๑๔. อึ่งเฮียง

ครั้งราชวงศ์อ่าวฮั้น ที่เมืองอานเล็ก มีชายคนหนึ่งชื่ออึ่งเฮียง เมื่ออึ่งเฮียงอายุ ๙ ขวบมารดาถึงแก่กรรม อึ่งเฮียงร้องไห้คร่ำครวญถึงมารดาไม่วาย บิดาก็เป็นคนเข็ญใจไร้ทรัพย์ ได้แต่ทำไร่นาพออาศัยเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปมื่อหนึ่ง ๆ เท่านั้น อึ่งเฮียงเป็นคนขยันว่านอนสอนง่าย ช่วยบิดาเก็บผักหักฟืนไปขาย และช่วยในการไร่นาไม่ท้อถอยทำมาหาได้เท่าไรก็ให้แก่บิดาหมด ถึงน่าร้อนอึ่งเฮียงก็พัดวี ที่นอนหมอนมุ้งให้บิดาเพื่อให้บิดาได้นอนเย็นสบาย ถึงน่าหนาวก็นอนเกลือกกลิ้งบนที่นอนบิดาจนที่นอนอุ่นดี เพื่อให้บิดาได้นอนอบอุ่นเป็นสุขสบาย บิดาจัดให้อึ่งเฮียงเล่าเรียนหนังสือที่สำนักอาจารย์ อึ่งเฮียงมีสติปัญญาเฉียบแหลมคมคายเล่าเรียนได้รวดเร็ว อาจารย์ก็ชมเชยเสมอ ๆ จนเลื่องลือไปถึงเมืองหลวง ผู้ที่รู้เรื่องว่าอึ่งเฮียงเป็นคนกตัญญูต่อบิดาทั้งมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ที่มีความสามารถในทางเพลงขับ ก็ได้ร้องเพลงสรรเสริญอึ่งเฮียงเป็นใจความว่า เด็กอึ่งชาวกังเฮ่เป็นคนดี คนทั้งเมืองมาเทียบก็ไม่มีใครเทียมได้เลย

ครั้นอึ่งเฮียงเล่าเรียนหนังสือจบตามหลักที่อาจารย์สอนในครั้งนั้นแล้ว มีความรู้กว้างขวางนับเป็นนักปราชญ์สำคัญคนหนึ่ง คนทั้งหลายพากันยกย่องนับถืออึ่งเฮียงกันมาก ต่อมาไม่นานบิดาของอึ่งเฮียงถึงแก่กรรมลง อึ่งเฮียงร้องไห้ร่ำรักบิดาจนสลบไปหลายครั้งหลายหน คนทั้งหลายบรรดาที่สนิทชิดชอบมาช่วยพูดจาปลอบโยนเอาใจให้คลายความโศก และช่วยเป็นธุระจัดการศพจนเสร็จการ เมื่ออึ่งเฮียงฝังศพบิดาสำเร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่เฝ้าที่หลุมสพจนครบตามธรรมเนียมแล้วกลับมาบ้าน เนื่องด้วยอึ่งเฮียงมีความรู้กว้างขวาง จึงมีศิษย์ขอศึกษาเป็นจำนวนมาก อึ่งเฮียงก็พยายามสอนสุดความสามารถอยู่ ณ ตำบลนั้น

ที่ตำบลนั้นมีเศรษฐีคนหนึ่งนับถืออึ่งเฮียงมาก วันหนึ่งเศรษฐีผู้นั้นเชิญอึ่งเฮียงไปกินอาหารที่บ้าน ขณะเสพสุราเป็นที่สำราญใจเศรษฐีให้บุตรสาวของตนออกมาคำนับอึ่งเฮียง แล้วเศรษฐีพูดว่าข้าพเจ้าไม่มีบุตรชาย มีแต่บุตรหญิงคนเดียวเท่านั้น คิดว่าจะยกให้เป็นภรรยาท่านถ้าไม่เป็นการหนักใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านคงจะเห็นแก่ความตั้งใจอันดีของข้าพเจ้าเป็นแน่ อึ่งเฮียงได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจไร้ทรัพย์ ไม่คู่ควรธิดาของท่านเลย แม้ท่านกรุณายกให้ข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าก็คงไม่สามารถหาเลี้ยงนางให้สุขสำราญเช่นอยู่กับบิดา จะเป็นความลำบากแก่นางโดยไม่จำเป็น เศรษฐีตอบว่า ความยากจนเข็ญใจไม่เป็นของประหลาดอันใดเลย แต่ท่านมีสิ่งประเสริฐอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งจะกำหนดราคาได้ยาก สิ่งนั้นคือความกตัญญูกตเวทีอันตระหนักในใจแก่ท่าน แม้คนที่มั่งมีเงินทองนับแสนนับล้าน ก็คงสู้ท่านไม่ได้ ซึ่งข้าพเจ้ายกบุตรหญิงให้แก่ท่านนี้ ด้วยความเต็มใจจริงๆ ขอท่านอย่ากินแหนงประการใดๆ เลย ฝ่ายอึ่งเฮียงสังเกตเห็นเศรษฐีมีความรักใคร่และเต็มใจแน่ ก็คุกเข่าลงคำนับยอมเป็นบุตรเขยของเศรษฐี แล้วถอดกำไลหยกออกให้เป็นของหมั้น เศรษฐีก็เรียกบุตรสาวของตนออกมารับกำไลของอึ่งเฮียง นางก็ออกมาคำนับรับเอากำไลด้วยความเคารพน่าเอ็นดู แล้วกลับเข้าไปในห้องตามเดิม ครั้นทั้งสองคนเสพสุรากินอาหารเสร็จ อึ่งเฮียงก็คำนับลากลับไปบ้าน อยู่ต่อมาถึงวันฤกษ์งามยามดีเศรษฐีเชื้อเชิญพวกญาติและมิตรมาเลี้ยงอาหาร ในการวิวาหมงคลบุตรหญิงกับอึ่งเฮียง ขณะที่พวกพ้องมิตรสหายเสพสุราอยู่นั้น เศรษฐีให้เฒ่าแก่นำบุตรสาวและอึ่งเฮียงทำพิธีบูชาดินฟ้าอากาศ และบูชาป้ายปู่ย่าตายาย แล้วทำความเคารพชั้นผู้ใหญ่ คนทั้งหลายก็ให้พรแก่คู่บ่าวสาวตามธรรมเนียมเป็นใจความสำคัญว่า เปะหนีไฮ่เล้า แปลว่า ขอให้ท่านทั้งสองรักใคร่ผูกพันไปจนแก่จนเฒ่า อายุยืนนานนับตั้งร้อยปีเป็นอย่างต่ำ ครั้นเสร็จการเลี้ยงดูแล้ว พวกพ้องมิตรสหายต่างก็ลากลับไปบ้านของตน ๆ อึ่งเฮียงกับบุตรหญิงเศรษฐีก็อยู่กินเป็นสามีภรรยากันโดยผาสุก

เมื่อคนทั้งหลายเห็นอึ่งเฮียงมีเย่าเรือนเรียบร้อยแล้ว คิดจะทำหนังสือยกย่องเป็นเฮาเหลียม ไปยื่นต่อเจ้าเมืองกรมการ แต่อึ่งเฮียงได้ทราบข่าวล่วงหน้าจึงห้ามปรามขอร้องให้งดการนั้นเสีย เพราะเศรษฐีพ่อตาก็จะให้ไปเมืองหลวงอยู่แล้ว คนทั้งหลายก็ไม่ขัดใจ ต่างก็มีความชื่นชมยินดีด้วย และนำเงินมาให้แก่อึ่งเฮียงเป็นค่าใช้สรอยที่เมืองหลวงอีก ฝ่ายอึ่งเฮียงมีความขอบใจคนเหล่านั้นเป็นนักหนาได้บอกให้เขาทราบว่า เศรษฐีกรุณาให้เงินไปใช้สรอยมากพอแล้ว ท่านทั้งหลายโปรดนำเงินของท่านคืนไปเถิด แต่คนทั้งหลายยังวิงวอนให้อึ่งเฮียงรับไว้ อึ่งเฮียงจนใจมิรู้ที่จะบอกปัดอย่างไร และคิดว่าถ้าไม่รับเสียเลย คนทั้งหลายจะเสียใจ จึงยอมรับไว้เพียงคนละกะแปะหนึ่ง และด้วยเหตุอันนี้เองยิ่งทำให้คนทั้งหลายเห็นว่าอึ่งเฮียงเป็นคนดียิ่งนัก ไม่เบียดเบียฬใคร ๆ ไม่ทำให้ใคร ๆ ต้องเดือดร้อนเพราะตน ก็ยิ่งมีความเคารพนับถือทวีขึ้นกว่าแต่ก่อน ครั้นคนทั้งหลายลากลับไปแล้ว อึ่งเฮียงก็อำลาเศรษฐี ฝากฝังภรรยาไว้กับพ่อตา เศรษฐีผู้เป็นพ่อตาอึ่งเฮียงก็ให้ศีลให้พรตามธรรมเนียม แล้วอึ่งเฮียงร่ำลาภรรยาของตนจากไปด้วยความอาลัย กว่าอึ่งเฮียงจะไปถึงเมืองหลวงนั้น ชื่อเสียงระบือไปถึงก่อนนานแล้ว ทั้งมีญาติและมิตรเป็นขุนนางอยู่ด้วย เมื่ออึ่งเฮียงไปถึงเมืองหลวงจึงมีผู้คนไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนเป็นอันมาก อึ่งเฮียงพักอยู่หลายวันแล้วจึงไปหาเสนาบดี ๆ ซักถามไล่เลียงเรื่องโบราณและเรื่องปัจจุบัน หลายชั้นหลายนัย อึ่งเฮียงก็อธิบายได้ทุกประการ จนได้รับคำชมเชยจากเสนาบดี ว่าเป็นคนมีความรู้สมกับที่มีข่าวเลื่องลือไป แล้วเชิญให้อึ่งเฮียงอยู่กินอาหารด้วยและนัดกำหนดเวลาเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ครั้นกินอาหารเสร็จแล้วอึ่งเฮียงก็ลาเสนาบดีกลับไปยังที่พักของตน

ขณะนั้นพระเจ้าฮั่นฮั้วเต้ ราชวงศ์อ่าวฮั้น ครองราชสมบัติ ถึงเวลาเสด็จออกขุนนาง อึ่งเฮียงไปคอยเผ้าอยู่ที่ระเบียงพระที่นั่ง พระเจ้าฮั่นฮั้วเต้เสด็จออก เสนาบดีนำอึ่งเฮียงเข้าเฝ้า และกราบทูลเรื่องราวจนตลอด พระเจ้าฮั่นฮั้วเต้ทอดพระเนตรเห็นท่าทางของอึ่งเฮียงผึ่งผายมีสง่าสมควรเป็นขุนนางได้ จึงทรงตั้งให้เป็นเซียงจือเหล็งตำแหน่งเจ้าพนักงานกรมพระอาลักษณ์ อึ่งเฮียงอุตส่าหฺทำราชการอยู่ที่เมืองหลวงหลายปีจนได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองงุ่ย อึ่งเฮียงจึงรับภรรยาไปอยู่ด้วย เมืองงุ่ยครั้งเจ้าเมืองคนเก่านั้น ฟ้าฝนมักแล้งจะตกก็ไม่ค่อยต้องตามฤดูกาล โจรผู้ร้ายก็ชุกชุมราษฎรได้ความเดือดร้อนเนือง ๆ เมื่ออึ่งเฮียงไปเปนเจ้าเมืองแล้ว กลับอยู่เป็นสุขสมบูรณ์ทั่วกัน จึงมีคำกล่าวยกย่องว่า เหตุทั้งนี้คงเนื่องมาแต่บุญที่อึ่งเฮียงมีความกตัญญูกตเวทีนั้นเอง.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ