เรื่องแจวเรือจ้าง

ข้าพเจ้าเป็นชาวเมืองกังตั๋ง นัยหนึ่งว่าบ้านอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก จึงไม่เป็นการประหลาดที่ข้าพเจ้าจะใช้เรือเป็นเครื่องบำรุงกำลัง และไม่ประหลาดที่ข้าพเจ้าไม่มีมือซ้ายในการแจวเรือจ้าง มือซ้ายก็มือขวาเหมือนกัน

วันหนึ่งกลับไปบ้านเวลาจวนค่ำ แสนเหนื่อยเพราะเป็นเวลางานชุก แสนเมื่อยเพราะนั่งตรึงอยู่กับโต๊ะ กินอาหารเย็นแล้วก็ยังไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเหนื่อยให้เป็นไม่เหนื่อย และเปลี่ยนเมื่อยให้เป็นไม่เมื่อย ที่เหนื่อยก็เพราะมึนงาน ต้องการอากาศสด ที่เมื่อยก็เพราะไม่ได้ออกกำลัง เหตุดังนั้น พอข้าวและกับเรียงเมล็ด และชิ้นหรือก้อนแล้ว ข้าพเจ้าก็เรียกบ่าวให้ไปถอยเรือจ้างมาให้ แล้วลงแจวไปเองตามลำน้ำ เพื่อบำบัดความเมื่อยล้า แสงเดือนแจ่มจนแม่น้ำขาวเหมือน - เหมือน - เหมือนอะไรดี พระจันทร์ก็ชักรถไปในอากาศ ข้าพเจ้าก็แจวเรือไปในน้ำ

ข้าพเจ้าท่องโคลงเล่นกลางน้ำคนเดียว

๏ แขฟ่อง ณ ฟากฟ้า ไฟงาม
เราก็แจวเรือตาม แม่น้ำ
แขเอยเฉลยความ สักหน่อย
สาวที่ไหนใครปล้ำ ปลิดข้อ ความเหงา บ้างแล

เสียงคนริมฝั่ง “เรือจ้าง เรือจ้าง”

ข้าพเจ้าเหลียวดูรอบข้างไม่เห็นมีเรือจ้างลำอื่น ทราบว่าเรียกเราแน่ นึกสนุกขึ้นมาก็ร้องถามไปตามแบบเรือจ้างว่า “ไปไหน”

เสียงริมฝั่ง “คลองบางหลวง นอกวัดท้องคุ้ง”

ข้าพเจ้าแวะเข้าไป เห็นผู้หญิงยืนอยู่ ๔ คน ผู้ใหญ่กลางคนสวมรองเท้าแตะคนหนึ่ง เด็กสวมเสื้อเชิ๊ตผูกผ้าผูกคอสวมถุงและรองเท้าคนหนึ่ง บ่าว ๒ คน คนหนึ่งเป็นผู้ใหญ่ นุ่งผ้าลายใหม่ ห่มผ้าขาวม้า คนหนึ่งเป็นเด็กถือกล่องหมาก

บ่าวผู้ใหญ่ “เท่าไรล่ะย๊ะ”

ข้าพเจ้า “ไปถึงไหน”

บ่าวผู้ใหญ่ “นอกวัดท้องคุ้งย่ะ”

ข้าพเจ้านิ่งนึกถึงราคาอยู่สักครู่หนึ่ง จะไม่เรียกราคาเลย เขาก็จะสงสัยไปรอบโลก จะไม่ไปก็นึกออกสนุก เพื่อจะมีเรื่องมาเล่าในลักวิทยา แต่จะเรียกราคาก็ไม่ทราบว่าจะควรเรียกเท่าไรแน่ แต่นึกได้ว่า เมื่อวานซืนลงเรือจ้างไปทางคลองนั้นคนเดียว เวลาเพิ่งค่ำ ได้ให้อัฐ ๒ สลึง คราวนี้ถึง ๓ คน ทั้งเวลาก็ดึกกว่า เรียกสักบาทหนึ่งเห็นจะพอดี

ข้าพเจ้า “บาทหนึ่ง”

บ่าวผู้ใหญ่ “อะไล้มากนักนี่ย้ะ สลึงไม่ได้รึ”

แม่สาว “อะไล้แม่เปรมก็”

บ่าวผู้ใหญ่ (นัยหนึ่งว่าแม่เปรม) “อะไล้คุณก็”

แม่เปรมกับแม่สาวต่างคนต่างก็ติเตียนกันว่า “ก็”

ข้าพเจ้าสังเกตดูแม่เปรมเห็นว่าไม่ใช่บ่าว ออกจะเป็นชนิดพี่เลี้ยง แม่สาวเรียกว่า แม่เปรม ข้าพเจ้าก็เรียกว่าแม่เปรมในที่นี้บ้าง

แม่เปรม “ยังไงย้ะ”

ข้าพเจ้า “ได้ย่ะ”

คนทั้ง ๔ ก็ลงนั่งในเรือ ข้าพเจ้าก็ออกแจวไป นึกออกขันตัวเองว่า นี่จะไปเที่ยวแจวส่งเขาทำไม แต่ก็ออกสนุก เวลาก็ยังหัวค่ำ แจวเรือเพียงนั้นเคยมาหนัก เดือนก็หงาย และยังไม่ถึงเวลานอน

แม่สาว “คุณน้ายังไม่เคยลงเรือจ้างลึค้ะ”

คุณน้า คือผู้ใหญ่ผู้สวมรองเท้าแตะตอบว่า “ยัง หลาน เดือนหงายสบายดีอ็อก อุ้ย เรือไฟมา กดแจวหน่อยย้ะ”

ข้าพเจ้า “ไม่เป็นไรมิได้”

แม่สาว “คุณน้าก็ เรือไฟอยู่ห่างไหน ๆ”

คุณน้า “เยี่ยงหล่อนเคยเรือล่ะ ทำดีไปเถอะ ล่มลงหละงามหน้า เกือกออกอย่างนั้น ส้นสูงยังกะหน้าจะคะมำ”

แม่สาวหัวเราะ “ไม่คะมำหลอกค้ะ อิฉันเคย คู่วินเตอร์ของอิฉันสูงกว่านี้อีก วินเตอร์ที่คุณเธอส่งมาให้จากลอนดอนแน่ะค้ะ”

คุณน้า “วินเตอร์น่ะแปลว่าอะไรย้ะ”

แม่สาว “อุ๊ย ดิฉันก็ไม่ทราบละค้ะ เห็นเรียกกันว่า เกือกวินเตอร์ เห็นจะแปลว่าเกือกละกะมัง”

แม่เปรม “ไม่ใช่หรอกค้ะ ดูเหมือนแปลว่า ส้นสูงหนะ”

แม่สาว “อะไล้แม่เปรมก็”

แม่เปรม “ทำไมจะไม่ใช่ค้ะ ดิฉันได้ยินใครว่าไม่ทราบ แน่หละค้ะ”

แม่สาว “ ไม่ใช้ ไม่ใช่ แม่เปรมว่า มาพนันกับฉันไหมล่ะ ถ้าแม่เปรมชนะฉันจะช่วยทำดอกไม้ไปวัด ถ้าฉันชนะ ฉันจะใช้แม่เปรมไปเที่ยวหาซื้อมะม่วงคุมเสนมัน”

แม่เปรม “เอาหละค่ะ เลยไปถามพ่อแสงเดี๋ยวนี้ก็เอา อยู่ข้างท่าเตียนนี่หละ”

แม่สาว (อยากชนะเต็มที) “คุณน้าเลยไปข้างท่าเตียนหน่อยได้ไหมค้ะ”

คุณน้า “ ได้หลาน เดือนหงายน้าชอบ”

แม่เปรม “ ยังงั้นเอา ฉันจะเอาชนะคุณให้ได้ เรือจ้างเลยไปท่าเตียนหน่อยเถิดย่ะ นิดเดียวแหละ”

ข้าพเจ้า “ ไม่ต้องไปก็ได้ย่ะ ฉันทราบ วินเตอร์แปลว่าหน้าหนาว”

แม่สาวกับแม่เปรมคงนึกประหลาดใจเต็มที คนเรือจ้างรู้จักคำอังกฤษ ใครเขาจะเชื่อ

แม่เปรม “ถ้าแปลว่าหน้าหนาว ทำไมถึงจะเป็นชื่อเกือก”

ข้าพเจ้า “ชื่อคนทำย่ะ เหมือนบุหรี่หลวงกำจัดยังไงล่ะย๊ะ”

แม่เปรมดูทีไม่เชื่อ ถามว่า “ยังไงถึงทราบล่ะย้ะ รู้ภาษาฝรั่งรึ”

ข้าพเจ้า “ก็รู้บ้างสองสามคำย่ะ”

แม่สาวพิจารณาดูข้าพเจ้าเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ศีรษะตลอดปลายเท้า ข้าพเจ้าสวมเสื้อชั้นในนุ่งผ้าพื้น ดูกลางคืนก็เห็นจะไม่ทราบว่าเก่าใหม่เพียงไร แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่า ข้าพเจ้าคงสะอาดกว่าคนเรือจ้างธรรมดา

แม่สาวก็คงรู้คำอังกฤษสักครึ่งโหล เห็นข้าพเจ้าอวดดี ก็ตั้งใจจะสอบความรู้ข้าพเจ้า จึงกระซิบให้แม่เปรมถามข้าพเจ้าว่า “ฮอตแปลว่าอะไรย๊ะ”

ข้าพเจ้า “แปลว่าร้อนย่ะ”

แม่สาวก้มไปกระซิบกับแม่เปรม ๆ บอกกับข้าพเจ้าว่า “ไม่ถูกหล๊อกย่ะ”

ข้าพเจ้าเข้าใจดีว่า ที่จริงแม่สาวจะว่า “ฮ๊อส” แปล ว่าม้า แต่ออกเสียงไม่ถูก จึงเป็นฮอต แปลว่าร้อนไป

ข้าพเจ้า “ถูกย่ะ ฮอตแปลว่าร้อน ฮ๊อสแปลว่าม้า ถ้าเรียกไม่ชัดก็มักปนกันยุ่ง จะว่าม้าต้องมีสำเนียงตัวเอส”

คุณน้า “อุ๊ย ! เรือไฟ ฝานบวบซีย้ะ (ลุกขึ้นนั่งยอง ๆ มือจับแคมเรือแน่น) “คุณพระช่วย ดูซี แม่หนู ช่างหัวเราะได้ ภาวนาไปซีหลาน”

หลานสาว “ ไม่เป็นไรหล็อกค่ะ น้ำไม่ทันเข้า เรือจ้างไม่ล่มง่าย ๆ หล็อกค่ะ”

พอคลื่นหมด แม่หนูก็ลืมเกียรติยศ อารามทึ่งความรู้ภาษาอังกฤษของคนแจวเรือจ้าง พูดกับข้าพเจ้าออกตรง ๆ โดยไม่ต้องใช้แม่เปรมเป็นล่ามว่า “แกเคยเรียนอังกฤษลึ”

ข้าพเจ้าเกือบสิ้นสติ ไม่ทราบจะพูดกับแม่หนูอย่างไร คนเรือจ้างควรพูดขอรับกับผู้ดีสวมรองเท้าส้นสูง แต่ข้าพเจ้าก็ถือตัวว่าเป็นผู้ดีอย่างเลิศลอย ครั้นจะขอรับออกไปก็พูดไม่สนิท ดูกระไร ๆ อยู่ เลยตกลงว่า จะต้องพูดลอย ๆ เอาดื้อ ๆ

ข้าพเจ้า “จำเขาไว้ได้บ้างสองสามคำ”

แม่หนู “ พูดได้ไหม”

ข้าพเจ้า “พูดได้บ้าง”

แม่หนู “อ่านล่ะ”

ข้าพเจ้า “อ่านก็พอได้บ้าง บางทีจะได้มากกว่าคุณ” ข้าพเจ้าเห็นทึ่งก็เลยอวดใหญ่

เวลานั้นถึงคลองบางหลวง ข้าพเจ้าก็เลี้ยวเข้าคลองไป แม่หนูกำลังทึ่งภาษาอังกฤษหาได้สังเกตไม่ว่า ไม่ได้เลยไปท่าเตียน

แม่หนู “ตาย อยากให้ลองอ่าน”

ข้าพเจ้า “ก็ได้จะเป็นไรไป แต่จะได้หนังสือที่ไหนอ่านในเรือจ้าง”

แม่หนู “มีหร็อก ที่บ้าน เออ ! แจวเรือจ้างได้วันละมากลึคะ”

ข้าพเจ้า “ไม่มากมิได้ ไม่ใคร่ได้แจว”

แม่เปรม “อยู่ทำไมล่ะยะ”

ข้าพเจ้า “ไม่มีทำมิได้”

แม่เปรม “อ้อเรือจร แม้รู้ฝรั่งดีออก ทำไมไม่ไปเป็นเสมียนล่ะยะ”

ข้าพเจ้า “เสมียนได้เงินเดือนน้อยนักย่ะ”

แม่เปรม “อะไล จะน้อยกว่าแจวเรือจ้างอีก ถ้าไปเป็นเสมียนฝลั่ง จะได้สักเดือนละเท่าไหล่ยะ”

ข้าพเจ้า “เสมียนของฉันได้ ๘๐ บาท”

(ตายหละเรา หลุดปากออกไปทั้งคำ)

แม่หนู (หัวเราะเยาะว่าข้าพเจ้าพูดผิด)

“อะไรเสมียนของแกก็มีด้วย”

ข้าพเจ้าเสียท่าแก้ตัว “มิได้ ว่าเสมียนฝรั่งที่รู้จักคนหนึ่งนั้น นายเขาให้เงินเดือน ๘๐ บาท”

แม่เปรม ถามนอกคอกว่า “เสมียนคนนั้นชื่อไหล่ย้ะ”

ข้าพเจ้า “นายสัพพ์ย่ะ อยู่กรม -”

แม่เปรม “ตายจริง พ่อสัพพ์ลูกฉันเองแหละย่ะ คุณหนูเธอก็รู้จัก แต่บ้านเขาอยู่ไกล ไม่ใคร่ได้ไป ๆ มา ๆ”

แม่เปรมถามต่อไปว่า “ก็ชื่อไหล่ล่ะยะ”

ข้าพเจ้า “ฉันชื่อแกลบย่ะ”

แม่หนู “เออ ชื่อชอบกล คล้าย ๆ แก้วแกลบ

ข้าพเจ้า “อ๋อ แก้วแกลบลักวิทยารู้จัก”

แม่หนู “อ้อ แกรู้จักด้วย รูปร่างเป็นยังไงล่ะ กะแกใครจะสูงกว่ากัน”

ข้าพเจ้า “ขนาดเดียวกัน รูปร่างอย่างเดียวกันหมด”

แม่หนู “เออ ชอบกล แม่วันเขาว่าสูงหรือแก”

ข้าพเจ้า “ถึง ๓ หลา ความสูงของแม่วันเสมอความยาวของเรื่องความพยาบาท”

แม่หนู “เอ้อ แกซื้อลักวิทยาอ่านด้วยลึ”

ข้าพเจ้า “ ไม่ได้ซื้อมิได้ แต่อ่านเสมอ”

แม่หนูพูดเป็นที่เข้าใจว่า “อ้อ” แต่คงจะเข้าใจไปทางดงพระยาไฟ ไม่ฝันว่าข้าพเจ้าคือใคร และไม่ต้องซื้อลักวิทยาเพราะเหตุไร

คุณน้า “แม้คุยหนังสือกันออกจ้อ เดี๋ยวนี้เอาจริงเทียวพอ ไม่ว่าใคร ๆ รู้หนังสือหมด อ้ายเมื่อกระนั้นหาหนังสือดี ๆ ยาก

ข้าพเจ้าออกพื้นหน่อย ๆ แต่ระลึกได้ว่า เวลานั้นเป็นคนแจวเรือจ้าง เป็นอันต้องนิ่งไว้ นึกประหลาดแต่ว่า คุณหลานคุยกับข้าพเจ้าออกจ้อ คุณน้าเป็นคนชนิดเก่า ซึ่งหัวเต็มไปด้วย “เมื่อกระนั้น” ทำไมไม่ออกวาจาว่ารังเกียจที่จะให้หลานสาวพูดกับผู้ชาย ดีร้ายจะเป็นคุณน้าไม่มีอำนาจเหนือหลาน หรือเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นแต่คนแจวเรือจ้าง ไม่มีอันตรายดอกกระมัง ส่วนหลานสาวนั้นออกจะพูดเก่ง และไม่มีอาการสักนิดเดียวว่า รังเกียจคุยกับคนแจวเรือจ้าง เห็นจะเป็นด้วยทั้งคนแจวเรือจ้างชนิดใหม่ ซึ่งเข้าใจว่ารู้ภาษาอังกฤษ

เวลานั้นเผอิญน้ำลงไม่สู้เชี่ยว ไม่ช้านักก็ถึงบ้านแม่หนู ซึ่งเป็นเรือนฝากระดานอย่างกลาง ๆ ไม่สู้คึกคักนัก คุณน้านั้นเสียงว่าเคยไปบ้านนั้นเป็นครั้งแรกร้องว่า “อ้อนี่ถึงแล้วหรือ น้าคิดว่ามันยังไกลอยู่อีก นี่แม่น้ำเก่ายังไงละหลาน แต่ก่อนมีคนแจวเรือมาจากคลองบางกอกน้อย ออกแต่เช้า ค่ำมาถึงปากคลองบางหลวง ลืมหม้อข้าวเดินกลับไปเอามาหุงข้าวเย็นกินทัน”

หลานสาว “อะไรแจวเป็นวันยังค่ำ กะอีแค่นี้ก็”

คุณน้า “ ไม่ใช่หลาน แต่ก่อนมันไกล”

หลานยังมืดตื้อ “ทำไมทางมันจะหดเข้ามายังไงได้ล่ะคะ”

คุณน้า “ไม่ใช่หลาน แต่ก่อนแม่น้ำมันไม่มี”

พุโธ่ จะบอกเสียแต่แรก ก็จะไม่ต้องสงสัยสนเท่ห์กันอยู่เป็นนาน ถ้าบอกเสียตรง ๆ ก็จะเข้าใจได้ว่า อารามที่คลองมันเป็นเกือกม้า เดินประเดี๋ยวทันใจก็ถึง แต่ไปตามคลองซิ เล่นเอาวันยังค่ำ

หลานยังไม่พอใจทีเดียว ถามว่า “ถ้ายังงั้นแม่น้ำมิมีคนขุดหรือคะ คุณน้าทราบไหมค๊ะว่าใครขุด”

คุณน้า “ไม่ทราบเลยหลาน เห็นจะเจ้าพระยาวิชาเย็นกระมัง หรือไม่ยังงั้นก็พระนเรศร์”

ข้าพเจ้าอดไม่ได้ สอดเข้าไปว่า “ไม่ใช่มิได้ ดูเหมือนได้ยินว่า พระเจ้าอู่ทอง”

คุณน้านิ่งนึก ดูเหมือนจะแลไม่เห็น แต่หลานสาวเหลียวมาหัวเราะแล้วว่า “อะไร้ พระเจ้าเล่าปี่ก็ไม่รู้”

เมื่อจากเรือนั้น แม่หนูสั่งข้าพเจ้าว่า ให้รอก่อน และสักครูหนึ่งเมื่อคุณพ่อคุณแม่กับคุณน้าทักทายปราศรัยกันแล้ว ก็ได้ยินเสียงแม่หนูเล่าให้คุณพ่อฟังถึงคนแจวเรือจ้างรู้ภาษาฝรั่ง ลงท้ายว่า “รู้มากด้วยค่ะ” แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่า แม่หนูมีความรู้พอที่จะทราบได้ว่า ข้าพเจ้ารู้มากหรือน้อย

คุณพระ (คือคุณพ่อ) “พูดีตกยากกระมัง”

แม่หนู “ไม่ใช่หรอกค่ะ พูดีอะไรจะมาแจวเรือจ้าง อ้อ พวกลักวิทยาก็รู้จักค่ะ อิฉันอยากเรียกตัวแกขึ้นมาอ็อก”

คุณพระ “ฮะ ยังไงอยู่”

แม่หนู “พุโธ่ คุณพ่อก็ ท่าทางแกดีหรอกค่ะ อิฉันอยากลองให้แกอ่านหนังสือฝรั่งอ็อก”

คุณพระตามใจลูกสาว “ตามใจเจ้าซี”

ประเดี๋ยวแม่เปรมนำคำสั่งมาหาตัวข้าพเจ้าให้ขึ้นไปบนเรือน ข้าพเจ้าขึ้นไปเห็นคุณพระกับลูกสาวนั่งอยู่ด้วยกันบนเสื่ออ่อน ข้าพเจ้าถูกเกณฑ์ให้นั่งลงกลางกระดาน คุณแม่กับคุณน้าหายไปไหนทั้ง ๒ คน เห็นจะไปคุยกันถึงเมื่อกระนั้น

คุณพระท่าทางออกจะโบราณจัด แต่ลูกสาวนั้นตรงกันข้าม ได้ความทีหลังจากนายสัพพ์เสมียนของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นบุตรแม่เปรมภรรยาหลวงอะไร ซึ่งตายแต่พุทธกัลป์ ว่าถึงคุณพระและคุณแม่เป็นบิดามารดาชนิดเก่าอยู่หน่อยก็จริง แต่บุตรชายใหญ่ ซึ่งข้าพเจ้าจะเรียกว่านายใหญ่นั้น ให้ไปเรียนหนังสือฝรั่งที่โรงเรียนจนถึงได้ไปยุโรป และนายใหญ่เป็นผู้นำเอาความโก้เข้าไปในบ้านมิใช่น้อย น้องสาวเป็นคนสนุกในเรื่องหนังสืออยู่บ้างแล้วก็เลยถึงกับเรียน เอ.บี. จากพี่ชาย เมื่อพี่ชายไปเมืองนอกเสียแล้ว ก็หลับตาคลำหนังสือ “บันไดให้เรียน” ไปโดยตนเอง เมื่อพบใครที่รู้ภาษาอังกฤษ จึงได้ทึ่งนักทึ่งหนา ถึงมีข่าวว่า ถ้ามีผัวก็อยากได้คนที่รู้ภาษาอังกฤษ

ส่วนคุณพระเองนั้น ความที่รักลูกตามใจลูก จนเกือบจะละแผนโบราณไปสู่แผนโก้ แต่เป็นคนไม่สู้เปิดเผยตัวนัก กล่าวคือถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ไปไหน ไม่เข้าที่ประชุมชน จนไม่ใคร่รู้จักใครแลไม่ใคร่มีใครรู้จัก ข้าพเจ้าสารภาพได้ว่า ไม่เคยเห็นคุณพระก่อนวันนั้นเลย แลบอกได้ว่า คุณพระไม่เคยเห็นข้าพเจ้า ไม่มีกิริยาเลยว่าเคยเห็นข้าพเจ้า ไม่ใช่คนแจวเรือจ้างจริง

แต่ถึงคุณพระติดจะเก่าอยู่สักหน่อยก็จริง แต่ก็ออกจะเป็นใจนักเลง แลไม่มียโส ถึงเรียกข้าพเจ้าว่าน้องชาย (ซึ่งข้าพเจ้าไม่เต็มใจเป็น) ปราศรัยว่า “ยังไงน้องชาย รู้ฝรั่งมังค่าด้วยหรือ แม่หนูเขาว่ารู้มาก”

สำนวนข้าพเจ้าออกจะขลุกขลัก บางทีจะไม่ใช่สำนวนที่คุณพระฟังอยู่ทุกวัน แกจึงเลยนิ่ง บอกกับลูกสาวว่า “จะอ่านอะไรก็อ่านซี แต่อย่าให้ช้านัก เสียเวลาเขาจะหากิน”

ลูกสาวตอบว่า “ข้อนั้นไม่เป็นไรหรอกค่ะ อิฉันจัดการเอง” เห็นจะหมายความว่า จะให้อัฐเพิ่มอีกสักสลึงหนึ่งค่าเสียเวลาของข้าพเจ้า

แม่หนูไปหยิบหนังสือ “บันไดให้เรียน” มาเล่มหนึ่ง ให้ข้าพเจ้าอ่าน เมื่อแรกอ่านยังไม่ใคร่เชื่อ ถึงซักไซ้ไล่เลียง เพื่อทราบว่ารู้จริงหรือไม่ หนังสือที่หยิบมาให้อ่านนั้น เป็นหนังสือที่แม่หนูเข้าใจซึมซาบอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงทราบได้ว่า ข้าพเจ้าอ่านแลเข้าใจหนังสือเล่มนั้นได้จริง ลงท้ายถึงกับไต่ถามข้าพเจ้าอย่างศิษย์ถามครู บางทีจะลืมชั่วคราวว่า ข้าพเจ้าเป็นคนแจวเรือจ้าง

แม่หนู “คำว่า ของท่านน่ะ ทำไมมีตัวเอ็ซบ้างไม่มีบ้าง”

ข้าพเจ้า “ถ้ามีนามหรือสรรพนามมาข้างหลัง ก็ไม่ต้องมีตัวเอ็ซ แต่ถ้าเมื่อไรใช้คำ “ของท่าน” ด้วน ๆ ไม่มีคำอื่นต่อก็ต้องใส่ตัวเอ็ซ เช่นว่า “มันเป็นแมวของท่าน” ดังนี้ก็ไม่ต้องใช้เอ็ซ เพราะตามประโยคอังกฤษ คำว่าแมว มาต่อคำว่าของท่าน แต่ถ้าจะว่าลอย ๆ ว่า “ฉันเป็นของท่าน” ดังนี้ต้องใส่ตัวเอ็ซว่า “ ไอแอมยัวรซ์” ไหนคุณลองว่า “ฉันเป็นของท่าน ภาษาอังกฤษดูถี”

แม่หนูปล่อยออกมาเต็มปากว่า “ไอ แอม ยัวร์ซ์” แล้วทำหน้าแดง ก้มหน้าลงอ่านหนังสือนิ่งเงียบ คุณพระหาได้สังเกตสิ่งใดผิดประหลาดไม่ แม่หนูนั้นออกจะระแวง จึงทำกิริยาอาย แต่ยังไม่มีท่าทางว่าจะโกรธ บางทีจะไม่แน่ใจลงไปทีเดียว ข้าพเจ้าทำหน้าเฉย เป็นทีว่าไม่รู้ไม่ชี้ แล้วทำพูดเรื่อย ๆ ต่อไปว่า “ถ้ามีกิริยาอื่นมาอยู่หน้าคำว่า “เป็น” อีกคำหนึ่งแล้ว ก็เปลี่ยนคำ “แอม” เป็น “ทูบี” ต่างว่าประโยคมีกริยาว่า “อยาก” เติมเข้ามาว่า “ฉันอยากเป็นของท่าน” ดังนี้ คุณจะแปลเป็น อังกฤษอย่างไร”

คราวนี้แม่หนูแน่ใจทีเดียว ทำหน้าคว่ำลุกสะบัดเข้าเรือนไป ดูท่าทางเหมือนจะเข้าไปซบหน้าร้องไห้กับหมอน แต่คุณพระแกก็ไม่สังเกตอะไร ด้วยกำลังจะชงน้ำชาในป้านเล็กอยู่ พอลูกสาวลุกเข้าเรือนไปแล้ว คุณพระก็เงยหน้าขึ้นดู ถามว่า “อ้าว แม่หนูไปไหนล่ะ อ้อ เห็นจะไปหยิบหนังสือใหม่ ยังไง เรียนหนังสือฝรั่งมังค่ามาจากไหน”

ข้าพเจ้าพูดลอย ๆ “จำ ๆ เขามาเท่านั้นเอง”

คุณพระยกปัญหาเดิมขึ้นถามอีกว่า “ก็เมื่อรู้ภาษาฝรั่ง ทำไมถึงไม่ไปรับจ้างเขาเป็นเสมียนล่ะ รู้ฝรั่งมักได้เงินเดือนมาก นายสัพพ์ลูกแม่เปรมเมื่อตะกี้ยังได้เป็นชั่ง”

ข้าพเจ้า “ความรู้เขาจะสมควรกับตำแหน่งเสมียนกระมัง”

คุณพระ “ความรู้เราไม่พอเป็นเสมียนยังงั้นหรือ”

ข้าพเจ้าตอบเขาไปว่า “ความรู้เราไม่สมควรจะเป็นเสมียน”

คุณพระ “นี่แหละมันก็ยาก เรารู้ไม่พอจะไปโทษใครได้ อุตส่าห์ฝึกฝนไปซีพ่อคุณ นายสัพพ์เขารู้มาก ลองขวนขวายไปหาเขาดู เผื่อเขาจะสอนให้มั่ง ถ้าตามบุราณก็เอาหญ้าแพรกดอกมะเขือไปให้เขา แต่เดี๋ยวนี้รู้หรอกว่าไม่ใช้กัน รูปร่างก็ไม่น่าแจวเรือจ้าง อุตส่าห์เถอะเผื่อจะได้การมั่ง เป็นเสมียนดีกว่าแจวเรือจ้าง”

ข้าพเจ้ารับรองว่าแน่เทียว แต่ในใจนึกเถียงคุณพระว่า ใช้ไม่ได้ทั้ง ๒ ทาง แจวเรือจ้างก็แดดร้อนเหนื่อยนัก แลได้เงินน้อย เป็นเสมียนก็เงินเดือนไม่พอ สู้เป็นเจ้ากรมอย่างที่เป็นอยู่แล้วไม่ได้

สักครู่หนึ่ง แม่เปรมนำเงินออกมาให้บาทหนึ่ง แม้ ! เป็นบาท ! แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รับ อ้างเหตุว่า ที่คุณพระสั่งสอนสองสามคำนั้นเป็นเม็ดตาพอคุ้มแล้ว ไม่ต้องรับเงินได้ เมื่อข้าพเจ้าลาเดินมาลงเรือนั้น ได้ยินเสียงคุณพระพูดกับแม่เปรมว่า “ยังไงแม่เปรม ฉันสงสัยว่าพูดีตกยาก วาจาอาการมันผิดนัก ท่าทางไม่เห็นมีไพร่ตรงไหนเลย”

แม่เปรม “เจ้าค่ะ อีฉันก็นึกสงสัย แต่เห็นจะไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะ พูดีที่ไหนจะแจวเรือจ้าง” แม่เปรมหาได้คิดไม่ว่า คนที่แจวเรือจ้างนั้น แจวสำหรับสนุกแลเพื่อบำบัดความเมื่อยก็ยังมีบ้าง

คุณพระ “แม่หนูก็ออกจะชอบด้วยนา แม่เห็นเข้าลางทีก็จะไม่ชอบ แต่ฉันเองน่ะตามใจเขา เขาโตแล้วรู้จักรักษาตัว ไม่ประหลาดอะไร”

แม่เปรม “เจ้าค่ะ จะเป็นไรไป๊”

วันรุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ เวลาค่ำข้าพเจ้าไปแจวเรือจ้างเล่น เมื่อถึงท่า ๆ นั้นออกจะเหลียว ๆ รอ ๆ แต่ก็ไม่มีใครมา เห็นแต่เรือจ้างอีกลำหนึ่งพาคนมาส่ง จำรูปร่างได้ว่านายสัพพ์ แต่เป็นเวลามืด นายสัพพ์หาเห็นข้าพเจ้าไม่

วันรุ่งขึ้นไปที่ออฟฟิศ ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าวันก่อนนายสัพพ์คงไปหามารดากลับมา จะถามว่าได้ยินอะไรแปลกประหลาดมาบ้าง ก็กลัวจะสงสัย จึงพูดอ้อมค้อมไปว่า “วานนี้ไปเที่ยวไหนบ้าง เข้าใจว่าเห็นแกข้ามเรือจ้าง”

นายสัพพ์ “ ผมไปหามารดาในคลองบางหลวงมาขอรับ ใต้เท้าอยู่ที่ไหน ผมไม่เห็นใต้เท้า” (ข้าพเจ้าเป็นใต้เท้าของนายสัพพ์)

ข้าพเจ้า “ใต้เท้าก็อยู่กลางแม่น้ำเหมือนกัน แกอยากไม่เห็นเอง ไปมาเรือจ้างเดี๋ยวนี้สบายนะ”

นายสัพพ “ขอรับ สองไพก็ถึง มีออกดาษดา อ้อ มารดาผมเล่าว่า วานซืนกลับจากฟากข้างนี้ จ้างเรือจ้างไปส่งบ้าน คนแจวรู้ภาษาอังกฤษ ใต้เท้าจะเชื่อไหม”

ข้าพเจ้า “ใต้เท้าไม่เชื่อ คนเรือจ้างที่ไหนมีที่รู้ภาษาอังกฤษ นั่นคงโก๋กันใหญ่”

นายสัพพ์ “ไม่โก๋มิได้ มารดาผมอยู่กับพระ... คุณพระแกมีลูก ๒ คน คนพี่เป็นผู้ชายอยู่เมืองนอก คนน้องเป็นผู้หญิง รู้อังกฤษงู ๆ ปลา ๆ วันนั้นคุณหนู... ลูกสาวนั่นแหละขอรับ ข้ามไปกับมารดาผมด้วย คุณหนูแกบอกว่า คนเรือจ้างคนนั้นรู้อังกฤษจริง ๆ รู้พอใช้ แกว่าอ่าน “บันได” ได้จ้อ เสียงว่ารู้จักใต้เท้าด้วย”

ข้าพเจ้า “ชั่งเถอะ ฉันไม่รู้จักคนเรือจ้างที่อ่านอังกฤษออก เชื่อยังไม่สนิท กลัวจะผิดอะไรสักอย่างหนึ่ง เจ้าคนนั้นรู้อังกฤษ แล้วทำอย่างไรบ้างล่ะ”

นายสัพพ์ “ได้ยินว่าจับตัวขึ้นไปอ่านหนังสือกันถึงบนบ้าน พูดที่จริงก็คงรู้คำสักครึ่งโหล ไม่อย่างนั้นที่ไหนจะแจวเรือจ้าง อ้อ มารดาผมเล่าว่า เมื่ออ่านกันอยู่นั้น คุณพระนั่งคุมอยู่ด้วย แต่เจ้านั่นจะว่ากระไรไม่ทราบ คุณหนูลุกขึ้นปัด ๆ เข้าไปพื้นเสียอยู่ในเรือน บ่นว่าอยากเรียกขึ้นไปสมน้ำหน้าตัวเอง มารดาผมถามว่า อะไรกันก็ไม่บอก ถามคุณพระ ๆ ก็ไม่ได้เห็น หรือไม่ได้ยินอะไร ตกลงแลไม่เห็นว่าอะไรไปทางไหน ใต้เท้าจะตีความว่ากระไร”

ข้าพเจ้า “ใต้เท้าก็ตีไม่ออก อะไร เจ้าคนนั้นจะสามารถถึงทำอาการกริ่มกระหยิ่มกับคุณหนูของแกเจียวหรือ”

นายสัพพ์ “อิม ที่ไหนจะกล้า”

ข้าพเจ้า “แต่ช้าก่อน แกทราบแน่แล้วหรือว่า เจ้าคนนั้นไม่ใช่ผู้ดีปลอม คุณหนูของแกก็เป็นคนสวยไม่ใช่หรือ”

นายสัพพ์ “ขอรับ เธอออกสวย แต่ผู้ดีอะไรจะไปปลอมเป็นคนแจวเรือจ้าง”

ข้าพเจ้า “เป็นได้ดีทีเดียว บางทีเขาก็จะแจวเล่นให้หายเมื่อย แต่เมื่อไปเห็นเขาเป็นเรือจ้าง เรียกจ้างเขาไปส่ง เขาเห็นสนุกขึ้นมา เขาก็รับไปส่งดังนี้ จะเป็นไปไม่ได้เจียวหรือ ถ้าเป็นดังนั้นจริงแหละงามหน้า ทำไมแกถึงรู้ว่าไม่เป็นอุบายของใครที่จะทอดสะพานให้คุณหนูเดิน”

นายสัพพ์เอะใจขึ้นมาพูดว่า “บางทีจะเป็นได้ ผมจะต้องไต่ถามดูเค้าให้แน่”

รุ่งขึ้นอีกห้าหกวันเป็นวันอาทิตย์ ในระหว่างเวลาเสด็จพระราชดำเนินสิงคโปร์ เวลาบ่ายข้าพเจ้าไปเล่นเทนนิสตามเคยแล้ว พอเวลาจวนค่ำก็เลยไปในวัง พอลงรถหน้าประตูวิเศษไชยศรี ก็เห็นคุณพระเดินออกประตูมากับบ่าว ๒ คน พอเห็นข้าพเจ้าเข้าก็หยุดชะงักจ้องดูข้าพเจ้าแล้วไปพูดกับบ่าวว่ากระไรไม่ได้ยิน ชรอยจะสอบให้แน่ว่าข้าพเจ้าเป็นคนแจวเรือจ้างคืนนั้นหรือไม่ใช่ ฝ่ายข้าพเจ้าเมื่อเห็นคุณพระดังนั้น ก็ทำเป็นไม่เห็น ลงจากรถก็เดินกัก ๆ เข้าประตูเลยไปเสีย โดยหวังใจว่า คุณพระจะจำข้าพเจ้าไม่ได้

เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปถึงหน้าหอพระสมุดเหลียวดูไม่เห็นคุณพระ หรือบ่าวตามเข้าไปก็ค่อยวางใจ เพราะถึงคุณพระจะจำข้าพเจ้าได้ ก็คงยังไม่ทราบว่าใคร อันที่จริงถึงไม่ทราบวันนั้น ก็คงทราบวันอื่น แต่ในเวลานั้น ข้าพเจ้ามีความคิดอยู่แต่จะไม่ให้รู้จักในขณะนั้น

รุ่งขึ้นข้าพเจ้าพบนายสัพพ์ที่ออฟฟิศ พอว่างก็กรากเข้ามาบอกว่า “วานนี้ผมไปหามารดา เรื่องคนแจวเรือจ้างที่ผมเล่าเมื่อวานซืนนั้น ออกจะเป็นจริงตามที่ใต้เท้าว่า มารดาผมก็เห็นด้วย เพราะเมื่อจะไปนั้น ให้เงินบาทหนึ่งยังไม่เอา”

ข้าพเจ้า “ฉันก็รู้จักแล้วว่าคน ๆ นั้นคือใคร แลเข้าใจว่าคุณพระแกก็ทราบแล้ว เมื่อวานแกพบคุณพระหรือเปล่าล่ะ”

นายสัพพ์ “ ไม่พบมิได้ คุณพระแกไปอยู่เวรในวัง ผมกลับเสียก่อนแกกลับ ที่ใต้เท้าทราบแล้วนั้นคือใคร”

ข้าพเจ้า “ชายคนหนึ่งที่ฉันชอบมากกว่าใคร ๆ หมด แต่เวลานี้ยังไม่บอกชื่อ”

ค่ำวันนั้น ข้าพเจ้าแต่งตัวสวมเสื้อหมวกตามธรรมดา นั่งอยู่ที่สะพานบ้าน อ้ายแฉ่งคนเรือจ้างแจวมาไม่มีคนอื่น ข้าพเจ้าก็เรียกให้แวะรับ แลสั่งให้แจวเรื่อยไปตามลำน้ำ เพื่อจะตากอากาศ พอถึงท่าเก่าก็ได้ยินเสียงคนเรียกเรือจ้างไปคลองบางหลวง ออกจะจำเสียงได้ เมื่อเหลียวไปดูจำตัวได้ ข้าพเจ้าก็บอกให้อ้ายแฉ่งแวะเข้าไป สั่งว่า ถ้าว่าจ้างไปส่งให้รับ

อ้ายแฉ่งก็แวะเข้าไปตามสั่ง แม่เปรมว่าราคาแลบอกตำแหน่งตามเคยแล้ว ก็พาแม่ลูกลงเรือ ข้าพเจ้านั่งหันหลังให้เสีย ๒ คนนั้นจำข้าพเจ้าไม่ได้ พอออกไปถึงกลางน้ำ ข้าพเจ้าก็หันไปพูดกับแม่เปรมว่า “บางทีจะจำฉันไม่ได้กระมัง”

แม่หนูกับแม่เปรมตกใจจนถ้าสว่างพอ ก็คงจะเห็นสีหน้าเผือด แม่เปรมตอบว่า “คุณแต่งตัวผิดกว่าคราวก่อนแล้วหันหลังให้ยังงั้น อีฉันจะจำได้ยังไง ที่คุณปลอมเป็นคนแจวเรือจ้างคราวก่อนนั้น ควรรึเจ้าค๊ะ”

ข้าพเจ้า “ขออย่าเพิ่งเทศน์ก่อนที่ฉันจะอธิบายให้ฟังจนตลอด ที่ฉันหันหลังไม่ให้จำได้นั้น ก็เพื่อจะหาโอกาสอธิบาย

แม่หนูพูดกับแม่เปรม “บอกเรือจ้างให้ไปส่งเราขึ้นท่าเสียเถอะ เรียกเรือไปใหม่”

ข้าพเจ้า “ขอโทษ คนแจวเรือจ้างคนนี้เป็นบ่าวฉัน ฉันมีอำนาจที่จะสั่งให้จอดหรือไม่ให้จอดมากกว่าที่หล่อนจะสั่งได้ แลฉันจะขอทำอำนาจสั่งคนเรือให้แจวไปก่อน เพื่อที่จะได้อธิบายเรื่องให้หล่อนฟัง เป็นการแก้คำหาที่ว่าฉันปลอมเป็นคนแจวเรือจ้าง หล่อนยังไม่รู้จักไม่ใช่หรือว่าฉันคือใคร”

ข้าพเจ้าประหลาดใจมากที่แม่หนูมีความกล้าพอที่จะตอบข้าพเจ้าออกมาเองว่า “ทราบค่ะ”

ข้าพเจ้า “ขอโทษเถอะ ทำไมถึงทราบ คุณพ่อของหล่อนเห็นฉันที่ประตูวิเศษไชยศรีก็จริง แต่ไม่เชื่อว่ารู้จักฉัน”

แม่หนู “ ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เมื่อคุณเข้าประตูไปแล้วคุณพ่อก็ไปถามคนรถของคุณว่า คุณคือใคร”

จริงซี ข้าพเจ้าไม่ทันคิดว่า อาจรู้จักข้าพเจ้าจากคนรถ ถ้าไม่อย่างนั้นข้าพเจ้าคงไล่รถให้ขับรีบไปเสีย

ข้าพเจ้า “ถ้าหล่อนรู้จักชื่อฉันแล้ว ก็ยิ่งจำเป็นหนักขึ้นที่จะอธิบายให้เป็นที่เข้าใจ คือเมื่อวันนั้นฉันกลับจากออฟฟิศ เมื่อยเต็มที จึงลงเรือจ้างแจวเล่นแก้เมื่อย ถ้าไม่มีอื่นทำ ฉันก็แจวเรือเล่นบ่อย ๆ วันนั้นเผอิญหล่อนมาคอยเรือจ้างอยู่ที่ท่า เห็นฉันเข้าก็เรียก คิดว่าฉันเป็นคนเรือจ้างธรรมดา ฉันต้องขอรับสารภาพว่า ฉันไม่ควรแวะเข้าไปรับ แต่เวลานั้นนึกสนุกขึ้นมาก็แวะเข้าไป ไม่ได้ตั้งใจ อย่างไรหมด เมื่อออกแจวไปแล้ว เอ่ยพูดกันขึ้นถึงภาษาอังกฤษฉันก็พลอยพูดไปด้วย แลยิ่งพูดก็ยิ่งมากไปทุกที จึงเป็นอันเลยตามเลย ถ้าฉันจะบอกออกตัวเสียในเวลานั้น ก็เกรงหล่อนจะกระดาก แลฉันนึกผิดไปว่า หล่อนจะไม่มีโอกาสรู้จักฉันได้ ความจริงมีเท่านี้ หล่อนจะยกโทษหรือยัง”

แม่หนูแลดูตาแม่เปรมสักครู่หนึ่ง จึงพูดว่า “แต่เวลาที่คุณพูดถึงคำอังกฤษคำหนึ่งกับอิฉันนั้น คุณพูดซื่อ ๆ หมดหรือ”

ข้าพเจ้า “บางทีก็มีเงื่อนบ้าง แต่นั่นเกิดจากความรู้สึกของฉันชั่วคราว ซึ่งเป็นความผิดของรูปร่างหน้าตาหล่อนเอง เดี๋ยวนี้ฉันขอรับผิดที่ได้พูดดังนั้น หล่อนจะยกโทษหรือยัง”

แม่หนูแลดูแม่เปรมอีก “ก็อีฉันจะทำอย่างไรได้”

ข้าพเจ้า “ถ้าอย่างนั้นเป็นพอ ฉันจะแวะตรงนี้ให้เรือเลยไปส่งหล่อน แล้วจะหาเรือกลับบ้านใหม่”

แม่หนู “ช่างเถอะค่ะ ลำบากกะคุณเปล่า ๆ มาจนถึงนี่แล้ว หรือคุณจะมีธุระรีบกลับ”

เวลานั้นข้าพเจ้าหรือจะมีธุระ ตกลงข้าพเจ้าเลยไปส่งจนถึงบ้าน เลยออกจะเป็นเกลอกันนิด ๆ ด้วยซ้ำ แม่หนูแกเป็นหญิงชนิดใหม่ สวยและน่าเอ็นดูด้วย

อีกสองสามวัน นายสัพพ์ตรงมาหาข้าพเจ้าขออฟฟิศ บอกว่า “วานผมไปหามารดา พุโท่ใต้เท้าน่ะเอง ไม่บอกผมสักคำเดียว”

ข้าพเจ้า “เวลานั้นกันปิดจะตาย จะบอกแกทำไม”

นายสัพพ์หัวเราะแล้วว่า “คุณหนูแกดีนาขอรับ ผมเป็นใต้เท้าละก็...”

ข้าพเจ้ารีบส่งงานให้นายสัพพ์ไปทำ เลยไม่ได้พูดกันอีกถึงเรื่องที่ข้าพเจ้าให้ชื่อว่า “เรื่องเรือจ้าง” นี้

 

  1. ๑. ประมวญมารค ฉบับที่ ๔๗ หน้า ๓๑ ปีที่ ๒ ศุกรที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ