- คำนำ
- ๑. พระเจ้าเต้สุ่น
- ๒. เล่าไล่จื๊อ
- ๓. เจ็งชาม
- ๔. เมี่ยนจือเคียน
- ๕. จือหลู
- ๖. ทั่มจื๊อ
- ๗. พระเจ้าฮั่นบุ่นเต้
- ๘. ก้วยกื๊อ
- ๙. ฉั่วสุน
- ๑๐. เต็งหลัง
- ๑๑. กังเก๊ก
- ๑๒. เกียงซี
- ๑๓. ตังอ๎ย้ง
- ๑๔. อึ่งเฮียง
- ๑๕. เล็กเจ้ะ
- ๑๖. เฮ่งเพา
- ๑๗. เม่งจง
- ๑๘. เฮ่งเสียง
- ๑๙. นางเอี้ยเฮียง
- ๒๐. โง่วแม้
- ๒๑. ยูงิมหลู
- ๒๒. นางทั่งฮูหยิน
- ๒๓. จูซิ่วเชียง
- ๒๔. อึ้งเท่งเกียน
๕. จือหลู
ครั้งราชวงศ์จิว สมัยชุนชิว ที่เมืองเบียน มีชายคนหนึ่งชื่อจือหลู เป็นคนเข็ญใจขัดสนด้วยทรัพย์ แต่แข็งแรงมีกำลังมาก อาหารการกินไม่ค่อยจะเต็มปากเต็มท้อง จือหลูเป็นคนมีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดามากที่สุด ถึงกับยอมกินยอดผักลีคัก ให้บิดามารดากินข้าว ครั้งหนึ่งมีคนต่างเมืองบอกให้ข้าวสารแก่บิดาจือหลู บิดาให้จือหลูตามไปรับเอาข้าวสารนั้น ครั้นจือหลูไปถึงที่นั่นแล้ว ผู้ให้ก็ให้ข้าวสารถุงใหญ่ จือหลูรับข้าวถุงนั้นแบกมาให้แก่บิดา ระยะทางตั้งแต่เมืองนั้นกว่าจะถึงบ้าน ไกลกว่าร้อยลี้
อยู่ต่อมาบิดาจือหลูถึงแก่กรรม จือหลูจัดการศพบิดาตามประเพณี แล้วอุตส่าห์ทำไร่นาหาเลี้ยงมารดาต่อมาตามสติกำลัง เวลาว่างงาน จือหลูไปเล่าเรียนที่สำนักขงจื๊อ ถึงฤดูทำนาก็กลับมาทำนา เมื่อเสร็จการทำนาแล้วจึงไปเรียนอีก ศิษย์ขงจื๊อสามพันคน เป็นนักปราชญ์เจ็ดสิบสองคน จือหลูเป็นนักปราชญ์คนหนึ่งในจำนวนเจ็ดสิบสองคนนั้น ทั้งเป็นผู้มีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญในการรบพุ่ง ขงจื๊อได้เคยพร่ำสอนอุบาย เครื่องระงับความฮึกหาญเป็นเชิงตักเตือนอยู่เนือง ๆ แต่จือหลูเป็นคนฮึกหาญโดยกำเนิด แม้จะได้รับรสธรรมภาษิตของอาจารย์กล่อมเกลาใจบ่อย ๆ หาอาจลบล้างความฮึกหาญให้หมดสิ้นไปทีเดียวม่า เป็นแต่ลดหย่อนผ่อนลงได้บ้างเพียงเล็กน้อย ขงจื๊อเคยทำนายจือหลูใหศิษย์ทั้งหลายฟัง ว่าจือหลูนั้นเป็นคนมีปัญญามาก แต่สติมีน้อย คงไม่สามารถเหนี่ยวรั้งความฮึกหาญให้สงบได้เสมอไป และอาจจะเป็นอันตรายเพราะความฮึกหาญของตนนั้นเอง
ครั้นมารดาถึงแก่กรรมแล้ว จือหลูก็เชิญศพไปฝังในหลุมเดียวกับศพบิดาและเฝ้าที่ฝังศพอยู่จนครบกำหนด ต่อมาลาขงจื๊อผู้เป็นอาจารย์ ไปทำราชการอยู่ที่เมืองลู้แล้วย้ายไปทำราชการที่เมืองอ๋วย กรมการผู้ใหญ่ในเมืองอ๋วยผู้หนึ่งชื่อขงกวย ขอให้เจ้าเมืองอ๋วยตั้งจือหลูให้เป็นอิ้บจ่ายชั้น เจ้าเมืองโท เมื่อจือหลูเป็นเจ้าเมืองแล้ว จะไปณที่ใดๆ ก็มีพนักงานแห่แหนคอยระแวดระวังเสมอ เวลานอนก็มีนางบำเรอเฝ้าแหน อาหารการกินบริบูรณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง จือหลูหวนคิดถึงบิดามารดา ครั้งเมื่อท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ด้วยความยากจน บางคราวเคยเล่าให้บางคนฟังว่า แต่ก่อนตนเคยแบกข้าวสารถุงหนึ่งเดินทางไกลตั้งร้อยลี้ เพื่อนำไปให้บิดามารดาเพราะความยากจน ครั้นบัดนี้อาหารการกินบริบูรณ์สมบูรณ์แล้ว แต่บิดามารดาไม่อยู่ให้ปรนนิบัติจึงน่าเสียใจนัก
ครั้งนั้นขุนนางเมืองอ๋วยไม่ปรองดองกัน เหตุเนื่องมาแต่เจ้าเมืองจะตั้งทายาท นางเปะกีมารดาของขงค้วยร่วมคิดกับสูเลี่ยงฮู จะหาทางบังคับให้เจ้าเมืองตั้งก้วยกุ่ยเป็นทายาท จึงตามเจ้าเมืองมาทำสัตย์สาบาลให้ยอมมอบบ้านเมืองแก่ก้วยกุ่ย เรื่องทราบไปถึงเจ้าเมือง ๆ ก็ชิงหนีเสียก่อน ฝ่ายจือหลูได้ทราบข่าวนั้นก็ไม่พอใจ จึงยกกองทหารไปจับสูเลี่ยงฮู จือเกาจึงเตือนสติจือหลูว่าอย่ารีบทำการวู่วามไปก่อน ธรรมดาเขาคิดการทั้งนี้ไม่ใช่การเล็กน้อย ไหนเลยเขาจะประมาทต่อเหตุการณ์ ย่อมจะระมัดระวังอยู่เต็มที่ จือหลูว่าตัวเรากินเบี้ยหวัดเงินเดือนของเขา เมื่อเขาประสพภัยดังนี้ จะทำเป็นนิ่งดูดายเสียควรหรือ ว่าแล้วก็รีบขับรถคุมกองทหารออกไป ฝ่ายก้วยกุ่ยก็แต่งทหารออกรบกับจือหลูเป็นสามารถ ข้าศึกเอาทวนแทงจือหลู ๆ หลบได้ทัน แต่ปลายทวนถูกยอดหมวกขาด จือหลูคิดว่า วิสัยนักปราชญ์ที่รักเกียรติยศ ย่อมยกย่องหมวดเสมอด้วยชีวิตแห่งตน บัดนี้ยอดหมวกขาดไป ก็เหมือนกับหัวของเราขาด จะอยู่ไปใยให้ป่วยการ คิดแล้วก็เก็บเอายอดหมวกผูกสวมใส่ตามที่ เร่งขับรถเข้ารบบุกบั่นฆ่าฟันข้าศึกล้มตายลงเป็นอันมาก ก้วยกุ๋ยสั่งทหารเกาทัณฑ์ที่ซุ่มอยู่ ให้ระดมยิ่งดังห่าฝน จือหลูมิได้สทกสท้าน แกว่งอาวุธป้องปัดอยู่โดยรอบ ฝ่ายทหารข้าศึกเห็นจือหลูอ่อนกำลังลงก็ยิ่งระดมยิงเกาทัณฑ์กราดมาหนักเข้า ในที่สุดเหลือความสามารถที่จือหลูจะป้องปัดได้เพราะกำลังเกือบจะสิ้นแล้ว ก็ถูกลูกเกาทัณฑ์เสียบที่สำคัญสิ้นชีวิตในสนามรบนั้น จึงสมดังคำที่ขงจื๊อพยากรณ์ไว้.