(๘)
กานดาชะงักอยู่หน้าประตูห้องธุระการ วรรณีเตรียมตัวจะกลับบ้านอยู่แล้ว แต่ยังคงถูกเพื่อนครูรุมล้อมหลายคน ไสววงศ์ เจนจิรา นารีก็รวมอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ดูเหมือนต่างคนต่างมีเรื่องถกเถียงกันทั้งนั้น สีหน้าทุกคนตื่นเต้นและแสดงว่าอยากรู้เหลือเกิน กานดาแน่ใจว่าเพื่อน ๆ กำลังถกเถียงถึงเรื่องลาออกของหล่อนอย่างฉุกเฉินเช่นนั้น แม้เจนจิราซึ่งเป็นคนคอยเป่าข่าวของหล่อนด้วยเรื่องหยุมหยิมอยู่เสมอ ก็มีสีหน้าไม่สบาย คนอย่างเจนจิราชอบเกริ่นข่าวคนอื่น และชอบเห็นคนอื่นต้องอึดอัดเพราะเรื่องอย่างนั้นจริง แต่ถ้ามีเหตุการณ์จริงจังเกิดขึ้น–โดยเฉพาะเกิดจากการเกริ่นข่าวของตนแล้ว เจนจิราก็เริ่มปั่นป่วนไปบ้าง การลาออกอย่างฉุกเฉินของกานดาตอนเช้าเป็นผลใหญ่โตเกินกว่าเหตุแท้จริง เจนจิราและครูอีกหลายคนรู้ว่า ต้นเหตุเป็นเรื่องแหลก ๆ หลายอย่าง เช่นความอิจฉาชิงดีเป็นผู้ใกล้เคียงครูใหญ่ และหักโค่นผู้ที่เคยมีคนยกย่องอยู่เสมอให้กลับเป็นผู้ที่เสื่อมเสียสักหน่อย เหนือกว่านั้นก็ไม่มีอะไร เจนจิรากับเพื่อน ๆ บางคนคิดว่าถ้ากานดา ‘คนดี’ หรือ ‘ผู้ดี’ ได้เสียหน้าด้วยเรื่องเสื่อม ๆ เสียบ้างและยอมลดชั้นเชิงให้พวกเขาโขกสับเสียบ้าง เหตุการณ์ทั่วไปก็จะกลับเข้าสู่สภาพเดิมได้เอง เจนจิรากับเพื่อน ๆ ที่มีความคิดคล้ายกันจะกลับเป็นฝ่ายช่วยเหลือ ‘คนผิด’ อย่างเข้มแข็ง คนผิดจะได้รับควา เห็นอกเห็นใจพวกเขามากกว่าคนดีที่มีชั้นเชิงเช่นกานดา
แต่ตอนกลางวัน เมื่อเหตุการณ์กลับเป็นจริงจังไปอีกทางหนึ่ง เจนจิรากับเพื่อน ๆ จึงพลอยปั่นป่วนไปด้วย กานดาลาออกทันทีที่ ‘การปฏิบัติหน้าที่ของตน’ เกิดมีปัญหาให้ขบคิดขึ้นได้ กานดาลาออกด้วยเหตุผลเพียงว่าหล่อนเปิดโอกาสแก่ทุกฝ่ายให้พ้นจากความยุ่งยากที่จะต้องมาขบคิดปัญหาใด ๆ ของหล่อนในคราวยุ่งเหยิงอยู่แล้ว หล่อนถอย–แต่ถอยด้วยชั้นเชิงเดิม กานดาไม่แสดงว่าหล่อนลาออกเพราะมีผิด หรือได้ทำอะไรเสื่อมเสียสักอย่าง ศีรษะหล่อนยังตั้งตรง สายตาอ่อนโยนยังมองตอบตาคนอื่นอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งประกอบกับท่าทรงศีรษะนั้นแล้วก็แลดูยังหยิ่งผยองอย่างเก่า
กานดาไม่ต้องการสารภาพผิดเพื่อให้เจนจิราช่วยแบกบาป และช่วยโอบเพื่อน ๆ อุ้มเอาไว้!
การคอยสอดส่อง เดาสวดและเกริ่นข่าวหยุมหยิมอยู่เสมอ จึงไม่ก่อให้เกิดผลสุดท้ายสมกับความนึกคิดของผู้ที่ต้องการผลหยุมหยิมอย่างเดียว เจนจิราไม่ประสงค์ให้กานดาลาออกไป เลย โดยยังคิดว่าตัวเป็นคนดีได้อยู่ การได้ตำแหน่งคนใกล้เคียงครูใหญ่แทนที่กานดาก็ไม่น่าตื่นเต้นต่อไปในเมื่อไม่มีกานดาคอยเคียดแค้น และคุมเชิงเช่นคาดไว้ ร้ายที่สุดก็คือกานดาสละตำแหน่งผู้ใกล้ชิด นั้นอย่างหน้าเฉยตาเฉย เหมือนไม่รู้ตัวว่ามันเป็นตำแหน่งสำคัญและมีคนคอยยื้อแย่งเสมอ
ไม่สนุก!
นี่คือเหตุที่ทำให้เจนจิราและเพื่อนบางคนพลอยปั่นป่วนไปด้วย เมื่อกานดาลาออกอย่างฉุกเฉินเช่นนั้น
“คุณดา! โธ่! จะออกก็ไม่เกริ่นกับพวกเราบ้างเลย–เราตกใจ!”
เจนจิราเหลียวไปเห็นกานดาก่อนเพื่อน และพูดอย่างจริงใจ เจนจิราเป็นผู้หนึ่งที่เห็นเหตุการณ์เมื่อกลางวันตั้งแต่ต้นจนจบ ครั้งแรกหล่อนได้เห็นเหตุการณ์ก่อนเพื่อนและไปตามครูใหญ่กับวรรณีมา ‘คอยช่วยเหลือ’ อยู่ข้างห้องรับแขก เจนจิราไปบอกกับครูใหญ่ว่า ‘จะมีเรื่อง’ ตั้งแต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะยุ่งเหยิงอย่างนั้น แต่ในที่สุด เหตุการณ์ก็ปั่นป่วนไปจริงเหมือนเจนจิรารีบแจ้งวี่แววไว้ก่อน วรรณีคัดค้านคนเดียวว่า ‘ถ้าไม่มีพวกเราเห็น ก็ไม่มีใครรู้เลยว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้น’ แต่ขณะนี้อาจารย์ใหญ่กับวรรณีพูดอยู่กับกานดา เจนจิราก็ออกไปห้องพักครู และกระซิบกระซาบจนเป็นเสียงอื้ออึงออกมาในกลุ่มครู เมื่อตอนบ่ายกานดากลับไปโรงเรียน ภายหลังที่แยกทางกับตะวันแล้ว ก็พบผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่กำลังหัวเสีย เพราะเพื่อน ๆ พากันโจษถึงเรื่องกานดาจะกลายเป็นกรณีอื้อฉาวเช่นนั้น กานดาเห็นวรรณีผู้เคยมีปฏิภาณและวาจาฉับไป กลับนั่งนิ่งและหน้าเครียดคนเดียว ก็คาดความเป็นไปขณะนั้นได้ พอเจนจิราร้องทัก และตรงเข้ามาจับมือถือแขนอย่างร้อนรนเหลือ กานดาจึงกลั้นหายใจครู่หนึ่ง วางสีหน้าให้ปรกติ และตอบเจนจิราด้วยอาการอ่อนโยนอย่างเคย
“คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดานี่คะ ฉันจะต้องมาส่งงานอีกตั้งอาทิตย์ ถึงยังไงก็ได้ร่ำลาทั่วถึงทุกคน แต่ฉันไม่คิดว่าจะต้องตั้งพิธีทำอะไรเลยค่ะ ฉันหายเหนื่อยแล้วหรือนี่มีตำแหน่งว่างเมื่อไร ฉันก็จะทำงานอีก พวกเราอาจจะออกไปแล้วหลายคนก็ได้ ครูโรงเรียนราษฎร์ย่อม ๆ อย่างเราน่ะมีธรรมดาต้องโยกย้ายอยู่เสมอ ไม่ใช่เรอะคะ? คุณณี! ฉันมีเรื่องต้องลาคุณสองต่อสองสักหน่อย”
“แน่นอน!” วรรณีหัวเราะออกเพราะท่าทางแจ่มใสของกานดา “ไหน ๆ เพื่อนรักจะทิ้งเราทั้งที ฉันต้องขอร่ำลาให้เป็นพิเศษซิคุณ ฉันไม่ยอมแพ้คุณเจนจิราหรอกค่ะ!”
“โธ่?” เจนจิราร้องไห้ “ฉันคิดถึงคุณดา–It breaks my heart–หัวใจฉันแตกหมด–ไม่อยากให้คุณดาลาออกเลย”
วรรณีกับเพื่อนสนิทของเจนจิราเองเชื่อคำคร่ำครวญของหล่อน ไม่มีใครจะยอมให้เจนจิราลอบหยิกอย่างสบายเหมือนกานดายินยอมอยู่เสมอ–แม้ขณะนี้กานดาเป็นคนที่ไม่แสดงว่าครุ่นคิดถึงเรื่องหยุมหยิมอย่างนั้น กานดาเอามือคล้องแขนเพื่อนครูและพาออกไปส่งที่ประตูห้องธุระการด้วยกิริยาสนิทสนมและอ่อนโยนยิ่งขึ้น
“เราคง–พบกันอีกค่ะคุณเจน! กรุงเทพฯ แคบนิดเดียว ฉันเองจะต้องคิดถึงโรงเรียนเหลือเกิน”
เจนจิราและเพื่อน ๆ พากันออกไปจากห้องด้วยความคิดราบเรียบลงมาก วรรณีพูดอย่างใคร่ครวญขึ้นอีก
“คุณอาจจะไม่มีเรื่องต้องลาออกถ้าเจนจิราไม่กระหืดกระหอบไปเป่าข่าวจนครูใหญ่กับฉันต้องพลอยมารู้เห็นเรื่องที่ไม่ควรเป็นเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้ นิ่ง ๆ เสียก็ไม่มีเรื่อง”
“นั่นเป็นแต่เพียงคุณคาดคิดคนเดียว” กานดาแย้ง “เจนจิราไม่ใช่เหตุสำคัญของเรื่องนี้หรอกค่ะ ตัวฉันเองเป็นเหตุสำคัญของตัว แต่–คุณณีคะ! ค่ำวันนี้คุณพอจะรับฉันเป็นแขกค้างคืนอยู่ด้วยสักอาทิตย์ได้ไหม ฉันจะขนของไปบ้านคุณทันทีถ้าไม่ขัดข้อง”
“คุณค้างอยู่กับฉันตลอดชีวิตก็ได้ ไปเดี๋ยวนี้นะคะ ขอเชิญ!”
กานดานิ่งงัน เมื่อขนของใช้จำเป็นไปบ้านวรรณีด้วยรถของชื่นเรียบร้อยแล้ว กานดาก็ไม่พูดอะไรกับวรรณีมากไปกว่านั้น เพื่อนสนิทของหล่อนไม่ถามเหตุผลตลอดจนเรื่องราวสหายแปลกหน้าของกานดา เมื่อชื่นลาไปแล้วและกานดากินของว่างลำพังกับวรรณีในห้องพักสำหรับแขกของเจ้าบ้าน หญิงสาวจึงแสดงความรู้สึกแท้จริงออกมา หล่อนกินอะไรไม่ได้เลยสักคำ นอกจากวรรณีจะคะยั้นคะยออยู่เสมอ
“แหม! นี่คุณดา เป็นทุกข์ร้อนเรื่องที่ทำให้ต้องออกจากโรงเรียนถึงเพียงนี้เชียวเรอะ” วรรณีประหลาดใจงานหนัก เงินน้อย เหนื่อยแสนเหนื่อยแล้วยังมีเรื่องหยุมหยิมอยู่แต่ในวงคับแคบของโรงเรียน เราก็มีญาติมิตรมากมาย มีเพื่อนชายให้เลือก แล้วยังต้องหนีมานั่งโศกถึงเรื่องยุ่ง ๆ ธรรมดาด้วยเรอะคะ? คุณควรจะแต่งงานกับนายทหารหน้าตาคมคายคนนั้นเสีย”
กานดายกมือขึ้นกุมขมับเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของวรรณี นัยน์ตาเลื่อนลอยมีแวววิตกและพรั่นพรึงเพิ่มขึ้น
“แต่งงาน! ไม่มีใครอยากแต่งงานกับผู้หญิงมีเรื่องยุ่ง ๆ อย่างฉันหรอกค่ะ ใคร ๆ ก็ไม่ชอบยุ่งยาก เดี๋ยวนี้ฉันไม่กล้าเข้าบ้านใคร เพราะเป็นตัวการให้เขาพลอยมีเรื่องยุ่งเหยิงอย่างนี้ แม้ที่สุดเด่นแสงถูกชกหน้าเมื่อเช้าก็จะทำให้ฉันเข้าบ้านของคุณยายที่เดโชไม่ได้อีกนาน ถ้าไม่อยากให้เขารุมกราดเกรี้ยว คุณณีกับคุณธำรงจึงจะต้องรำคาญฉันไปสักอาทิตย์ พอฉันเสร็จเรื่องโรงเรียนและโยกย้ายเข้าของไว้เป็นที่ทางเสียก่อน ฉันจะหลบไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัดสักพัก จนกว่าจะได้ปลูกบ้านแล้งนี้ แต่ไม่รู้จะหาคนที่ไหนเป็นเพื่อนติดตัวสักคน ฉันเคยอาศัยใช้สอยแต่คนเก่าแก่ที่คุณป้าจัดหาให้ พอกราบลาท่านออกมาอยู่โรงเรียน ก็ไม่ทันคิดจะหาผู้คนของตัว แต่–ฉันไม่ได้กลุ้มเรื่องของฉันเท่าไร คุณณีไม่รู้! ฉันมีเรื่อง...ไม่ใช่ค่ะ คุณพี่วิชัยหรอกกำลังมีเรื่องยุ่งเหยิงแล้วก็ร้ายแรงเหลือเกิน!”
กานดาพูดจบก็ฟุบหน้าลงสะอื้นกับแขนข้างหนึ่ง วรรณีนั่งมองตาค้างคนเดียว หล่อนไม่กล้าซักไซ้สักคำ
กานดาต้องกลับไปส่งงานโรงเรียนแก่อาจารย์ใหญ่และผู้รับช่วงจากหล่อนอยู่สองสามวัน งานเหล่านั้นและเด็ก ๆ ที่กานดาต้องจัดการให้เรียบร้อย ทำให้หล่อนกลับหมกหมุ่นเหมือนเก่า หล่อนเกือบลืมความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของตัวและเหตุการณ์ยุ่งเหยิงอย่างอื่น ครูอำภาผู้ประจำอนุบาล ๒ ต้องช่วยคุมอนุบาล ๑ ของกานดาไปด้วย แม้จะมีครูสำรองเข้ามาช่วยอีกคนหนึ่งก็ตาม เด็กอนุบาล ๑ ไม่ใคร่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงง่าย ๆ เพียงวันที่สามเท่านั้นครูอำภาก็พลอยปั่นป่วนไปด้วย
“นายเต่าดำไม่ยอมเขียนหนังสือตามหมวดหมู่ของตัว” อำภาบอกกานดา “ครูสายใจจะคลั่งอยู่แล้วค่ะ ฉันต้องทิ้งชั้นโผล่เข้าไปนั่งอยู่ด้วย เรื่องหนังสือน่ะช่างเรอะ แต่ที่จะทำให้ครูใหม่คลั่งก็คือ เต่าดำทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรอีก เข้าแถวก็ร้องไห้ เก็บกระเป๋าไม่ถูกที่ นั่งโต๊ะไม่ลง แล้วปวดหนักปวดเบาพ่อก็ปล่อยเปรอะไปทั้งห้อง ฉันเห็นจะต้องขู่แรง ๆ เสียที ถ้าไม่สำเร็จต้องส่งอาจารย์ใหญ่เอง”
กานดาใจหายวูบ รู้สึกเหมือนตัวเป็นคนก่อให้เกิดความยุ่งเหยิงอย่างนี้ แต่เต่าดำไม่รู้เรื่องอะไร เด็กชายคนนั้นนึกแต่ว่าครูกานดาเป็นคนควบคุมเขาเสมอไม่ว่าจะเขียนหนังสือ กินข้าว และทำหน้าที่อื่น ๆ อีกด้วย เดิมเขาอยู่ในบ้านกับแม่และคนเลี้ยง เมื่อเขามาอยู่โรงเรียนใหม่ ๆ ครูกานดาช่วยทำให้เขารู้สึกวางใจคล้ายอยู่บ้าน ทำไมเขาจึงจะต้องอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ครูกานดา เต่าดำก็ต้องกลายเป็นเด็กที่เพิ่งมาจากบ้านแบบเดิม เขาต้องถูกเคี่ยวเข็ญขึ้นด้วย กานดาเพิ่งสำนึกว่า ชีวิตอันเคว้งคว้างของตนยังมีเยื่อใยอยู่มาก ความต้องการของทารกเหล่านี้–นักเรียน–หรือ อย่างน้อยที่สุดก็เต่าดำคนหนึ่งละทำให้หล่อนรู้สึกเป็นตัวตนกับเขาคนหนึ่ง นักเรียนเล็ก ๆ เหล่านี้นึกว่า กานดาเป็นผู้ช่วยเหลือและทำให้เขาเชื่อใจตัวเอง แท้จริงนั้น–สำหรับหญิงอย่างกานดา เด็ก ๆ กะจ้อยร่อยเหล่านี้เองเป็นที่ยึดเหนี่ยวอันมั่นคงของหล่อน ความต้องการและความไว้วางใจของทารกช่วยให้กานดาได้รู้สึกคุณค่าของตัว ซึ่งถูกญาติมิตรอื่น ๆ เหยียดหยามยิ่งนัก แต่ในที่สุดกานดาก็จะต้องปล่อยมือจากเด็ก ๆ ซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวอันมั่นคงของตนอีก หล่อนจะต้องแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อที่พึ่งเล็ก ๆ เหล่านั้นบ้าง กานดาบอกเพื่อนครูอย่างขออภัย
“ฉันผิดเองค่ะ! เราไม่ควรทำอะไรให้เด็กเล็ก ๆ ที่มีหัวคิดโต้แย้งอย่างเต่าดำ รู้สึกว่ามีเรื่องเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีเหตุผล ฉันเผลอไป ทิ้งเขาเฉย ๆ ฉันจะลองพูดกับเต่าดำดูซิ”
แต่กานดาเดินเข้าไปที่โต๊ะเด็ก ๆ เหล่านั้นทุกโต๊ะและช่วยสอนช่วยตรวจตามเคย เมื่อหล่อนหันไปดูเต่าดำก็เห็นนายนักค้านคนนั้นเขียนหลังสือง่วนอยู่ ขนตายังเปียกจมูกกับแก้มเปรอะเปื้อนไปบ้าง แต่นายเต่าดำหรือท้าวเทวากลับมีอาการเยือกเย็นอย่างประหลาด เขารู้ว่าครูเก่ากลับมาอยู่ใกล้เขาแล้ว เขาก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องคิดอีก เขาไม่รู้สึกแปลกอะไรนักเมื่อครูกานดากำชับเช่นเคย
“ครูจะไม่อยู่ จะไปทำธุระที่อื่น พวกเรา–รัชนี ภีมะเสน สายสนม จะเขียนหนังสือเองหรือทำตามคุณครูสายใจช่วยบอกได้ไหม ทำดี ๆ จนครูกลับมาได้ไหม?”
มีเสียงยืนยันว่า ‘ได้’ อย่างเซ็งแซ่สักหน่อยเพราะไหน ๆ ครูก็คงกลับมาอีก
“เต่าดำล่ะ?”
นายคนนั้นเอาดินสอใส่ปาก ยันเก้าอี้จนหงายหลังเล็กน้อยและทำหูทำตายิ้มแย้มอย่างเดียว
“เต่าดำเขียนดีค่ะ” แม่หนูข้าง ๆ คอยเสนอ “เต่าดำก็จะทำดี ๆ ค่ะ เวลาคุณครูไม่อยู่ ตุ้มระย้าอยู่ด้วย”
เต่าดำนิ่งฟังคำเสนอของเพื่อนหญิงช่างพูดด้วยสีหน้าอมยิ้มอมแย้มด้วยอย่างเดิม
“ดีมาก! แล้วจะมีรางวัล”
กานดากลับออกไปด้วยความรู้สึกยอกแสยงอย่างหนึ่ง หล่อนจะไม่ได้เป็นคนให้รางวัลเด็ก ๆ ดุ ชม สั่งสอนและปลอบโยนอย่างเคย หล่อนเองก็จะขาดลอยจากเยื่อใยอย่างเด็กอันเป็นเยื่อใยบริสุทธิ์ผุดผ่องและร่มเย็นอยู่เสมอ
เมื่อหล่อนส่งงานเรียบร้อยแล้วกานดาจึงนึกได้ว่าหล่อนยังมิได้บอกบิดาด้วยเรื่องเปลี่ยนแปลงอย่างฉุกเฉินเช่นนี้ หล่อนหมกมุ่นงานโรงเรียนเมื่ออยู่โรงเรียน เมื่อกลับไปบ้านพักชั่วคราว กานดาก็ต้องเผชิญกับเรื่องยุ่งเหยิงอย่างอื่น หล่อนคอยฟังข่าววิชัยจากชื่นอย่างคนประสาทผวาอยู่เสมอ หล่อนไม่กล้าปรึกษาหารือกับใครเพราะชื่นยืนยันว่าวิชัยถือเป็นความลับเหลือเกิน และเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับเขาก็ยังไม่ถึงขีดรุนแรงทีเดียว กานดาไม่กล้าถามวิชัยเองเพราะตั้งแต่วันเกิดเหตุ หล่อนไม่มีโอกาสพบเขาหรือคนในบ้านอีกเลย กานดาไม่มีสิทธิทำอะไรออกหน้าเพราะวิชัยกับหล่อนต่างก็ได้แสดงให้ญาติมิตรส่วนมากเห็นแล้วว่าไม่มีเยื่อใยอย่างเก่า
เมื่อกานดาคิดขึ้นได้เหตุการณ์สำคัญก็ผ่านไปแล้วร่วมอาทิตย์ ถึงกระนั้นนิสัยอ่อนโยนอย่างเก่าก็ทำให้กานดาครั่นคร้าม ไม่อยากเข้าหน้าบิดาและญาติมิตรในซอยสามบ้านแบบเดิม ดูเหมือนเขาจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนและภัตตาคาร ว่าหล่อนเจตนาให้เกิดเรื่องร้าวฉานเช่นนั้น จึงไม่มีใครมาถามข่าวหล่อนเลย ทั้งที่บ้านกับโรงเรียนก็อยู่ใกล้กันแค่นั้น ทุกคนหายหน้าไปไม่ว่าจะเป็นเด่นแสง เผด็จ ตะวันหรือวิชัย คุณจำรัสกับนางม้วนซึ่งเคยให้คนนำขนมและอาหารมาให้หล่อนที่โรงเรียนไม่ต่ำกว่าอาทิตย์ละสองครั้ง ก็พลอยหายเงียบ จิตรี–กานดาคิดถึงจิตรีแล้วขวัญเสีย นิสัยจิตรีไม่ค่อยปล่อยให้เรื่องสะเทือนใจผ่านไปเงียบ ๆ โดยไม่สืบสวนสักครั้ง กานดาไม่ได้ติดต่อชี้แจงอีกเมื่อตะวันกับหล่อนไม่ได้ไปกินข้าวกลางวันด้วยที่ตึกเล็ก ตามคำสั่งเปลี่ยนแปลงของจิตรี ตะวันคงยังไม่ได้ติดต่อกับจิตรีอีกเพราะอาการของเผด็จวันนั้นและผลสะท้อนที่เกิดแก่กานดา ดูเหมือนจะทำให้ความตั้งใจเดิมของนายทหารหนุ่มปั่นป่วนไปมาก แต่จิตรีก็ยังเงียบอยู่ กานดาพรั่นพรึงเพิ่มขึ้น
“เขาไม่เคยเป็นอย่างนี้–นอกจากทุกคนเปลี่ยนแปลงไป และมีเรื่องรุนแรงเหลือเกิน ก็ไม่เห็นมีเรื่องอื่น นอกจากจะเห็นฉันทำผิดแล้วพากันลงโทษด้วยทำเป็นเพิกเฉยชั่วคราว คุณพ่อกับคุณใหญ่ทำอยู่เสมอ ต่อมาก็พี่ชัย–” เมื่อกานดาคิดถึงชื่อนี้ น้ำตาก็คลั่งคลอขึ้นด้วย “แต่คุณป้า แม่ม้วน หรือคุณจิตรีไม่เคยตีตัวออกห่างถึงคิดว่าเราทำอะไรผิดร้ายเหลือเกิน” กานดาน้ำตาไหล “แต่เราก็ต้องคิดต้องทำอะไรคนเดียวโดยไม่มีญาติมิตรถามข่าวหรือมาเยี่ยมเยือนอย่างเก่า”
“คุณกานดา! ดีจริง! คุณยังอยู่–อ้าว! นั่นเตรียมตัวกลับเหมือนกัน คอยก่อนค่ะ! ฉันมีเรื่องให้คุณตัดสิน”
เจนจิราหน้าแดงก่ำเหมือนกับโกรธแค้นใครมา
“ฉันไม่มีหน้าที่ในโรงเรียนแล้วค่ะ” กานดาฝืนยิ้ม “ส่งงานเสร็จวันนี้แล้วจะไม่มาอีก นี่กำลังจะกลับ คุณช่วยตัดสินใจไม่ได้หรือคะ ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฉันคั่งค้างอยู่”
กานดาคิดว่าเจนจิราจะพูดกับหล่อนเรื่องงานแผนกอนุบาลบางอย่าง ซึ่งเจนจิราทำหน้าที่แทนหล่อน
“ไม่ได้หรอก! เป็นเรื่องคุณคนเดียว” เจนจิรายืนยัน และยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาอย่างเคียดแค้นครู่หนึ่ง “นี่คุณวรรณีเขาคงเข้ามาหาคุณก่อนฉันแล้วละซิเมื่อกี้ คุณดาจึงต้องร้องไห้เหมือนกัน Hossid! ร้ายนักคุณครูผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่! เรื่องยังงี้ นานแล้วนะ–ฉันเคย–ง่า–บอกคุณวรรณี–เรื่องคนอื่นเขาพูดกันหรอก เขาว่าคุณดานะเที่ยวเก่งมี flame เยอะ–เขาหมายถึงมีคนติดคุณมากไม่ว่าแก่ว่าหนุ่ม คราวนั้นก็มีคนเห็นคุณธำรงของคุณวรรณีเอาอกเอาใจคุณดามาก เมื่อวันส่ง King ไปนอกยังหาคุณพบแล้วพาไปเที่ยว ทิ้งให้ครูวรรณีเดินกลับบ้านคนเดียวเกือบตาย คนเขาลือกันนักฉันก็ช่วยบอกคุณวรรณีให้เตือนผัว คุณดาอย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ได้เชื่อคำลือหรอกนะ แต่เห็นคุณวรรณีชอบกับคุณมาก ไม่อยากให้แตกร้าวกัน–ก็–ง่าเตือนตามคำเขาลือ คุณวรรณีกลับขู่เข็นฉันใหญ่หาว่าพูดไม่ได้เรื่อง ฉันเฉยเสียเอง วานนี้ฉันเพิ่งรู้ว่าคุณไปค้างบ้านคุณวรรณีไม่มีกำหนด เพราะได้ยินบางคนเขาพูดพยักพเยิดอยู่แล้ว กลัวจะมีเรื่องใหม่ เมื่อกี้เลยบอกคุณวรรณีอีก เขากลับเอะอะเอาฉัน ขู่ฉันว่าถ้าพูดเรื่องนี้ให้เข้าหูคุณเขาจะเอาเรื่องและบอกอาจารย์ใหญ่ว่าฉันคนเดียวเป็นสาเหตุเรื่องหยุมหยิมอยู่เสมอ แหม! เราหวังดีกลับเป็นโทษ ฉันไม่ได้ว่าคุณทำผิดคิดร้ายอะไรเลยคุณดา! ได้ยินมายังไงก็บอกพวกเรายังงั้น ฉันมีพยานอยู่นั่น” เจนจิราเรียกเพื่อน “คุณนารีคะ! เข้ามาซิมาช่วยคุณดาทีว่าฉันไม่เคยปรักปรำ เป็นแต่ได้ยินมาอีกที”
หญิงสาวซึ่งยืนอยู่หน้าประตูจึงเดินเข้ามาอย่างไม่สบายใจ
“จริงค่ะ” นารีรับรอง “คุณเจนบอกคุณวรรณีกับพวกเราว่าได้ยินมาจากที่อื่น”
“เห็นไหม! คุณตัดสินมาซิว่า ใครผิดใครถูกที่คุณวรรณีกลับมาเอ็ดอึงกับฉัน เขาห้ามไม่ให้ฉันพูดเข้าหูคุณดา แต่วันนี้เขาคงไม่ไว้ใจคุณขึ้นมาถึงได้เข้ามาพูดกับคุณเจนร้องไห้อยู่ยังงี้ คุณรับรองได้ไหมว่าเรื่องเอ็ดอึงออกมาเพราะคุณวรรณี–ไม่ใช่ฉันเลย”
กานดาลุกขึ้นยืนหน้าซีดขาวครู่หนึ่ง น้ำตาแห้งผากและเสียงซึ่งพูดกับเจนจิราก็แห้งแล้งเหลือเกิน
“คุณเจนจะพอใจไหมคะ ถ้าฉันรับรองว่าฉันจะไม่เอ็ดอึงอีกคน? คุณเห็นแล้วว่าฉันกำลังจะไปจากที่นี่ เรื่องทุกอย่างของฉันก็คงหมดสิ้นไปด้วย ฉันจึงไม่จำเป็นต้องตัดสินคนอื่น หรือทำให้มีเรื่องโต้แย้งอย่างอื่น ฉันจะไม่พูดกับคุณวรรณีหรอกคะ เขาไม่ได้เข้ามาพูดกับฉันเลยเพราะฉันกำลังจะลาเขาไปพักผ่อนหัวเมืองอยู่พรุ่งนี้แล้ว เราต่างก็มีเรื่องขบคิดของเรา เรื่องของฉันคนเดียวไม่ควรจะทำให้คนอื่นยุ่งเหยิงอย่างนี้ ขอโทษนะคะ! คุณเจนอย่าพูดกับคุณณีอีกเลย รวมทั้งเรื่องที่คุณกับคุณนารีเข้ามาหาฉันเดี๋ยวนี้ด้วย เราทุกคนก็จะสบายใจ ถูกไหมคะ?”
เจนจิราพูดไม่ออก อาการของหล่อนบอกชัดว่าพิศวงในเรื่องผิดคาดของตน แต่เจนจิราก็โล่งใจเหมือนกานดาพูด เรื่องซุบซิบวันนี้ย้อนเข้าหาตัวเจนจิราจนหล่อนรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเข้าปิ้งไปด้วย เมื่อกานดาไม่ติดใจจะทำเรื่องยืดยาวอยู่อีกแล้ว ยังช่วยลบรอยยุ่งเหยิงที่เจนจิรากับเพื่อนบางคนคุ้ยเขี่ยขึ้นเสมอ เจนจิราก็เริ่มสำนึกเป็นครั้งแรก คนเราไม่สามารถทำร้ายใครได้ด้วยกิริยาวาจาหรือแม้แต่ความคิดข้างร้าย ตราบใดที่ผู้คนถูกปองร้ายไม่ยอมรับการกระทำนั้นไว้ในความนึกคิดของตน
ตราบใดที่กานดายังยอมรับผลร้ายที่มาถึงหล่อนด้วยใจอภัยผ่องแผ้วและอ่อนโยนอยู่เสมอ ไม่มีอะไรทำให้หล่อนต้องเป็นผู้สูญเสียสักนิด!
“ถูกแล้วค่ะ” เจนจิรารับคำ “ฉันเข็ดแล้ว ฉันจะไม่พูดอื้ออึงอีกเลย–ทุกเรื่อง!”
นารีรับว่า
“โธ่! ฉันเข็ดหลาบเหลือเกิน–การพูดถึงเรื่องหยุมหยิมอย่างนี้”
ดังนั้นกานดานจึงกลับไปบ้านวรรณีที่ซอยรางน้ำก่อนแทนที่จะไปหาบิดาตามความคิดเดิม หล่อนพบวรรณีอยู่ในห้องรับแขกกับชื่น พ่อค้าภาคเหนือมีสีหน้าอึดอัดเมื่อวรรณีบอกกานดาด้วยเสียงไม่พอใจ
“คุณง่า–ชื่น–บอกว่า นัดคุณไว้เรื่องสำคัญ คุณจะไปธุระกับคุณชื่นค่ำวันนี้แหละ อะไรกันคุณดา! คุณเหน็ดเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ฉันกำลังขอให้คุณชื่นนัดใหม่พรุ่งนี้ เพราะคุณไม่ได้บอกฉันเลยว่าจะออกไปไหน”
“เรื่องนั้นแหละครับ” ชื่นชิงพูด “ผมรีบมาบอกคุณตามสัญญาไว้”
กานดารีบกล้ำกลืนความรู้สึกคับคั่งของหล่อน เรื่องวิชัยคงยุ่งเหยิงยิ่งขึ้น! กานดาลืมเรื่องอื่น ๆ หมด หล่อนมองวรรณีเต็มตาขณะที่พยายามพูดยิ้ม ๆ อย่างเคย “คุณณีพูดถูก ฉันเหนื่อยจนลืมบอก คุณป้าให้เด็กมาตามเมื่อบ่าย ฉันต้องไปค้างกับท่านเสียที ฉันจะเอาแต่กระเป๋าไปก่อนของอื่นต้องฝากคุณณีไว้จนกว่าจะอยู่เป็นที่ทาง คุณชื่นมาก็ดีแล้ว เลยไปส่งฉันที่บ้านก่อน แล้วค่อยไปธุระด้วยกัน”
“พิกลจริง!” วรรณีร้องขึ้น “ไหนคุณว่าจะพักกับเราจนปลูกบ้านเสร็จ อยู่ ๆ ก็จะทิ้งเราไปเฉย ๆ ฉันจะบอกคุณธำรงว่าไงดีคะ?”
กานดาหัวเราะแต่หันหน้าไปหาชื่น
“บอกว่าคุณป้าจำรัสเรียกตัวฉันด่วนซิคะ ดูเหมือนท่านจะต้องการฉันไปอยู่นาด้วย”
กานดาพูดเหมือนกับตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวที่อื่น เมื่อวรรณีผู้รู้ระแคะระคายความหม่นหมองของกานดาอยู่บ้างแล้ว ได้เห็นกานดาพูดถึงเรื่องไปเที่ยวด้วยท่าทางเบิกบานแบบนั้นก็นึกว่าไม่มีเหตุการณ์ยุ่งเหยิงอย่างใด ดังนั้นกานดาก็ตัดบทไม่ทันให้วรรณีได้พูดถึงเรื่องหยุมหยิมในโรงเรียนซึ่งกลายเป็นเรื่องอื้ออึงอีกเลย
หล่อนพบแต่นางแม้นต้นห้องจรวยผู้ซึ่งเห็นหล่อนโผล่ไปบนเรือนเงียบ ๆ ก็มองตาค้างครู่หนึ่ง
“คุณ! แหม! คุณหลานคะ! ใคร ๆ พูดถึงทั้งบ้าน”
นางแม้นลูกนางม้วนผู้นี้อ่อนกว่าจรวยเล็กน้อย แต่หล่อนเอ็นดูกานดา เพราะแม่ของหล่อนยกย่องอยู่เสมอ กานดาหัวเราะและกลั้นน้ำตา เมื่อเห็นคนสนิทในบ้านต้อนรับอย่างชื่นชมเช่นนั้น หล่อนนึก
“ที่แท้ทุกคนก็อยากให้เรากลับบ้าน เขาคิดถึงเราเหมือนกันแล้วไม่มีเรื่องอะไรผิดปรกติ แม้นจึงบอกเราว่าใคร ๆ พูดถึงทั้งบ้าน”
หล่อนรู้สึกเหมือนคนหลงทางได้กลับมาถึงประตูบ้านของตนโดยปลอดภัย เพื่อนฝูงดีแสนดีอย่างธำรงกับวรรณีได้อ้าแขนต้อนรับกานดาในยามคับขันครู่หนึ่ง แต่เขาก็เป็นคนอื่น เมื่อมีเรื่องคับขันขึ้นอีก ซึ่งอาจเป็นเหตุให้มิตรภาพมีเรื่องครหาให้หม่นหมองมากขึ้น หล่อนก็เต็มใจจากเขามาได้ง่าย แม้เขาไม่สงสัยในเกียรติยศของหล่อนเลย กานดาก็ไม่อาจอยู่กับวรรณีและธำรงได้อีก ความจริงหล่อนคิดถึงบ้านพญาไทนี่เอง หล่อนหวังจะได้พบการต้อนรับอย่างชื่นชมเช่นนี้
“จริงเรอะแม้นที่ใคร ๆ พูดถึงฉันทั้งบ้าน ฉันเลยต้องกลับบ้านไงล่ะ คุณพ่อกับคุณใหญ่ไปไหน?”
นางแม้นนั่งลงเอามือเกาะเข่ากานดาด้วยถือวิสาสะว่าเป็นคนเก่าแก่ หล่อนเหลียวหน้าเหลียวหลังจนเห็นว่าไม่มีใครแล้วจึงชะโงกเข้าพูดเบา ๆ จนใกล้กานดา
“คุณผู้ชายกับคุณใหญ่เพิ่งไปดูหนังเมื่อกี้นี่เองค่ะ คุณคงรู้เรื่องอยู่แล้ว ที่บ้าน–บ้านในตึกนอนนึกว่าคุณ–ง่า–เป็นไปใหญ่ค่ะ! เขาว่าคุณจะแต่งงานกับคุณตะวันอีก คุณวิชัยเลยไม่กลับบ้านมาตั้งอาทิตย์แล้ว ไปค้างอยู่เสียที่เทเวศร์ แม่แกว่า คงจะแต่งงานกับคุณวันวิภาวันนี้วันพรุ่ง ท่านที่เรือนกลางจึงเปิดโอกาสให้คุณวิชัยตกแต่งเรือนหอ ท่านกับแม่ไปอยู่นาเมื่อวานนี้เองค่ะ คุณผู้ชาย–คุณพ่อน่ะถึงกับบอกคุณใหญ่ว่าอย่าเพิ่งให้คุณหลานมาให้ท่านเห็นหน้า–นี่แม้นสงสารคุณนะคะจึงบอกคุณ แม่แกก็บ่นสงสารคุณ ท่านที่เรือนกลางก็ประเสริฐคำเดียวก็ไม่ได้พูดหรือพลอยขุ่นเคืองคุณเลย–”
“คุณจิตรีล่ะ–อาเผด็จ–?”
เสียงกานดาหายอยู่ในลำคอ นัยน์ตาหล่อนปราศจากความรู้สึกใด ๆ จนนางแม้นเห็นเป็นพิรุธและเดาความคิดหล่อนไม่ถูก
“คุณจิตรีเรอะคะ–กับคุณเผด็จก็ได้ยินว่ากราดเกรี้ยวกันใหญ่ จะเป็นเรื่องคุณหรือเรื่องอะไรไม่รู้ ไม่เห็นคุณเผด็จอยู่บ้าน ข้างคุณจิตรีก็ไม่มีใครรอติด แม่ผิวว่าเธอไม่ยอมพบใครเลย คุณหลานอยู่เสียที่โรงเรียนก็ดีแล้วละค่ะกว่าจะหายยุ่งเหยิงยังงี้”
กานดาจึงกลับออกไปที่รถพ่อค้าชื่นซึ่งยังจอดอยู่หน้าบ้าน
“ดิฉันจะเอาของไปลงที่เรือนคนเฝ้าบ้านดิฉันทางถนนใหญ่ แล้วให้เขาขนไปเรือนคุณป้าทีหลัง เราจะได้คุยกันสะดวกโดยไม่ต้องกลัวว่าจะพบคุณพี่วิชัย”
ชื่นก็พาหล่อนกลับออกไปส่งที่เรือนเล็กหลังนั้น หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ชื่นจึงขับรถไปคนเดียว กานดาตกลงว่าวันรุ่งขึ้นหล่อนจะไปพบกับชื่นอีกในที่นัดหมายแห่งหนึ่ง พอชื่นคล้อยหลังไปแล้วหล่อนก็สั่งคนเฝ้าบ้านส่วนตัวของหล่อนให้ออกไปตามรถเช่ามาให้คันหนึ่ง
“ไปบางซ่อน” กานดาบอกคนขับรถ “ลงที่ท่าเรือจ้างสุดซอยเสริมสวัสดิ์”
รถเช่าพากานดาเดินทางต่อไป ดวงอาทิตย์กำลังตกอากาศก็หนาวเย็นยิ่งนัก กานดาปลอบตัวเองอีกครั้ง
“คุณป้ากับแม่ม้วนคงไม่ปฏิเสธ ถ้าเราคลานเข้าไปขอซุ่มซ่อนสักเดือน–พอได้ปลูกบ้านของเราเองอยู่ แต่คืนนี้เราต้องมีที่ซุกหัวนอนให้ได้ โดยไม่มีคนคอยเตือนว่าเรากำลังชั่วร้ายเหลือเกิน ไม่งั้นก็ขบปัญหาเรื่องร้อนของพี่ชัยไม่สำเร็จ เราอาจปรึกษาคุณป้าได้ ถ้าเห็นเป็นโอกาสเหมาะ–แม่ของเขาแท้ ๆ”
----------------------------