เรื่องเศรษฐีพิษณุโลก

หมออ้นในหมู่นี้เป็นเวลาตาแกขึ้น จะรักษาใครดูเหมือนไม่ว่าโรคอะไร ดูช่างหายง่ายหายดายไปเสียหมด ขุนน้ำขุนนางก็ต้องให้รถแลเรือไปรับแกเป็นหลายแห่ง จนชั้นเจ้าคุณที่บ้านท่านอยู่บางมะม่วงมันแกยังได้ไปรักษา ท่านเจ็บคราวนั้นมิใช่ว่าเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่เมื่อไร หมออื่น ๆ ที่รับมารักษาเป็นหลายคน ก็ล้วนแต่ฉลองพระเดชพระคุณไม่ไหวทั้งนั้น แต่หมออ้นไปถึง ดูเหมือนกินยาไม่ทันกี่ถ้วย ก็หายวันหายคืน ไม่ช้าก็จะชวนอ้วนเอาด้วยซ้ำ เจ้าคุณท่านจึงชอบใจหมออ้นมากนัก หมออ้นได้ทีก็เลยยึดท่านเป็นที่พึ่งเสียด้วย

หมออ้นกับอำแดงเป้าภรรยา เช่าตึกแถวอยู่ที่ถนนพลับพลานอก มีลูกสาวอายุ ๑๘ ปี หน้าตาออกจะสวย นายอดุลย์หลานชายเจ้าคุณบางมะม่วงมันชอบใจมาขอตกลงกันไว้ ครั้นไปเรียนเจ้าคุณฯ ท่านมีความกรุณาหมออ้น จึงรับจะจัดการให้ คือท่านจะรับสินไปรดน้ำ กับนายอดุลย์ที่บ้านท่าน กำหนดเดือนยี่แรมกี่ค่ำก็จำไม่ได้ แต่ถ้าจะนับตั้งแต่เวลาที่เล่านี้ ก็อีกประมาณ ๑๕ วัน

นายอดุลย์ที่จะเป็นลูกเขยหมออ้นนี้ เมื่อเด็ก ๆ ก็ชื่ออ้ายดุ้นเราไทย ๆ นี่เอง ต่อเมื่อโตขึ้นไปเรียนหนังสืออยู่ที่คุณพระครูที่วัด คุณพระครูท่านเห็นเป็นถึงหลานเจ้าคุณ ท่านจึงจัดการให้ชื่อเสียใหม่ว่านายอดุลย์ ตามความเห็นคุณพระครูว่า เป็นชื่อที่ค่อยเฉิดฉายขึ้นกว่าอ้ายดุ้น เมื่อเจ้าคุณบางมะม่วงมันท่านทราบ ท่านก็ไม่โต้แย้งว่ากระไร เป็นแต่เสียงบ่นอยู่ในคอคล้าย ๆ ว่า “บ้า” แต่คุณพระครูหาทันได้ยินไม่

อนึ่ง นายอดุลย์ผู้นี้ ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นหลานเจ้าคุณก็จริง แต่เป็นหลานเมียน้อย ๓ ต่อ คือปู่ของนายอดุลย์ก็ลูกเมียน้อย พ่อก็ลูกเมียน้อยของปู่ ตัวนายอดุลย์เองก็ลูกเมียน้อยของพ่อ ถ้าจะนับที่เกี่ยวข้องในสกุล ก็ห่างราวกับขั้วโลก ถึงจะนับวกเวียนไปลงได้ว่าหลาน ก็เป็นด้วยสะเก็ดญาติอย่างเล็กเต็มที เจ้าคุณท่านใช้อยู่ในบ้านก็อย่างทนาย แต่นายอดุลย์รู้จักใช้คำว่า “หลานเจ้าคุณ” ในที่ควรใช้ ทั้งเป็นคนท่าทางภาคภูมิ อำแดงเป้าจึงนิยมนัก ลูกสาวก็ซ้ำนิยมยิ่งขึ้นไปกว่าแม่ หมออ้นก็พลอยนิยมไปด้วย

บ่ายวันนั้นลูกสาวไม่อยู่ หมออ้นกับภรรยานั่งพูดกันถึงเสื้อที่ลูกสาวไปตัดมาไว้ สำหรับใช้วันรดน้ำ ซึ่งหมออ้นเห็นไม่จำเป็นที่สุด แต่คุณหนูลูกสาวเจ้าคุณเธอว่าต้องตัด เมื่อแขกหัวโตหอบผ้าแลลูกไม้ไปขาย เธอก็ช่วยเลือกให้เสร็จ ทั้งบอกให้ไปตัดที่โน่นที่นี่ เล่นเอาหมออ้นโคลงหัว เวลาหยิบเงินดูเหมือนมือจะออกสั่น ๆ แต่นั่นแหละอายุแกมากแล้ว บางทีจะสั่นเองก็ได้ ข้อที่แกไม่สบายใจอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ด้วยไม่ทราบว่า เครื่องจำเป็นจะยังมีอะไรบ้าง ส่วนถุงเท้ารองเท้านั้น แต่แรกคุณหนูเธอก็ว่าจำเป็นจะต้องซื้อ แต่เป็นเดชะบุญที่เจ้าคุณท่านได้ยิน ท่านกลับดุคุณหนูว่าฟุ้งซ่าน เราจึงเป็นอันทราบความคิดของคุณหนูต่อไปไม่ได้อีกว่า เครื่องที่เธอเห็นจำเป็นจะรวบคอหมาเพชรแลกระบังหน้าเพชรด้วยหรือไม่

อำแดงเป้า “เมื่อไหร่มันเสร็จกันเสียทีแหละจะค่อยสบายใจ ถ้ามันไปเกิดอะไรขึ้นในวันสองวันให้ต้องเลิกกันแหละอกแตก ข้าวของที่เตรียมไว้เป็นหลายตำลึง ดูถีเสื้อนี่น่ะ”

หมออ้น “อะไรแม่เป้า มันจะเกิดอะไร ก็ตกลงกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ จนเจ้าคุณท่านก็สั่งแล้ว ทำไมมันถึงจะต้องเลิก”

อำแดงเป้า “ว่าได้รึ อ้ายปั่นก็จะออกได้วันสองวันนี่แหละ”

หมออ้น “อ้ายปั่นน้องชายแม่เป้าน่ะรึ ไหนว่าติด ๑๕ ปี อะไรนี่ออกได้ละรึ”

อำแดงเป้า “มันจะครบ ๑๕ ปีอยู่แล้วนี่ กลัวมันออกมาได้ มันจะกวนให้ยุ่งเป็นแน่”

หมออ้น “อ๊ะ มันจะทำอะไร”

อำแดงเป้า “เผื่อนายอดุลย์เขารู้เข้าล่ะ เขาเป็นถึงหลานเจ้าคุณ เขารู้เข้าว่านังหนูมีน้าติดคุก เขาก็จะรังเกียจหละ เราจะทำอย่างไร เขาถือตัวหยอกไปเมื่อไหร่”

หมออ้น “บ๊ะ ก็อ้ายน้ามันทำไม่ดีจะไปโทษเด็กมันยังไง มิใช่มันไปรู้เห็นเป็นใจด้วยเมื่อไหร่หละ ถึงอย่างไงก็เถอะ จะมานั่งตีตัวก่อนไข้ไปทำไม อ้ายนั่นมันออกได้ บางทีมันก็จะไม่มาที่นี่”

อำแดงเป้า “ทำไมมันจะไม่มา มันตรงมาเทียวหละ ไม่เชื่อคอยดูเถอะ เมื่อยังเด็ก ๆ อยู่ยังไง เวลาฉันมีอัฐ ๆ หนึ่งแหละ มันเข้าเคลียอยู่ด้วยไม่ห่างเลยเทียว”

หมออ้น “อย่าตกใจไปเลย แม่เป้า ถ้ามันมาก็ไล่มันไปเสียก็แล้วกัน ถ้ามันไม่ไป เราก็บอกนายอดุลย์ว่า มันเพิ่งกลับมาจากพิษณุโลก เหมือนที่เราบอกนังหนูไงล่ะ”

ภรรยาค่อยยิ้มออก แต่ไม่ว่ากระไร หมออ้นชี้แจงต่อไปว่า “เข้าใจไหมล่ะ เราว่ามันไปอยู่พิษณุโลก เพิ่งลงมาเยี่ยมบ้านก็แล้วกัน ถึงอ้ายปั่นเองมันก็คงไม่อยากให้ใครรู้ว่ามันไปอยู่ไหนมา ออกมาจากคุกสู้กลับมาจากพิษณุโลกไม่ได้” หมออ้นพูดแล้วยิ้ม นึกชมความฉลาดของตัวเอง

อำแดงเป้า “ก็เผื่อมันมากำลังนายอดุลย์เขาอยู่ที่นี่ล่ะ”

หมออ้น “ฉันก็ว่า ‘อ้อ พ่อปั่น ไง พวกข้างพิษณุโลกสบายอยู่รึ’ แล้วขยิบตาทำปากเบี้ยวให้มันเข้าใจก็แล้วกัน”

อำแดงเป้า “ก็เผื่อมันมาพบนายอดุลย์ เวลาพ่อหมอไม่อยู่ล่ะ”

หมออ้น “งั้นแม่เป้าพูดแล้วขยิบตาทำปากเบี้ยวแล้วกัน”

อำแดงเป้า “ปากเบี้ยวปากแบ้วฉันทำไม่เป็น มันจะออกได้วันไหน พ่อหมอคอยระวังอยู่บ้านก็แล้วกัน”

แต่ข้อที่จะขยิบตาแลทำปากเบี้ยวนี้ไม่จำเป็น ด้วยวันที่นายปั่นออกจากคุกได้นั้น ไม่ใช่วันที่นายอดุลย์ไปบ้านหมออ้น แลเมื่อนายปั่นเดินถามทางเขาไปจนถึงบ้านหมออ้นนั้น ผเอิญสินลูกสาวหมออ้นไม่อยู่ด้วย

หมออ้นกับภรรยากำลังนั่งกินข้าวพอจะอิ่ม ก็มีหน้ารุงรังเยี่ยมเข้าไปในห้องแถว เสียงกระเส่าๆ เหมือนจะขาดใจตาย เรียกว่า “พี่จ๋า พี่” อำแดงเป้าสะดุ้งเงยหน้าขึ้นดู ทักว่า “อ้ายปั่น มึงออกได้แล้วรึว๊ะ” นายปั่นค่อยเดินเข้าไปนั่งยกหลังมือขึ้นเช็ดตา แล้วจ้องดูหน้าหมออ้นกับอำแดงเป้า นั่งทำนิ่งเซาอยู่สักครู่หนึ่ง จึงบอกว่า “พี่ ฉันกลับมาตายกะพี่หละพี่”

หมออ้น “เอ็งจะเป็นอะไรตายล่ะ”

สียาตรา “ตรอมใจนะซีพี่หมอ” แล้วตรงเข้าหยิบชามคดข้าว หมออ้นอิ่มแล้วก็ลุกไปนั่งตะบันหมาก อำแดงเสือกจานปลาทูกับถ้วยน้ำพริกไปให้น้องชาย นายปั่นรีบเปิบคำโต ๆ ดูไม่น่าเชื่อเลยว่า คนจะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้ว เมื่อข้าวในหม้อหมด ยังจะออกบ่น ๆ ว่า อำแดงเป้าไม่เอื้อเฟื้อด้วยเสียอีก

หมออ้นกับภรรยานั่งดูตากันอยู่สักครู่หนึ่ง หมออ้นตรองแล้วตรองเล่า จึงพูดขึ้นว่า “นี่แน่ะ เจ้าปั่น ข้าเห็นจะรับเจ้าไว้ที่นี่ไม่ได้เสียแล้ว เจ้าก็ยิ่งจะตายอยู่ด้วย ลางทีเจ้าไปเสียตามบ้านนอก จะหายบ้างกระมัง”

นายปั่นกำลังจะกัดขนมเข่ง ครั้นได้ยินดังนั้นก็อ้าปากค้าง ตาที่ลืมอยู่ก็หลับลงไป ถอนใจใหญ่แล้วตอบว่า “ฉันไม่รอดพ้นคืนนี้ไปหรอกพี่”

หมออ้น “นั่นซี เจ้ามันจะร่อแร่อยู่แล้ว ถึงจะต้องรีบไปเสียให้พ้น นางหนูเขาจะแต่งงานสองสามวันนี้แล้ว เจ้าจะมาล้มมาตายที่นี่ยังไง”

นายปั่นลืมตาขึ้นกัดขนมเข่งแล้วตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอกพี่ ฉันอยู่ที่นี่ได้กินหยูกยาก็เห็นจะหาย พี่ก็เป็นหมอ จะไม่รับฉันไว้อย่างไร ฉันไปมิตายรึ”

หมออ้น “อ้าว ก็เจ้าว่าจะตายคืนวันนี้ยังไงล่ะ”

นายปั่น “กินข้าวแล้วกินยาแหละไม่ตายหรอกพี่ ประเดี๋ยวก็หาย รึไม่ต้องกินยาก็ได้”

หมออ้น “ไม่ได้หรอก เจ้าจะมาอยู่ที่นี่ยังไง ข้าบอกนางหนูไว้ว่า เจ้าไปทำมาหากินอยู่พิษณุโลก เดี๋ยวนี้เขาจะแต่งงานกับหลานเจ้าคุณบางมะม่วงมัน ถ้าเจ้าผู้ชายเขารู้ น้าชายนางหนูติดคุกเพิ่งออกมาใหม่ ๆ ถ้าเขารังเกียจจะมิเสียหมดรึ”

นายปั่นหลับตาไม่ตอบว่ากระไร ดูเหมือนอาการตายมันกลับมาอีก แต่หมออ้นก็ไม่สังเกต พูดต่อไปว่า “เขาเป็นถึงหลานเจ้าคุณ เขาก็ต้องถือตัวเขา แต่ข้าเป็นพลเรือน ไม่เคยทำชั่วทำร้ายอะไร เขายังจะเกือบรังเกียจ ก็คนอย่างเจ้านี้ ......”

นายปั่นยังไม่ลืมตาตอบว่า “ก็พี่จะบอก ฉันมาจากพิษณุโลกก็ตามใจเถอะซี ฉันไม่ถือหรอก”

หมออ้น “ไม่ใช่นา มันยังมียังอยู่อีกข้อหนึ่ง คือข้าเคยบอกนางหนูว่า เจ้าไปอยู่พิษณุโลก ก็ทำมาหากินจนได้เป็นพ่อค้าซุงมั่งมี นางหนูมันก็เชื่อ ครั้นนายอดุลย์เขาออกถึงเป็นถึงหลานเจ้าคุณ แลออกชื่อคุณอา คุณป้า คุณย่า คุณยายหนักเข้า นางหนูมันก็อวดน้าเศรษฐีพิษณุโลกของมันมั่ง มันเป็นอย่างงี้อยู่แหละนาเจ้าปั่น”

นายปั่นลืมตาขึ้นตอบว่า “ก็เป็นไรไปล่ะพี่หมอ จะว่าเป็นเศรษฐีรึเป็นขุนนางอะไร ก็ตามใจพี่เถอะ ฉันไม่ถือหรอก บอกไม่เชื่อ”

อำแดงเป้า “รูปร่างเจ้าน่ะสมกะเศรษฐีหละรึ ดูหน้าตายังกะอะไร ผ้านุ่งแน่ะ ดูถี เศรษฐีนุ่งผ้าอย่างนั้นข้าไม่เคยเห็น”

นายปั่น “ข้อนั้นมันไม่ยากหรอกพี่ พี่ส่งขนมเข่งในกะบะนั้นมาให้ฉันอีกอันหนึ่ง ฉันก็จะนั่งกินไปพลาง ให้พี่หมอแกไปซื้อเสื้อผ้ามาให้ผลัดเสียประเดี๋ยวเดียวก็ได้ นี่แน่ะ พี่หมอ อะไรมันจะสมควรกะเศรษฐีพิษณุโลกก็ตามใจพี่เถอะ ฉันไม่ถือหรอก ผ้าม่วง เสื้อขาว ถุงเท้า นี่แน่ะ ดูเท้าฉันซีพี่หมอ (เหยียดเท้าให้ดู) กะให้ได้ขนาดก็แล้วกัน อ้อ หมวกไหมสัปรดอีกใบเถอะพี่ เสื้อมิศตรีสักสองตัวก็พอ”

หมออ้นกับภรรยาแลดูตากันตกตะลึง ไม่รู้จะพูดออกมาว่ากระไร นายปั่นเห็นท่าทางจะยังช้า ก็ลุกไปหยิบขนมเข่งเอาเอง แล้วนั่งนิ่งกินทำหน้าเฉยอยู่ หมออ้นพอได้สติก็กลับถามว่า “เงินเอ็งมีรึ”

นายปั่น “ไม่ได้เอามาหรอกพี่ ทิ้งไว้ที่พิษณุโลกหมด”

หมออ้น “ช๊ะ ๆ อ้ายปั่นนะมึงนะ อาการเจ็บเห็นจะหายขึ้นกระมัง หัวใจเอ็งที่กรอบตายอยู่นะ เป็นยังไงบ้างล่ะ”

นายปั่น “แต่งเนื้อแต่งตัวเสียให้ดี มันก็เห็นจะหายหรอกพี่หมอ ไม่ต้องกินยาก็ได้ อ้อ กระดุมอีกสำรับหนึ่ง อย่าลืมนะ ถ้าได้นาฬิกาทองกับสายด้วยละก็...”

หมออ้นแกโกรธจนอดไว้ไม่ได้ แกก็ลงมือใช้คุณศัพท์แลเรียกชื่อนายปั่นต่าง ๆ ล้วนแต่เป็นคำที่จะนำมาลงพิมพ์ไม่ได้ทั้งนั้น หมออ้นแกเป็นคนมีคุณศัพท์มาก ที่แกเลือกมาใช้ก็ล้วนแต่เหมาะแก่น้องเมียแกทั้งนั้น พงศาวดารของนายปั่นในอดีตมีมาอย่างไร แกยกขึ้นกล่าวหมด แลเมื่อนายปั่นสิ้นชีวิตแล้วแกเชื่อว่าจะไปไหนแกก็บอกด้วย

นายปั่น “พี่หมอมาเล่าเรื่องที่ฉันรู้แล้วให้ฉันฟังเสียเวลาของพี่เอง ถ้าพี่ไม่อยากจะซื้อของเหล่านั้น ก็จะซื้อทำไมเล่า ที่ฉันพูดนี้ก็เพราะอยากจะช่วยพี่ไม่ให้ต้องเดือดร้อน ถ้าไม่ให้ช่วยก็แล้วไป ใครจะรู้ว่าฉันไปไหนมา ฉันก็ไม่อับไม่อายใคร ถ้าพี่หมออยากจะปิดความ ก็ต้องเสียเงินเป็นธรรมดา”

หมออ้น “ นี่แน่ะ เอ็งไปเสียเถอะ ข้าจะให้ ๔ บาท”

นายปั่น “อะไรพี่หมอ กะเงิน ๔ บาท ฉันจะอยู่พบหลานสาว แล้วจะได้คอยดูว่า เจ้าคนที่จะมาเป็นเขยนั่นสมควรหรือไม่”

หมออ้น “๘ บาทเอ้า”

นายปั่น “ไม่ได้หรอกพี่หมอ จะให้ฉันทิ้งพี่ไปเสียอย่างไรได้ เวลาลูกสาวมีผัวไปเสียแล้ว พี่ก็จะอยู่กันสองคน จะได้ใครดูแลรับใช้ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนพี่ จะได้ปฏิบัติสนองคุณในเวลาพี่แก่”

หมออ้นเกือบจะกลับใช้คุณศัพท์ที่ลงพิมพ์ไม่ได้อีกครั้งหนึ่ง พอภรรยาลุกขึ้นพยักหน้าให้ขึ้นไปข้างบน นายปั่นก็ลุกไปหยิบขนมเข่งจากกะบะอีกอันหนึ่ง อีกประเดี๋ยวได้ยินเสียงเงินดังกริ๋ง ๆ อยู่ข้างบน ครั้นหมออ้นเดินกลับลงนายปั่นก็เตือนว่า “อย่าให้หลวมนักนะพี่หมอ วัดเอาเท่าตัวพี่หมอก็แล้วกัน คับไว้นิดหน่อย หมออ้นโกรธเต็มที่ หน้าแกดูเหมือนจะคนหม้อข้าวก็แทบได้ แต่ก็สะกดปากไว้ได้ เดินนิ่งออกประตูไป

ไม่ช้านายปั่นนั่งกินขนมเข่งอันที่ ๔ ดูเป็นคนละคน สวมถุงแลรองเท้าค่อนจะผิดขนาด เวลาลุกขึ้นเดินดูกระโผลกกระเผลกชอบกล แต่เวลาที่นั่งอยู่ก็พอไปได้ ส่วนผ้าที่นุ่งนั้น ก็ม่วงสีน้ำเงินแก่อย่างเฉิดฉาย เสื้อชั้นนอก เจ๊กมันตัดไว้ให้คนอื่น เผอิญพอดี หมออ้นแกขึ้นเงินให้เจ๊กแย่งเอามาก่อนได้ เสียอยู่แต่ยังไม่ได้ซักเท่านั้น นอกจากเครื่องที่แต่งอยู่กับตัว ยังมีหมวกสักหลาดใบละ ๑๐ สลึงอีกใบหนึ่ง ร่มกำมหริดอีกคันหนึ่งเป็นพร้อมเครื่องแต่งตัวเศรษฐีพิษณุโลก เมื่อแต่งแล้วลุกขึ้นเดินดู ออกจะโก้งเก้ง แต่หมออ้นแกคงเข้าใจว่า เศรษฐีเขาแต่งตัวแลมีท่าทางอย่างนั้น ก็ซัดเอาว่าเป็นเศรษฐีชาวบ้านนอก ก็เห็นจะพอไปได้กระมัง

นายปั่น “ยังขาดอยู่แต่สายนาฬิกากับนาฬิกาพก แล้วมีเงินพอกริ๋ง ๆ อยู่ในกระเป๋าสองสามบาทก็พอ”

หมออ้น “เอ็งจะเอาอะไรอีก ข้าไม่ให้หรอก อ้ายคนดี (คำว่าดีนั้นผู้แต่งขอเปลี่ยนลงแทนคำอื่นที่ลงพิมพ์ไม่ได้) ข้าไม่มีจะให้เอ็งอีกหรอก”

นายปั่นทำใจเย็น “ไม่ได้วันนี้วันอื่นก็ได้ พี่หมอจะไปซื้อวันไหน ฉันจะไปช่วยเลือก จะได้ไม่ลำบากกะพี่”

หมออ้นยังไม่ทันตอบว่ากระไร พอลูกสาวกลับมาถึง นายอดุลย์ตามมาด้วย อธิบายว่าไปพบกันกลางทางก็ตามมาส่ง

อำแดงเป้า “นี่ไงล่ะ นางหนู น้าปั่นของเจ้า”

หมออ้นรีบตอบว่า “กลับมาจากพิษณุโลก”

สินนั่งพับเพียบไหวอย่างเรียบร้อย แลเมื่อหมออ้นบอกว่า นายอดุลย์คือใคร นายอดุลย์ก็พลอยไหวด้วย น้าปั่นยิ้มทำท่าทางจะให้สมกับที่เป็นเศรษฐี ทำทีเหมือนจะลูบหน้าลูบหลัง แล้วทักว่านายอดุลยหน้าตาคล้ายกับใครคนหนึ่งที่พิษณุโลก เป็นที่บิดาตายใหม่ ๆ ได้รับมรดกเป็นทรัพย์สมบัติราคา ๕,๐๐๐ ชั่งเศษ

สิน “แม้ ห้าพันชั่ง เห็นจะเกือบเท่าของน้าไปกระมัง”

น้าปั่นนึกนิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วสั่นศีรษะตอบว่า “ของเขาเห็นจะมากกว่าของน้าสักยี่สิบสามสิบชั่ง”

นายอดุลย์ใจหาย นึกว่าเมื่อแรกมาใหม่ ๆ จะกราบแกก็จะดี นี่เสียใจที่ไปไหวนิดเดียวเท่านั้น ฝ่ายหมออ้นกำลังนั่งซดน้ำชาอยู่ เมื่อได้ยินเจ้าปั่นอวดสมบัติเช่นนั้น น้ำจะติดคอเสียให้ได้ ส่วนอำแดงเป้าทำงานง่วนอยู่ในครัว ครั้นได้ยินเรื่องความมั่งมีของเจ้าปั่นก็ใจหาย ว่ามันช่างพูดออกมาได้ออกเต็มปาก อารามตกตะลึง หยิบอ้อยขวั้นตำลงไปในครกน้ำพริกเป็นหลายข้อ

นายปั่น “อ้ายการมั่งมีน่ะมันไม่ประหลาดอะไรหรอกหลานเอ๊ย เงินทองมันไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะเอาไว้สำหรับแจกลูกหลานเท่านั้นเอง”

สิน “ลูกน้าเห็นจะหลายคนนะคะ”

นายปั่น “เปล่า น้าไม่มีลูกสักคนเดียว สมบัติก็จะต้องแบ่งให้พวกหลาน ๆ น่ะแหละ จะมีด้วยกันสักกี่คนก็ไม่รู้ ยังไม่ได้นับ”

สินลองนับดูในใจว่าพี่น้องมีกี่คนด้วยกัน แต่ก็ไม่ใคร่เห็นใคร ดูท่าทางเหมือนสินเองจะได้หลายพันชั่ง อดุลย์นั่งฟังก็พลอยกระหยิ่มใจไปด้วย นึกดีใจยิ่งขึ้นอีก ในข้อที่จะได้สินเป็นภรรยา ให้บังเกิดความรักเพิ่มขึ้นอีกเป็นอันมาก

สิน “นี่อะไรอยู่ดี ๆ น้าก็จู่มา ไม่บอกกล่าวให้รู้ตัวบ้างเลย ข้าวปลาก็ไม่ได้เตรียมไว้ นี่จะต้องกินกันตามธรรมดา”

นายปั่น “ไม่เป็นไรหรอกหลาน น้าอยู่ดี ๆ คิดถึงพี่น้องขึ้นมาก็มากันเท่านั้นเอง พวกเมืองพิษณุโลกก็ไม่รู้กันหรอกนา ว่าน้ามาอยู่นี่ (ซึ่งเป็นความจริง) น้านึกว่าจะมาเยี่ยมสักวันสองวันก็จะกลับ แต่พี่หมอแกไม่ยอม จะให้อยู่นาน ๆ” พูดแล้วแลดูหน้าหมออ้น ๆ กลับโกรธขึ้นมาในใจ ถ้าพื้นแกไม่หักเสียมากแล้ว ก็คงจะเคี้ยวฟันเป็นแน่

สิน “นาน ๆ มาพบกันทีหนึ่ง พ่อจะปล่อยให้น้ารีบกลับไปอย่างไรได้”

น้าปั่น “พี่หมอแกกดขี่ให้น้าอยู่ราวกับจะจับมัดไว้ น้าจะไปเท่าไร ๆ แกก็ไม่ยอมเลย ไม่เชื่อถามพี่เป้าดูซี”

สินลุกไปช่วยมารดาหยิบชาม แลยกกับข้าวมาตั้ง “เชิญน้าซีย๊ะ รับประทาน พิษณุโลกเป็นยังไงมั่งจะได้เล่าให้เราฟัง”

นายปั่นไม่รอให้ต้องเชิญเป็นสองครั้ง กรากเข้าคดข้าวก่อนเพื่อน เรื่องเมืองพิษณุโลกนั้นกล่าวว่า อยู่มานานจนเบื่อขี้เกียจพูดถึง ต่อเมื่อหลานสาวถามอะไรตรง ๆ จะเลี่ยงไม่ได้จึงตอบ

สิน “แม่น้ำที่พิษณุโลกเห็นจะกว้างนะย๊ะน้า”

นายปั่น “แม่น้ำที่ไหน พิษณุโลกอยู่ทะเลน่ะหลาน”

นายอดุลย์ “อยู่เหนือไม่ใช่หรือขอรับ”

น้าปั่น “อยู่เหนือน่ะแหละ แต่ว่าแต่ก่อนอยู่ทะเล”

นายอดุลย์ไม่เข้าใจ ครั้นจะซักแกก็เกรงใจ นิ่งนักอยู่สักครู่หนึ่งคิดขึ้นได้ว่า แต่ก่อนบางทีพิษณุโลกจะอยู่ทะเลจริง แต่ฝั่งทะเลงอกออกมาทุกที จนเดี๋ยวนี้พิษณุโลกอยู่ไกลทะเลลิบลับ เมื่อนักดังนี้แล้ว ก็คิดว่าตนเข้าใจคำที่น้าปั่นกล่าว แต่ที่จริงถึงจะเข้าใจว่ากระไรก็ผิดทั้งนั้น เพราะตาปั่นเองแกก็ไม่เข้าใจ

ต่อไปนี้นายปั่นซักนายอดุลยถึงตัวนายอดุลยเอง ได้ความว่าเป็นหลานชายที่เจ้าคุณบางมะม่วงมัน ท่านเลี้ยงมาแล้วหลายปี บัดนี้ท่านจะจัดการรดน้ำให้อยู่กินกับสิน ท่านว่าเวลาอยู่ด้วยกันท่านจะให้เงิน ๑๒๐ บาท เมื่อมีเมียแล้ว นายอดุลยคิดอ่านจะไปทำเสมียนหาเงินเดือนเลี้ยงกันไปจนกว่าจะมั่งมี ซึ่งนายอดุลย์หมายความว่า กว่านายปั่นจะให้เงินเป็นมรดก

ถ้าผู้ใดได้เห็นนายปั่นพูดจากับนายอดุลย์วันนั้น ก็คงจะต้องเป็นที่เข้าใจ นายปั่นรักใคร่นายอดุลยมาก แลทรัพย์สมบัติตั้งห้าพันชั่ง ที่แกว่ามีประโยชน์อยู่ก็แต่สำหรับแจกจ่ายนั้น คงจะตกเป็นส่วนของนายอดุลยหลายพันเป็นแน่ เย็นวันนั้น เมื่อนายอดุลยลากลับ นายปั่นก็ออกเดินไปส่งเกือบครึ่งทาง ทำให้สินแลนายอดุลย์ยินดี แต่ทำให้หมออ้นกับอำแดงเป้าร้อนใจเป็นอันมาก

ฝ่ายนายปั่นเมื่อได้กินอยู่เป็นสุขเช่นนี้ไม่กี่วัน โรคภัยก็หายหมด เสื้อก็น่ากลัวจะคับ ดูเหมือนไม่ช้าก็จะต้องซื้อใหม่ ส่วนเงินทอง นายปั่นก็มีใช้อยู่เสมอ เกิดมาไม่เคยบริบูรณ์เช่นนี้ เมื่อวันแรก ๆ เมื่อขอเงินหมออ้น ก็ขอเพียงสลึงสองสลึง ครั้นหลายวัน ก็ขอทีละบาทสองบาท จนวันหนึ่งกล้าหนักขึ้นขอถึง ๓ ตำลึง อธิบายว่าจะไปซื้อของมาไว้รับไหว้ หมออ้นได้ฟังดังนั้น ก็ลุกขึ้นจะออกงิ้วเสียให้ได้ แต่ภรรยาจึงไปกระซิบว่าให้ ๆ เสียเถิด “อีกสองสามวันก็แต่งงาน พอแต่งกันแล้วก็แล้วไป นางหนูก็จะไปอยู่บ้านโน้นต่างหาก ถึงนายอดุลยจะรู้เรื่อง ก็คงจะต้องช่วยปิด จะเอาไปเที่ยวเล่าได้รึว่า น้าเมียเคยเป็นคนคุก ให้เสียเถอะ อีกสองสามวันเท่านั้นแหละ”

ดังนี้ก็เป็นอันตกลงว่าให้ หมออ้นกำเงินลงไปจากห้องบน ๓ ตำลึง อมคุณศัพท์ที่ลงพิมพ์ไม่ได้ไปในปากเป็นอันมาก เวลาให้เงินก็กล่าวคำเหล่านั้นให้นายปั่นฟัง จาระไนชื่อในจำพวกจตุบาทหลายอย่าง ซึ่งแกบอกว่านายปั่นเป็นทั้งนั้น อนึ่งเมื่อนายปั่นหมดชีวิตแล้ว นายปั่นจะไปไหน แกก็บอกซ้ำอีกด้วย แต่ดูนายปั่นก็ไม่ถือ กลับจะยิ้ม ๆ เห็นเป็นหมออ้นให้พรด้วยซ้ำ

เย็นวันนั้น นายอดุลย์ไปหากำลังนั่งอยู่พร้อมกัน นายปั่นบอกขึ้นว่า “น้าโทรเลขไปพิษณุโลกแล้วหละ”

นายอดุลย์ดีใจ “เรื่องเงินของผมหรือขอรับ”

นายปั่นทำตาเขียวอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งแล้วตอบว่า “บอกไปว่าให้ส่งของมาสำหรับรับไหว้ ของในกรุงเทพ ฯ หาอะไรไม่เห็นมันเป็นเรื่องสักอย่างเดียว จะต้องหอบลงมาจากพิษณุโลก”

หมออ้น “พ่ออดุลย์เมื่อกี้ว่าเงินอะไรของพ่ออดุลย์”

นายอดุลย์ “มิได้”

นายปั่น “ของลับบอกไม่ได้

หมออ้นขาดกิริยาสุภาพถามว่า “ลับเรื่องอะไร”

นายอดุลย์ “ธุระนิดหน่อยในระหว่างคุณน้ากับฉัน”

หมออ้นลืมตาโพลง “พ่ออดุลย์ให้เจ้านี่ยืมเงินกระมังน่ะ”

สิน “อะไรพ่อก็ น้ารึจะยืมเงิน ราวกับน้าไม่มียังงั้นแหละ”

หมออ้น “ก็ยังงั้นเงินอะไรล่ะ”

นายอดุลย์ทนไม่ได้ ก็ต้องอธิบายว่า “เงินทองฉันมีเล็กน้อย จะฝากคุณน้าไปเข้าหุ้นหากิน เอากำไรบาทละ ๔ บาท”

หมออ้นกับอำแดงเป้าเมื่อได้ยินดังนั้น ก็แลดูตากัน แล้วแลดูตานายปั่น ๆ พูดว่า “ฉันจะรับเงินไปช่วยเข้าหุ้นให้ที่พิษณุโลก”

นายอดุลย์ “คือเงินที่เจ้าคุณท่านจะให้ ๑๒๐ บาทน่ะ จะเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรมีแต่จะหมดไป คุณน้าท่านจึงช่วยจัดการจะให้งอกขึ้น”

อำแดงเป้า “เจ้าคุณท่านจะให้ กท่านยังไม่ได้ให้หรอกไม่ใช่หรือ”

นายอดุลย์ “ฉันจะไปเรียนขอท่านเสียมะรืนนี้ เรียนท่านเสียว่า จะคอยก็จะไม่ทัน จะเรียนท่านพรุ่งนี้ ท่านก็ยังไม่อยู่ คิดดูเถอะย่ะพ่อหมอ เมื่อไหร่น่ะจะมีช่องยังงี้สักคราวหนึ่ง”

คืนวันนั้น เมื่อนายอดุลย์ลากลับไปแล้ว หมออ้นก็ไล่ลูกสาวไปนอนแล้วให้อำแดงเป้าไประวังต้นทาง ไม่ให้ย่องลงมาแอบฟังได้

หมออ้น “ยังไง เจ้าปั่น เรื่องเงินของนายอดุลยเขา เจ้าจะคิดโกงยังไง”

นายปั่น “โกงอะไร ฉันจะเอาไปเข้าหุ้นที่พิษณุโลก”

หมออ้น “หนอยแน่ ทำหน้ายังกะกูไม่รู้ กูจะปล่อยให้เอ็งเข้าได้รึว๊ะ”

นายปั่นกลับเสียง “ตามใจพี่หมอซิ ถ้าพี่หมอบอกเจ้าคนนั้นตามจริงฉันก็ไมได้เงิน แต่อ้ายเรื่องเงินที่จะแต่งงานก็ต้องเลิก ตามใจพี่เถอะ ถ้าพี่บอกเท่ากับประจานตัวเอง พี่หลอกเขาไว้เรื่องฉันเป็นเศรษฐีพิษณุโลก ยังไงเขาก็จับได้หละ”

หมออ้นไม่ทราบจะเถียงอย่างไร ก็นิ่งอึ้งอยู่ นายปั่นพูดต่อไปว่า “ถ้าพี่หมอไม่ชอบให้ลูกเขยขาดทุน พี่หมอก็ออกใช้ให้เขาก็แล้วกัน หรือไม่ชอบใจจะบอกให้เขารู้ก็ตามใจ ฉันไม่ว่า นอนดีกว่า” พูดเท่านั้นแล้วก็ลงนอน หมออ้นให้นึกอยากที่จะจับสียาตราของแกหักให้เป็นท่อน ๆ เหมือนหักไม้ก้านธูป ไม่ช้าคิดขึ้นมาได้ว่า เห็นจะหักไม่ไหว ก็ขึ้นไปนอนข้างบน

วันรุ่งขึ้นนั้น หมออ้นหงุดหงิดไม่สบายใจเต็มที่ อธิบายต่อหน้าธารกำนัลว่าเป็นด้วยรำมะนาด นายปั่นแลนายอดุลย์ช่วยกันบอกยาต่าง ๆ แกก็ไม่ฟัง เวลามีใครอยู่ แกก็พูดจาทำท่าทางกับนายปั่นอย่างธรรมดา ถึงจะฮึดฮัดบ้างก็ไม่มาก แต่เวลาที่อยู่สองต่อสอง แกพูดใช้โทรศัพท์ที่เขียนลงเป็นตัวหนังสือไม่ได้ทั้งนั้น ทั้งให้สัญญาต่อนายปั่นว่า จะทำอะไรแก่นายปั่นต่าง ๆ ล้วนแต่ตายไม่สะดวกทุกอย่าง

ส่วนนายปั่นนั้นเล่า ก็บอกยาแก้ปวดฟันเปลี่ยนแปลงตามที่มีใครอยู่หรือไม่ เวลานายอดุลย์หรือหลานสาวอยู่ด้วย ก็เป็นแต่แนะนำให้อมเหล้ากับเจ้าเจี้ยว ถ้าเวลาอยู่สองต่อสอง ก็แนะนำให้อมน้ำครำแล้วนั่งบนอั้งโล่จนน้ำครำเดือด ดังนี้เป็นต้น ยารำมะนาดชนิดนี้ทำให้หมออ้นจะลุกขึ้นเต้นเสียให้ได้ แกเป็นหมอก็จริง แต่ยารำมะนาดของแกไม่มี ยิ่งออกงิ้วมันก็ยิ่งปวดหนักขึ้น ครั้นจะทำร้ายร่างกายนายปั่นลงไปอย่างใดก็ไม่กล้า ด้วยแกกลัวความลับจะแพร่หลายนั้นอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งนายปั่นหนุ่มกว่าแก หมู่นี้ได้กินอยู่อิ่มหนำ ข้อลำอยู่ข้างจะแข็ง เกินกำลังหมออ้นอยู่สักหน่อย

รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง หมออ้นตื่นขึ้นไปไหนแต่มืด พอสายหน่อยกลับไปถึงบ้าน เผอิญเป็นเวลาที่ลูกสาวไม่อยู่ แกเดินหัวเราะกิ๊ก ๆ เข้าไปในห้องแถว ดูเหมือนจะเกือบรำละคร นายปั่นเห็นดังนั้น ก็ให้เกิดสงสัยถามว่า “ถูกหวยหรือพี่หมอ รึไปได้กระดานไชยดีมาแต่ไหน”

หมออ้น “เอาเถอะว๊ะ เดี๋ยวก็เห็นหรอก”

นายปั่น “เห็นอะไร รึเจ้ามาเข้า”

หมออ้น “เออน่า คอยดูเถอะ เจ้าพวกเสื้อที่เขาเรียกสีกากีน่ะ ประเดี๋ยวก็มาหรอก”

นายปั่นได้ยินสีเสื้อพลตระเวนเข้าก็ไม่สู้ชอบใจ สีหน้าผิดปกติ อำแดงเป้าอยากรู้ซักเข้า หมออ้นจึงอธิบายว่า “เมื่อเช้านี้ไปหายามปิ่น แม่เป้าจำได้ไหมล่ะ ยามปิ่น โปลิศน่ะไงล่ะ พอเล่าเรื่องเจ้าปั่นให้เขาฟัง เขาก็สอนว่าให้เขียนหนังสือไปบอกท่านเจ้ากรมกองตระเวนว่า เดี๋ยวนี้นายปั่นออกมาจากคุกใหม่ ๆ กำลังมาล่อลวงจะเอาเงินจากนายอดุลย์ ยามปิ่นเขาว่าพอท่านเจ้ากรมทราบ ท่านก็คงให้คนมาจับ พยิงพยานมีพอ ประเดี๋ยวพ่อปั่นก็กลับไปที่เก่า”

นายปั่น “อ๊ะ พี่หมอจะทำอะไรยังงั้น”

หมออ้น “ยังไง ๆ ก็ทำแล้วหละ ยามปิ่นเขาช่วยถือหนังสือไปส่ง พอสี่โมงท่านเจ้ากรมท่านก็มาออฟฟิศ ยามปิ่นเขาว่าถึงจะจับไม่ได้วันนี้ ก็คงต้องจับอยู่เสมอ เจ้าจะกลับมาวี่แววอีกเป็นไม่ได้ ยังไง ท่านเศรษฐี กลับไปพิษณุโลกเสียเถอะกระมัง ไปก่อน ๔ โมงแหละดี”

นายปั่น “พี่หมอขอเงินฉัน ๒๐ เถอะน่า โธ่ พี่เป้า สิบบาทก็เอาเถอะ”

หมออ้น “เจ้ามันเศรษฐีจะมาขออะไรกันอีก ข้าไม่มีจะให้ แน่ะ สามโมงครึ่งกว่าแล้วหละ”

นายปั่นบ่นออดแอดกล่าวคำหยาบอยู่ในลำคอ รีบลุกไปดูตรงประตู เหลียวดูซ้ายขวา ไม่เห็นพลตระเวนแน่แล้ว ก็ออกรีบเดินสาวเท้าเข้าตรอกซอกแซกเลยสูญไปจนวันนี้ ก็ไม่กลับมากวนหมออ้นกับอำแดงเป้าอีกเลย

ฝ่ายนายอดุลย์ในตอนบ่ายวันนั้น ก็หอบเงิน ๑๒๐ บาท จะมาส่งให้คุณน้าปั่นช่วยเข้าหุ้นหากำไรทางพิษณุโลก ครั้นทราบข่าวว่า คุณน้าได้รับโทรเลขร้อน กลับไปพิษณุโลกเสียแล้ว ก็เสียใจเป็นกำลัง บ่นว่าเป็นด้วยเจ้าคุณท่านไม่อยู่เสียเป็นหลายวัน แลไม่ใช่กุศลที่จะมั่งมีเร็ว หมออ้นกับอำแดงเป้าก็ช่วยกันปลอบโยนตามสมควร

 

  1. ๑. ประมวญมารค ฉบับที่ ๓๐ หน้า ๑๐ ปีที่ ๒ ศุกรที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ