบอก ใบหน้าที่ค่อนข้างซีดอยู่แล้วไม่มีสีเลือดเลย “น้องคิดว่าคุณพี่คงเห็นด้วยที่จะไม่–ไม่ปล่อยใบกู้ไปกับคนกำลังหนีมือกฎหมายและอาจทำอะไร ๆ ก็ได้ เขาไม่ยอมให้เวลาเลย น้องตกใจ–จะมาพบคุณพี่ก่อนก็ไม่ทัน! ถึง–ถึงคุณพี่ไม่เห็นด้วย น้องก็ ก็ต้องป้องกันไว้ก่อนน้องไม่–ไม่ได้นึก...”
“นั่นคือถ้อยคำของคุณ!” วิชัยสยดเสียงกระชาก “แต่ใจจริงของคุณก็คงไม่ผิดจากการคาดคิดของผม คุณคือนักพนันความรักและการแต่งงานที่ซุ่มอยู่ในบทบาทหญิงน่าสงสาร บริสุทธิ์ และอ่อนโยนอยู่เสมอ เมื่อมีโอกาสคุณก็แสดงตัวจริงออกมา จริงไหม?”
ตะวันอ้าปากค้างหลายครั้ง แต่เหตุการณ์ที่กลับตรงข้ามการคิดของตนตลอดจนถ้อยคำยอกแสยงซึ่งเชือดเฉือนแม้แต่ความรู้สึกเข้มแข็งของตะวัน ทำให้เขานั่งนิ่งเหมือนคนไม่มีสติ เมื่อสิ้นเสียงถามของวิชัย ตะวันก็คิดว่ากานดาคงร้องไห้และปฏิเสธอย่างขุ่นเคืองขึ้นบ้าง น้ำตาและถ้อยคำออดอ้อนอีกด้วย ดูเหมือนจะเคยทำให้วิชัยผู้ฉุนโกรธกลับมีอารมณ์ดีได้เสมอ เมื่อวิชัยปรักปรำหล่อนด้วยถ้อยคำรุนแรงเรื่อยมา หญิงสาวก็มีท่าทางจะหลั่งน้ำตาเตรียมรับผิดชอบด้วยความอ่อนโยนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม แต่พอวิชัยปรี่เข้าไปจนชิดตัวหล่อนและถามคาดคั้นครั้งสุดท้าย กานดากลับลุกขึ้นยืนเผชิญหน้าเขาเงียบ ๆ จริงอยู่! แม้หน้าหล่อนซีดขาวและน้ำตาคั่งคลอ แต่หล่อนก็ยืนทรงศีรษะด้วยอาการหยิ่งผยองอย่างหนึ่ง นั่นคือลักษณะพิเศษซึ่งกล่าวกันว่ามีอยู่ในตัวคุณหญิงดวงแข และลูกชายของเธอเผด็จ ดิเรกกุล! กล่าวกันว่าเป็นลักษณะสืบสกุลสายโสมฝ่ายเดโช ซึ่งแสนจะหยิ่งผยองและข่มขู่คนอื่น
อะไรจะยั่วยุคราวรู้สึกเหี้ยมเกรียมของชายอย่างวิชัยเท่ากับการปฏิเสธและต่อสู้ในท่าทีถือตัวอันเยียบเย็นอย่างนั้น?
กานดาไม่พักต้องตอบเขาด้วยถ้อยคำออดอ้อนอีกแล้ว หล่อนหยิ่ง! หล่อนเป็นเลือดเผด็จและ ‘พวกผู้ดีเดโช’
วิชัยหยุดอยู่ห่างหล่อนไม่ถึงคืบ เขาพูดใส่หน้าซีดขาวซึ่งมีแต่ความเยียบเย็นอย่างเดียว
“กานดา! ผมจะใช้เงินที่คุณออกแทนทุกสตางค์ทันทีที่มีโอกาส แต่ก่อนถึงโอกาสนั้นเราจะไม่ได้พบกันอีก! อาเผด็จของคุณเคยซื้อจิตรีแล้วครั้งหนึ่ง แต่นี่เป็นนายวิชัย คุณจะซื้อวิชัยด้วยเงินสี่หมื่นไม่ได้!”
เขาผละจากหล่อน และเดินออกไปจากห้องทันที พอเสียงรถวิชัยแล่นกลับไปทางกรม กานดาก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงกับพื้น หล่อนเป็นลมนิ่งแน่โดยมิได้ออกเสียงสักนิด
เสียงนกแต่ละพันธุ์ในสวนท้ายไร่ดูเหมือนเป็นเสียงบอกโมงยามอยู่เสมอ กาเหว่ากระชั้นแต่ทอดหางเสียงเยือกเย็นยิ่งนัก เสียงนั้นบอกเวลา
“รุ่งแล้ว” และ “ค่ำแล้ว”
แต่เสียงแจ้วเจื้อยของนกกางเขนก็บอกเวลาใกล้สว่างหรือมืดมัวเหมือนกัน ส่วนนกกระจอกกระจาบนกเอี้ยงและหัวขวานคือยามกลางวันซึ่งส่งเสียงเซ็งแซ่และดังเป็นระยะยืดยาวอยู่เสมอ
‘ไม่มีพ่อแม่หรือญาติมิตรคนใดคบค้าคุณแล้ว...เราจะไม่ได้พบกันอีก’
ถ้อยคำของวิชัยยังเสียดแทรกอยู่ในห้วงคิดของกานดา เดือดอยู่ในเส้นโลหิตและทำให้จังหวะเต้นของหัวใจฉุดกระชากชั่วครู่ ครั้นแล้วก็โรยราลงทุกทีจนดูเหมือนหัวใจนั้นเป็นก้อนแข็งข้นและเยือกเย็นอยู่ในอก
บ่ายวันนั้น เมื่อกานดาได้สติตะวันก็พาหล่อนกลับบ้านไร่ตามทางเดิม ถึงตอนนี้ตะวันไม่กล้าแสดงความคิดเห็นหรือปลอบโยนอย่างเก่า เพราะเหตุการณ์ทำให้เขามัวมึนเหมือนกัน แต่ตะวันยังมีสติพอจะติดตามกานดาไปตามอารมณ์มืดคลุ้มของหล่อน กานดานั่งเรือจ้างแจวไปตามลำน้ำลำคลองซอยจนค่ำ เขาคุยกับหล่อนเท่าที่จะทำได้ด้วยเรื่องต่าง ๆ นอกจากเรื่องที่กำลังยุ่งเหยิงอยู่นั้น กานดาไม่แสดงว่าพอใจหรือรังเกียจที่ตะวันไปด้วย ดูเหมือนหล่อนไม่รู้สึกยินดียินร้ายต่อสิ่งใดโดยเฉพาะ แต่ปล่อยความรู้สึกกระจายไปกับทุกสิ่งซึ่งผ่านสายตาและความนึกคิดของหล่อน
“ลมแม่น้ำเย็นสบายแบบนี้ ขอให้ฉันนั่งเรือตามลมเล่นเถอะค่ะ” หรือ “ขอฉันลอยเรือตามน้ำหล่อนเถิด” เมื่อตะวันเย็นมากแล้วกานดาอาจป่วยไข้เพราะกรากกรำอากาศได้ ประเดี๋ยวถูกแดดประเดี๋ยวถูกลมถูกน้ำค้างขณะที่ต้องนั่งนิ่ง ๆ ในเรือเล็ก ๆ ลำหนึ่ง
“ไม่น่าวิตกว่าหญิงแบบนั้นจะคิดฆ่าตัวตายหรือทำอะไรหุนหันอย่างจิตรี” ตะวันบอกตัวเอง “กานดารู้จักได้รู้จักเสีย ความรักและทุก ๆ สิ่งซึ่งเป็นส่วนสำคัญของชีวิตเพราะเป็นคนเจียมตัวมาแต่เกิด มีความรักมากที่หนักไปทางเมตตาการุณย์ การอภัยและอ่อนโยนอยู่เสมอ เขาอาจมีความรักโดยไม่ต้องมีตัวแทนทางอารมณ์เพศพอที่จะต้องดับสูญไปด้วยเมื่อขาดชายคนรัก ซึ่งเป็นตัวแทนเท่านั้น นี่เอง! คือความหมายแท้จริง ที่กานดาบอกเราเรื่องความรักและความตายอย่างมัว ๆ เมื่อเช้านี้ นั่นคือเขามีความรักมาก และไม่ทุ่มเททั้งชีวิตให้แก่ตัวแทนทางอารมณ์เพศคือผู้ชายคนใด เมื่อกานดาบอกว่ารักจนกระทั่งน้ำโคลนนั่นคือศูนย์ถ่วงทางอื่น สายลม กระแสน้ำ และแสงแดด แสงเดือนก็ดูเหมือนจะเป็นศูนย์ถ่วงทางอื่น นอกจากความรักเรื่องเพศที่ทำให้ชีวิตกานดายังสมดุลย์ได้อยู่เมื่อ คู่รัก พ่อแม่ ญาติมิตร และทรัพย์นอกกายก็เกิดวิบัติไปหมด แต่เมื่อพิจารณาถึงจิตใจ กับร่างกายบอบบางแบบกานดาแล้ว ส่วนเลือดเนื้อก็คงต้องเปลืองเปล่าไปมาก มันเป็นคนละส่วนกับธาตุแท้ทางใจ กานดาจึงเป็นลมในร้านและยังซีดเซียวมากเหมือนศพ ส่วนธาตุแท้ทางใจนั้นกระจัดกระจายไปตามลมและน้ำนี่เอง กานดาจึงทนทุกข์อย่างเยือกเย็นอยู่ได้ เดี๋ยวนี้เราเชื่อว่ามนุษย์มีธาตุแท้ใหญ่ยิ่งอย่างหนึ่ง นอกจากสังขารกับกฎเกณฑ์ ซึ่งเกิดขึ้นตามการบังคับของเลือดเนื้อ”
นายทหารหนุ่มซึ่งไม่เคยพิจารณาชีวิตอันยุ่งเหยิงอย่างนี้ ต้องกลับเป็นคนรู้จักใคร่ครวญขึ้นบ้างก็เพราะภาพตัวอย่างจริง ๆ เฉพาะหน้าสั่นสะเทือนความรู้สึกผิดชอบของเขาซึ่งเคยหมักหมมมานานด้วยอารมณ์รุนแรงหลายอย่าง
“เราเพิ่งพบคำตอบของชีวิต”
ตะวันตกลงใจคนเดียวเมื่อการใคร่ครวญเผยให้เขาพบสิ่งสำคัญอีกข้อหนึ่ง นั่นคือ ‘คน’ ย่อมมีธาตุแท้ทางอารมณ์เพศและธาตุนั้นมีความใคร่เฉพาะประจำแต่ละคนไม่ซ้ำแบบกันเลย โลกจึงยังไม่เคยมีคนพิมพ์เดียวกันจริง ๆ ทั้งทางกายและความใคร่คิดของเขา จึงมีเรื่องคนแฝดตัวติดกันแต่งงานกับคู่รักคนละคน มีนักบวชบริสุทธิ์และคนใจเดียวในเรื่องความใคร่ของมนุษย์ นั่นคือผลความแตกต่างของธาตุแท้ทางอารมณ์เพศ ปุถุชนย่อมมีกิเลศราคะแต่เขาอาจเลือกและดับได้โดยสะดวกเมื่อการสนองไม่เป็นไปตามความใคร่ของธาตุแท้เท่านั้น ผู้ที่ได้อบรมบ่มนิสัยหรือเพียงแต่เข้มแข็งในการยึดถือแนวความใคร่ของตนเองก็อาจเป็นอิสระอย่างสิ้นเชิงจากสามัญนามผิวเผินพวกนี้–
นั่นคือ ความรัก กามารมณ์หรือธรรมชาติซึ่งคนสะเพร่าชอบอ้างอิงออกมาเมื่อจะกลบเกลื่อนการแสดงอารมณ์อันเขรอะขระของตน
แต่เขาไม่คิดว่า มันเป็นชะนวนกรรมที่อาจลุกลามไปถึงจุดระเบิดแบบต่าง ๆ เป็นต้น การผิดผัวผิดเมีย การฆ่าผู้อื่นและตนเอง และอาชญากรรมน่าสยดสยองอย่างอื่นทั้งนี้เพราะบางคนมีนิสัยสะเพร่าและมีความอายน้อย ก็ทนได้โดยสวมหน้ากากสามัญนามผิวเผินพวกนั้นเสีย ส่วนคนที่มีนิสัยละเอียดอ่อนกว่าหรือเพียงมีความไว้ตัว หรือมีความยึดมั่นน้อย ก็ย่อมทนทุกข์ทรมานและพินาศไปเพราะอารมณ์เขรอะขระของตน
แต่มันมิใช่แบบฉบับธรรมดาทั่วไป สำหรับมนุษย์ทุกคนที่มีกิเลส ความเป็นไปในชีวิตกานดาและญาติมิตรใกล้เคียงของหล่อนระยะนี้ช่วยเปิดตา และชำระความนึกคิดของตะวันให้ผ่องแผ้วเพิ่มขึ้น
เขาก็สามารถถอนตัวเองออกจากอารมณ์เขรอะขระของอดีต ดูเหมือนจิตรีกับความรักที่แหลมเหลือเป็นเพียงภาพฝันแห่งวัยเยาว์อย่างเดียว กานดาได้ช่วยแก้ปัญหาชีวิตของเขาและคนอื่น ๆ อีกด้วย เป็นแต่หล่อนมิได้เจตนาหรือระแคะระคายมาก่อนว่าเหตุการณ์คับขันของชีวิตตน จะเป็นเครื่องไขปัญหาชีวิตขุ่นข้นของผู้อื่น
ขณะอยู่ในเรือจ้าง และกานดาต้องการปล่อยความคิดเคว้งคว้างคนเดียว ตะวันก็บันทึกความคิดเห็นของตนลงในความจดจำเท่าที่จะทำได้ เมื่อกานดายอมให้เขาพากลับบ้านไร่ ตะวันก็ตัดสินใจเรียบร้อยในเรื่องยุ่งเหยิงอยู่นั้น เขาพร้อมที่จะช่วยจิตรีกับวิชัยอย่างคนที่เป็นอิสระสิ้นเชิงจากปัญหาขุ่นข้องในอดีต และอยากจะช่วยคนที่รักให้พ้นปัญหาอันมืดมัวเหมือนกัน
แต่กานดากับตะวันไม่พบจิตรีกับเผด็จที่บ้านไร่ของคุณจำรัส เด็กลิ้นจี่แจ้งว่า
“คุณจิตรีไม่ใคร่สบายค่ะ คุณเผด็จก็มีธุระรีบกลับ คุณจิตรีขอให้เรียนคุณตะวันว่าให้ตามไปพักที่ไร่โน้น”
“แน่ละ!” ตะวันบอกกานดา “แต่ผมจะตามไปด้วยจดหมาย ผมมีธุระต้องออกหัวเมืองเหมือนกัน แต่ก่อนไปผมต้องคุยกับจิตรีและวิชัยด้วยจดหมายให้ได้ คุณดา! รู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้ผมคิดอะไรอยู่?”
หญิงสาวสั่นศีรษะ เมื่อตะวันก้าวลงไปนั่งอยู่ที่หัวเรือจ้างคนเดียว หล่อนยืนท้าวพนักระเบียงแพมองดูเขาคล้ายกับเพิ่งแลเห็น ตะวันรู้สึกชอบกลเมื่อสบสายตาเคลิบเคลิ้มของหล่อน
“ไม่รู้หรอกค่ะ”
“ผมคิด–” เขาบอก “ผมรู้ว่าผมคบใคร เมื่อผมกลับมาพบคุณดาคราวนี้ นอนใจเสียเถอะ! ถ้าผมไม่ได้คบค้าคุณอยู่ ผมคงกลายเป็นคนเสื่อมทรามเสียแล้ว”
“เรอะคะ”
เขาพูดต่อไปเพราะอยากทำลายบรรยากาศเยือกเย็นอย่างหนึ่ง
“คุณดา! ผมเพิ่งเข้าใจเรื่องความรักและความตายตามที่คุณคิดเห็น คือเราต้องรักมากรักทุกสิ่งรอบตัวเพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมเหล่านั้น นี่คือสาเหตุที่ทำให้คนเราเกิดและตายได้หลายครั้ง วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏจนกว่าจะหมดกิเลศ แต่ถ้าเราแสดงความจริงนี้ไม่ดีถึงที่พระพุทธเจ้าแสดงเมื่อสามพันปีมาแล้ว เราจะถูกเพื่อนมนุษย์ส่วนมากหาว่า–ง่า–ไม่เต็มเต็ง–และจะต้องถูกทอดทิ้งเท่านั้น!”
“คราวนี้–ฉันอยู่คนเดียวได้ค่ะ”
“แน่นอน! คุณดาอยู่คนเดียวได้เสมอไม่ว่าที่ไหนเพราะคุณเห็นโคลนเลน ผักหญ้าหรือแม้แต่แดดลมเป็นเพื่อนมีชีวิตอย่างแสนสุขเสียหมด คุณเกิดมาผิดยุคแน่นอน ยุคของคุณคือยุคธรรมชาติ”
หล่อนไม่ตอบ ตะวันเงยหน้าขึ้นดูอีกครั้งหนึ่งก่อนเรือออกไปพ้นแพ ภาพกานดาเหมือนจะกลมกลืนไปกับหมอกขาวสลัวเหล่านั้น
เขาไม่มีโอกาสได้รู้ว่าค่ำวันนั้นเอง กานดาก็เป็นไข้หวัดอย่างแรง และนอนป่วยอยู่ลำพังกับคนที่ไม่ประสีประสาเรื่องป่วยไข้ของหล่อน
ถูกอย่างตะวันเข้าใจ กานดาเกิดมาเป็นคน ‘ผิดยุค’ ยิ่งนัก หล่อนถือว่าชีวิตยุควิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังแอบอิงอยู่กับธรรมชาติ และตรงไปตรงมาเหมือนธรรมชาติ ชีวิตของหล่อนเท่ากับเป็นส่วนหนึ่งในแสงแดด และดอกไม้ใบหญ้าอยู่เสมอ เมื่อหล่อนเกิดความสนใจชีวิตในรูป ‘คน’ อย่างวิชัย กานดาก็ไม่มีแยบยลอย่างอื่น อาจมีข้อแตกต่างกันบ้างระหว่างความรู้สึกสองชนิด คือ ความผูกพันธ์เพื่อนมนุษย์กับธรรมชาติเช่นแดดลม และพืชผลพวกนั้น แต่กานดาเป็นคนประหลาดหรือผิดยุคตรงที่หล่อนเห็นว่า ทั้งมนุษย์และธรรมชาติมีชีวิตตรงไปตรงมา เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวกันอยู่ เมื่อพ่อแม่ญาติมิตรและคู่รักถูกปลดเปลื้องไปจากหล่อน กานดาก็ทุ่มเททุกอย่างที่เหลืออยู่เป็นเลือดเนื้อไปทางธรรมชาติข้างเคียงของตน
กานดาจึงไม่สนใจว่า หล่อนป่วยเจ็บอยู่ในที่กันดานและไร้ญาติมิตรอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้
นาฬิกาของหล่อนก็คือเสียงร้องขานของนกและแมลงเล็ก ๆ นอกจากยาประจำบ้าน ยาพิเศษของหล่อนก็คืออาหารธรรมดากับความรู้สึกต่อธรรมชาติอย่างชิดเชื้อเช่นนั้น หล่อนนอนแซ่วอยู่สิบกว่าวันจึงค่อย ๆ ฟื้นไข้และเข้มแข็งขึ้นเอง
ปีใหม่ล่วงไปแล้วอาทิตย์หนึ่ง กานดาจึงจำได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับชีวิตปีเก่า ๆ ผิดแปลกไปหมด ไม่มีงานรวมญาติมิตรส่งปีเก่ารับปีใหม่ ชาวนาชาวสวนบางซ่อนส่วนมากไม่รู้จักฉลองวันขึ้นปีตามความนิยมอย่างใหม่ เขาหมกมุ่นชื่นชมอยู่กับการเก็บเกี่ยวข้าวของตน สงกรานต์เดือนห้าฟ้าใหม่ยังอยู่ห่างอีกตั้งสามสี่เดือน ฤดูหนาวเป็นฤดูเตรียมตัวต่างหาก ข้าวหนักต้องเก็บเกี่ยวก่อนสิ้นเดือนต้องลงแขกส่งท้ายตามมีตามเกิดกันอีก เมื่อข้าวขึ้นลานและขึ้นยุ้งแล้วจึงพอจะคิดคำนวนได้ว่าจะมีเงินเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ฉลองสงกรานต์กับเขาบ้าง เมื่อถึงเทศกาลนั้นแหละเราก็จะได้เห็นชาวนาชาวสวนนุ่งสีใส่สีไปทำบุญตักบาตรแบบเก่า มีการมอมเหล้า สาดน้ำ ดำโคลนและมีแต่เสียงโทนทุกแห่ง
“แต่ก่อนข้าวขึ้นยุ้งอย่างนี้ ชาวนาก็ไปรวมกันอยู่ที่ท้องทุ่งทั้งหมด ไม่มีอะไรเตือนความทรงจำของกานดาให้คิดถึงญาติมิตรและความครึกครื้นข้างนอก ไม่มีญาติมิตรแม้แต่คนเดียวติดตามมาเยี่ยมเยียน หรือรู้ระแคะคะคายของหล่อน คงไม่มีใครคิดว่า เมื่อคุณจำรัสกับนางม้วนยังไม่กลับจากจันทบุรี กานดาจะทนอยู่โดดเดี่ยวดังนั้น อนึ่งเหตุการณ์แตกร้าวภายในครอบครัวซอยสามบ้านครั้งสุดท้ายทำให้แต่ละคนคาดหมายเรื่องของคนอื่นตามอารมณ์ตัวเองโดยไม่ต้องทบทวนทั้งสิ้น
“สามอาทิตย์แล้ว!” กานดานึกขึ้นได้ด้วยความประหลาด “ถ้าเราไม่นอนป่วยเป็นบ้าแบบนี้จะเดินทางไปถึงยุโรปหรืออเมริกาก็ได้!”
เดือนหงายอีกคืนหนึ่ง แต่กานดาไม่มีเรี่ยวแรงจะลงไปเดินเล่นกับหมาหมู่นั้นได้บ่อย ๆ อีก โดยเฉพาะกลางคืนค่อนข้างดึกและอากาศเยือกเย็นยิ่งนัก เด็กลิ้นจี่กับยายจันเงียบเสียงแต่หัวค่ำ แม่ของเด็กลิ้นจี่เข้ามาดูแลบ้านเรือนหลายครั้ง แต่เมื่อกานดาไม่บอกว่าหล่อนต้องการความช่วยเหลืออะไรอีก เขาก็กลับออกไปนาและทำงานยุ่งเหยิงอย่างเก่า กานดาไม่รู้ตัวว่าหล่อนกระหายที่จะพบพวกพ้องเพียงไร จนกระทั่งความเจ็บป่วยทำให้ร่างกายอันบอบบางของหล่อนกระปลกกระเปลี้ยไปหมด
“ขโมยกระมัง”
กานดาลุกขึ้นนั่งบนเตียงเมื่อได้ยินเสียงหมาเห่ากระโชกกระชั้นผิดปกติ แต่หล่อนไม่รู้สึกหวาดเกรงอะไร เวลานี้กานดามีแต่ความรู้สึกว่างเปล่า และอิดโรยเหลือเกิน กว่าหล่อนจะสำเหนียกอะไรแน่นอน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าสวมเกือกหนัก ๆ ย่ำขึ้นบันไดมาพร้อมกับเสียงปรามสุนัขและเสียงเรียกหาคน
“ชุ! ชุ! อ้ายพวกนี้–แปลกหน้า แปลกกลิ่นกันหมด! ป้าม้วน! เปิดประตูซิ ทำไมที่แพถึงไม่มีเด็กผู้ชายเฝ้าเลย?”
เลือดในกายกานดาดูเหมือนจะร้อนระอุอีกใหม่! ดูเหมือนโลกหมุนกลับไปตามวิธีดั้งเดิมได้อีก อากาศหนาวก็เป็นเพียงเย็น ๆ อย่างสบาย แสงเดือนดูจะกลายเป็นใยเงินใยทองทุกแห่ง กานดาวิ่งลงจากเตียงไปเปิดประตูด้วยอาการคล่องแคล่วคล้ายเด็ก ดูเหมือนหล่อนจะไม่อ่อนแออีกเลย
“คุณพี่–คุณพี่ชัยคะ! คุณพี่มาตามหาน้องถึงไร่! คุณพี่หายโกรธน้องนั่นเอง น้องคอยให้คุณพี่ยกโทษทุกวันนี้”
กานดาคิดว่าหล่อนโผเข้าสู่วงแขนของวิชัยแล้ว แต่หล่อนกลับล้มคว่ำหน้าลงกับพื้นหน้าบันไดเต็มแรง เพราะวิชัยมิได้อ้าแขนออกรับหล่อนทันที เมื่อกานดาเงยหน้าขึ้นดูเขาในอาการครึ่งนั่งครึ่งนอนก็เห็นวิชัยเพ่งดูหล่อนด้วยใบหน้าขมึงทึงเท่านั้น
กานดาค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นนั่งตรง แต่ก็มีลักษณาการเหมือนดอกไม้ขาว ซึ่งสั่นสะเทือนอยู่บนกิ่งภายหลังพายุฝน สีหน้าท่าทางของวิชัยก็เปลี่ยนแปลงไปอีก เขาหัวเราะและก้มลงอุ้มหล่อนขึ้นทั้งตัว
“ตั้งใจจะไม่ให้พบกันอีกเลยจนกว่าเราจะหลุดหนี้น้องดาหมด! มาคืนนี้ก็เพราะได้ข่าวว่าคุณแม่กลับมาแล้วอยากพบท่านเต็มที แต่กลับมาพบน้องดา–ซ้ำยังเป็นน้องดาที่ท่องเที่ยวจนเหนื่อย แล้วกลับมาคอยพี่พร้อมกับความอ่อนโยนอย่างใหม่ มันเป็นเรื่องของโชคชะตาที่ชอบเล่นตลกเหลือเกิน!”
กานดาฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เมื่อวิชัยพูดถึงโกรธกึ่งขบขันครู่หนึ่ง กานดาคนเก่าจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นโดยไม่เข้าใจเกือบสิ้นเชิงเช่นนี้ เมื่อหน้าหล่อนแนบหน้าวิชัยอยู่ ผู้หญิงผู้ต้องเคว้งคว้างคนเดียว ได้กลิ่นเหล้าฉุนผิดปกติ แต่หล่อนลืมความผิดปกติเหล่านี้หมดเมื่อมองเห็นหน้าวิชัยในระยะใกล้ชิดนั้น ทั้งซูบทั้งคล้ำเกือบจะเรียกว่าไหม้เกรียมก็ได้ ดวงตาที่เคยแจ่มใสก็ดูอิดโรยเหลือเกิน เขาได้ผจญความวิตกกังวลเรื่องหนี้สินที่เกี่ยวกับเกียรติยศและความกตัญญูอย่างหนัก
น่าสงสาร!
หญิงสาวกอดคอเขาแน่น
“น้องอยู่คนเดียว คุณป้ายังไม่กลับ พวกลูกจ้างยังอยู่นา ที่นี่เหลือแต่ยายจันกับลิ้นจี่ที่กระท่อมหลังบ้าน คุณพี่จะค้างคืนหรือจะกลับคะ?”
“พี่ปล่อยเรือไปเสียแล้ว ทั้งได้ลาต่ออีกอาทิตย์หนึ่ง น้องดาจะให้พี่อยู่คอยคุณแม่ไหมล่ะ? หรือจะให้พี่ลอยน้ำกลับก็ได้”
แต่กานดารู้สึกว่าแขนที่ยังโอบร่างหล่อนอยู่ยิ่งรัดรึงมากขึ้น เขาเหนื่อย เขาเป็นทุกข์มามากแล้ว เขายังต้องการหล่อนเพื่อปลอบโยนอย่างเก่า กานดาค่อย ๆ ปลีกตัวลงไปยืนเอง แต่ยังอยู่ภายในอ้อมแขนของวิชัย
“กลับ! เมื่อกี้ก็บอกแล้วนี่คะ! น้องคนเดียวคงรับใช้ให้ถูกใจคุณพี่ทุกอย่างไม่ได้ แต่น้อง–น้องดีใจที่คุณพี่มา–และเมื่อกลับไม่ได้ก็ต้องอยู่กับน้อง”
มือข้างหนึ่งของเขาเชยคางหล่อนขึ้น เขาบอกหล่อนทีเล่นทีจริง
“เดี๋ยวนี้ช่างพูดช่างฉอเลาะเหลือเกินนะ! เวลากับความจัดเจนจากการท่องเที่ยวออกจากบ้านชั่วคราวคงช่วยน้องดาให้มีเคล็ดสำคัญ ๆ ขึ้นเยอะ! อยู่ซิ–คืนนี้พี่ต้องอยู่ด้วยแน่ คืนนี้คงต้องเป็นพรหมลิขิตของเรา”
หล่อนเข้าใจดีอย่างเดียวว่า วิชัยจะอยู่กับหล่อนด้วยความเข้าใจอันดีและความเห็นอกเห็นใจจากบทเรียนรุนแรงเหล่านั้น คือความเข้าใจผิด เรื่องแตกร้าวภายในครอบครัว เกียรติยศชื่อเสียงกับหนี้สินตลอดจนการพลัดพรากกระเจิดกระเจิงจากกัน
กานดาเข็ดหลาบเหลือเกิน! หล่อนไม่อยากผ่านพบบทเรียนอันขื่นขมครั้งอดีต หล่อนจึงไม่ติดใจพิจารณาถ้อยคำ และอากัปกิริยาบางอย่างที่ค่อนข้างเคลือบคลุมของวิชัย
“คุณพี่อยู่กับน้องแน่นะคะ! คุณพี่ยังไม่ได้บอกว่ายกโทษน้องเลย ที่ทำหละหลวมร้อยแปด”
กานดาหมายถึงที่หล่อนเหวี่ยงหลักทรัพย์ส่วนตัวไปเพื่อการกู้ยืมอย่างโง่เขลา หล่อนอยากสมานแผลหัวใจร้าวสลาย เพราะคำกล่าวหาอันขื่นขมครั้งสุดท้ายที่ว่า หล่อนจะซื้อความรักของวิชัยด้วยเงินสี่หมื่นไม่ได้ แต่หล่อนได้ยินวิชัยบอกอย่างคลุมเครือดังนี้
“ดา! ดา! เดี๋ยวนี้ไม่มีโทษทุกข์ทั้งนั้น”
แน่หรือ? กานดามิได้ฝันไปหรือ? แต่ลมหายใจฉุนเฉียวของวิชัยดูร้อนผะผ่าวเพิ่มขึ้น แขนที่รัดรึงหล่อนอยู่ก็ยืนยันยิ่งนักว่าเดี๋ยวนี้คือความจริงในชีวิตอันบอบบางแบบหล่อน
กานดาไม่ได้ยินวิชัยรับรองถ้อยคำของหล่อนอีก หล่อนรู้สึกเหมือนยืนอยู่กลางทุ่งหรือบนไหล่เขาคนเดียว ลมแรงพัดกระพือมาแล้วหวนหอบตัวหล่อนลอยคว้างขึ้นไปสู่วิมานเมฆอันไม่มีขอบเขต ความคิด ความจำหรือโทษทุกข์ทั้งสิ้น
เมื่อวิชัยอุ้มหล่อนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง กานดาก็บอกเขาค่อย ๆ
“น้องจะไปเปิดประตูห้องคุณป้าให้ค่ะ”
เขาไม่ตอบ แต่กานดาก็ไม่แสดงอาการโต้แย้งอย่างใด ดูเหมือนการดื้อดึงเดี๋ยวนี้จะผลักไสหล่อนเลยไปสู่ชีวิตเคว้งคว้างคนเดียวที่แสนจะโหดร้ายเหลือเกิน แต่เมื่อวิชัยพาหล่อนก้าวเข้าไปในห้องพักชั่วคราวของหล่อน กานดาจึงเพ่งดูหน้าที่อยู่เหนือหล่อนอย่างประหลาดใจ แสงจันทร์ภายนอกหน้าต่าง และบนเตียงนอนบางส่วนสะท้อนมาถึงภาพที่หล่อนเพ่งเพียงสลัว ๆ หล่อนเห็นใบหน้ากร้านเกรียมและขมึงทึงเท่านั้น!
กานดาผงะออกห่างแม้หล่อนยังถูกรัดรึงด้วยวงแขนคู่เก่ากี่ครั้งแล้ว หรือกี่ปีแล้วที่หล่อนเคยอยู่กับวิชัยอย่างโดดเดี่ยวดังนี้? นับไม่ถ้วน! แต่ทุกครั้งวงแขนของเขามีแต่ความทะนุถนอมและปกป้องเป็นใหญ่ ยิ่งกว่านั้นอีกคำพูดและสีหน้าของวิชัยแสดงแต่ความเปิดเผยและความอ่อนโยนอยู่เสมอ ไม่มีสักครั้งเดียวที่จะปรากฏอาการแยบยลอย่างเดี๋ยวนี้ กานดาถามเขาเสียงสั่น
“คุณพี่ชัยคะ! จะ–จะพาน้องไปไหน–น้องกลัว–”
กานดาพูดไม่จบเพราะวิชัยใช้มือที่โอบไหล่หล่อนอยู่รั้งศีรษะหล่อนมาหาเขาโดยแรง ลมหายใจของกานดาถูกกดกลับเข้าไปในอกด้วยปากร้อนผ่าวและฉกฉวยชั่วครู่อีกครั้งหนึ่ง กานดารู้สึกเหมือนถูกลมหอบลอยคว้างขึ้นไปสู่วิมานเมฆเหมือนเก่า กำลังกาย ความคิด ความจำ ก็ถูกแรงลมร้อนปัดเป่าไปสิ้น
----------------------------