(๓)

ตลอดภาคเรียนกลาง พ.ศ. ๒๔๘๙ ซึ่งเป็นกลางฤดูฝน และท่ามกลางการประกาศภาวะฉุกเฉินตามหลังกรณีสวรรคตครั้งนั้น กานดามักจะทำงานที่เกี่ยวกับการสอนส่วนมากเสียที่โรงเรียน หล่อนไม่มีคนใกล้ชิดช่วยเหลือมากมายเหมือนเก่า จิตรีกับเครื่องคิดเลขไม่อยู่ในอาณาเขต ‘คนมีเรือน’ เหตุการณ์ภายในครอบครัวครั้งนั้นทำให้กานดาครั่นคร้ามวิชัยกับความรักภายในขอบเขตของบ้าน จนวิชัยเกิดปฏิกิริยาขึ้นใหม่ เขาเพิกเฉยกานดาเป็นการแก้มือที่หล่อนรู้จักขัดคอเขาบ้าง งานช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในขอบเขตคนรักกัน ก็พลอยถูกเพิกเฉยชั่วคราว วิชัยกับกานดาไม่มีจิตรีคอยสมัครสมานเหมือนเก่า ด้วยการอะลุ้มอล่วยหรือขัดแย้งอย่างเก่าเรื่องร้าวรานเล็กน้อยจึงแตกแยกใหญ่โตต่อไป กานดาเห็นเพื่อนครูที่โรงเรียนอย่างวรรณีเป็นตัวแทนผู้ที่รักภายในครอบครัวของหล่อนในเรื่องช่วยเหลือเหล่านี้ ฉะนั้นการบวกคะแนนนักเรียนหรืองานเตรียมการสอนและการทำสมุดรายงานจึงเสร็จเสียที่โรงเรียน หรือที่บ้านวรรณีที่ซอยรางน้ำ นั่นแปลว่ากานดาใช้เวลาปลีกย่อยซึ่งเคยใช้ร่วมกับวิชัยและจิตรีอยู่เสียที่อื่น ครั้งแรกวิชัยเคยมอง ๆ เหมือนกัน แต่เมื่อกานดากลับบ้านเย็น ๆ แล้วยังไม่มีงานที่เคยขอความสนใจจากเขาอีก วิชัยก็เพิ่มเวลาอยู่นอกบ้านมากขึ้น คุณจำรัสเริ่มสังเกตก่อนคนอื่น แต่เธอมีบทเรียนขื่นขมของชีวิตจนไม่อยากสอดแทรกเสียแล้วแม้จะเป็นเรื่องของคนภายในครอบครัวของเธอเอง

“เขาอาจจะพลัดลงในหลุมทรมานเหมือนเราครั้งโน้นถ้าเราไม่ยุ่งมาก แม่ใหญ่ทำให้จิตรีและหลายต่อหลายคนเดือดร้อนเหลือเกิน ก็เพราะเข้าไปเกะกะเกินควร”

คุณจำรัสคิดดังนี้ แต่ความรู้สึกผิดสังเกตก็ยังเล็ดลอดออกมาจนได้ในความห่วงใยอย่างอื่น

“แม่ม้วน!” เธอบอกต้นห้องเก่าแก่ซึ่งทำงานแทนนางผิวแม่ครัวอีกตำแหน่งหนึ่ง นางผิวถูกจิตรีกับเผด็จ ‘ขอยืม’ ตัวต่อไปอีก “ฉันคิดว่าต่อไปนี้ แม่ม้วนคิดกับข้าวของว่างเองดีกว่า แล้วก็–สั่งเด็กแมวตั้งโต๊ะตอนเย็นที่เดียวได้แล้ว ลูกหลานนั้นเขายุ่งเหยิงอยู่เสมอ แม่กานดากินข้าวเย็นบนห้องนอน พ่อวิชัยไปกินข้าวเย็นสโมสรเสียแล้ว ลูกชายฉันกำลังซ้อมบิลเลียดหรือบริดจ์ชิงถ้วย ที่จริงฉันไม่เคยกังวลของว่างตอนเย็นหรือตอนกลางคืน แม่ดาเคยเป็นธุระเรื่องนั้นเอง แต่เดี๋ยวนี้พี่ชายไม่มากิน เขาก็เลยไม่กินเต็มยศอย่างเก่าแล้ว”

“ท่านจะสังเลิกเลยเรอะคะ?”

นางทองม้วนขอคำขาดของนายหญิง ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมวัยเด็กวัยสาวและวัยแก่กันมา ต้นห้องเก่าแก่ยังมีรูปร่างหมดจดและคล่องแคล่วคล้ายกัน แต่วิธีพูดของนางทองม้วนยังตรงข้ามของนายหญิงอยู่เสมอ คือไม่ละเมียดละไมเหมือนนาย ขณะนั้นหล่อนกำลังนับธูปหอมเข้าห่อ และเห็นว่างานสำคัญของนายและหล่อนไม่ควรถูกแทรกแซงด้วยเรื่องขุ่นข้องของหนุ่มสาว คุณจำรัสตอบอย่างลังเลใจ

“จะทำของแห้ง ๆ หรือที่เก็บไว้ได้ก็ดี–ฉันหมายถึงของว่างน่ะ! เจ้าหมูที่เรือนพ่อวิชัยจะได้มายกไปง่าย ๆ นางแมวก็อาจเอาไปเก็บไว้ในตู้ขนมของกานดาได้เหมือนกัน จริงไหม?”

“จริงค่ะ!” นางม้วนมองหน้านายหญิงที่ยังอ่อนโยนอยู่เสมอ “ดิฉันหมายถึงคนแก่อย่างเรา ๆ หรอกนะคะ–คอยแต่จะเป็นขี้ข้าของลูก”

“ม้วนเอ๊ย–”

“เอาเถอะค่ะ! ขอประทานโทษ! แต่ดิฉันก็มีลูกหลานยั้วเยี้ยอยู่เหมือนกัน นังแม้นมีผัวมีลูกสามคนแล้วอ้ายหมู อีแมว อ้ายมอด มันกินที่ใคร พ่อมันมาให้เห็นหน้าปีละกี่หนเชียวคะ ดีแต่คุณใหญ่ยอมเลี้ยงให้ นังแม้นถึงมีกินตลอดไปถึงเจ้าไกรฤทธิ์ไกรลาสผัวมัน อีม้วนมีกินก็เพราะท่านคอยดูแลเรื่อยมา พวกคุณ ๆ ของท่านก็มีหลักฐานทุกคน ดิฉันไม่กล้าฉุดคุณเธอลงมาเปรียบกับลูกหลานเลว ๆ หรอกค่ะ แต่คิดถึงคำโบราณเหลือเกิน คนแก่คือขี้ข้าของเด็ก–ตายเพราะลูกหลานเหมือนต้นไม้ต้นไร่

“เรารักเขาต่างหาก! ถ้าจะขึ้นใช้คำนั้นให้ได้ ดูเหมือนเราเองยอมเป็นขี้ข้าความรักลูกหลานหรอกม้วน ความรักทำไมให้มีเมตตาต่อกันอย่างที่แกก็ยอมรับอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ แล้วก็–ธรรมดาสิ่งหนึ่งเสื่อมก็เพื่อสิ่งหนึ่งจะได้อยู่ไป”

แล้วคุณจำรัสก็มองออกไปทางหน้าต่าง แต่แววตาของเธอมองไกลกว่านั้นมาก มีแววจดจำรำลึกอันอ่อนโยนยิ่งนัก นางม้วนมองตานายแล้วก็รีบก้มลงนับธูปต่อไปแทนที่จะคัดค้านขึ้นอีก ดอกขจรส่งกลิ่นตามลมเข้ามาทางหน้าต่างตอนนั้นด้วย ดูเหมือนกาลเวลาถอยหลังไปสู่แสงเดือนและความรักภายในวงแขนของอดีต นางม้วนได้ยินเสียงถอนใจจากนาย แต่มันอาจเป็นเสียงลมพัดหรือเสียงที่เกิดจากอุปาทานเก่า ๆ ก็ได้ ถึงกระนั้นก็มีเสียงถอนใจเบา ๆ จากนางม้วนเหมือนกัน

แต่เมื่อพ้นจากบรรยากาศอ่อนโยนอย่างของคุณจำรัสแล้ว ความรู้สึกของต้นห้องเก่าแก่ก็ไม่มีความละเมียดละไมเหมือนเก่า แกแสดงความขัดเคืองแทนนายและตัวเองอีกด้วย ‘ที่ทำตัวเป็นขี้ข้า ของลูกหลาน’ แต่การแสดงความขัดเคืองของนางม้วนก็เป็นไปตามชั้นเชิงของคนที่มีการศึกษาอบรมอย่างไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนั่นเอง แกแอบไล่เบี้ยกับหลานชายหญิงสามคนของแกอีก เด็กชายแม้นยศ เด็กหญิงเหมือนแม้น กับเด็กชายมากยศ มีอายุ ๑๔ ๑๓ ปี และ ๖ ปี เป็นลำดับตามทะเบียนของโรงเรียน แต่อยู่บ้านก็มีแต่คนเรียก หมู แมว และมอด เหมือนกัน เด็ก ๆ วัยนี้ไม่มีเจตนาอะไรเมื่อเก็บเอาคำพูดผู้ใหญ่ไปเล่าต่อ เป็นแต่เขากำลังสอนรู้ถ้อยคำและทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในขอบเขตของตน ต่อมาไม่นานนางแม้นซึ่งเป็นแม่ของเด็กและเป็นต้นห้องของจรวย ตลอดจนนางผิวของจิตรีก็พลอยได้รับรู้เรื่องหยุมหยิมอย่างนี้ ในเรื่อง ‘คุณหลาน’ กับ ‘คุณน้อง’ ตามที่คนใช้ในบ้านเรียกกานดากับจิตรีตั้งแต่เล็ก

“คนแก่ ๆ ก็คือขี้ข้าของลูกหลาน”

“เวลานี้คุณกานดากำลังจะเป็นคุณจิตรีเมื่อครั้งโน้นเธอเที่ยวค่ำ ๆ จนคุณวิชัยโกรธไม่กลับมากินข้าวเย็น คุณหลานกำลังเจริญรอยคุณน้องนั่นเอง”

“เรื่องคุณวิชัยกับคุณกานดาดูเหมือนจะเป็นเรื่อง ‘กินเปล่า’ ไปแล้ว ใคร ๆ เขาก็รู้ว่าคุณวิชัยคุมคุณหลานมาแต่เด็ก ๆ ผู้ใหญ่ก็เอออวยแต่ไม่ทำออกหน้าเพราะระวังเชิงในเรื่องเก่า ๆ กันอยู่ กลัวญาติข้างแม่คุณกานดาที่เดโชจะหาว่าแกล้งยัดเยียดอย่างรายคุณผดุง คุณจรวย และก็–รายคุณเผด็จกับคุณน้องจิตรี เลยเก้อ ๆ กันอยู่ แต่ยังไงผู้หญิงก็เสียเปรียบวันยังค่ำ เขาว่าคุณวิชัยไม่ได้อยู่สโมสรหรอก ไปเตร่อยู่แถวเทเวศร์ต่างหาก คุณวันวิภาลูกสาวหลวงวิธูรกับคุณนายประภาไงล่ะ–เป็นญาติข้างพ่อของเธอด้วย! คุณกานดาดีแต่ใจเย็น แย่งไม่ทันเข้าแล้ว แต่เห็นใจเย็นก็เอาเรื่องเหมือนกัน เดี๋ยวนี้มักกลับบ้านค่ำ ๆ คนเดียว เรื่องเด็กหนุ่ม ๆ สาว ๆ ละยุ่งหยิงอยู่เสมอ พ่อแม่ก็ต้องพลอยปั่นป่วนไป ด้วย”

ผดุงได้ยินจากจรวยเล็กน้อย และเมื่อมันออกจากปากจรวยก็เลยฟังละเมียดละไมมากกว่าที่จรวยได้ยินจากปากผู้คนของหล่อน

พอรถผดุงแล่นเข้าเทียบบันไดบ้าน เมียของเขาก็ถึงประตูเรือนด้านหน้าพอดี ผดุงยังไม่สังเกตการที่จรวยลงมารับและจูงแขนขึ้นเรือน เพราะหล่อนปฏิบัติอยู่เสมอถ้าไม่ยุ่งเหยิงอย่างอื่น แต่เมื่อเขานั่งลงที่เก้าอี้เฉลียง แล้วหล่อนยังหยิบชุดแปรงเกือกจากชั้นใต้ที่แขวนหมวกร่มมาแปรงเกือกเขาอีก ผดุงจึงจับปลายคางของเมียดู

“เจ้าสุขกับนังศรีล่ะ? โรงเรียนปิดแล้วไม่ใช่เรอะ ถึงเปิดเรียนมันก็น่าจะกลับมาทันทำงานเย็น ๆ ยังงี้ได้ ทำไมเมียผมถึงต้องทำหน้าที่แทนเด็ก?”

“เพราะฉันรักคุณค่ะ”

“ขี้ปด”

แต่ผดุงปล่อยคางเมีย และก้มลงโอบไหล่หล่อนด้วยท่าทางเคอะเขินของผัว จรวยรีบแปรงเอา ๆ จนคนขับรถถอยรถไปพ้นหน้าบันได

“โรงเรียนปิดแล้ว แต่ทั้งครูทั้งนักเรียนยังคงยุ่งเหยิงอยู่ทั้งนั้นแหละค่ะ ตาเพิ่มไม่ขอเงินเดือนเพิ่มจากคุณก็เพราะลูกเมียหารายได้เอาเองอีกด้วย ดีกว่าได้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากที่รับใช้บนเรือน แม่สมศรีรับซักผ้าคนอื่นอีกบ้าง แม่พูนศรีกับพ่อเพิ่มสุขต้องไปช่วยแม่มากขึ้น เลยขาดงานบนเรือนบ่อย ๆ”

“เลิกใช้มันซิ! หาคนอื่นมาทำแทน”

“โธ่! มันก็ไม่ได้ลาออก เป็นแต่ทำกระปริดกระปรอยไปบ้าง ฉันก็ไม่อยากจ้างเด็กอื่นเอาไว้เพราะงานเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่เลย ลูกเมียอยู่เปล่า ๆ เอาไว้ทำไมคะคุณก้อ–”

“คุณควรสบายแล้ว ไม่น่าจะต้องทำงานหยุมหยิมอย่างนี้”

“สะใจที่ฉันอยากไม่มีลูกของตัว”

“แต่กานดาก็คิดว่าคุณเป็นแม่เหมือนกัน ใช้แกซิ–ถ้าไม่เกรงใจคุณป้ากับ–กับวิชัย เพราะตั้งแต่เด็ก ๆ กานดาก็ไปเฝ้าโยงอยู่โน่น”

“เดี๋ยวนี้เขาเป็นสาวแล้ว–เราจะใช้หยุมหยิมยังไง” จรวยรีบพูดพลางเก็บแปรงและเกือกเข้าที่ ใบหน้าของหล่อนยิ้มแย้มอย่างเก่า “กานดาก็กลับบ้านเสียเมื่อไหร่คะ เดี๋ยวนี้งานโรงเรียนดูยุ่งเหยิงขึ้น เขาอยู่โรงเรียนหรือไม่ก็บ้านเพื่อน ๆ ครูแถวรางน้ำนี่เอง พ่อวิชัยน่ะ–ไม่ใคร่มีคนเห็นอยู่บ้านตั้งสามสี่เดือนได้แล้ว เพราะคุณหลานไม่อยู่ ทั้งบ้านคุณป้าและบ้านเรา เวลานี้เหลือแต่คนแก่ ๆ กันหรอก เป็นธรรมดาไม่ใช่เรอะคะ คุณจะไม่ยอมแก่กระมัง”

“ไม่ยอม! เมียฉันยังเช้ง ถึงต้องรีบกลับบ้านเย็น ๆ ยังไงล่ะ”

จรวยหัวเราะ แต่หล่อนสังเกตเห็นแววตาผดุงฉุกคิดขึ้นแล้ว ตามบอกเล่าอันคมคายของหล่อนเรื่องกานดา แต่หล่อนเองต้องระวังความคิดของผดุงมาก หมู่นี้ผดุงไม่ใคร่เที่ยวเตร่ตามเคย เขาอยู่บ้านเย็น ๆ แทนไปเตร่ตามสังคมของเพื่อนชาย

“เดี๋ยวนี้ทำอะไรในกรุงเทพฯ ดูชืดชาชอบกล” เขาเคยตอบคำปรารภของจรวย ไม่ว่าทำงานหรือเล่นหัวก็ดูปั่นป่วนไปหมด ดูเหมือนมีเรื่องระแวงระวังและถกเถียงทั่วไป เราขืนวางตัวอย่างเก่าก็เจ๊ง! คิดอยากออกหัวเมืองเสียแล้วถ้าตำแหน่งมีให้ เดี๋ยวนี้ถึงเป็นข้าราชการประจำก็จะต้องอยู่ใต้รัศมีพรรคการเมืองหมดทั้งนั้น

“ก็เป็นธรรมดาของระบอบการเมืองที่มีพรรคไม่ใช่เรอะคะ ยิ่งพรรคการเมืองของเราตั้งขึ้นในคราวยุ่งเหยิงอย่างนี้ ก็ต้องมีอะไรขาด ๆ เกิน ๆ กว่าที่อื่น”

“เอาไว้ให้นักการเมืองเขาถกเถียงเถอะคุณ! ขอให้เมียผมพูดเรื่องในบ้านแบบเก่าเถอะ”

“ทำไมคะ! ฉันคิดว่าพวกเมีย ๆ ก็ควรรู้เรื่องเล็กน้อย ในฐานะที่ต้องช่วยสนับสนุนในบ้าน เพราะมีสิทธิเลือกผู้แทนทุกคนแล้ว คุณจะมัดมือผูกปากเมียเหมือนระบอบเก่า ๆ กระมังคะ?”

เขารู้ดีว่าจรวยพูดเพื่อช่วยคลี่คลายความเคร่งเครียดของตน แต่ก็อดฉุนเมียไม่ได้ เดี๋ยวนี้ผดุงรู้สึกว่าเขาและอีกหลาย ๆ คน ไม่มีใครมีอารมณ์เยือกเย็นอย่างเคย

“งั้นคุณเชียร์พรรคไหนล่ะ? แล้วคุณคิดว่าใครได้ใครเสีย–ใครดีใครเลว–ในเรื่องสวรรคตครั้งนี้ ?”

“แน้! ของหายในบ้านก็ต้องได้เสียและเหม็นคลุ้งทั่วถึงทั้งบ้าน! แต่ถ้าใครเต้นแร้งเต้นกาเกินไปว่าตัววิเศษเสียคนเดียวโดยไม่น่าเชื่อถือ ก็ต้องถูกคนอื่นกิ๊วก๊าวกันแน่”

“คนไหน? ผู้หญิงน่ะครองเมืองได้แน่ถ้าไม่ฟังเรื่องซุบซิบเสียหน่อย”

“ไหนคุณว่าคุณไม่มีพรรค? ทำไมพูดถึงเรื่องซุบซิบเป็นเชิงทับถมพูดจริงยังงั้นล่ะคะ คุณเป็นพรรคใคร?”

เขาถลึงตาดูหล่อนเหมือนมีเรื่องโกรธเกรี้ยวกันมานาน จรวยกำลังเอาซ่อมจิ้มเงาะลงในจานแบ่งให้สามีเลยมือแกว่ง เงาะหล่นหลายใบ

“เบา ๆ หน่อยคุณ” เขาบอกและใจอ่อนลง เมื่อกินผลไม้ของโปรดไปด้วย “ตอนนี้ยังไม่ออกกฎหมายพรรคหรอก ถ้ากลับมาถึงบ้านเหนื่อย ๆ แล้วได้กินเงาะฝีมือเมียคว้านแช่เย็น ๆ ยังงี้ ผมก็เป็นพรรคผู้ชายกลัวเมียเหมือนเก่า คุณก็เหมือนกัน ถึงจะมีพรรคเพิ่มขึ้นคุณก็คงเป็นพรรคผู้หญิงอยู่เสมอ”

เมียของเขาคลายสีหน้าและทำหน้าที่ของหล่อนต่อไปด้วยอารมณ์ยิ้มแย้มอย่างเคย

“คุณอย่ายั่วยังงี้อีก! เออ! อร่อยเรอะคะ? เงาะเดือนนี้น่ากินแล้วก็ราคาค่อยเบาบ้างแล้ว”

อย่างไรก็ตามทั้งผดุงและจรวยก็ได้สำนึกว่า ต่อแต่นี้ไป บ้านทุกบ้านจะมิได้อยู่เพียงในขอบเขตของตัว แต่จะต้องขยายอาณาเขตความรู้เห็นเข้าไปในขอบเขตของบ้านอื่น เรื่องคนอื่นหรือเรื่องของคนไทยทั้งหมด ไม่มีอะไรที่มีขอบเขตของตัว แต่ต่างคนต่างจะคิดถึงแต่ตัวด้วยความรู้สึกแตกแยกยิ่งขึ้น สิ้นสุดเสียแล้วสำหรับศักราชอันร่มเย็นอย่างเก่า

จรวยเริ่มคิด

“ผัวฉันคงพบการถกเถียงแตกแยกอย่างรุนแรงเมื่ออยู่ในที่ทำงานและสังคมของกรุงเทพฯ เมื่อกลับมาบ้านจึงดูโผเผอย่างนี้ ฉันจะต้องระวังความคิดเขาให้มาก ดีไม่ดีถึงบ้านแตกโดยไม่มีเรื่องเปล่า ๆ”

ผดุงก็ครุ่นคิดคนเดียว

“ดูเหมือนความยุ่งเหยิงในอาณาเขตของการเมืองและของผู้ชายจะพลอยกระพือเข้ามาถึงก้นครัวเข้าแล้ว! เราจะต้องระมัดระวังความคิดและถ้อยคำของผู้หญิง ดีไม่ดีจะพลอยเข้าไปปิ้งด้วย”

ผัวเมียที่รักกันดูดดื่มประหนึ่งมีวัยเยาว์อย่างผดุงกับจรวย ก็เกิดมีความรู้สึกฉุกเฉินเช่นนี้ เป็นตัวอย่างความเปลี่ยนแปลงในหมู่ผัวเมียญาติส่วนมาก เมื่อเกิดยุคเข็ญซึ่งเรียกว่ากรณีสวรรคตครั้งนั้น

สภาพภายในจิตใจของคณะซอยสามบ้านเป็นดังนี้ เมื่อกานดาเริ่มเหลียวแลรอบตัวและฉุกคิดขึ้นว่าตนเป็นเหมือนคนแปลกหน้าในบ้าน เย็นวันนั้นอากาศเร่าร้อนเหลือเกินเพราะฝนหยุดชะงักอยู่หลายวัน กานดาได้ยินผู้หญิงกับเด็ก ๆ พูดถึงเรื่องส่งเสด็จพระราชดำเนินไปต่างประเทศอย่างเกรียวกราวกันอีก กานดาพลอยตื่นเต้นตามเคย เย็นนั้นวิชัยกลับบ้านเร็วผิดธรรมดา ในระยะนี้ กานดาลืมเรื่องที่หล่อนกับเขาหมางเมินมานาน หล่อนรู้ว่าวิชัยจะต้องมากราบมารดาของเขาวันละครั้ง ถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัยสักหน่อย ฉะนั้นหญิงสาวจึงลงไปเก็บมะลิที่แปลงดอกไม้ระหว่างประตูรั้วเรือนวิชัยกับรั้วเรือนกลางเสียเอง ตั้งแต่มีเรื่องหมางเมินกันแล้ว หล่อนมักจะใช้เด็ก ๆ มาเก็บหรือเลี่ยงไปเสียที่แปลงอื่น ซึ่งอยู่พ้นทางคู่รักผู้เคร่งเครียดของหล่อน วิชัยเดินช้า ๆ เข้าประตูรั้วตามเคย เขาเห็นกานดาเงยหน้าขึ้นยิ้มอ่อนโยนอย่างเก่า ดอกมะลิเกือบเต็มขันเงินเล็กในมือหล่อน และที่ผมเหนือหูข้างหนึ่งก็เหน็บดอกไม้อันมีกลีบขาวยองใยอยู่ด้วย ดูผิวแก้มกับผิวมะลิขาวละมุนละไมเหมือนกัน

“เก็บไปร้อยมาลัยเรอะน้อง?”

นานแล้ว หล่อนไม่ได้ยินเขาถามด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างนี้ หล่อนรีบกลืนน้ำตาตอบเขาขณะที่หัวใจโจนทะยานยิ่งขึ้น

“ค่ะ! คุณป้าบ่นว่าเก็บขายมากเกินไป เด็ก ๆ ไม่ใคร่ร้อยมาลัยหรือเสียบกิ่งกัลปังหาบูชาพระเลย วันนี้น้องว่าง เลยคิดจะฉลองศรัทธาท่านเสียที”

“คุณแม่มีบุญ! พอบ่นก็มีคนทำให้”

“คุณพี่ต้องการมาลัยสักพวงไปห้อยหัวมุ้งไหมคะ?”

“ขอบใจ! เมื่อก่อนก็เคย–มีห้อยเหมือนกัน เพิ่งจะหายไปเมื่อตอน– ใคร ๆ เขาไม่ว่าง! วันนี้น้องดาว่างจริง ๆ เรอะ?”

“จริง ๆ ค่ะ!”

“ขอดมเดี๋ยวนี้เถอะ”

หล่อนทำท่าจะยื่นมะลิทั้งขันให้เขา ครั้นแล้วก็หดกลับไป

“บาปเปล่า ๆ ค่ะ! มะลิในวันนี้จะต้องถวายพระด้วย พี่ชัยคอยดมทั้งพวงเวลาเข้านอนไม่ดีเรอะคะ?”

“คอยนานเกินไป! คืนนี้พี่จะออกมาข้างนอกอีกไม่ชอบคอยอะไรเยิ่นเย้อยังงั้นเลย”

กานดาใจหายวาบ และเริ่มมีอาการประหม่าเหมือนเก่าเป็นอาการก้ำกึ่งกันอยู่ระหว่างความกล้ากับความขลาดของหญิงสาว เสียงหล่อนแผ่วไพเราะเหลือเกิน

“งั้น–งั้นดมกลิ่นไกล ๆ ก็ดีนะคะ?”

เขาก้มเข้ามาชิดแก้มที่ขาวยองใยยิ่งขึ้น

“เด็กดื้อ! ไม่ดีหรอก! ขี้เหนียวจริงน้อง! จะให้อะไรพี่ดูขยัก ๆ อยู่เสมอ–ไม่เอาละถ้าให้คอยกลางคืนหรือดมขยักขย่อนยังงั้น! แต่พี่ขอดมดอกที่น้องทัดไว้ข้างแก้มก่อนเถอะ–คิดถึงแท้ ๆ”

ทันใดนั้นหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นและวาบหวิวใจเพราะจมูกชายที่มาคลอเคลียข้างแก้ม หล่อนซึมทราบถ้อยคำเขาดี แต่เมื่อสังเกตเห็นการเรียกร้องในดวงตาชายชัดเจนด้วยแววเร่งเร้าเหลือเกิน กานดากลับเกิดความรู้สึกขยักขย่อนอย่างใหม่มิได้! หล่อนตื่นตระหนกต่อความปรารถนาอันเข้มแข็งของวิชัยและของหล่อนเองอีกด้วย บทเรียนความรักและการสมรสอันขื่นขมของจิตรี และคุณจำรัสเป็นเหมือนภูตที่คอยรังควานให้หวาดสยองอยู่เสมอ กานดาผงะไปจากวงแขนของชายที่รัก สายสัมพันธ์ที่เพิ่งจะขันเกลียวกันใหม่ ก็กลับหย่อนยานยิ่งขึ้น

“เดี๋ยวค่ะ!–คอยเดี๋ยว”

วิชัยยืดตัวตรงตามเดิม ดูเหมือนมะลิจะไม่ขาวยองใยอย่างเมื่อกี้ แก้มกานดาก็ดูซูบซีดสักหน่อย

“นึกแล้ว! เลิกกัน–ขี้เกียจดมดอกไม้บูชาพระ! ดูจะเป็นบาปเปล่าไปเสียหมด ไม่ต้องร้อยมาลัยหรอกน้อง คืนนี้พี่คงไม่ได้มานอนดมมาลัยที่หัวมุ้งเหมือนเก่า อาจโต้บริดจ์จนสว่างไปกับเกมส์ก็ได้”

“พรุ่งนี้เช้า” กานดาเพิ่งนึกออกว่าหล่อนต้องการให้วิชัยชวนไปส่งเสด็จฯ “พรุ่งนี้เช้าไม่–ไม่ไปไหนเรอะคะ? ใคร ๆ เขาเตรียมไปส่งเสด็จกันทั้งนั้น”

“พี่คงตื่นสาย”

หญิงสาวหน้าสลดและไม่อาจขอร้องตรง ๆ ต่อไป อิริยาบถภายนอกจึงดูหมางเมินมากขึ้น วิชัยคิดว่ากานดาเสพูดเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องดอกไม้เมื่อกี้ หล่อนไม่มีเยื่อใยอย่างเก่า กานดารู้จักคำนวณชีวิตตัวเองอีกคนหนึ่ง น้องสาวของเขา–จิตรีเป็นตัวอย่างใกล้เคียงคนแรก จิตรีเคยติงกานดาด้วยถ้อยคำเยาะเย้ยอย่างนี้

“ระวังเถอะ! คุณดาเป็นครูเขานะ! ผู้ชายชอบกินเปล่าไปก่อนเสมอไม่ว่าหน้าไหนทั้งนั้นแหละ ยิ่งสนิทยิ่งเอาเปรียบไปก่อน ระวังเถอะ–ทำใจอ่อนอีกบ่อย ๆ จะต้องหมดตัวแล้วก็เจ็บใจจนตาย!”

จิตรียังคำนวณผลได้ผลเสียจากความรัก และการสมรสให้กานดาฟังต่อหน้าวิชัยด้วยถ้อยคำหยิ่งผยองอย่างนี้อีก

“คนอื่นไม่มีโอกาสจะกินเปล่าไปง่าย ๆ เพราะเขาไม่ทันเห็นชั่วดีของเรามากเหมือนพวกเรา–ฉันไม่ยอมเซ่อเสียแล้ว ฉันยอมเที่ยวดึก ๆ กับคุณเผด็จคืนนี้ก็เพราะพรุ่งนี้เขาจะประกาศหมั้นของเราแล้วละ–เรา–ผู้หญิงต้องยึดหลักฐานทุกคน ใครจะปล่อยให้ความรักทำให้หน้ามืดตามัวไม่ได้!”

เดี๋ยวนี้กานดาได้แสดงตัวต่อวิชัยแล้วตลอดเวลาสามสี่เดือน กานดารู้จักใช้หัวคิดของหญิงที่มีความจัดเจนจากโลก หล่อนเรียนเร็วมาก! ไม่ใช่กานดาดอกหรือที่ปฏิเสธคำคาดคั้นของวิชัย? กานดาไม่ยอมเป็นลูกคู่เขาอีก แม้แต่เขาจะขอร้องให้ช่วยออกตัวต่อผู้ใหญ่ก่อนว่าหล่อนเป็นฝ่ายรบเร้าให้วิชัยจัดการสมรสโดยเร็ว หล่อนไม่ช่วยให้เขาให้คงอยู่ในตำแหน่ง ‘ชายหนุ่มผู้น่ายกย่อง’ อย่างเคยเขาถูกตราหน้าว่ามีความรักมูมมามเหมือนชายอื่น มารดาของเขาคงถูกซุบซิบว่าเป็นผู้ใหญ่หละหลวม หรือเจตนาเลี้ยงดูลูกสาวคนเดียวของหลานเขยไว้เพื่อลูกชายของตัวจะได้เพิ่มพูนหลักฐานเท่านั้น วิชัยเคยได้ยินเสียงซุบซิบในหมู่ญาติอยู่เสมอ แต่เมื่อกานดายังไม่มีความขัดแย้งอย่างเดี๋ยวนี้ เขาก็ไม่อยากเร่งรัดหล่อนมาก ครั้นเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นใหม่เป็นการกระทบกระเทือนถึงความรักระหว่างหล่อนและเขาครั้งอดีต วิชัยก็ทนไม่ได้ที่เห็นกานดามีความคิดขัดแย้งและมีอาการกระด้างกระเดื่องดังนี้

เจตนาของวิชัยที่เกรี้ยวกราดเอากับกานดาก็คือ เขาไม่สำนึกว่าตนจะชดเชยความผิดหวังเรื่องเก่าแก่เกือบทุกเรื่อง เช่นชีวิตรักอันอื่นขมของมารดาและน้องหญิงที่มีรอยเปรอะเปื้อนไปแล้ว และมันทิ่มแทงความหยิ่งผยองในเกียรติยศอย่างหนัก

เจตนาอย่างหนึ่งก็คือ เขารักหล่อนเพียงไร เขายิ่งอยากแสดงว่าเขามีอำนาจเหนือกานดาโดยสมบูรณ์แบบเดิม เมื่อมีวี่แววว่าหล่อนเริ่มหลุดลอยไปจากอำนาจรักอันสมบูรณ์บ้างแล้วและหล่อนเป็นตัวเองอีกด้วย วิชัยก็เกิดความมุมานะอันเหี้ยมเกรียมที่จะหักโหมให้ได้ มิฉะนั้นก็รื้อทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้สุดสิ้นกันเสียเลย! ไม่มี ‘เรา’ ลิขิตอยู่ในความรักของผู้ชายแบบวิชัย ความรักที่วิชัยต้องการก็คือ ความรักที่ ‘เขา’ ลิขิตคนเดียว!

กานดาได้ถูกกำหนดให้ดำเนินชีวิตรักอยู่เพียงภายในรอยลิขิตของชายขณะที่จิตรีประกาศตัวตั้งแต่แรกรุ่นแล้วว่า ชีวิตของหล่อนนั้นจะต้องอยู่ภายในรอยลิขิตของ ‘ตน’

แต่หญิงสาวทั้งคู่ก็มีสภาพเหมือนกันเกือบทุกอย่าง ทั้งสองยังมีความเป็นหญิงอยู่เสมอ ไม่ว่าหล่อนจะปล่อยให้ชายลิขิตความรักและชีวิต ไม่ว่าหล่อนจะสามารถลิขิตตัวเอง หญิงย่อมเดินไปสู่ปลายทางที่เหมือนหลุมฝังศพอันมืดมัวเหมือนกัน กล่าวคือความทุกข์ซึ่งยอกแสยงอยู่เสมอ เพราะมีความรัก ความผิดหวัง ความพลัดพรากและน้ำตาอันเกิดจากถูกทรยศอยู่เสมอ–เหมือนวาสิฏฐีของกามนิต ซึ่งเชื่อถือตามกาลสมัยว่า ชีวิตรักของหล่อนเป็นไปตามรอยลิขิตของพรหมต้องผิดหวังและทนทรมานใช้ชาติเสียชาติหนึ่งอยู่ในความทุกข์เข็ญคนเดียว

เป็นดังนี้ เพราะวิสัยหญิงย่อมปล่อยตัวให้ถูกสิงสู่ด้วยภูตผีแห่งความทรงจำจากอดีต

เหมือนโอฟีเลียของแฮมเล็ต หล่อนตายในความบ้าคลั่งเสียก่อนจะดับสังขารภายในอ้อมแขนของธารน้ำ เพราะหล่อนบริสุทธิ์และซื่อตรงต่อความรักที่เคลือบความอาฆาตแค้นของชายเหี้ยม

เป็นดังนี้ เพราะวิสัยหญิงย่อมปล่อยตัวให้ถูกหลอนด้วยภูตผีแห่งความทรงจำจากอดีต

เหมือนวันทองของชายโฉดเขลาคู่หนึ่ง นางสิ้นชีพและเสียชื่ออันเป็นอาภรณ์ล้ำค่าของหญิงเพียงเพื่อเป็นพลีกรรมแก่กามราคะของชายเขลาคู่นั้น

เป็นดังนี้ เพราะวิสัยหญิงส่วนมากย่อมปล่อยตัวให้ถูกประหัตประหาร ด้วยภูตผีแห่งความทรงจำจากอดีต

และอดีตโดยมากก็มีแต่ความรัก และความซื่อตรงต่อชายกี่คนที่เคยซื่อตรงต่อหญิง?

กานดากับจิตรียังอายุน้อย แต่ต่างคนต่างมีอดีตและปัจจุบันซึ่งเปี่ยมแปล้ไปด้วยความรักอันขุกเข็ญคนละแบบ ทั้งสองแบบก็บ่งบอกอยู่ว่าเจ้าตัวจะต้องตรงไปสู่หลุมศพอันมืดมัวเหมือนกัน

กานดามิได้หวาดระแวงไว้เลย หล่อนสังหรณ์ใจจากเหตุการณ์ที่พบเห็นด้วยตาตนเองเท่านั้น ในส่วนซึ่งสุดหัวใจ กานดายังถูกเคลือบคลุมด้วยความหวังหวานชื่นหมดจดและยั่งยืนอย่างเก่า กานดาจึงไม่ขวนขวายที่จะแก้ไขความบกพร่องระหว่างวิชัยกับหล่อนให้ทะมัดทะแมงมากขึ้น เขารักหล่อนเรื่อยมา ไม่มีอะไรในโลกจะบั่นทอนความรักอันยืนยงอย่างนี้ นอกจากเหตุการณ์บางอย่างย่อมจะทำให้รักแท้ต้องปั่นป่วนไปบ้าง กานดาเอาใจตัวเป็นเครื่องชั่งความรู้สึกนึกคิดของวิชัยเช่นนี้ เพราะกานดายังไม่เคยพบบทพิสูจน์แท้จริงจากชีวิตซึ่งว่า

ความรักแท้จริงนั้นคือ ความรักที่ไม่มีตัวเองอีกเลย ความรักระหว่างชายกับหญิงส่วนใหญ่ยังเป็นความผูกพันที่เห็นแก่ตัวเองอีกมาก มีการเอาเปรียบเป็นใหญ่ และมีการกดขี่คนซื่อและอ่อนแออีกด้วย ดังนั้นเขาจึงเปรียบความรักและการสงครามด้วยหลักเกณฑ์กดขี่คล้ายกัน ว่าทุกสิ่งทุกอย่างย่อมถือว่าเป็นธรรมในการรบและการรัก กานดายังเบาความข้อนี้

ฉะนั้น เมื่อวิชัยบอกว่าเขาคงจะตื่นสายพอกันกับไปทำงานภายหลังพิธีส่งเสด็จพระราชดำเนินไปต่างประเทศกานดาก็ไม่ขะยั้นขะยออย่างใด ดูเหมือนหล่อนไม่ต้องการความสนใจจากเขาอีก วิชัยไม่อาจล่วงรู้ว่าหล่อนรวบรวมความกล้าแข็งเพียงไรที่มาคอยพบเขาครั้งนี้ ขณะนั้นเขาเห็นหล่อนประหยัดตัวเพราะความหยิ่งผยองอย่างใหม่

“คุณแม่จะไปส่งเสด็จด้วยเรอะเปล่า?”

“ไม่ทราบค่ะ ท่านคงไม่ไปเพราะเห็นป้าม้วนเตรียมตัวแต่วานนี้ คุณป้าไม่เคยออกจากบ้านพร้อมป้าม้วนนอกจากวันพระ”

“คุณพี่ผดุงคงถูกคุณพี่จรวยรั้งตัวไป” เขาพูดถึงทุกคน นอกจากหญิงบอบบางที่ยืนหัวใจระทึกเพื่อคอยรับความสนใจจากเขาอยู่ “จิตรีก็คงควงคู่เขาไปแน่”

มีเสียงห้าว ๆ รับรองถ้อยคำของวิชัย

“จิตรีเรอะครับ? เมื่อมีทางเตร็ดเตร่ตรงไหนที่นั่นก็มีเผด็จกับน้องของคุณอยู่ด้วย” เผด็จยืนยิ้มอยู่ข้างหลังวิชัยโดยคนทั้งคู่ไม่ทันสังเกต เพราะต่างหมกมุ่นอยู่กับความนึกคิดของตัว จิตรีตื่นเต้นตามเคย เขาคิดจะลงเดินส่งเผด็จด้วยซิ! กลัวจะไม่เห็นถนัด”

วิชัยไม่รู้สึกขบขันตามถ้อยคำของเผด็จ

“น้องสาวผมไม่ใคร่รอบคอบ! คุณไม่ขัดคอเขาไว้บ้าง คนปรกติก็ยังแย่อยู่แล้วเมื่อถูกคนเบียดมาก ๆ ถ้าจิตรีลงไปเที่ยววิ่งเบียดคนข้างถนน น่ากลัวจะถูกเหยียบย่ำอย่างหนัก” สีหน้าของเผด็จไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

“ไม่มีอะไรจะต้องขัดคอเขานี่ครับ จิตรียืนยันอยู่เสมอว่า ชีวิตอพยพหลบภัยของเขาในภาคเหนือทำให้เข้มแข็งขึ้นมาก ดูเหมือนหลานสาวผมก็จะมีความคิดคล้ายกัน ผมต้องชมคุณวิชัยระหว่างสงครามว่าฝึกหัดเด็ก ๆ ดีจริง”

มันอาจจะเป็นการยกย่องอย่างจริงใจ แต่หางคิ้วของเผด็จซึ่งมีไฝดำติดท้ายนั้นเผยอขึ้น ตาคมจึงดูคล้ายกับมีแววเยาะหยันอยู่ด้วย กานดาสะดุ้งเยือก! วิชัยยิ้มเฝื่อน ๆ และปล่อยให้เรื่องจบลงเพียงเท่านั้นด้วยคำถามลอย ๆ เรื่องอื่น

“คุณเผด็จจะไปหาคุณแม่ไหมครับ?”

“ไม่–ยังไม่ไปละครับเย็นนี้ ผมเดินสูบบุหรี่เรื่อยมาจนถึงที่นี่ไม่รู้ตัว แต่ได้ยินคุณกับกานดากะแผนการไปส่งเสด็จด้วยกัน ก็เลยบอกข่าวของเราบ้าง จิตรีไปบ้านคุณใหญ่มาเมื่อเช้า คุณใหญ่บอกว่าต้องดึงคุณพี่ผดุงไปด้วยก็เพราะเห็นว่ารถพวกเราคงยัดเยียดอยู่แล้วเลยไม่กล้าเกาะ”

กานดาหน้าแดงเรื่อ แต่หล่อนไม่มีความกล้าพอจะบอกว่า ขณะที่ญาติสนิทในซอยสามบ้านกะการไปส่งเสด็จด้วยกัน หล่อนมิได้อยู่ในหมายกำหนดการของใครสักคน เมื่อเผด็จคาดคั้นข้อนี้ วิชัยก็มิได้รับรองหรือคัดค้านเขาเลย แต่การนิ่งของวิชัยก็ย่อมทำให้เผด็จเข้าใจว่ากานดาคงไปกับวิชัยตามคำคาดคั้นของตน

“ต้องคอยเกาะกันด้วยเรอะ–เรื่องหยุมหยิมยังงี้”

ในที่สุดวิชัยพูดขึ้นลอย ๆ แล้วก็ผละไปทางหน้าเรือนคุณจำรัส

“มะลิ–” เผด็จเตือนด้วยเสียงขบขันขึ้นอีก “ไม่เอามะลิเรอะคุณวิชัย? ถ้าหูผมไม่เชือนเพราะเสียงจิตรีตามมาคะยั้นคะยออยู่แล้ว ดูเหมือนเมื่อผมเดินเผลอเข้ามาเมื่อกี้ คุณกับคุณหลานกำลังแบ่งมะลิกันอยู่”

วิชัยหยุดกึก หน้ากร่ำไปด้วยเลือดและพูดเก้อ ๆ กลับมา

“ไม่–ยังไม่เอาวันนี้แน่! น้องดาเขาหวงมะลิไว้ร้อยพวงมาลัยหรอกครับ เขาจะเอาไว้บูชาพระ–ไม่ใช่ผม”

ครู่หนึ่งกานดาจึงกล้ามองดูเผด็จด้วยดวงตาขลาด ๆ ของหล่อน เสียงฝีเท้าวิชัยที่เร่งร้อนไปหน้าเรือนกลางเหมือนกับย่ำอยู่ในโสตประสาทและหัวใจที่เปล่าเปลี่ยวและเศร้าหมองมากขึ้น หัวคิ้วเผด็จตึงเครียดดูเขาไม่มีท่าทางเบิกบานแบบเดิม ไฝดำเม็ดเล็กแลดูชัดเจนจนแววตาแข็งกร้าวเกินควร

“ดูเหมือนคุณวิชัยจะตั้งตัวเป็นคู่แข่งของพระ!”

“พี่ชัยชอบดอกไม้มากค่ะ แต่เขาก็รู้จักธรรมะธัมโมเหมือนกัน เมื่อกี้ดาไม่ได้หวง–แต่–แต่”

“ต้องหวง!” เผด็จสอดเสียงดุ “ดอกไม้ทุกชนิดนับแต่ดอกไม้บูชาพระลงไปหาดอกไม้ข้างรั้วเหล่านั้น–อย่างน้อยก็มีประโยชน์ประดับโลก แล้วก็–คนที่เขาต้องการก็ยังมี! ไม่จำเป็นจะเก็บฟรีเพื่อเอาไปขว้างทิ้งเท่านั้น ยิ่งเป็นดอกไม้บูชาพระแล้ว ถึงจะเป็นยอดชายอย่างคุณวิชัยก็ยังไม่วิเศษพอจะเดาะลิ้นหรือกระดิกนิ้วเรียกดมได้ทุกแห่ง–ให้ดิ้น–ขอโทษ! อาเห็นผู้หญิงอย่างคุณดาเป็นดอกไม้บูชาพระที่ต้องยกย่องเสมอ”

“ไม่ใช่ค่ะ! ดาเป็นผู้หญิงอย่างเดียว”

เผด็จสะดุ้ง! หน้าแดงเข้มครู่หนึ่งขณะที่ชำเลืองดูใบหน้าหลานหญิงอายุไม่ห่างไกลกันนัก นกกางเขนบนต้นพิกุลส่งเสียงแจ้วในแสงแดดใกล้ค่ำของปลายฤดูฝน ทั้งเสียงนกและเสียงกานดาดูคล้ายกับเสียงจิตรีเหลือเกิน กานดาพูดโดยซื่อ เดาสุ่ม หรือเพราะเคยรู้เรื่องหยาบคายคืนนั้นด้วย? คืนนั้น–หกเดือนมาแล้วเผด็จกับจิตรีได้ฉีกหน้ากากกันจากการเคลือบคลุมของอดีต เผด็จได้แสดงต่อจิตรี เขามีเมียต่างเชื้อชาติแล้วคนหนึ่งในต่างประเทศ เขารู้เรื่องเหลวแหลกของจิตรีตลอดหมด แต่เขายอมประกอบการสมรสยอมเช่าบ้านด้วยเงินหมื่น ซึ่งทำให้จิตรีและตะวันรอดตัวไปตอนหนึ่งเมื่อเกือบจะทำความอับอายขายหน้าให้แก่ครอบครัวของตน เขายอมเสียเปรียบไปมากในสายตาจิตรีและญาติมิตร ไม่ใช่เพราะเผด็จหลงใหลจิตรีหรือมีความรักใหญ่ยิ่งอย่างใด เผด็จได้บอกจิตรีตามความเป็นจริงอันขื่นขมคืนนั้นว่า

“ทำไมผู้ชายถึงซมซานเข้าหาผู้หญิงเลว ๆ น่ะเรอะ?–เพราะคุณเป็นผู้หญิงอย่างเดียว”

ต่อแต่นั้นมา จิตรีก็มิได้ประพฤติต่อเผด็จในฐานะเมียเหมือนเก่า แม้ก่อนนั้นจิตรีก็มิได้เป็นแม่เรือนที่น่ายกย่องอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามก่อนคืนนั้น จิตรียังแสดงความหยิ่งผยองอย่าง ‘เมีย’ เพราะไม่รู้ว่าเผด็จเหยียดหยามตนเพราะหยั่งถึงอดีตอันเคลือบคลุมของตน

ต่อแต่คืนฉีกหน้ากากกันแล้วจิตรีก็ประพฤติตัวเป็น “ผู้หญิงอย่างเดียว” ตามถ้อยคำขื่นขมของเผด็จ!

กานดาได้ไปอยู่พยาบาลจิตรีเมื่อคราวคลั่งไคล้เพราะการตั้งครรภ์ของหล่อน จิตรีอาจคร่ำครวญคำนี้ให้กานดาฟังก็ได้ กานดาจึงพลอยพูดติดปากไปด้วยถ้าหล่อนไม่เจตนาจะย้อนเผด็จเพราะเกิดขุ่นเคืองเขาด้วย

แต่กานดาไม่เคยมีนิสัยชอบ ‘ย้อน’ อย่างนั้น ดวงหน้านวลใยเหมือนมะลิ แลดูเศร้าสร้อยน้อยใจอย่างเดียว ไม่มีความขื่นขมของโมหจริตเหมือนเผด็จได้เคยเห็นเมื่อจิตรีเคียดแค้นขึ้นมา

ความหมายแห่งถ้อยคำของเผด็จ–เป็นผู้หญิงอย่างเดียว–ดูเหมือนจะได้แสดงความหยาบคายของมันต่อเมื่อเอามาใช้กับญาติหญิงของเขาเอง ซึ่งสายเลือดเดียวกันทำให้เผด็จเคืองแค้นขึ้นบ้าง วิชัยเป็นสาเหตุให้หลานหญิงเลือดดิเรกกุลเป็นเพียง ‘ผู้หญิงอย่างเดียว’ ด้วยหรือ? เลือดดิเรกกุลไม่เคยมีใครต่ำช้าเช่นนั้น เผด็จเดือดพล่าน! ครั้นแล้วเขาก็ฉุกคิดได้ว่า จิตรีเป็นญาติหญิงที่วิชัยก็รักมากเหมือนกัน วิชัยจะขุ่นเคืองแค่ไหนถ้าเขารู้หรือเพียงแต่สังเกตได้ว่าจิตรีก็ถูกเผด็จถือเอาเหมือน ‘หญิงอย่างเดียว’ ด้วยเหมือนกัน? เลือดของใครใครก็รักและเทิดทูนทั้งนั้น ความโกรธของเผด็จที่พลุ่งขึ้นก็ค่อยลดละลงเอง หัวคิ้วคลายออก ไฝดำที่หางคิ้วจึงเป็นเพียงจุดที่ช่วยให้ดวงตาคมคายขึ้นอีก

“อาขอโทษ–ถ้าได้เข้าใจหรือพูดเปะปะไปบ้าง” เผด็จบอกยิ้ม ๆ ด้วยอารมณ์เย็นอย่างเก่า “ที่จริงหญิงก็เป็นหญิง ดอกไม้ก็เป็นดอกไม้ แต่ผู้หญิงกับดอกไม้เหมือนกันตรงที่ทำความสวยงามให้แก่โลกแล้วไม่คิดถึงคุณค่าของตัว อาตั้งใจจะพูดกับคุณวิชัยด้วยเรื่องค้าขายของอาอยู่หลายวันแล้ว จิตรีชวน–ง่า–พูดเรื่องส่งเสด็จจนหัวปั่นไปหมดเมื่อหนีเขาลงมาเดินเล่น เลยคิดจะแวะฟังข่าวคุณวิชัย เด็กหมูมันบอกว่าคลาดกันนิดเดียว อาคิดว่าจะเดินมาทันเขาที่ใดที่หนึ่งในบ้านถึงได้เตลิดมาจนเหมือนขัดคอเขาเล่น”

“โอ่! อาเผด็จไม่บอกพี่ชัยนี่คะ คืนนี้เธอก็ไม่อยู่อีก”

“อาคอยได้! ดูลมดีเมื่อไรก็จะดักเชิญตัวไปกระทบแก้วกันเอง”

“สำคัญไหมคะ? ถ้าสำคัญดาจะตามไปบอกเดียวนี้แหละ”

“อย่าเลย! เรื่องจะต้องพูดยาวอยู่หน่อยวันหน้าค่อยคิดกันใหม่ เมื่อกี้–อางง–ง่า จิตรีหัวรั้นเหลือเกิน”

กานดาจึงสังเกตเห็นแววกังวลในดวงตาคมคายของเผด็จ

“ดาต้องไปหาคุณจิตรีเรอะคะ?”

เขายกมือลูบหน้าผากแล้วก็ยืดตัวตรง

“ไม่ต้อง! เว้นแต่พรุ่งนี้คุณดาจะไม่ส่งเสด็จฯ ด้วยกัน แต่นี่จะไปกับคุณวิชัยแล้วยังต้องยุ่งเรื่องดอกไม้อีกอาก็เห็นคุณควรจะไปเตรียมตัวตามเคย คุณวิชัยรีบไปเรือนโน้นแล้วนี่นะ”

กานดาคอยจนเผด็จหันหลังให้และผ่านประตูรั้วไปแล้วจึงปล่อยสีหน้าให้เป็นไปตามความรู้สึกคับแค้นของหล่อน คือหวาดวิตกและรันทดเท่านั้น

“พรุ่งนี้เราจะออกจากบ้านไปกับใครดี?”

กานดาต้องคิดด่วนและนึกได้ว่าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนต้องเคว้งคว้างคนเดียว ดูเหมือนญาติมิตรส่วนมากไม่สังเกตว่าถ้าวิชัยเหินห่างหล่อนแล้ว กานดาจะต้องเคว้งคว้างคนเดียว ในเรื่องส่วนตัวง่าย ๆ ทุกอย่างแม้ความเป็นอยู่ประจำวันภายในบ้านของกานดาก็ตกอยู่ในการควบคุมของวิชัยมานานแล้ว มารดาของวิชัยรับผิดชอบชีวิตในบ้านของกานดามาพร้อมกับจิตรี วิชัยเป็นลูกชายคนโตก็ต้องร่วมดูแลโดยปริยายอยู่เองกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในการควบคุมของวิชัยหมด เมื่อมีวี่แววว่ากานดาจะได้เป็นคู่ครองเขาด้วย กานดาก็ถูกเกี่ยงให้แก่วิชัยมากขึ้น คล้ายกับว่าหนุ่มสาวร่วมใจกันก่อเรื่องรักใคร่ของตนโดยยังไม่ขอความเห็นจากผู้ใหญ่ตลอดเวลายืดยาวอย่างนี้ เขาก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบในชีวิตครองคู่ของตนอีก อนึ่งเรื่องกินใจเก่า ๆ ระหว่างสกุลก็เป็นแรงหนุนสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ผู้ใหญ่ในซอยสามบ้านต้องปั้นปึ่งไปอีก คล้ายกับยืนยันอยู่เสมอว่า

“เรื่องนี้เด็ก ๆ เขาแอบเกาะแกะกันเอง ผู้ใหญ่ไม่เคยให้ท้ายและไม่รับรู้หรอกเจ้าข้า! เมื่อเขาขอให้ช่วยเมื่อไรนั่นแหละก็จะต้องช่วยอย่างผู้ใหญ่”

เรื่องของกานดากับวิชัยเป็นเรื่องคุมเชิงเช่นนี้ฝ่ายชายก็เป็นคนมีความประพฤติที่ใคร ๆ ยกย่องอยู่เสมอ ฝ่ายหญิงก็เรียบร้อยเหลือเกิน เรื่องของเขาไม่มีจุดใจหายใจคว่ำที่ควรเขม่นมองมากนัก ใคร ๆ เชื่อมานานแล้วว่าเรื่องของวิชัยกับกานดานั้นจะไม่มีเหตุกระทบกระเทือนถึงใครรวมทั้งตัวคนทั้งคู่เองอีกด้วย

ลักษณะและความเป็นอยู่ของกานดาดูช่างราบรื่นจนใคร ๆ เกือบลืมหล่อนตั้งแต่จิตรีแต่งงานไป และวิชัยเพิกเฉยเช่นนี้ กานดาจึงขาดคนอนาทรแท้จริงนอกจากบางครั้งที่วิชัยจะเกิดความรู้สึกอ่อนโยนอย่างเก่า กานดาไม่เคยดิ้นรนเรื่องเที่ยวเตร่ และไม่ผูกพันเพื่อนฝูงคนใดพอจะชดเชยช่องว่างในชีวิตที่เชื่อมอยู่กับวิชัย ทั้งนี้ เนื่องจากเหตุสองประการคือ นิสัยเดิมของกานดามักน้อยและเจาะจงจำเพาะทิศเฉพาะทางเท่านั้น เมื่อหล่อนผูกพันเรื่องใดแล้ว หล่อนไม่เคยเหลียวแลเรื่องอื่น ถ้าพูดเฉพาะเรื่องความรักใคร่ของหญิงนี้ หล่อนน่าจะเกิดในดินแดนที่หญิงยังฆ่าตัวตายตามคู่ครอง วิชัยเป็นทั้งพี่เพื่อนและคู่รักที่เคยมั่นหมายมาแต่รุ่น กานดาจึงไม่มีญาติมิตรชายหญิงที่จะเป็นคู่คิดคนอื่น ตั้งแต่เยาว์มาวิชัยเป็นตัวแทนทั้งหมด เมื่อใดวิชัยเพิกเฉยเช่นนี้กานดาจึงต้องเคว้งคว้างคนเดียว กานดาเป็นคนเฉยที่ชอบอยู่กับความนึกคิดของตน แม้พ่อบังเกิดเกล้าก็ไม่อาจทายความคิดของหล่อนออก คนส่วนมากจึงเหมาเอาว่า หล่อนไม่รู้สึกยินดียินร้ายต่ออะไรมากนัก จึงมีอาการเยียบเย็นอยู่เสมอหล่อนจึงไม่อยู่ในหัวคิดใครมาก

ถ้าแม่บังเกิดเกล้าของกานดาไม่ด่วนตายแต่เกิดหรือยายใหญ่ซึ่งเป็นป้าของแม่–คุณหญิงดวงแข วรพันธ์พิทักษ์แม่ของเผด็จผู้รับเลี้ยงต่อมายังมีชีวิตอยู่จนหล่อนโต กานดาคงมีอะไรทำให้คนอื่นสนใจตัวหล่อนมากกว่านี้ หล่อนอาจรู้จักสนใจจะเหลียวแลรอบตัว ได้เห็นได้ขวนขวายและลิ้มรสชีวิตตามขีดขั้นของวัยหญิง ไม่ผลีผลามเหมือนจิตรีซึ่งก็มีปมด้อยในเรื่องพ่อแม่เหมือนกัน และก็ไม่เชื่องช้าเช่นตัวเอง จิตรีมีสันดานเดิมชอบแสดงตัวต่อโลก จิตรีแตกต่างกับกานดาข้อนี้ข้อเดียวจึงดูเหมือนจิตรีเป็นผู้ได้เปรียบไปก่อน กานดาเป็นทุกข์ร้อนเรื่องวิชัยเพิกเฉยชั่วคราวและหมกมุ่นครุ่นคิดแม้แต่เรื่องจะออกจากบ้านเที่ยวโดยไม่มีวิชัยเป็นผู้ควบคุมของหล่อน

จิตรีและหญิงส่วนมากจะไม่ยอมให้ใครเพิกเฉยชั่วคราว จิตรีและหญิงส่วนมากจะพบวิธีหาเครื่องทดแทนทุกอย่างในเวลารวดเร็วและหัวเราะร่าเริงเรื่อยไป แม้จะต้องหยุดร้องไห้ด้วยหักใจชอกช้ำชั่วคราว

กานดาไม่ดิ้นรนเรื่องส่งเสด็จหรือเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้นถ้าวิชัยยังอยู่กับหล่อนด้วยความอ่อนโยนอย่างเก่า แต่กานดาได้พบความเคร่งเครียดของวิชัยขณะที่หล่อนหวังจะได้รับความเล้าโลมใจจากเขาอีก คนอื่น ๆ ในครอบครัวยังคงคิดว่าหล่อนปรองดองกับวิชัยและเป็นสุขสบายแบบเดิม กานดาถูกความเพิกเฉยเช่นนี้ต้อนไปหาการดิ้นรนที่หล่อนเองไม่เคยทะเยอทะยานอยู่ก่อน

กานดาก็เดินไปสู่ปากหลุมฝังศพอันมืดมัวเหมือนจิตรี คือหลุมความทุกข์ที่เกิดจากรักผิดหวังเพราะแรงราคะของชาย หลุมศพนี้เคยเป็นที่ฝังหัวใจซื่อเสียมิดเม้นมากแล้ว วาสิฏฐี โอฟีเลียและวันทองยังมีตัวตายตัวแทนท่ามกลางหมู่หญิงอยู่เสมอ–แม้กาลเวลาจะล่วงไปแต่โลกยังครอบคลุมด้วยกิเลสราคะของมนุษย์!

จะต่างกันก็แต่ว่า จิตรีวิ่งตรงไปสู่หลุมศพด้วยมีใจทะยานอยากอยู่แล้ว แต่กานดาเดินทางอ้อมไปสู่ที่เดียวกันทั้งที่ไม่เคยทะยานอยากอยู่ก่อน เหตุการณ์แวดล้อมหลายประการผลักดันกานดาไปสู่วงแขนความทุกข์เพราะหล่อนบริสุทธิ์และอ่อนโยนแบบหญิงอยู่เสมอ และมันกลายเป็นความอ่อนแอสำหรับชีวิตเข้มข้นของทุกสมัย ขณะเดียวกันหัวใจจิตรีดิ้นรนให้เหตุการณ์และผลกรรมเกิดขึ้น เพราะหล่อนมีความเหลวแหลกและกล้าแข็งของหญิงด้วย

ดูเถิด! หญิงอย่างไรเล่าจึงจะอยู่ด้วยดีได้บ้าง–ในโลกเจริญตาแต่เต็มไปด้วยชายและกิเลสราคะของชาย?

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ