กลถอนกล

วันหนึ่ง เฟลไชม์นายโจรใหญ่ ขี่ม้าไปในป่าร้องเพลงไปคนเดียว เพราะถึงเฟลไชม์จะเป็นนายโจรก็จริง แต่เป็นคนใจชื่นบานอยู่เสมอ จะได้คิดแต่การปล้นสะดมอย่างเดียวหามิได้ อีกสักครู่หนึ่ง เฟลไชม์ก็จะออกจากป่าเข้าหมู่บ้านอยู่แล้ว พอแลไปข้างทาง เห็นผู้หญิงสาวคนหนึ่งแต่งตัวอย่างขี่ม้า นั่งพิงต้นไม้อยู่คนเดียว ดูสีหน้าสลด แสดงว่ามีข้อเศร้าโศก

เมื่อผู้หญิงนั้นแลเห็นเฟลไชม์เข้ามาก็มีสีหน้าค่อยชื่นบานขึ้น แลดูหน้าเฟลไชม์ด้วยลูกตาซึ่งมีปรากฏว่าขอให้ช่วย นายโจรเห็นดังนั้น ก็หยุดม้าขอรับใช้ตามแต่นางจะประสงค์

นางตอบโดยเสียงอันอ่อนหวานซึ่งซึมซาบไปในหัวใจนายโจรว่า “ฉันเสียใจจริง ๆ ที่ต้องการกวนท่าน แต่ถ้าท่านจะกรุณาช่วยแล้ว ฉันคงชอบใจไปชั่วฟ้าแลดิน”

นายโจร “ขอให้หล่อนโปรดใช้เถิด ฉันจะทำตามทุกอย่าง”

นาง “ฉันขี่ม้ามาทางนี้เมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงมาแล้วนี้ เวลานั้นฉันกำลังนึกอะไรวุ่นอยู่ จึงหาได้สังเกตไม่ ม้าพาฉันห้อด้วยตกใจอะไรอย่างหนึ่ง ก่อนที่ม้าตกใจนั้น ฉันก็ตีให้มันห้ออยู่แล้ว เมื่อมันห้อหนักขึ้น จึงหาทันสังเกตไม่ เมื่อรู้สึกตัวสิ ตกลงมากลางดิน ม้าห้อหนีเลยไปเสียแล้ว ข้อเท้าและข้อเข่าฉันเคล็ดหรือหักอะไรอย่างหนึ่งจนยืนไม่ได้ และถ้าท่านไม่มาทางนี้แล้ว ฉันก็จะต้องนั่งอยู่ที่นี่ตลอดคืน”

นายโจร “ถ้าเท้าหรือข้อเท้าหล่อนเจ็บแล้ว ขอได้โปรดให้ฉันดูเถิด เพราะฉันชำนาญในทางนี้ และมียาติดตัว”

นางสาวจ้องดูนายโจรสักครู่หนึ่งแล้วหัวเราะ มีหรือผู้ชายจะมาดูข้อเท้าผู้หญิง แบบอย่างที่ไหนมีบ้าง

นาง “ช่างเถอะท่าน ฉันไม่อยากจะกวนท่านให้มากนัก ฉันอยากแต่จะกลับไปให้ถึงบ้านฮุลเด็นสไตน์”

นายโจรนิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง จ้องดูหน้าหญิงคนนั้น และหญิงคนนั้นก็จ้องดูหน้านายโจรเหมือนกัน ในขณะที่จ้องหน้ากันอยู่นั้น นายโจรรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า หญิงคนนั้นสวยนักหนา

นายโจร “ถ้าหล่อนจะยอมให้ฉันยกหล่อนขึ้นวางบนหลังม้าแล้ว ฉันจะจูงม้าพาหล่อนไปถึงบ้านฮุลเด็นสไตน์ได้ภายในครึ่งชั่วโมง”

ดังนี้ก็เป็นอันตกลงกัน นายโจรยกนางขึ้นวางบนหลังม้า แล้วก็ออกเดินจูงม้าไป และในเวลาที่ยกตัวนางขึ้นวางบนหลังม้านั้น ถึงแม้ว่าจะไม่เกินครึ่งนาทีก็จริง แต่ผมหอมของนางที่ปัดแก้มนายโจรไปนั้น เป็นข้อหนึ่งที่ทำให้เกิดความภายหลัง

ในระหว่างที่จูงม้าเดินไปนั้น นางผมหอมและนายโจรได้สนทนากันถึงเรื่องต่าง ๆ หลายเรื่อง สักครู่หนึ่งออกจากป่าแลเห็นเขาสูงที่นายโจรกับพวกสำนักอยู่ นางผมหอมแลดูภูเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันจับใจนายโจรว่า “เขานั้นเป็นเขาสูง ดูมีสง่ายิ่งนัก มีเสียทีที่เป็นที่อยู่ของนายโจรตัวกล้าซึ่งทหารของพระเจ้าแผ่นดินไม่สามารถจับตัวได้มาจนป่านนี้”

หน้านายโจรซึ่งเป็นหน้าคนหนุ่มอันงดงามนั้นกลั้นยิ้มไม่ใคร่ได้ แต่นายโจรหันหลังให้นางอยู่ นางจึงหาสังเกตหน้านายโจรได้ไม่

นาง “เมื่อคิด ๆ ก็น่าสงสาร นายโจรคนนี้ เป็นคนกล้าสมเป็นผู้ชาย แลถึงเป็นโจรกยังมีชื่อว่าสัตย์ซื่อ แต่ไม่วันนี้กวันหน้า คงจะตายด้วยเชือกแขวนคอของพระเจ้าแผ่นดินอย่างคนชั่วตามธรรมดา”

นายโจรเหลียวดูหน้านางผมหอมสักสองอึดใจ แล้วก็หัวเราะกล่าวว่า “หล่อนพูดถึงนายโจรราวกับพูดถึงนายโรงเอกตัวสำคัญในพงศาวดารทีเดียวหรือ

นาง “ก็ท่านจะให้ฉันพูดอย่างไรเล่า ? หรือเขาไม่เป็นคนกล้าหาญจริง ? เขาเป็นคนมีอำนาจทำอะไรทำได้ และถืออำนาจนั้นได้ โดยความกล้าหาญของเขาดังนี้ จะไม่ให้เรียกว่าเขาสมควรเป็นผู้ชายได้หรือ ?”

นายโจรหัวเราะอีกครั้งหนึ่งแล้วตอบว่า “บางทีก็จะ เป็นได้ดังที่หล่อนกล่าว แต่กฎหมายถือว่า เขาเป็นขโมยผู้หนึ่ง และเป็นผู้ให้ความลำบากแก่พระเจ้าแผ่นดินมาก เมื่อจับตัวได้เมื่อใดก็คงแขวนคออย่างขโมยธรรมดา ความกล้าหรือความไม่กล้านั้นจะอ้อนวอนกฎหมายให้อ่อนลงไม่ได้”

สักครู่หนึ่งก็ถึงบ้านฮุลเต็นสไตน์ นายโจรเคาะประตูเรียกบ่าวออกมาส่งนายให้แล้วก็ขึ้นม้ากลับบ้าน ในเวลาเดินทางไม่ได้คิดถึงอื่นนอกจากนางผมหอมที่มีรูปร่างหน้าตางาม มีเสียงอ่อนหวานเหมือนเสียงดนตรี แลมิหนำซ้ำสงสารเฟลไชม์ นายโจรซึ่งเข้าใจว่า จะถูกแขวนคอสักวันหนึ่งนั้นด้วย

ตั้งแต่วันนั้นมา ก็ไม่มีวันว่างที่เฟลไชม์นายโจรจะไม่แต่งตัวสวยขี่ม้าไปทางบ้านฮุลเด็นสไตน์ ไม่มีธุระนั่นก็คงธุระและบางทีก็ไม่มีธุระอะไรเลย นอกจากว่าไปขี่ม้าเพื่อบำรุงกำลัง

บ้านฮุลเด็นสไตน์นั้น เป็นตึกใหญ่มีเชิงเทินหอรบอย่างป้อม ข้างหลังบ้านมีสวนดอกไม้ ต่อสวนดอกไม้ออกไปนั้นเป็นแม่น้ำ หรือถ้าบ้านเราเรียกว่าคลอง เพราะแม่น้ำที่ยุโรปนั้น บางทีก็ขนาดท้องร่อง ไม่ต้องผู้ใหญ่ เด็ก ๆ ก็พอกระโดดข้ามได้ บางทีน้ำลึกประมาณสองนิ้ว เช่นแม่น้ำบอนในประเทศอังกฤษเป็นต้น

แต่แม่น้ำหลังบ้านฮุลเด็นสไตน์นั้น ไม่ใช่แม่น้ำน้อย ถึงเพียงนั้น วันหนึ่งเฟลไชม์นายโจรขี่ม้าไปริมแม่น้ำ นึกกล้าขึ้นมาก็ยืมเรือชาวบ้านลงพายไปทางบ้านฮุลเด็นสไตน์ เผอิญเวลานั้นนางผมหอมลงมาเดินอยู่ในสวน นายโจรแลเห็นใจก็เต้นด้วยยินดี แลเมื่อนางเหลียวไปเห็นนายโจรก็จำได้เดินลงไปริมแม่น้ำ นายโจรเห็นได้ทีก็ขออนุญาตขึ้นจากเรือไปเดินด้วยในสวน นางผมหอมก็ยอมอนุญาตให้ นายโจรและนางผมหอม (ซึ่งข้าพเจ้าผมกล่าวมาจนเดี๋ยวนี้ว่าหอมด้วยน้ำหอม) ก็ได้เดินและนั่งสนทนากัน นายโจรได้ความนางคนนั้นชื่อโซเฟีย ฮุลเด็นสไตน์เจ้าของบ้านไม่มีพี่น้องผู้ชายอยู่ด้วย เพราะพี่ชายถูกผู้ร้ายฆ่าตายในไม่ช้านัก และนางก็ยังหามีคู่ไม่

ส่วนชื่อนายโจรเองนั้น เมื่อนางโซเฟียถาม ก็หาบอกชื่อเฟลไชม์ไม่ ต้องกล่าวมุสาว่า ชื่อฟอนโบนอ เป็นผู้ดีตกยาก แต่ถึงไม่สู้ฟุ่มเฟือยก็พอมีกิน

ตั้งแต่วันนั้นมา เฟลไชม์ก็ลงเรือไปพายเล่นในแม่น้ำเกือบไม่เว้นวัน และก็ได้ไปสนทนากับนางโซเฟียในสวนเกือบไม่เว้นวันเหมือนกัน

ประมาณ ๒๐ วัน จากวันที่เฟลไชม์ลงเรือไปพบนางโซเฟียในสวนวันแรกนั้น เฟลไชม์กับนางโซเฟียนั้นพูดกันอยู่ในสวนดี ๆ เฟลไชม์ก็รู้สึกความทุจริตของตนที่ได้บอกชื่อเท็จไว้นั้นขึ้นมาทันที เพราะได้นึกหนักใจในข้อนี้มาหลายวันแล้ว เมื่อความรู้สึกของเฟลไชม์เป็นมาเช่นนี้ เฟลไชม์ก็นั่งนิ่งถอนใจใหญ่ไม่พูดว่ากระไร เพราะจะบอกความจริงออกมาว่า ตัวคือเฟสไชม์นายโจรเล่า ก็ยังเสียดายนางผมหอมอยู่

นางผมหอมนั่งนิ่ง ๆ ไม่ว่ากระไรอยสักครู่หนึ่งก็ถามว่า “วันนี้ท่านเป็นอะไรไป ดูนั่งนิ่งผิดปกติแลถอนใจใหญ่แล้วถึงสองสามครั้ง”

เมื่อถูกถามดังนี้ เฟลไชม์ก็อมความทุจริตไว้อีกไม่ได้ บอกออกไปตรง ๆ ว่า “ฉันมารู้สึกตัวว่าฉันเป็นคนทุจริตต่อหล่อนอย่างเอก แลเมื่อคิดขึ้นมาก็ทนไว้ไม่ได้”

นางโซเฟียไม่พูดว่ากระไร เหลียวไปดูหน้าเฟลไชม์อย่างประหลาดใจ แล้วก็แหงนหน้าขึ้นแลดูท้องฟ้าเสีย รอให้เฟลไชม์พูดต่อไป

เฟลไชม์ “ถึงผลของการที่ฉันบอกหล่อนนี้จะอะไรก็ตาม แต่ฉันต้องบอกหล่อนให้ทราบเสียในวันนี้ เพราะฉันจะอมความทุจริตต่อหล่อนไปไม่ได้อีกแล้ว ฉันไม่ได้ชื่อฟอนโบนอ ฉันคือเฟลไชม์นายโจร” เฟลไชม์นิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วก็พูดต่อไปว่า “ก็เมื่อหล่อนทราบว่าฉันไม่ใช่คนอื่นคนไกล คือนายโจรใหญ่ซึ่งกระทำโจรกรรมอยู่เสมอ ๆ และเป็นผู้ไม่มีกฎหมายแต่อย่างหนึ่งอย่างใดดังนี้แล้ว หล่อนยังไม่ลุกหลีกให้ห่างฉันออกไปดอกหรือ ?”

นางโซเฟียนิ่งอยู่สักครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ท่านจำไม่ได้หรือ เมื่อวันท่านพาฉันกลับมาจากป่านั้น ฉันได้ชมเฟลไชม์นายโจรอย่างไร”

เฟลไชม์ “คำที่ฉันพูดกับหล่อนวันนี้คงเป็นคำสุดท้ายที่หล่อนกับฉันจะได้พูดกัน แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็คงต้องพูดกับหล่อนจนได้ เพราะฉันได้นิ่งมานานแล้ว ตั้งแต่วันที่ฉันเห็นหล่อนในป่าวันนั้น ตั้งแต่ฉันยกหล่อนขึ้นหลังม้าวันนั้น ตั้งแต่ผมหล่อนปัดหน้าฉันไปวันนั้น น้ำใจฉันก็เป็นทาสของหล่อนมาจนวันนี้ ขอให้หล่อนเชื่อฉันเถิดว่า ฉันไม่ใช่เด็ก อายุฉันก็ได้ ๓๕ ปีแล้ว และในระหว่าง ๒๕ ปีนี้ ฉันได้รู้จักความเป็นไปของโลกมากกว่ามนุษย์อื่น ๆ โดยมาก แต่เมื่อคนเช่นฉันลงรัก...”

นางโซเฟียไม่ยอมให้เฟลไชม์พูดต่อไป โบกมือให้นิ่ง แล้วบอกว่า “อย่า อย่า ฉันจะฟังท่านพูดต่อไปไม่ได้” ผิวหน้าและกิริยาบอกทุกอย่างว่า นางโซเฟียมีความคิดวุ่นอยู่ในใจ

ในเวลานั้น มีเรือตีกรรเชียงมาในแม่น้ำล้ำหนึ่ง แต่เวลานั้นเฟลไชม์ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น

นางโซเฟีย “มิสเตอร์เฟลไชม์ ท่านจงรีบไปจากที่นี่เสียเถิด ขอให้ท่านเชื่อฉันแลรีบไปเสียโดยเร็ว เพราะท่านหาทราบไม่ว่า ที่นี่มีอันตรายมาก ถ้าท่านรักฉันจริงดังที่ท่านกล่าวแล้ว ขอให้ท่านรีบไปจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้”

ในทันใดนั้น นางโซเฟียแลผ่านเฟลไชม์ไปในแม่น้ำ สีหน้าก็เผือดลงไปทันที แล้วกระซิบค่อย ๆ ว่า “พระเจ้าช่วยด้วย ไม่ทันเสียแล้ว ไม่ทันเสียแล้ว”

เฟลไชม์เหลียวหลังไปดูเห็นเรือลำหนึ่งจอดเข้ามาข้างตลิ่ง มีทหารหกคนแต่งตัวถืออาวุธพร้อม กำลังก้าวขึ้นตลิ่งมา เฟลไชม์เห็นดังนั้นก็เหลียวหาทางหนี เห็นประตูสวนมีประตูหนึ่งก็ขยับออกจะหนี พอประตูเปิดมีทหารตรงเข้ามาอีกหลายคน มีนายทหารหนุ่มนำหน้าตรงเข้ามา

เฟลไชม์เห็นดังนั้น ก็ยืนนิ่งแลดูนายทหารหนุ่ม โดยมิได้มีความสะทกสะท้าน แต่ถึงดังนั้น ก็ทราบได้ดีว่า คราวนี้หาทางหนีไม่ได้เสียแล้ว ตัวคนเดียวหรือจะหนีรอดจากทหารตั้ง ๒๐ คน ซึ่งปิดเสียทั้งทางบกทางน้ำ

นายทหารหนุ่มตรงเข้าไปใกล้เฟลไชม์ก็หยุดยืน พยายามทำเสียงจะให้เป็นเสียงคนดุ บอกให้เฟลไชม์ยอมให้จับตัวดี ๆ และบอกให้ทหารซึ่งเข้ามายืนล้อมเฟลไชม์อยู่นั้น ตรงเข้าจับตัว ทหารก็ตรงเข้าจับแขนสองข้างมัดไขว้หลังไว้

เมื่อนายโจรไม่ต่อสู้ยอมให้จับง่าย ๆ ดังนี้ ก็ผิดกับความคาดหมายของนายทหารหนุ่ม เพราะนายทหารผู้นั้น ถึงไม่เคยได้ต่อสู้กับเฟลไชม์ก็จริง แต่ทราบชื่อเสียงนายโจรปรากฏอยู่ว่าเป็นผู้กล้าหาญยิ่งนัก ส่วนเฟลไชม์นั้นเมื่อเห็นเสียท่าจะเอาตัวรอดไปไม่ได้แล้วก็ลา ไม่ต่อสู้ แลเมื่อพวกทหารพาตัวไปนั้น เฟลไชม์ได้เหลียวหน้าเที่ยวกวาดดูรอบสวน โดยหวังว่าจะได้พบตานางโซเฟียผมหอมอีกครั้ง หนึ่ง เพื่อได้จำไว้เป็นที่ชื่นไปตลอดเวลา เพราะเฟลไชม์ทราบว่านางโซเฟียคงแลดูตัวด้วยความสงสาร และมีสีหน้าอันเศร้า แต่ที่เฟลไชม์แลกวาดรอบสวนเพื่อพบตานางโซเฟียเป็นครั้งสุดท้ายนั้น หาสำเร็จไม่ เพราะนางโซเฟียหายหน้าไปเสียแล้ว

คืนวันนั้น เฟลไชม์นายโจรใหญ่ต้องนอนอยู่ในคุกซึ่งอยู่ใกล้ตำบลนั้น รุ่งขึ้นเช้ามีทหารมาพาออกจากคุก แก้มัดออกเสียเพื่อให้ถือบังเหียนได้ แล้วให้ขึ้นม้า มีทหารแซงคุมไปสองข้าง ข้างหลังมีทหารถือปืนประจุตามติดไป นายทหารหนุ่มคุมทหาร ๒๐ คน ขี่ม้าคุมไปด้วย มีคำสั่งกับทหารถือปืนว่า ถ้านายโจรพยายามจะหนีก็ให้ยิงทันที

คราวนี้เป็นคราวที่เฟลไชม์ถูกจับได้จริง ๆ แล้วก็จริง แต่เมื่อออกขี่ม้าไปในทุ่งแลป่าซึ่งเป็นที่เคยของตนแล้วดังนั้น เฟลไชม์ก็กลับมีอาการและผิวหน้ารื่นเริงขึ้นได้ เพราะนิสัยเฟลไชม์หาใช่คนขี้ขลาดที่หน้าสิ้นเลือดง่าย ๆ นั้นไม่ ในระหว่างกลางคืนเมื่อถูกขังอยู่ในคุกนั้น ถึงความรื่นเริงซึ่งเป็นนิสัยของเฟลไชม์จะหมดไปชั่วคราวก็จริง แต่เมื่อเห็นว่า ไม่มีทางแก้แน่แล้ว สีหน้าที่เผือดก็กลับเป็นสีหน้าธรรมดาไป ส่วนนายทหารหนุ่มที่คุมไปนั้น เห็นว่าจับนายโจรตัวสำคัญได้แน่นอนแล้ว ความชอบที่ตนจะได้รับเมื่อพานายโจรไปถึงเมืองหลวงนั้นเป็นของควรทึ่ง และเมื่อนายทหารหนุ่มนึกดังนี้แล้ว ก็รู้สึกรื่นเริงในใจเหมือนกัน

ฝ่ายเฟลไชม์นั้นเดินทางไปได้ครู่หนึ่งก็ลงมือพูดตลก เพื่อที่จะไม่ให้เป็นที่เสียชื่อได้ว่า ไม่เป็นคนรื่นเริงในเวลาจะตาย แลพวกทหารที่คุมนั้นก็หาใช่คนที่ไม่ยินดีในคำตลก และความรื่นเริงของนายโจรไม่

นายทหารหนุ่ม “แม้ ท่านนายโจรใหญ่ ท่านเป็นคนใจกล้าจริง ๆ ท่านช่างไม่กลัวความตายเลย”

เฟลไชม์ “อีกสองสามวันข้าพเจ้าก็จะกลายเป็นศพ ท่านจะให้ข้าพเจ้าทำหน้าเศร้าไปเพื่ออะไร ถ้าข้าพเจ้าสิ้นความรื่นเริงในใจแล้ว ข้าพเจ้าจะรอดตายได้หรือ ? ถ้าข้าพเจ้าจะรื่นเริงไปจนหมดเวลาที่จะรื่นเริงได้แล้ว จะไม่ดีกว่าหรือ ???

นายทหารหนุ่ม “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไม่มีคนกี่คนที่จะไม่เศร้าโศก เมื่อถูกจับมาได้อย่างที่ท่านถูกจับ”

เฟลไชม์ “ก็ถูกจับอย่างที่ข้าพเจ้าถูกจับนี้เป็นอะไรไปเล่า ? ท่านพาทหารไปจับข้าพเจ้าถึง ๒๐ คน แลข้าพเจ้าก็คน ๆ เดียวดังนี้ จะไม่เป็นเกียรติยศอย่างยิ่ง แสดงอำนาจของข้าพเจ้าหรือ ถ้าข้าพเจ้าถูกจับได้โดยคนๆ เดียว เมื่อได้ต่อสู้กันด้วยดาบเล่มต่อเล่ม หรือถูกจับได้ด้วยกลอุบายอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว ก็ควรที่ข้าพเจ้าจะสิ้นความรื่นเริง แต่นี่จะได้เป็นเช่นนั้นก็หามิได้”

นายทหารหนุ่มเหสียวไปจ้องหน้าเฟลไชม์ แล้วตอบว่า “นี่อะไรจนป่านนี้ท่านยังไม่สงสัยอีกหรือ ว่าท่านถูกอุบายหลงกัดเหยื่อผู้หญิง ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินทรงตกไว ท่านก็เคยฉลาดในเรื่องนี้มามากกว่ามากแล้ว ครั้นถึงเหยื่อผู้หญิงเข้าสิ ท่านหลับตาตรงเข้าคาบเอาง่าย ๆ ข้าพเจ้าไม่ได้คิดเลยว่า จนป่านนี้ท่านจะยังไม่รู้ตัว”

คราวนี้เฟลไชม์หยุดพูดทันที ทำหน้าซีดนิ่งนึกอยู่สักครู่หนึ่ง จึงขอให้นายทหารหนุ่มเล่าต่อไปว่า เหยื่อผู้หญิงที่เกี่ยวเบ็ดตกนั้น ได้ตกโดยจัดการอย่างไร นายทหารหนุ่มเล่าว่านางสเตเฟนี นางงามคนหนึ่งในราชสำนักรับอาสาต่อพระเจ้าแผ่นดินว่า เฟลไชม์นายโจรใหญ่ที่ทหารพระเจ้าแผ่นดินไม่สามารถจะจับได้นั้น จะคิดอุบายจับตัวให้ได้โดยกลกระสัตรี ขอแต่ให้ทหารไปคอยจับเท่านั้น นางสเตเฟนีกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า ปัญญาผู้หญิงคนเดียวจะขอทำการที่ทหารทั้งหลายไม่มีกำลังและปัญญาจะทำได้

ส่วนการที่เฟลไชม์พบกับนางผมหอมในครั้งแรกนั้น พบโดยนางกำหนดไว้ว่าจะพบ และที่จริงนางได้คอยหาโอกาสจะพบโดยวิธีนั้นมาหลายวันต่อหลายวันแล้ว ซึ่งจะได้พบเพราะนางมาตกม้าขาเคล็ดอยู่กลางป่าจริงนั้นหามิได้เป็นอุบายทั้งเพ นายทหารหนุ่มกับพลทหารนั้น ได้รับคำสั่งให้มาตั้งอยู่ในที่ใกล้คอยฟังหนังสือนัดของนาง และปฏิบัติตามคำนัด

เมื่อนางสเตเฟนีคาดว่า เกี่ยวเฟลไชม์ไว้ได้แน่แล้ว ก็ให้คนสนิทถือหนังสือไปแจ้งความให้นายทหารหนุ่มทราบ กำหนดเวลาให้มาทั้งทางน้ำทางบก จึงได้พบเฟลไชม์จับตัวได้พอดี

เฟลไชม์นิ่งอึ้งไม่พูดว่ากระไรหมด พอนายทหารหนุ่มเล่าเรื่องให้ฟังขาดคำลง ก็นิ่งกันเกือบเป็นฟังเทศน์ ไม่มีใครพูดอีกจนคำเดียวเลย สีหน้าอันชื่นบานของเฟลไชม์ก็แห้งหายกลายเป็นสีหน้าอันมัวหมอง ผิดกับที่เฟลไชม์เคยเป็นมา

สักครู่หนึ่ง นายโจรกับผู้คุมก็ขี่ม้าขึ้นไปถึงยอดเขาเขาหนึ่งตามถนนที่ข้ามเขาไป และเมื่อถึงยอดเขาก็แลเห็นหมู่บ้านและป่าใกล้เคียง บ้านฮุลเด็นสไตน์ซึ่งเป็นตึกสูงใหญ่นั้น แลจากยอดเขาเห็นถนัดทีเดียว

พลทหารผู้หนึ่งยกมือขึ้นป้องหน้าแล้วร้องว่า “เออ! นั่นอะไร ! ตายจริง ควัน”

พวกที่ขี่ม้าไปนั้น ก็เหลียวไปดูพร้อมกัน เห็นควันพลุ่งขึ้นจากบ้านฮุลเต็นสไตน์ ต่างคนต่างก็บอกกันอื้ออึงว่า ใครคิดว่าไฟไหม้เพราะอะไร แลควรทำอย่างไร ต่อนายทหารหนุ่มห้ามให้นิ่งจึงหยุด แลพอหยุดพูดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าห้อตามมา

นายทหารหนุ่ม “เสียงเท้าม้าใครห้อมาทางนี้ บางทีจะได้ข่าวว่า เกิดเหตุอย่างไรขึ้นข้างหลังควันไฟนั่นดูไม่เข้าที ดูราวกับมีโจรเข้าปล้น แต่ถ้าปล้นก็เพื่อท่านละ มิสเตอร์เฟลไชม์ เออ ! คนที่ขี่ม้ามานั่นผู้หญิง เห็นจะเป็นนางสเตเฟนีเพื่อนท่านกระมัง”

เฟลไชม์แลดูไปเห็นคนที่ขี่ม้าห้อเป็นฝุ่นมานั้นเป็นผู้หญิงจริงตามที่นายทหารว่า แลเมื่อเข้ามาใกล้ก็เห็นเป็นนางผมหอมจริง

นางผมหอมหน้าไม่มีเลือด ผมยุ่งเป็นยุงตีกัน ๆ เหมือนฝุ่นติดผ้าหนาสักครึ่งนิ้ว เมื่อไปถึงที่พวกทหารกับนายโจรยืนม้าอยู่ ก็พูดอย่างกระหืดกระหอบว่า “นึกว่าจะไม่ทันเสียแล้ว นี่แน่ะพวกโจรลูกสมุนนายโจรคนนี้มาอยู่ที่บ้านฮุลเด็นสไตน์ เอาไฟจุดเข้าแล้วเข้าปล้นบ้าน จะฆ่าคนแก้แค้นที่จับตัวนายมาได้ เร็วเถอะท่านนายทหาร ถ้าอยากจะช่วยคนในบ้านนั้นให้รอดอันตรายแล้ว ท่านก็ต้องห้อกลับไปเร็ว ๆ ทีเดียว”

นายทหารหนุ่ม “นั่นมิใช่ล่ะ นึกแล้วเชียว ทราบไหมยะ ว่าพวกโจรมากน้อยเท่าใด ?”

นางผมหอม “มีผู้บอกฉันว่าประมาณ ๒๐ คน”

นายทหารหนุ่ม “เอาละ นี่แน่ะ ท่านนายโจร ข้าพเจ้าจะไปพาเพื่อนของท่านมาเดินทางเป็นเพื่อนท่าน แฮะ (พูดกับทหารสองคน) เจ้าอยู่ด้วยกันรักษานายโจรนี้ไว้ เอาตัวผูกเข้าไว้กับต้นไม้ต้นนั้นก็ได้ ถ้ามีพวกโจรมาช่วยกันแล้ว ก็ให้ยิงหัวสมองนายมันเสียก่อน เจ้าจึงค่อยหนีไป เข้าใจหละนะ (หันไปพูดกับนางสเตเฟนี) หล่อนตามไปช้า ๆ ก็ได้”

นายทหารหนุ่มพูดเท่านั้นแล้ว ก็พาทหารรีบควบม้ากลับไปทางเก่า ปล่อยเฟลไชม์นายโจรใหญ่ไว้กับทหารสองคน กับผู้หญิงตัวสำคัญที่คิดอุบายจนจับเฟลไชม์ได้นั้นด้วย

ทหารที่เฝ้าอยู่นั้นถือปืนประจุอยู่ ร้องสั่งเฟลไชม์ให้ลงจากหลังม้า นายโจรก็กระทำตาม แต่ตานั้นคอยหลบตานางผมหอมอยู่ ทหารอีกคนหนึ่งนั้นก็ลงจากหลังม้าเหมือนกัน แลวรับปืนไปจ้องอกเฟลไชม์ไว้ในเวลาที่อีกคนหนึ่งลงจากหลังม้า

เมื่อลงจากหลังม้าแล้ว ทหารคนหนึ่งก็แก้เอาสายโกลนม้ามาสำหรับมัดนายโจร แลสั่งให้นายโจรเดินไปให้มัดข้างต้นไม้ ตัวทหารสองคนนั้นถือปืนเดินไปข้างหลังได้สองสามก้าว ทหารที่รับปืนไปถือไว้ก็ส่งปืนให้เจ้าของ แลในทันทีนั้น นางสเตเฟนีซึ่งยืนม้าดูอยู่นั้น ก็เฆี่ยนม้าให้เผ่นเข้าไปโดนทหารทั้งสองนั้นล้มฟาดลง ในกระเด็นไปจากมือ พอเฟลไชม์ได้ยินเสียงเหลียวมาดู นางสเตเฟนีก็ส่งปืนโกให้บอกว่า “เอานี่แน่ะป้องกันตัว”

เฟลไชม์ไม่ยอมรับปืนอยู่สักสองอึดใจ เมื่อกลับระลึกได้ว่า ถ้าไม่รับก็จะถูกแขวนคอภายใน ๗ วัน จึงรับปืนนั้นมา พอทหารคนหนึ่งโงศีรษะขึ้นก็เอาปืนจ้องไว้แล้วบอกให้ยืนนิ่งอยู่กับที่ ส่วนทหารอีกคนหนึ่งนั้น เผอิญถูกม้าโดนฟาดลงไปกำลังแรง นอนกลิ้งสลบอยู่

เฟลไชม์ “ยืนนิ่งก่อน อ้ายเพื่อนยาก มันกลับเป็นอื่นไปแล้วเห็นไหม ? ถ้าเอ็งอยากจะกลับไปเห็นหน้าลูกเมียพี่น้องของเอ็ง ก็ต้องทำตามคำสั่งข้าโดยเร็ว ไม่อย่างนั้น ลูกปืนนี่จะทำพิษ ไหน ส่งสายโกลนนั่นมานี่ ขวากลับหลังหัน- อ้าว ยังไม่หันอีก ประเดี๋ยวเจ้าจะต้องลงไปหันอยู่กลางดิน หันสิ เออ อย่างนั้น เอามือไขว้หลังเข้า”

เฟลไชม์ใช้สายโกลนมัดมือทหารผู้นั้นไขว้หลังติดเข้าไว้กับต้นไม้ เลือกม้าที่มีกำลังมากที่สุดมาเหยียบโกลนโดดขึ้นหลังชักหันหน้าไปทางนางผมหอมแล้วนิ่งตะลึงอยู่ เพราะไม่เข้าใจว่า นางคนนั้นเล่นกลอย่างไรแน่

สักครู่หนึ่งเฟลไชม์จึงพูดออกมาได้ว่า “นายทหารผู้นั้นบอกฉันว่า ชื่อหล่อนชื่อสเตเฟนี ไม่ใช่โซเฟียดังนี้จริงหรือ ?”

นางผมหอม “จริง”

เฟลไชม์นิ่งนึกอยู่อีกครู่หนึ่ง ดูไม่แน่ว่า จะควรพูดต่อไปอีก หรือจะเปิดหมวกคำนับแล้วชักม้าไปเสีย

อีกครู่หนึ่งจึงถามออกไปว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะเข้าใจได้อย่างไรว่า ทำไมหล่อนจึงกลับทำดังนี้”

นางผมหอม “ท่านอย่ามาถามเลย จะต้องการเข้าใจไปทำไม ท่านจงรีบไปเสียเถิด ไม่มีสิ่งใดกีดขวางแล้ว”

เฟลไชม์ “ฉันไม่ทราบจะคิดอย่างไรเลย จึงร้อนใจอยากจะทราบ ฉันคงทราบมากไปหรือน้อยไป คือทราบมากจนอยากทราบให้ตลอด หรือน้อยกว่าที่ควรทราบต่อไปอีกจากที่ทราบแล้วเดี๋ยวนี้ ที่เราพบกันในป่าวันนั้น เป็นไปตามที่หล่อนคิดเป็นอุบายไว้หรือ ?”

นางผมหอม “เป็นอุบายของฉันจริง”

เฟลไชม์ “แลเท้าหล่อนก็ไม่เจ็บ”

นางผมหอม “เปล่า”

เฟลไชม์ “แลหล่อนสัญญากับพระเจ้าแผ่นดินว่าจะจับตัวฉันให้ได้ ?”

นางผมหอม “อย่างนั้น นี่ท่านมายืนลงโทษฉันด้วยปัญหาของท่านเช่นนี้ทำไม ? ทำไมท่านยังไม่ไป ?”

เฟลไชม์ “ก็เมื่อหล่อนคิดกลสำเร็จถึงเพียงนั้นแล้ว ทำไมหล่อนทำให้ม้าโดนทหารสองคนนี้ล้มลงไปเสีย แล้วให้อาวุธกับฉันเล่า ?”

นางผมหอม “ท่านยังไม่ทราบว่าฉันได้ทำมากกว่านั้นมาก พวกโจรของท่านไม่ได้เผาบ้านฮุลเด็นสไตน์จริงดังที่ฉันกล่าว พวกโจรไม่ได้มาสักคนเดียว ฉันได้จุดไฟขึ้นในบ้านนั้นเอง เพื่อให้ทหารที่คุมท่านมานั้นเชื่อเรื่องที่ฉันมาหลอกท่าน เห็นไหมว่าเขาเชื่อ แลปล่อยให้คนอยู่คุมท่านสองคนเท่านั้น”

เฟลไชม์ยังไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง ยืนม้าจ้องหน้านางผมหอมดูอีกสองสามอึดใจจึงว่า “นั่นก็กลอีกกลหนึ่ง หล่อนเผาบ้านใหญ่โตเสียทั้งบ้าน เพื่อให้เรื่องที่หล่อนพามาหลอกนายทหารนั้นเหมือนจริงเขา แต่ทำไม ? ทำไมหล่อนจึงกลับทำอย่างนั้น ?”

นางผมหอมก้มหน้าไปจ้องดูดินแล้วตอบว่า “ท่านตาบอดเสียแน่แล้ว อะไรจนเท่านี้ยังแลไม่เห็นอีกหรือ ? ท่านเห็นไม่ได้เจียวหรือว่า ที่ฉันเผาตึกเสียทั้งหลังนี้ ก็เพื่อทำกลถอนกลที่ฉันได้ทำหลอกท่าน วานนี้ในสวน ฉันก็บอกแล้วให้ท่านหนีไปเสีย แต่ท่านก็ไม่หนีทันที และที่ฉันบอกท่านนั้น ก็ไม่ค่อยทันเสียด้วย เอาเถอะ ท่านกับฉันก็คงจะไม่ได้พบกันอีก บอกเสียตรงๆ ก็ได้ ฉันได้กราบทูลพระเจ้าแผ่นดินไว้ว่า ฉันจะแกล้งทำเป็นรักท่าน ล่อให้หลงจนจับตัวให้ได้ แลวานนี้ (ร้องให้ขึ้น) วานนี้ฉันกลับทราบในใจว่า ที่ฉันจะแกล้งทำนั้น กลับกลายเป็นไม่ต้องแกล้งเสียแล้ว”

นางผมหอมแข็งใจกลั้นน้ำตาแลดูเฟลไชม์แล้วกล่าวต่อไปว่า “นั่นท่านยังยืนตะลึงอยู่นั่นทำไม ? ทำไมท่านไม่ไปเสียแต่แรก จนฉันต้องบอกความจริงให้ ฉันลาท่านก่อนหละ ฉันไม่เชื่อว่าเราจะได้พบกันอีก แต่ขอให้ท่านจำไว้ว่า ถึงแม้ว่าฉันได้ทำกลจนจับตัวท่านได้ก็จริง แต่ฉันได้ทำกลถอนกลอันนั้น จนกลับช่วยชีวิตท่านไว้ได้ เพราะฉะนั้น ท่านต้องยอมยกโทษให้ฉัน”

พูดเท่านั้นแล้ว นางผมหอมก็ชักม้าควบหนีไปเสียก่อนที่เฟลไชม์มีเวลาตอบได้ เลยเป็นอันต้องนิ่งดูนางขับม้าไปอยู่สักครู่หนึ่งแล้ว พูดกับตัวเองว่า “เรื่องรักเรื่องต้นของเราหมดเพียงนี้ แลถ้าจะเป็นเช่นนั้นอีกแล้ว ก็หวังใจว่า เรื่องรักเรื่องต้นนี้จะเป็นเรื่องสุดท้ายเสียด้วย เออ นางโซเฟียเจ้าของบ้านฮุลเด็นสไตน์จริง ๆ นั้น จะว่ากระไรกับแม่ผมหอมบ้าง ที่เอาบ้านของเขาเป็นกองไฟเล่นเสียทั้งบ้าน และที่เผาก็เพราะอ้ายเปรตอย่างเรานี่เอง”

เฟลไชม์พูดกับตัวเองเท่านั้นแล้ว ก็ขืนใจทำเป็นหัวเราะขับม้าลัดเข้าป่ากลับบ้าน

ส่วนนางสเตเฟนีนั้น เมื่อได้รับอาสามาล่อให้นายโจรรัก และกลับมารักนายโจรเข้าเอง จนต้องคิดกลถอนกลดังนี้แล้ว เมื่อกลับไปเมืองหลวงจะถูกกริ้วกราดประการใด หรือจะไม่กลับไปเมืองหลวงเสียทีเดียว นายโจรก็หาทราบต่อไปไม่ แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่ลืมนางผมหอมได้ง่ายๆ

๏ สักรวาฟังรามถามเกะกะ พูดเปะปะปีนไปในสวรรค์
ปัญหาเมียคนเดียวเกลียวสำคัญ เขาพูดกันในสภานักหนาแล้ว
เข้าคติการเมืองเรื่องนอกบท เกินกำหนดรามเกียรติ์เสถียรแถว
นางมณโฑโง่ทู่ไม่รู้แนว จึงนั่งแน่วไม่ได้ยินทั้งสิ้นเอย ฯ
  1. ๑. ประมวญมารค ฉบับที่ ๒๑ หน้า ๕ ปีที่ ๑ ศุกรที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ