- คำนำ
- ๑. พระเจ้าเต้สุ่น
- ๒. เล่าไล่จื๊อ
- ๓. เจ็งชาม
- ๔. เมี่ยนจือเคียน
- ๕. จือหลู
- ๖. ทั่มจื๊อ
- ๗. พระเจ้าฮั่นบุ่นเต้
- ๘. ก้วยกื๊อ
- ๙. ฉั่วสุน
- ๑๐. เต็งหลัง
- ๑๑. กังเก๊ก
- ๑๒. เกียงซี
- ๑๓. ตังอ๎ย้ง
- ๑๔. อึ่งเฮียง
- ๑๕. เล็กเจ้ะ
- ๑๖. เฮ่งเพา
- ๑๗. เม่งจง
- ๑๘. เฮ่งเสียง
- ๑๙. นางเอี้ยเฮียง
- ๒๐. โง่วแม้
- ๒๑. ยูงิมหลู
- ๒๒. นางทั่งฮูหยิน
- ๒๓. จูซิ่วเชียง
- ๒๔. อึ้งเท่งเกียน
๒. เล่าไล่จื๊อ
ครั้งราชวงศ์จิว รัชชกาลพระเจ้าจิวเตี้ยอ๋อง ก่อนพุทธศักราชประมาณ ๖๓ ถึง ๗๓ ปี สมัยนั้นบ้านเมืองสมบูรณ์พูนสุข ฟ้าฝนตกต้องตามฤกูกาล ราษฎรทำมาหากินเป็นปกติตามภูมิลำเนา ที่เมืองลู้ มีชายคนหนึ่งชื่อเล่าไล่จื๊อ เป็นบุตรชาวนาสามัญ มีความกตัญญูกตเวทียิ่งนัก ขณะเมื่อเล่าไล่จื๊อยังเป็นเด็กเล็กพอพูดรู้ความดี ก็ว่าง่ายสอนง่ายไม่ขัดอกขัดใจบิดามารดา น่าเอ็นดูแปลกกว่าเด็กทั้งหลาย บิดาจัดให้เล่าไล่จื๊อเรียนหนังสือตามธรรมเนียม อาจารย์ผู้สอนชมเชยเล่าไล่จื๊อว่า เป็นคนมีปัญญาดี ทั้งหมั่นเล่าเรียนไม่ท้อถอย เมื่อเล่าเรียนสำเร็จแล้ว เล่าไล่จื๊อกลับมาช่วยบิดามารดาทำไร่นา และเก็บผักหักฟืนเอาไปขายเลี้ยงบิดามารดา ครั้นเล่าไล่จื๊อเติบใหญ่สมควรมีภรรยา บิดาก็จัดแจงสู่ขอลูกสาวผู้มีฐานะพอสมกันมาเป็นสะใภ้ เมื่อเล่าไล่จื๊อมีภรรยาแล้ว หาละเลยหน้าทีปรนนิบัติบิดามารดาไม่ ยิ่งกว่านั้นยังแนะนำภรรยาให้เอาใจใส่ปรนนิบัติบิดามารดาอีกด้วย ภรรยายินดีกระทำตามโอวาทของสามีทุกสิ่งทุกประการ คนทั้งหลายเห็นเล่าไล่จื๊อและภรรยามีความกตัญญูกตเวทีก็ยำเกรงเคารพนับถือเป็นอันมาก
ครั้นอายุเล่าไล่จื๊อได้เจ็ดสิบปี วันหนึ่งไปตักน้ำให้บิดามารดาอาบ ขณะที่หาบน้ำมา พะเอินสะดุดก้อนหินเซซวนเกือบล้มลงบิดามารดาเห็นดังนั้นก็นึกสังเวชใจจนน้ำตาไหล เล่าไล่จื๊อหาบน้ำมาถึงแลเห็นน้ำตาของบิดามารดายังไหลริน ๆ อยู่ ก็ตกใจรีบถามว่ามีเหตุอันใดทำให้ร้องไห้ บิดาว่าเห็นเจ้าไม่แข็งแรง อายุเพียงเจ็ดสิบก็แก่เฒ่า โรคภัยเบียดเบียฬอ่อนแอนัก เห็นจะไม่ได้อยู่ทำศพบิดาเสียแล้ว บิดาคงจะต้องทำศพให้แก่เจ้ามากกว่า มารดาก็สลดใจร้องไห้ร่ำไรอยู่ ฝ่ายเล่าไล่จื๊อได้ฟังทราบความดังนั้น ก็ไปเอาเสื้อกางเกงสีสรวมใส่ แล้วถือกลองเล็กแกว่งต๋อมต๋ง แสร้งเล่นเหมือนเด็ก โลดเต้นอยู่ต่อหน้าบิดามารดา จนบิดามารดากลั้นหัวเราะมิได้ จึงห้ามปรามให้หยุดเสีย ตั้งแต่นั้นต่อมาเล่าไล่จื๊อก็เล่นเหมือนเด็กให้บิดามารดาดูเสมอ บิดามารดาอายุยืนคนละกว่าร้อยปีจึงถึงแก่ความตาย เล่าไล่จื๊อไหว้ศพบิดามารดาตามธรรมเนียม และเชิญลงหีบฝังไว้หลุมเดียวกันตามประเพณี ดังคำโขราณว่า เมื่อเป็นอยู่ห่มผ้าร่วมผืนกัน ตายแล้วก็ฝังร่วมหลุมกัน เล่าไล่จื๊ออยู่เฝ้าที่ฝังศพตามธรรมเนียมแล้ว พาภรรยาไปอาศัยอยู่แดนเมืองฌ้อ มีคนมาเล่าเรียนหนังสือด้วยเป็นอันมาก
วันหนึ่งเจ้าเมืองฌ้อไปหาเล่าไล่จื๊อ ขณะนั้นเล่าไล่จื๊อกำลังสานปุ้งกี๋อยู่ เล่าไล่จื๊อรู้ว่าเจ้าเมืองมาหา ก็ต้อนรับเจ้าเมืองฌ้อด้วยความยินดี เจ้าเมืองฌ้อสนทนาปราสัยตามควรแล้วจึ่งว่า ข้าพเจ้ามาหาท่านเพื่อเชิญท่านไปช่วยทำนุบำรุงบ้านเมือง เล่าไล่จื๊อว่าถ้าไม่มีการติดขัดอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เต็มใจจะช่วยการบ้านเมืองตามสติกำลัง ครั้นแล้วเจ้าเมืองฌ้อก็ลากลับไป เวลาเย็นภรรยาเล่าไล่จื๊อกลับจากหาฟืน ได้ความว่าสามีจะไปอยู่ช่วยเจ้าเมืองฌ้อ จึงกล่าวเป็นเชิงท้วงเล่าไล่จื๊อว่า ธรรมดาว่าคนกินเหล้ากินเข้าของเขา ก็ต้องทำงานให้เขา จะได้ลาภหรือยศจากเขาสุดแล้วแต่เขาจะบังคับ เมื่อท่านนิยมอย่างนั้น ขอให้ท่านไปแต่ผู้เดียวเถิด เล่าไล่จื๊อจึงว่าข้อนี้อย่าเพ่อวิตกเลย เอาขนนกขนเนื้อทำเสื้อกางเกงก็ได้ เก็บเข้าตกตามทุ่งนาก็พอกิน เจ้าไม่ชอบอยู่ใต้บังคับใคร เราก็เห็นด้วยกับเจ้า ถ้าเช่นนั้นเราก็ไม่ไปอยู่กับเจ้าเมือง
ว่าแล้วก็พากันไปอาศัยอยู่ที่เมืองอื่นตามผาสุก
เล่าไล่จื๊อนั้น แต่งหนังสือชื่อต๋าวเกไว้เรื่องหนึ่ง ต่อมาภายหลังขงจื๊อก็ยังได้เห็นหนังสือเรื่องนั้นด้วย.