กลแก้กัน

วันหนึ่ง เฟลไชม์นายโจรใหญ่นั่งผิงไฟนิ่งจ้องดูกองไฟอยู่ในโฮเต็ล ซึ่งพักอยู่วันนั้น แลข้าพเจ้าผู้เป็นนายรองทราบได้ว่า นายโจรกำลังพื้นไม่ดี นั่งนิ่งข้าพเจ้าก็นิ่งด้วย หากล้าพูดจาว่ากระไรไม่

สักครู่หนึ่งนายโจรลุกขึ้นเดินฟุดฟัดไปเยี่ยมมองดูทางหน้าต่าง แล้วหันหน้ามาพูดกับข้าพเจ้าว่า “อย่างไร เก็ซเลอร์ (ชื่อของข้าพเจ้า) อ้ายพวกทหารที่ใช้ไปจะไปทำเซ่อเสียทีอะไรกระมัง จึงยังไม่มาจนป่านนี้”

ข้าพเจ้า “ควรจะกลับมาถึงสักชั่วโมงหนึ่งแล้ว ทำไมจึงช้ามากนัก หรือจะเกิดเหตุอะไร ?”

นายโจร “มันจะเกิดอะไรได้ กะการให้จนเสร็จแล้ว เอ๊ะ นั่นเสียงอะไร ?”

พอนายโจรหยุดพูด ข้าพเจ้าก็ได้ยินฝีเท้าม้าตัวเดียวห้อมา นายโจรทำคิ้วขมวดพูดว่า “เกิดเหตุอะไรเสียแล้ว” สักครู่หนึ่งเสียงฝีเท้าม้ามาหยุดหน้าเรือน เสียงคนขึ้นบันไดมาเปิดประตูเข้ามาในห้อง หน้าตาเสื้อผ้าเปื้อนเปรอะเกือบจำไม่ได้ว่า วิตเต็นเบิคทหารเอกผู้หนึ่งของนายโจร

วิตเต็นเบิค “เราเสียทีเสียแล้ว ท่านกัปตัน ทหารหลวงจับพวกเราไปได้ ๑๒ คน ตาย ๒ คน”

นายโจรไม่ตอบว่ากระไร ชี้ขวดเบียร์ให้วิตเต็นเบิค ดู วิตเต็นเบิคก็กรากใส่ดื่มเสียถ้วยใหญ่แล้ว นายโจรจึงถามว่า “เล่าไปว่าเกิดเหตุอย่างไร”

วิตเต็นเบิคเล่าสั้น ๆ ว่า “ทหารโจร ๑๕ คนที่นายใช้ไปนั้น ไปพบกับทหารหลวงเข้าถึง ๔๐ คน คือทหารที่พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งใช้ให้ไปรับราชทูตประเทศ ฝ– ซึ่งจะมาประจำอยู่ใหม่ ได้รบกันเป็นสามารถ แต่ทหารโจรน้อยตัวต้องอาวุธบาดเจ็บ ๖ คน ตาย ๒ คน ที่เหลือนั้นเสียทีก็ยอมให้จับ

ตัววิตเต็นเบิคหนีรอดได้คนเดียว แลพอค่ำลง ก็แต่งตัวปลอมเป็นชาวนาลอบเข้าไปในเมืองที่ทหารพักอยู่ สืบข่าวได้ความว่า นายทหารที่คุมมานั้นถูกอาวุธสาหัส เลยเลิกการที่จะไปรับราชทูต จะรีบพากันกลับเมืองหลวงพานักโทษไปส่ง

นายโจร “อ้ายพวกเซ่อ ควรหรือไปยอมให้เขาเอาตัวไป ก็จะรบไปจนตายเสียให้หมด อย่างชายชาติทหารไม่ดีกว่า ให้เขาพาตัวไปแขวนคอในเมืองหลวงหรือ ?”

วิตเต็นเบิคก้มหน้าไม่ว่ากระไร

เฟลไชม์ “ก็พวกทหารหลวงเจ็บป่วยล้มตายอย่างไรเล่า ??

วิตเต็นเบิค “ตาย ๔ คน ถูกอาวุธ ๕ คน นายอีกคนหนึ่งได้ยินว่า ตัวนายนั้นถูกแผลสำคัญ จะตายมิตายแหล่”

เฟลไชม์ยิ้มออกมาได้ครู่หนึ่ง แล้วกลับทำสีหน้าสลดพูดว่า “แต่อ้ายพวกเรา ๑๒ คน กำลังเดินทางไปหาที่แขวนคอ เราจะทำอย่างไรจึงจะแก้กันได้” นายโจรยืนแลดูพื้นนิ่งนึกอยู่สักครู่หนึ่งแล้วหัวเราะขึ้นว่า “อา ฮา ได้การละ ท่านราชทูตจะต้องรับใช้เราสักคราวหนึ่ง ไหนว่าอยู่เมืองเตอร์เย็นไม่ใช่หรือ ? มาเถอะ ต้องรีบเร็วทีเดียว จะต้องไปถึงเตอร์เย็นในพรุ่งนี้ จะให้ไปตามคนที่เขาพักมาช่วยเล่าก็ไม่ทัน เราต้องทำการกันเฉพาะ ๓ คน วิตเต็นเบิคเรียกนายโฮเต็ลถี่”

นายโฮเต็ลนั้นเป็นเพื่อนอย่างเอกของพวกเรา พอตามตัวเข้ามาในห้อง เฟลไชม์ก็สั่งให้หารถอย่างดีมาคันหนึ่ง ต้องเป็นรถอย่างเอก ที่สมเกียรติยศข้าราชการผู้ใหญ่เช่น ลอร์ด รอนเฮาเซ็น ซึ่งเป็นคนโปรดของพระเจ้าแผ่นดิน

ภายใน ๒ ชั่วโมง เฟลไชม์กับข้าพเจ้าก็แต่งตัวอย่างข้าราชการขึ้นรถอย่างดีที่เจ้าของโฮเต็ลไปจัดการมาให้ วิตเต็นเบิคเป็นสารถีขับตรงไปยังเมืองเตอร์เย็น รุ่งขึ้นเวลาเกือบเที่ยงจึงถึง ขับเข้าไปหน้าโฮเต็ลใหญ่ในเมืองนั้นเห็นรถหรูหราจอดอยู่ได้ความว่า เป็นรถของท่านราชทูต

เวลาจะลงจากรถ เฟลไชม์พูดกับข้าพเจ้าว่า “ให้หูและตาของท่านคอยดูการเอาเถิด อย่าให้พลาดพลั้งลงได้” แล้วก็พากันเข้าไปในโฮเต็ลพูดกับนายโฮเต็ลได้สองสามคำ ก็เข้าไปหาท่านราชทูต

ท่านราชทูตเป็นคนอายุราว ๆ ๔๐ ปี สูงผอมหน้าตาดี แต่งตัวเต็มไปด้วยเพชรพลอย และเครื่องปักอย่างดี พอเราเข้าไปในห้องก็ลุกขึ้นรับ เฟลไชม์ตรงเข้าไปก้มศีรษะให้ท่านราชทูตแล้วบอกว่า ตัวคือลอร์ดรอนเฮาเซ็น ข้าราชการในราชสำนักพระเจ้าแผ่นดินมารับท่านราชทูตในพระนามของเจ้านาย

ท่านราชทูตก้มศีรษะ แล้วตอบโดยคำอ่อนหวานว่า การที่พระเจ้าแผ่นดินโปรดให้ลอร์ดรอนเฮาเซ็นไปรับนั้น เป็นเกียรติยศอันใหญ่ยิ่ง และขอเชิญลอร์ดรอนเฮาเซ็นให้ ๆ เกียรติยศแก่ท่านราชทูตต่อไป โดยนั่งโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกัน

เฟลไชม์รับเชิญเข้านั่งโต๊ะด้วย ท่านราชทูตไม่มีความสงสัยเลย เพราะเฟลไชม์นั้นถึงเป็นนายโจรก็จริง แต่ก็ได้เคยเป็นสุภาพบุรุษในราชสำนักมาเหมือนกัน จึงแสดงกิริยาอาการแลพูดจาถูกต้องเรียบร้อยทุกอย่าง ส่วนข้าพเจ้าก็นั่งกินอาหารนิ่ง ๆ ฟังท่านราชทูตกับนายโจรสนทนากัน

เมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว ก็พากันออกจากโฮเต็ล จะขึ้นรถไปเมืองหลวง แต่เกิดเหตุ (ตามที่เฟลไชม์กะไว้) คือรถที่เราไปนั้นอันเป็นชำรุดไปแห่งหนึ่ง เฟลไชม์ทำโกรธด่าวิตเต็นเบิคด้วยคำหยาบช้า จนท่านราชทูตยิ้มเป็นทีเยาะว่ารถเลว แล้วพูดกับเฟลไชม์ว่า “เป็นไรไป ขอท่านได้โปรดให้เกียรติยศแก่รถข้าพเจ้าอันไม่สมควรแก่เกียรติยศท่านนั้นเถิด”

ดังนี้เป็นอันตกลง เฟลไชม์กับข้าพเจ้าขึ้นรถไปกับท่านราชทูต มีคนใช้ของท่านราชทูตไปด้วยคนหนึ่ง แลวิตเต็นเบิคนั้นนั่งไปข้างนอกกับสารถี เป็นผู้ชี้ทางให้

เวลาประมาณ ๒ ยามถึงโฮเต็ล ตามทางที่เราไปพักอยู่แต่วันก่อน รถหยุดเจ้าของโฮเต็ลก็พาท่านราชทูตขึ้นบันไดเข้าไปในห้อง ซึ่งเฟลไชม์กับข้าพเจ้าอยู่ด้วยกันเมื่อวิตเต็นเบิคกระหืดกระหอบมาบอกข่าวที่เขาจับพวกเราไปได้ ท่านราชทูตเหลียวดูรอบห้องแล้วยืนถอดถุงมืออยู่ พอได้ยินเสียงโครมครามข้างล่างแล้ว มีเสียงคนร้องให้ช่วย

ท่านราชทูต “เอ๊ะ นั่นอะไรกันข้างล่าง”

เฟลไชม์ “เห็นจะเป็นอ้ายขี้เมาอะไรที่เข้ามาหลงอยู่ในโฮเต็ลจนป่านนี้”

ท่านราชทูต “ไม่ใช่กระมัง แน่ะร้องอีกแล้ว อ้าว! เสียงบ่าวข้าพเจ้าด้วย”

พูดดังนั้นแล้ว ท่านราชทูตก็ออกก้าวเดินไปจะออกประตู แต่เฟลไชม์โดดไปขวางไว้แล้วพูดว่า “ถ้าบ่าวท่านกระทำเหตุขึ้นกับตัวแล้ว ก็ต้องให้เขาช่วยตัวเขาเอง ข้าพเจ้าจะปล่อยให้ท่านลงไปด้วยไม่ได้ เกลือกจะมีอันตรายขึ้นแก่ท่าน แลข้าพเจ้าเป็นผู้รับผิดชอบจากพระเจ้าแผ่นดิน ในการที่จะพาท่านไปส่งเมืองหลวง”

ที่เฟลไชม์พูดนั้น ถึงมีเสียงเยาะแต่เล็กน้อยก็จริง แต่ท่านราชทูตก็จับได้ กล่าวว่า “นี่ทำไมท่านล้อข้าพเจ้า ๆ ต้องขอให้ท่านหลีกให้ข้าพเจ้าออกไป”

เฟลไชม์ “ข้าพเจ้าไม่ให้ท่านออกไป”

ท่านราชทูต “ไม่ให้ออก ? ในประเทศนี้ท่านมีกิริยาประหลาดมาก ข้าพเจ้าขอบอกเสียตรง ๆ ว่า ข้าพเจ้าดูรูปร่างเจ้าของโฮเต็ลไม่เป็นที่ชอบใจเลย แลท่านจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้ใครฆ่าบ่าวข้าพเจ้า หลีกเถอะ”

เฟลไชม์พูดว่า “ระวังตัว” เท่านั้นแล้วก็ชักดาบปราดออกจ้องอยู่ ท่านราชทูตตกใจ ถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วก็พูดว่า “อ้อ เข้าใจหละ นี่เจ้าไปล่อข้ามานี่อย่างนั้นหรือ ตัวเจ้านั้นคือใคร ?”

เฟลไชม์ “ข้าพเจ้าไม่ใช่ลอร์ดรอนเฮาเซ็นและไม่ใช่คนในราชสำนัก ข้าพเจ้าชื่อเฟลไชม์ เป็นนายโจรใหญ่อยู่ในแถบนี้”

ท่านราชทูต “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามีธุระอะไรกับข้าพเจ้า?”

เฟลไชม์ “ข้อนั้นอธิบายได้ใน ๒ นาที คือวานนี้ทหารของข้าพเจ้าไปพบเข้ากับทหารหลวง ได้รบกัน แต่ทหารหลวงมากกว่า เหลือกำลังพวกข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าตาย ๒ คน ถูกจับไปได้ ๑๒ คน เวลานี้อยู่ในคุกเมืองหลวงคอยรับเชือกแขวนคออยู่ เมื่อพวกเพื่อนข้าพเจ้าเสียท่าแล้วดังนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ข้าพเจ้าจะต้องเดือดร้อน ข้าพเจ้าจึงคิดกลจะแก้พวกกันออกมาโดยเชิญท่านพักอยู่ที่นี่ก่อน กว่าการของข้าพเจ้าจะสำเร็จ ขอให้ท่านยอมเสียเถิด ต่อสู้ก็ไม่มีประโยชน์”

ท่านราชทูตหน้าขาวไปด้วยความโกรธ “ยอม ! ให้ข้ายอมตัวให้กับมือโจร ! เจ้ารู้หรือเปล่าว่า ข้าเป็นสุภาพบุรุษของประเทศ ฝ.....?

เฟลไชม์ “นี่แน่ะ ถ้าเจ้าไม่เก็บลิ้นของเจ้าไว้นิ่ง ๆ แล้วข้าจะให้เจ้าไปเป็นสุภาพบุรุษของประเทศสวรรค์เดี๋ยวนี้ ชักดาบเถอะ”

ท่านราชทูตไม่ตอบว่ากระไร ชักดาบออกทันที แต่ก็ไม่ทัน เพราะเฟลไชมก้าวไปฟาดดาบถูกมือราชทูตจนดาบกระเด็นไป ท่านราชทูตหามีเวลาป้องกันตัวไม่ เฟลไชม์เหยียบดาบของท่านราชทูตที่ตกอยู่กับพื้นนั้นไว้

ท่านราชทูต “เจ้าเล่นโกงอย่างนี้ใช้ได้หรือ ?”

เฟลไชม์ “แต่นั่นเป็นการไว้เกียรติยศกับท่านมิใช่หรือ ? เมื่อท่านต้องแทงดาบกับโจรแล้ว ท่านจะใช้ดาบต่อไปอย่างไร ไม่เสียเกียรติยศแก่ดาบแลมือของท่านหรือ ?”

เฟลไชม์เก็บดาบของท่านราชทูตขึ้นถือไว้ แล้วแง้มประตูออก ตะโกนเรียกวิตเต็นเบิคกับเจ้าของโฮเต็ลให้ขึ้นไปช่วยจับท่านราชทูตมัด ท่านราชทูตก็ดิ้นรนแลใช้คำหยาบต่าง ๆ แต่ลงท้ายก็จับมัดจนได้ แล้วเฟลไชม์ก็สั่งสะคว๊อตเจ้าของโฮเต็ลให้พาท่านราชทูตไปขังไว้ให้แน่นหนา จนกว่าเฟลไชม์จะกลับมาปล่อยเอง

เฟลไชม์ “มาเถอะ เกซเลอร์ คราวนถึงฉากที่ ๒ ในเรื่องกลของเรา รถท่านราชทูตก็เปลี่ยนม้าแล้ว แลคนขับรถของเราก็เปลี่ยนแต่งเครื่องคนขับรถท่านราชทูตแล้ว ปล่อยให้คนขับรถกับบ่าวท่านราชทูตลงไปปลอมกันเองอยู่ในห้องขังก่อนก็ได้ มาเถอะเราไปเมืองหลวงด้วย ไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ข้าเป็นท่านราชทูต เจ้าเป็นเพื่อนของท่านราชทูต แต่อย่าพูดให้มันมากนัก หน่อยจะเสียการ”

เราขับรถไปได้ประมาณครึ่งทาง พบทหารหลวงขี่ม้าสวนทางมาประมาณ ๔๐ คน มีนายทหารหนุ่มนำหน้ามา พอเห็นตราที่รถเข้า ก็ตรงเข้ามาคำนับเฟลไชม์ แล้วแจ้งความว่า เป็นผู้คุมทหารมารับทานราชทูต ที่แท้พระเจ้าแผ่นดินได้มีรับสั่งให้ทหารไปรับถึงเมืองเตอร์เย็น แต่ไปเกิดเหตุตามทางจึงช้าไป

เฟลไชม์กับข้าพเจ้าไปถึงเมืองหลวง โดยมิได้เกิดเหตุการณ์อย่างใด พระเจ้าแผ่นดินทรงรับรองอย่างดี แลคืนวันนั้นมีการเลี้ยงเป็นเกียรติยศแก่ท่านราชทูต เฟลไชม์แต่งตัวสวย ใส่เสื้อผ้าของท่านราชทูตซึ่งพาติดไปด้วย พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งให้เฟลไชม์นั่งข้างขวาพระหัตถ์ แต่ในครู่เดียวก็เห็นได้ว่าโปรดนายโจร เพราะนายโจรเป็นผู้ดื่มได้จุ แลพระเจ้าแผ่นดินโปรดคนที่มีความสามารถในทางนั้น นายโจรดื่มได้ไม่แพ้ใครที่พระเจ้าแผ่นดินได้เคยทอดพระเนตรเห็นมา ทั้งเป็นผู้พูดจาสนุกสนานมากด้วย ราชทูตที่พระเจ้าแผ่นดินเคยพบเห็นมานั้น มักเป็นคนวางท่าขึงขัง ไม่กลิ้งเกลือก พูดจาแลทำกิริยาอย่างคนคนอง แต่ราชทูตคนนี้เป็นกันเองเสียตั้งแต่ต้นมือ จึงเป็นที่ถูกพระทัยนัก แลพระองค์เองก็ทรงดื่มไล่เลี่ยกับราชทูตเหมือนกัน

พระเจ้าแผ่นดิน “ผ่าซีเอ้า ไม่ได้นึกเลยว่าประเทศท่านจะมีคนดีอย่างท่าน”

เฟลไชม์ “ข้อนั้น พระองค์ก็ทรงเข้าพระทัยผิดทีเดียว ประเทศของข้าพเจ้าเป็นประเทศใหญ่โตมาก ย่อมมีคนดีตามขนาดของประเทศ ข้าพเจ้ารับประทานอนุญาตดื่มให้ประเทศของข้าพเจ้า”

นายโจรพูดเท่านั้นแล้วก็ดื่มแชมเปญเอื้อกเดียวหมดถ้วย แล้วดื่มอีกถ้วยหนึ่ง เลยออกมีอาการว่าเมาจัดเข้าทุกที ภาษาแสลงก็ใช้มากขึ้นร่ำไป แลคำสบถที่นำมาต่อหน้าพระเจ้าแผ่นดินเป็นแน่ ส่วนข้าพเจ้าเองนั้นประหลาดใจเต็มที เพราะไม่เคยเห็นนายโจรเป็นดังนี้

พระเจ้าแผ่นดินนั้นมีพระนามปรากฏว่าโมโหร้าย ข้าพเจ้านึกอยู่ทุกวินาทีว่า ประเดี๋ยวคงเกิดเหตุ ดูหน้าพวกข้าราชการที่อยู่ในที่นั้น ก็มีสีหน้าว่าโกรธทุกคน แต่พระเจ้าแผ่นดินก็ไม่กริ้ว ยิ่งทรงพระสรวลหนักเข้า แลพวกข้าราชการก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร เป็นอันต้องหัวเราะเฮฮาไปด้วย

สักครู่หนึ่ง เฟลไชม์ทำให้ข้าพเจ้าตกใจว่า คราวนี้เกินไปเป็นแน่ คือนายโจรเล่าถึงการไล่เนื้อในประเทศซึ่งสมมุติในเวลานั้นว่า ประเทศของตน การไล่เนื้อนั้น ที่จริงเฟลไชม์จะได้เคยเห็นก็หามิได้ แต่พูดเป็นทีว่า ตนชำนาญเต็มที่

เมื่อเล่าวิธีไล่เนื้อจบแล้ว ก็หันหน้าไปถามพวกที่นั่งอยู่ด้วยกันว่า “ในประเทศของท่านนี้มีอะไรสักอย่างเดียวที่จะเปรียบกับการไล่เนื้อในประเทศข้าพเจ้าได้ ?”

พระเจ้าแผ่นดินหยุดทรงพระสรวลทันที พระพักตร์ที่ยิ้มแย้มกลับเป็นพระพักตร์บึ้ง เพราะการไล่ฆ่าสัตว์และการดื่มนั้นเป็นของโปรดนักหนา ถ้าใครมากล้าพูดว่า ใครเก่งกว่าในการไล่ฆ่าสัตว์ หรือใครมีเครื่องดื่มดีกว่าแลดื่มได้มากกว่าแล้ว ก็เป็นที่เคืองพระทัยนัก

พระเจ้าแผ่นดิน “นี่แน่ะท่านราชทูต ท่านพูดกล้าหาญนัก แลท่านแน่ในใจของท่านแล้วหรือ ท่านจึงมาเย้ยเยาะการเล่นของเรา ที่ท่านหารู้จักแต่สักเท่าเส้นผมไม่ ท่านว่าประเทศท่านไล่เนื้อ ? พิถัง นั่นหรือว่าดี ! ดีสำหรับผู้หญิงกับเด็กกระมัง แต่สำหรับผู้ชายนั้น เป็นการเล่นอย่างเชื่องนัก นี่แน่ะขอให้ท่านจำไว้เถิดว่า ในป่าของเรานี้เราไล่หมูป่า แลการไล่หมูป่านี้แหละเป็นการเล่นที่ต้อง การความกล้า ไม่ใช่สำหรับเด็กเล่นเช่นการไล่เนื้อของท่าน”

นายโจรทาหน้าเฉยตอบว่า “การไล่หมูป่าเช่นที่รับสั่งนั้น คงเป็นการเล่นที่เหลือมาจากเวลาที่มนุษยยังเป็นชาวป่าอยู่ จะผิดกันก็แต่อาวุธที่ใช้ คือชาวป่าโบราณคงใช้ขวานแลหอก ประเทศนี้ใช้ปืนขานกยาง”

พวกที่นั่งอยู่ที่นั่นก็หัวเราะฮาขึ้นพร้อมกัน พระเจ้าแผ่นดินทรงสรวลงอไปกับที่แล้วรับสั่งว่า “ยิงด้วยปืนขานกยาง ! ตาย ยิงหมูด้วยปืนขานกยาง ไปยิงเสียด้วยปืนแหละสนุกตายทีเดียว พุโท่, ท่านยังตื้นอยู่มาก เราจะต้องไล่หมูป่าให้ท่านดูเสียสักหน่อย แน่ะรอนเฮาเซ็น ไปสั่งทีว่า พรุ่งนี้จะไล่หมู ต้องให้ท่านราชทูตดูเสียหน่อย ว่าการเล่นของเรานั้น ไม่ต้องใช้ปืนให้เสียลูก”

เมื่อตกลงจะไปไล่หมูป่าในวันรุ่งขึ้นดังนี้แล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็มีรับสั่งให้เลิกการเลี้ยงหัวค่ำหน่อย เป็นที่ยินดีแก่ข้าพเจ้ามาก เพราะข้าพเจ้าคอยแต่ตกใจอยู่ว่า นายโจรเมาประเดี๋ยวก็จะพูดผิด ๆ ถูก ๆ ทำให้คอเคลื่อนจากบ่า

แต่เมื่อกลับถึงห้องที่เฟลไชม์กับข้าพเจ้าพักอยู่ด้วยกันแล้ว นายโจรกกลับหายเมาทันที นั่งลงในเก้าอี้กดสีข้างหัวเราะกลิ้งไป

ข้าพเจ้า “อ้อ นั่นท่านแกล้งทำเมาดอกหรือ ?”

เฟลไชม์ “หยอกละ ตายจริง นั่นเจ้าก็เชื่อด้วยหรือ ? ข้าเกิดมายังไม่เคยเห็นปลาที่คาบเบ็ดง่าย ๆ อย่างพระเจ้าแผ่นดินนี้เลย เอาหละเพื่อน พรุ่งนี้ไล่หมูป่า ได้การหละ” พูดเท่านั้นแล้ว ก็หัวเราะกลิ้งไปอีก

รุ่งขึ้นประมาณเวลาเที่ยง พระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จออกไล่หมูป่า พวกข้าราชการก็ออกตามเสด็จหลายคน นายโจรนั้นถือหอกใหญ่ ขี่ม้าเคียงไปใกล้พระเจ้าแผ่นดิน และก่อนที่ไปนั้น ได้บอกการที่คิดไว้ให้แก่ข้าพเจ้า เป็นกลอย่างกล้าที่สุด ทำให้ข้าพเจ้าตกใจจนเกือบขนลุก ถ้าคิดขัดสักนิด เดี๋ยวคอก็คงเคลื่อนจากบ่า

ตอนแรก ๆ มีข้าราชการที่มาตามเป็นหมู่ และพระเจ้าแผ่นดินนั้น สั่งให้เฟลไชม์ตามติดพระองค์อยู่ เพราะอยากจะทรงอวดฝีพระหัตถ์ในการเล่น ซึ่งเข้าพระทัยว่า จะทำให้ราชทูตยอมกลัว สักครู่หนึ่งพอพบหมู ต่างคนก็ต่างออกไล่ พวกข้าราชการก็หายไปทีละคนสองคน เพราะต่างคนต่างอยากเป็นผู้แทงหมูให้ได้ก่อนเพื่อน เพื่อได้รับรางวัล ที่พระเจ้าแผ่นดินเคยประทาน

ดังนี้ ประมาณชั่วโมงหนึ่ง ข้าราชการที่ห้อมล้อมตามเสด็จไปนั้น ต่างคนก็ต่างหายไป เหลือตามเสด็จอยู่แต่เฟลไชม์ ลอร์ดรอนเฮาเซ็นกับข้าพเจ้าเท่านั้น สักครู่หนึ่งถึงป่าเปลี่ยวไม่มีใครอยู่ใกล้ นายโจรก็หันหน้าไปทางที่นั่งพระเจ้าแผ่นดินแล้วพูดว่า “ข้าพเจ้าต้องการจริง ๆ ที่จะพบตัวหมูป่า”

คำที่เฟลไชม์กล่าวนั้นเป็นคำสัญญาที่เฟลไชม์สั่งข้าพเจ้าไว้ คือว่าถ้าพูดดังนั้นเมื่อใด ก็ให้ลงมือทีเดียว แลเมื่อเฟลไชม์ให้สัญญาแล้ว ข้าพเจ้าก็หลอกให้ลอร์ดรอนเฮาเซ็นเหลียวไปดูอะไรข้างโน้นเสีย แล้วใช้ด้ามแส้ฟาดหลังหูม้าลงไปเต็มกำลัง ม้าลอร์ดรอนเฮาเซ็นก็เผ่นห้อพานายหนีไป เห็นได้ว่า รอนเฮาเซ็นจะรั้งให้หยุดไม่ได้อยู่อีกนาน เว้นแต่จะตกลงมาเสียนั่นแหละ จะลงจากหลังม้าได้

เมื่อรอนเฮาเซ็นห้อผ่านพระเจ้าแผ่นดินไปนั้น พระเจ้าแผ่นดินไม่ทราบเหนือใต้ ก็เหลียวไปดู ว่าอยู่ดี ๆ ก็ห้อทำไมกัน เฟลไชม์เห็นได้ที ก็เอนตัวไปเอาแขนขวากอดพระศอพระเจ้าแผ่นดิน กระชากพระองค์เอนมาแล้วเอาเครื่องมือที่เตรียมไปนั้น ยัดเข้าพระโอษฐ์ หาทันให้ร้องได้ไม่

นายโจรกับพระเจ้าแผ่นดินปล้ำกันบนหลังม้า ข้าพเจ้าอยู่ข้างหลังก็เข้าช่วยนายโจรมัดพระเจ้าแผ่นดินแน่น ทั้งพระหัตถ์พระบาท แล้วนายโจรก็อุ้มพระองค์ขวางคอม้า แล้วออกห้อไปโดยเต็มฝีเท้าม้า ข้าพเจ้าก็จูงม้าพระที่นั่งห้อตามไปทีเดียว แต่ห้อไปดังนี้ประมาณครึ่งชั่วโมง เห็นห่างพวกไล่หมูป่าออกไปมากแล้ว ก็หยุดสักครู่หนึ่ง เฟลไชม์เอาหน้ากากมาใส่พระเจ้าแผ่นดินเข้า เพื่อไม่ให้จำทางได้ ปล่อยม้าพระที่นั่งเสียแล้ว ก็ขับม้าต่อไป หลีกถนนที่คนเดินเสีย หาให้ผู้ใดพบปะไม่ เวลาค่ำไปถึงที่แห่งหนึ่ง มีม้าของใครกินหญ้าอยู่หลายตัว เราก็หยุดปล่อยม้าของเราเสียแล้ว เปลี่ยนเอาม้านั้นขี่ต่อไปตลอดคืน ข้าพเจ้านั้นเกือบจะตายด้วยความหิว เพราะในระหว่างวันนั้นได้กินข้าวมื้อเดียว แลได้ควบม้ามาเกือบตลอดทั้งกลางวันกลางคืน

เวลาใกล้รุ่งถึงโฮเต็ลของเรา เคาะประตูอยู่สักครู่หนึ่ง นายโฮเต็ลกออกมาเปิดประตูรับ เห็นเราพาคนใส่หน้ากากไปด้วย ก็ถามปัญหาสองสามคำ แล้วก็พาเราขึ้นไปห้องข้างบน นายโจรสั่งให้นายโฮเต็ลนำสุราแลของกินมาให้แล้ว ก็บอกให้นายโฮเต็ลไปนอน

เฟลไชม์กับข้าพเจ้าใส่กุญแจห้องทางข้างในเสียแล้ว ก็ช่วยกันแก้มัดพระเจ้าแผ่นดินเสีย ปล่อยให้ทรงยืนอยู่ ดูพระเนตรเหมือนจะหลุดออกมานอกพระพักตร์ด้วยความกริ้ว

เฟลไชมก้มศีรษะแล้วกราบทูลว่า “พระองค์คงทรงประหลาดพระทัยที่ราชทูตมาทำดังนี้ แต่---”

พระเจ้าแผ่นดิน “แน่หละ นี่ประเทศของเอ็งจะคิดการอย่างไร ?”

เฟลไชม์ “ประเทศของข้าพเจ้านั้น หาใช่ประเทศของราชทูตไม่”

พระเจ้าแผ่นดิน “อ้ายหมา นั่นมึงหมายความอย่างไร ?”

เฟลไชม์ “ข้าพเจ้าหาใช่ผู้ที่ได้รับเกียรติยศถึงเป็นราชทูต ข้าพเจ้าปลอมไปเท่านั้น ข้าพเจ้าคือเฟลไชม์นายโจร”

พระเจ้าแผ่นดิน “อ้ายชาติสัตว์นรก มึงจะถูกแขวนคอ กูจะแขวนคอถึงภายใน ๗ วัน”

เฟลไชม์ “พระองค์ต้องทรงระลึกก่อนว่า เวลานี้ประทับอยู่ที่ไหน ซึ่งพระองค์ทรงมาดหมายจะแขวนคอผู้ที่ถือชีวิตของพระองค์อยู่ในกำมือนั้นหาควรไม่ ถ้าพระองค์จับตัวข้าพเจ้าได้แล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่สงสัยเลยว่า จะรับสั่งให้แขวนคอข้าพเจ้า แต่ในเวลานี้ ข้าพเจ้าเป็นผู้จับพระองค์ได้ หาใช่พระองค์เป็นผู้จับข้าพเจ้าได้ไม่ ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นผู้อยู่ใกล้เชือกแขวนคอ แต่มีพวกข้าพเจ้าที่ถูกจับไปได้แล้ว”

พระเจ้าแผ่นดิน “อ้ายพวก ๑๒ คนที่ทหารของกูจับมาได้นั้น ให้ถึงเข้าใจเถิดว่า กูจะแขวนคออย่างเดียวกับแขวนคอมึงเอง เมื่อกูจับตัวมึงได้”

เฟลไชม์ “ถ้าพวกข้าพเจ้าทั้ง ๑๒ คนนั้น เป็นอันตรายไปด้วยอำนาจของกฎหมายแต่สักคนหนึ่งก็ดี ขอให้สวรรค์เป็นพยานคำของข้าพเจ้าเถิด ว่าข้าพเจ้าจะจับตัวพระองค์เองแขวนเสียในวันเดียวกับที่ทราบข่าว พระองค์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะยอมแขวนบนต้นไม้ที่สูงหน่อยหนึ่งกว่าคนธรรมดา”

พระเจ้าแผ่นดิน “นั่นมึงกล้าขู่กูหรือ ?”

เฟลไชม์ “ถ้าพระองค์ไม่ยอมแล้ว ข้าพเจ้าก็จะยิ่งกว่าขู่ จะทำจริง ๆ มาเถอะพะยะค่ะ ทรงเซ็นจดหมายยกโทษพวก ๑๒ คนเสีย แล้วข้าพเจ้าจะปล่อยพระองค์ไป และทั้งจะปล่อยท่านราชทูตที่จับไว้ได้นั้นด้วย ถ้าข้าพเจ้าฆ่าท่านราชทูตเสียด้วยแล้วดูเหมือนประเทศนี้จะต้องเกิดเหตุกับประเทศของเขา”

พระเจ้าแผ่นดิน “มึงเป็นบ้า กูไม่พูดกับมึง”

เฟลไชม์ “ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็จะพาพระองค์กับราชทูตไปเขาที่สำนัก แล้วก็แขวนเสียด้วยกันให้ใกล้สวรรค์ที่สุดที่จะเป็นได้” นายโจรเหลียวหน้ามาสั่งข้าพเจ้าว่า “เรียกนายโฮเต็ลให้ปลุกวิตเต็นเบิคมาแล้ว ให้หารถมาให้ทันในสองชั่วโมง” เหลียวไปทูลพระเจ้าแผ่นดิน “พระองค์จะลดเกียรติยศลงมาเสวยที่โต๊ะอันเลวทรามของข้าพเจ้านี้ได้กระมัง พระองค์ไม่ได้เสวยมาหลายชั่วโมง”

พระเจ้าแผ่นดิน “อ้ายนรก มึงทลึ่งนัก”

นายโจรตอบว่า “ไม่เสวยจะทำอย่างไรได้” แล้วก็ตรงเข้าไปตัดไก่ย่าง แลพอวิตเต็นเบิคเข้ามายืนถือดาบคอยคุมพระเจ้าแผ่นดินอยู่ ข้าพเจ้าก็เข้าช่วยนายโจรกิน

สักครู่หนึ่งเมื่ออิ่มกันแล้ว นายโจรก็เรียกข้าพเจ้าออกไปนอกห้องถามว่า “ข้าจะไว้ใจให้เจ้ากับวิตเต็นเบิคคุมพระเจ้าแผ่นดินกับราชทูตไปเข้าที่สำนักได้หรือไม่ ?”

ข้าพเจ้า “ได้”

นายโจร “ถ้าเจ้าทำเหลวให้หลุดไปได้ ข้าก็จะต้องถูกแขวนคอ เพราะฉะนั้นต้องระวังให้ดี อีกครู่หนึ่ง ข้าจะไปเมืองหลวง อธิบายเรื่องให้ข้าราชการผู้ใหญ่ฟัง แล้วบอกให้ส่งพวกเรา ๑๒ คนมาเปลี่ยนท่านทั้ง ๒ นี้ ข้าเชื่อว่าคงจะเป็นที่ตกลงได้ แต่ถ้าภายใน ๗ วัน ข้าไม่พาพวก ๑๒ คนกลับไปถึงสำนักแล้ว ก็ให้เข้าใจเถิด ว่าข้าทำการไม่สำเร็จ แลข้าคงตายเสียแล้ว เพราะฉะนั้น เจ้าจะทำอย่างไรกับคนทั้ง ๒ นี้ ก็แล้วแต่จะปรึกษากันเห็นควร ข้าต้องกำชับเจ้าอีกครั้งหนึ่ง “ว่าไปตามทางต้องระวังให้ดี”

ข้าพเจ้าไม่ได้ไปเมืองหลวงกับนายโจร เพราะฉะนั้น จึงนำมาเล่าให้ติดต่อกันไม่ได้ว่า เมื่อนายโจรไปถึงเมืองหลวงนั้นได้กระทำอย่างไรบ้าง ข้าพเจ้ากับวิตเต็นเบิคพานักโทษของเราไปถึงเขาสำนักภายใน ๒ วัน แล้วพากันตั้งใจคอยนายโจรอยู่ทุกเวลา พวกโจรทั้งหลายสาบานกันว่า ถ้านายใหญ่ตายแล้ว ก็จะต้องแก้แค้นกับพระเจ้าแผ่นดินให้ถึงสาหัส

วันที่ ๗ เฟลไชม์กับพวก ๓๒ คนก็กลับไปถึงเขา มีนายทหารรักษาพระองค์ไปด้วยคนหนึ่ง แต่นายทหารนั้นต้องผูกตาขี่ม้าให้พวกโจรจูงม้าไป และเมื่อปล่อยพระเจ้าแผ่นดินกับราชทูตไปนั้น ก็ผูกตาจูงไปจนพ้นเขตเหมือนกัน

คืนวันนั้น พวกโจรเลี้ยงดูกันเป็นการครึกครื้น แลดื่มให้เฟลไชม์นายใหญ่ สรรเสริญความกล้าหาญแลสติปัญญาของเขาที่คิดกลแก้เพื่อนกันรอดกลับบ้านได้

 

  1. ๑. ประมวญมารค ฉบับที่ ๒๒ หน้า ๑๒ ปีที่ ๑ ศุกรที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ