เรื่องของกองสอดแนมที่กรุงปารีส

เรื่องบางเรื่องซึ่งจะได้มาเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริง มาจากกรมกองสอดแนมที่กรุงปารีส เจ้าของเรื่องคือ มองซิเออร์โกรองผู้ได้เป็นเจ้ากรม หรือหัวหน้าในกรมนั้นอยู่หลายปี

ตามถ้อยคำที่กล่าวต่อไปนี้ กล่าวประหนึ่งว่า เป็นถ้อยคำของมองซิเออร์โกรองเอง เหตุว่า ถ้าเรียบเรียงตามวิธีนั้น จะทำให้ถ้อยคำแจ่มแจ้งสนิทขึ้น แลในภาษาฝรั่งที่แปลมานั้น ก็เรียบเรียงอย่างเป็นถ้อยคำของมองซิเออร์โกรองเหมือนกัน

อนึ่ง ในภาษาฝรั่งผู้เรียบเรียงอ้างว่า ได้คัดเรื่องมาจากสมุดรายวันของมองซิเออร์โกรองทั้งนั้น แลเพื่อแสดงหลักฐานว่า คำที่กล่าวนั้นเป็นความจริง จึงได้นำจดหมายของมองซิเออร์โกรองมาแสดงด้วย ในจดหมายนั้น มองซิเออร์ โกรองกล่าวว่า :-

“ข้าพเจ้าเลือกเรื่องเหล่านี้จากสมุดรายวัน อนุญาตให้ท่านใช้ด้วยความยินดี เรื่องซึ่งข้าพเจ้าได้คัดจากโน๊ตของข้าพเจ้าแล้วนั้น เกิดในหมู่ชนชาวปารีสหลายชั้น มาจากประชุมชนทุกชนิด ทั้งที่เกิดในบ้านเรือนคนมั่งมี แลในชุมคนพาล บางเรื่องถึงกับเล่นละครได้”

๑. เรื่องรอยแผลเป็น

เช้าวันนั้น ข้าพเจ้าไปถึงออฟฟิศก่อนเวลาธรรมดาประมาณชั่วโมงหนึ่ง แต่กระนั้นพอข้าพเจ้าก้าวเข้าห้อง เลขานุการของข้าพเจ้าก็เข้ามาแจ้งความว่า “มีเลดีมาคอยจะพบใต้เท้าอยู่ขอรับ”

ข้าพเจ้าถามว่า “อะไร แต่ป่านนี้เจียวหรือ” เลขานุการยังไม่ทันตอบว่ากระไร หญิงผู้นั้นก็เปิดประตูเดินเข้ามา

ผู้หญิงถ้าจะว่าข้างสวยแลงาม ข้าพเจ้าก็ได้เห็นมามาก แต่ไม่มีใครจะสวยแลงามเท่าหญิงคนนั้น รูปร่างของหล่อนโอ่โถงได้ส่วนทุกปล้อง ผมสีทองคลุมศีรษะซึ่งมีรูปอันงาม

ข้าพเจ้า “เชิญคุณนั่งเก้าอี้ คุณมีธุระอะไรที่จะให้ผมช่วยบ้างหรือ”

หญิงคนนั้นทิ้งตัวลงในเก้าอี้ ซึ่งข้าพเจ้าเชิญให้นั่ง ตัวสั่นตั้งแต่ศีรษะไปตลอดเท้า นั่งสะอื้นพูดออกมาไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงแกล้งเมินไปอ่านหนังสือเสียสักครู่หนึ่ง เพื่อจะให้มีเวลากลืนความทุกข์ลงไปพอที่จะเล่าเรื่องได้ แต่หล่อนก็เป็นเช่นนั้นอยู่สักครู่หนึ่ง จึงพูดออกมาได้ว่า

“ดิฉันคือแมดามอาร์ เข้าใจว่า ถ้าท่านไม่รู้จักตัว ก็คงรู้จักชื่ออยู่แล้ว”

ข้าพเจ้ารับว่ารู้จัก ด้วยแมดามอาร์เป็นคนมีชื่ออยู่ในหมู่หญิงชั้นสูงของเรา

“แต่ว่า ดิฉันไม่ได้การเสียแล้ว” ร้องไห้ขึ้นอีก “ไม่ไหวเสียแล้ว ดิฉันไม่ทราบจะแก้ไขอย่างไรได้ เว้นแต่ถ้าท่านจะช่วย” พูดเท่านั้นก็ร้องไห้สะอื้นต่อไป

ข้าพเจ้ารินน้ำให้แมดามดื่มแล้วพูดปลอบโยนให้ค่อยบรรเทาทุกข์ลงบ้าง เพื่อได้เล่าเรื่องให้ข้าพเจ้าฟังให้ตลอด ถ้าข้าพเจ้าอาจช่วย ก็คงช่วยจนเต็มกำลัง

แมดามอาร์ร้องไห้สั่นแลโอนเอนไปทั้งตัว แต่เป็นดังนั้นอยู่สักครู่หนึ่ง จึงสะอื้นพลางเล่าเรื่องอย่างกระท่อนกระแท่น เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าเคยฟังมานับครั้งไม่ถ้วน มูลเหตุคือผู้หญิงใจง่าย ผู้ชายเอาเปรียบ เป็นเรื่องที่มีทั่วโลก

แมดามอาร์เล่าว่า “ดิฉันจะไม่ทำให้ท่านเบื่อด้วยเรื่องยืดยาวในตอนที่ดิฉันยังเด็กอยู่ ด้วยในเวลานั้นดิฉันต้องอยู่บ้านนอกกับป้าผู้หนึ่ง บิดามักจะอยู่ในปารีสเสมอ ๆ ด้วยธุระโน่นบ้างนี้บ้างไม่ใคร่ขาด ป้าผู้เป็นผู้เลี้ยงดูดิฉันมานั้นเป็นคนดุดันใจแข็งแลไม่มีสามี นัยว่า ๆ เลี้ยงดิฉันอย่างมารดา ด้วยดิฉันตั้งแต่เกิดมาก็ไม่ได้เห็นหน้ามารดามาทีเดียว ครั้นดิฉันอายุได้ ๑๙ ปี ก็แต่งงานกับมองซิเออร์อาร์ ผู้ซึ่งดิฉันไม่รู้จักมักคุ้นมาแต่ก่อน แต่หากดิฉันยอมรับแต่งงานด้วย อยากจะไปเสียให้พ้นบ้านนอก ซึ่งเป็นที่ปราศจากความสุขและความรื่นเริงประการใด ด้วยผู้คนที่ได้พบปะนอกจากป้า ก็มีผู้หญิงแก่ ๆ เช่นกันสองสามคนเท่านั้น”

แมดามอาร์เล่ามาเพียงนี้แล้วก็หยุดพูด มือทั้งสองข้างกำแน่นเข้า แล้วจ้องดูตาข้าพเจ้าอย่างคนที่โกรธแลตกใจจนสิ้นคิด แล้วพูดว่า “มองซิเออร์โกรอง ท่านทำการในตำแหน่งนี้ ได้พบคนที่ได้ความทุกข์แลความเดือดร้อนอย่างยิ่งมาหนักกว่าหนักแล้ว แต่คนชั่วทั้งหลายที่ท่านจับตัวมาทำโทษให้สมกับความผิดนั้น ไม่มีใครจะชั่วมากกว่าคนที่ทำให้ผู้หญิงได้รับความทุกข์เช่นดิฉัน มันทำโดยแกล้ง ทำโดยตั้งใจ มันเป็นคนชั่วที่สุด มันเป็น...”

แมดามอาร์พูดมาค้าง ๆ เพียงนี้ก็นิ่ง จ้องดูตาข้าพเจ้าอยู่สักครู่หนึ่ง จึงเล่าเรื่องต่อไปว่า

“การที่ดิฉันมีสามีนั้น ก็ไม่ได้ดังหมาย เมื่อก่อนดิฉันมีเรื่อง ก็ถูกบิดาทั้งสองตาไม่แลครั้งหนึ่งแล้ว ด้วยบิดาดิฉันเอาใจใส่อยู่แต่เรื่องแข่งม้าแลเรื่องผู้หญิง แลเรื่องไพ่เท่านั้น ครั้นเมื่อแต่งงานแล้ว ก็ถูกอย่างเดียวกันเข้าอีก ดิฉันรู้สึกได้ภายในสองวัน ด้วยสามีดิฉันเป็นคนพวกเก็บของเก่า เป็นผู้มีชื่อในทางนั้น ดังที่ท่านคงทราบอยู่แล้ว”

แมดามอาร์พูดมาเพียงนี้ ก็หยุดนิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง มีอาการราวกับว่าจะกลับสะอื้นขึ้นมาอีก แล้วกลืนลงไปได้ เล่าต่อไปว่า :-

“สามีของดิฉันให้เกียรติยศแก่เงินตราอย่างเก่าแลหนังสือโบราณคร่ำเครอะต่าง ๆ ยิ่งกว่าดิฉัน เพราะฉะนั้น ดิฉันก็เท่ากับอยู่คนเดียว แต่ไม่มีป้าเป็นที่กีดขวางอย่างแต่ก่อน แลทั้งมีเงินพอจะใช้สุรุ่ยสุร่ายได้ด้วย ดิฉันจึงปล่อยใจเหลิงไปในทางสนุกของประชุมชนที่เรียกโซไซเอตี ไม่มีอันใดจะเป็นเครื่องห่วง ด้วยบุตรก็ไม่มี ถ้ามีก็จะเป็นที่เหนี่ยวรั้งไว้ได้บ้าง จะไม่ถึงแก่ความลำบากเช่นนี้ ในที่ประชุมที่ดิฉันไปมาหาสู่ แลพบปะกันอยู่เสมอ ๆ นั้น ก็พากันยกยอดิฉัน ๆ มีช่องมากที่จะปล่อยตามใจตัว เพื่อความสุขชั่วขณะหนึ่ง ๆ แต่มารดาของดิฉันเมื่อก่อนจะถึงแก่กรรมนั้น ได้เขียนจดหมายสั่งสอนฝากไว้ให้เป็นมรดกฉบับหนึ่ง จดหมายฉบับนี้ดิฉันรักษาไว้กับตัวเสมอ เป็นเครื่องเหนี่ยวอยู่ได้บ้าง แต่ในที่สุด...”

แมดามอาร์พูดมาค้าง ๆ อยู่เพียงเท่านี้ก็หยุดเมินหน้า ไม่พูดว่ากระไรต่อไป ข้าพเจ้าจึงบอกขึ้นว่า “ผมเดาได้แล้วว่า เรื่องต่อไปเป็นอย่างไร ตอนนั้นเป็นอันไม่ต้องเล่า ขอให้คุณบอกผมว่า ที่คุณมาหาผมนี้โดยประสงค์จะให้ช่วยเหลืออย่างใด”

แมดามอาร์ตอบว่า “นั่นแหละ ท่านคงเดาได้ว่า เรื่องมันเป็นอย่างไร คือดิฉันพบเขาเป็นครั้งแรกที่ตรูวีลเมื่อหน้าร้อนก่อนนี้เอง ดิฉันหลงรูปแลกิริยาของเขา หนังสือมารดาแลความตั้งใจดีต่าง ๆ ดิฉันก็ลืมหมด นึกถึงอยู่แต่เขาเท่านั้น ดิฉันรู้สึกรักเป็นครั้งแรก แลเข้าใจว่าเขาก็รักดิฉัน ดิฉันเพิ่งรู้จักความสุขในครั้งนั้น มาบัดนี้...”

แมดามอาร์พูดมาค้างเพียงนี้ก็หยุดนิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง จึงพูดต่อไปว่า

“มองซิเออร์โกรอง ชายคนนั้นชั่วที่สุด เป็นสัตว์อย่างร้ายที่สุด ดิฉันทราบว่าเขาเป็นอย่างไรแลได้ล่อลองดิฉันมาอย่างไร จึงเลิกกับเขา แต่เขากำดิฉันไว้ในมือ อาจบีบให้ดิฉันละเอียดเมื่อไรก็ได้ ด้วยดิฉันได้เขียนหนังสือไปถึงเขา ๔ ฉบับ อันเป็นหนังสือซึ่งจะให้สามีดิฉันเห็นไม่ได้เป็นอันขาด เพราะฉะนั้น เมื่อเขาว่าจะต้องการอะไร ดิฉันก็ต้องให้ ด้วยเขาขู่ว่าถ้าไม่ให้ เขาจะส่งหนังสือ ๔ ฉบับนั้นให้สามีดิฉัน เมื่อเขาขู่เช่นนี้ ดิฉันก็ต้องให้เงินเขาไปแล้วถึง ๓๐๐๐ ปอนด์ เดี๋ยวนี้เขาจะต้องการอีก ๔๐๐ ปอนด์ ให้ได้ภายในกลางคืนพรุ่งนี้ เงินของดิฉันในแบงค์ก็หมดแล้ว เครื่องแต่งตัวเพชรพลอยก็ไม่มีเหลือ ดิฉันไม่ทราบจะทำอย่างไรต่อไป จึงได้มาหาท่าน ถ้าท่านไม่ช่วยดิฉัน ๆ จะเสียชื่อโดยเปิดเผย จำเป็นจะต้องฆ่าตัวตาย แต่ดิฉันไม่อยากต้องตาย ด้วยอยากจะอยู่ทำการล้างบาป ทำดีแก้ตัวที่ได้ทำผิด เพื่อที่มารดาจะได้ยกโทษให้ดิฉัน เมื่อพบกันในโลกหน้า เพราะฉะนั้น ขอท่านจงช่วยดิฉันด้วย”

แมดามอาร์พูดมาได้เท่านี้ก็หยุด นั่งสะอื้นไปอย่างเก่า เรื่องที่เล่านั้นเป็นเรื่องที่ได้ยินอยู่แทบทุกวันก็ว่าได้ พวกที่หากินโดยวิธีกรรโชกเช่นนี้ มีทั้งผู้ชายผู้หญิง มีในประชุมชนทุกชั้น เมื่อทำได้สำเร็จก็ยิ่งทำหนักขึ้น ด้วยผู้ที่ถูกกรรโชกนั้นไม่ใคร่กล้าพอที่จะนำความมาฟ้อง เว้นแต่เมื่อสิ้นคิดเข้าจริง ๆ อย่างแมดามอาร์นี้เป็นต้น

ข้าพเจ้า “ผมไม่เห็นเหตุพอที่คุณจะต้องตกใจเช่นนี้เลย ชายคนนั้นเป็นคนหากินด้วยวิธีกรรโชกอย่างธรรมดา ในเย็นวันนี้ผมจะให้พนักงาน...”

ข้าพเจ้าพูดไม่ทันขาดคำ แมดามอาร์ก็ค้านขึ้นว่า “ไม่ได้ไม่ได้ ที่ท่านจะทำเช่นนั้นไม่ได้ ถ้าท่านจับตัวเขามา เขาก็คงจะทำอย่างที่เขาขู่ไว้ เขาทำเป็นแน่ สิ่งที่ดิฉันต้องการหนังสือ ๔ ฉบับ เมื่อได้หนังสือมาแล้ว เขาจะไปไหนหรือเป็นอย่างไรต่อไป ดิฉันไม่ว่า สุดแต่ได้หนังสือคืนมาแล้วเป็นพอ”

ข้าพเจ้า “ถ้าไม่จับตัวมาก่อน...”

แมดามอาร์ “โปรดที ไม่ได้ ไม่ได้ ท่านยังไม่ทราบอันตรายที่จะเกิดแก่ดิฉัน เขาเป็นคนไม่กลัวใคร ถ้าท่านขู่เขา ๆ คงจะหันมาใส่เอาดิฉันเป็นแน่ ขอท่านได้โปรดเอาหนังสือนั้นคืนมาให้ได้เท่านั้น”

ข้าพเจ้านิ่งนึกอยู่สักครู่หนึ่ง จึงถามว่า “ชายคนนั้นเป็นฝรั่งเศสหรือ”

แมดามอาร์ “ ไม่ใช่มิได้ เขาเป็นคนชาวเกาะคิวบา ดิฉันเข้าใจว่ามีเทือกเถาเหล่ากอดี”

ข้าพเจ้า “ถ้าอย่างนั้นคุณโปรดจดชื่อแลที่อยู่เขาให้ผม แลทั้งจดวันในหนังสือ ๔ ฉบับนั้นให้ด้วย”

แมดามอาร์จดชื่อแลที่อยู่นายคิวบันให้ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็นิ่งตรึกตรองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จัดการยากอยู่สักหน่อย ถ้านิ่งเสียก็คงเกิดความใหญ่ ในชั้นคนที่ไม่ควรปล่อยให้การเช่นนี้เกิดขึ้นได้ แต่จะทำอันใดลงไป ก็ยังไม่เห็นทางที่จะสำเร็จ เพราะแมดามอาร์มัดมือข้าพเจ้าเสียแล้ว ข้าพเจ้าจะเอากฎหมายเข้ารัดเอานายคิวบันก็ไม่ได้ ไม่ทราบจะข่มขี่ได้ทางใด แต่เรื่องแมดามอาร์เล่านั้น ทำให้ข้าพเจ้ากรุณาตั้งใจจะช่วย โดยวิธีลองตามบุญตามกรรม อันเป็นวิธีที่ได้ทำสำเร็จประโยชน์มาหลายครั้งแล้ว

ข้าพเจ้าไต่ถามถ้อยความแมดามอาร์อีกสองสามข้อแล้ว ก็พาไปห้องอื่นให้คอยฟังเรื่อง กำชับว่าอย่าทำใจร้อนให้เกินไปนัก เพราะบางทีจะทำให้สำเร็จเร็ว ๆ ไม่ได้แท้จริง ข้าพเจ้าไม่สัญญาทีเดียวว่า จัดการได้ตามต้องการ

เมื่อข้าพเจ้าพาแมดามอาร์ไปให้คอยอยู่ห้องอื่นเช่นนั้นแล้ว ก็เขียนหนังสือไปถึงนายคิวบันขอให้มาหาข้าพเจ้าโดยเร็ว นักการถือหนังสือไปเผอิญพบนายคิวบันอยู่บ้าน ไม่สู้ช้าก็มาที่ออฟฟิศข้าพเจ้า ตามที่เรียกไปนั้น

ชายคนนี้ เป็นคนสูงผมดำตาสีน้ำเงิน เสื้อผ้าเรียบร้อย กิริยาท่าทางโอ่โถงอย่างคนที่ได้เข้าที่ประชุมชั้นสูง เมื่อดูผาด ๆ เป็นผู้ดีทั้งตัว หาที่ติไม่ได้

แต่ผู้ที่รู้จักสังเกตคน ย่อมเห็นได้ว่า นายคิวบันคนนี้ อาการภายนอกเรียบร้อยตลอดก็จริง แต่เป็นคนชนิดที่มีนิสัยโสมม ถ้าจะเอาเปรียบหรือฉ้อโกงใครได้ ก็คงรีบทำโดยมิได้รู้สึกบาปบุญคุณโทษประการใดเลย ทรัพย์สินเงินทองของผู้อื่นก็เห็นเป็นของตนไปทั้งนั้น ความบังอาจแลความโกงนั้น เห็นได้ในเค้าหน้า ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีว่า ธุระที่ข้าพเจ้าจะช่วยแมดามอาร์นั้น ไม่ใช่ง่ายเลย

ข้าพเจ้า “ ท่านทราบหรือเปล่าว่า ข้าพเจ้าเชิญท่านมาทำไม”

นายคิวบัน “ไม่ทราบ”

ข้าพเจ้า “ท่านเดาไม่ถูกหรือ”

นายคิวบัน “ไม่ถูก”

ข้าพเจ้า “ข้าพเจ้าเชิญท่านมาด้วยต้องการให้ท่านส่งจดหมายแมดามอาร์ ๔ ฉบับให้แก่ข้าพเจ้า คราวนี้ท่านเข้าใจหรือยัง”

นายคิวบัน “ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว แต่โปรดให้ข้าพเจ้าถามหน่อย ว่าท่านเรียกให้ข้าพเจ้าส่งหนังสือเหล่านั้นให้แก่ท่านด้วยอำนาจอันใด”

ข้าพเจ้า “ท่านไม่ใช่ชาวเมืองนี้ แต่ท่านคงทราบกฎหมายฝรั่งเศสพอว่า ท่านได้ทำผิดเป็นข้อใหญ่ ซึ่งอาจพาให้ท่านได้ความทุกข์ร้อนได้มาก ๆ ท่านไม่ทราบหรือว่า ข้าพเจ้าอาจจับท่านไว้ได้เดี๋ยวนี้ ด้วยคดีข้อหาว่า ท่านเป็นผู้กรรโชกล่อลวงเอาเงินทองจากผู้อื่น”

นายคิวบันยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านจับข้าพเจ้าไม่ได้ ท่านไม่มีโจทก์มาฟ้องกล่าวโทษข้าพเจ้า ท่านจะจับข้าพเจ้าอย่างไร แมดามอาร์ข้าพเจ้ารู้จักอยู่ แต่ข้าพเจ้าแน่ใจว่า หล่อนคงไม่คิดสักขณะเดียวที่จะมาเป็นโจทก์กล่าวโทษข้าพเจ้า โดยไม่มีจริงเช่นนี้ ก็เมื่อแมดามอาร์ไม่เป็นโจทก์แล้ว ใครเล่าจะเป็นโจทก์มาฟ้องกล่าวโทษข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นคนชาวเมืองอื่นจริงอย่างท่านว่า แต่ข้าพเจ้าก็ทราบกฎหมายฝรั่งเศสอยู่บ้างเล็กน้อย ข้าพเจ้าควรถามท่านว่า ท่านไปได้เรื่อง ๆ นี้มาจากใคร”

นายคิวบันพูดเป็นเชิงเยาะเย้ยข้าพเจ้าเช่นนั้นแล้ว ก็ชักข้อมือเสื้อเชิ๊ตข้างขวาให้คลุมลงไป ข้าพเจ้าสังเกตว่า ได้ทำเช่นนั้นเป็นครั้งที่ ๒ ในเวลาสองสามนาที

ในเวลานั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่า นายคิวบันตัวลื่นนัก ข้าพเจ้าจะจับไม่อยู่ แต่ในห้องต่อไปแมดามอาร์กำลังจะคลั่ง เพราะอยู่ในกำมือคน ๆ นี้ จะรอดได้ก็ต่อเมื่อข้าพเจ้าช่วย แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่ทราบจะช่วยได้อย่างไร

นายคิวบันชักนาฬิกาออกดู แล้วถามข้าพเจ้าด้วยอาการอันสุภาพว่า ข้าพเจ้าสิ้นธุระกับเขาหรือยัง เพราะเขาติดธุระจะรีบไปที่อื่น ข้าพเจ้าก็สิ้นปัญญาจนเกือบจะเรียกแมดามอาร์เข้ามาปลอบโยนชี้แจงให้เป็นโจทก์ขึ้นในเวลานั้น จะได้จับตัวนายคิวบันลงโทษได้ แต่เมื่อนึกไปก็เห็นได้ว่า ถ้าแมดามอาร์เข้ามาในห้องเวลานั้น ก็คงตกใจกลัวนายคิวบัน ที่ไหนจะทำตามข้าพเจ้า

นายคิวบันเห็นข้าพเจ้านิ่งอยู่ก็เดินไปจะออกประตู ข้าพเจ้าเรียกว่า “ช้าก่อน ข้าพเจ้าจะต้องถามอะไรท่านสักสองสามข้อ” ที่ข้าพเจ้าทำดังนั้น ก็เพื่อจะได้มีเวลาตรึกตรองว่าจะทำอย่างไรต่อไป ฝ่ายนายคิวบันเมื่อข้าพเจ้าเรียกเช่นนั้นก็หยุด ดูท่าทางเหมือนประหลาดใจที่ข้าพเจ้ายังไม่หมดข้อพูด

ข้าพเจ้า “ท่านอยู่ในปารีสมานานเท่าไร”

นายคิวบัน “เจ็ดเดือน”

ข้าพเจ้าไม่ทราบจะถามอะไรอีก ก็พุ่งออกไปว่า “ชื่อจริง ๆ ท่านชื่อไร ชื่อในการ์ดไม่ต้องการ ต้องการชื่อจริง ๆ ที่ท่านรับมาจากบิดา”

ตั้งแต่ต้นมาสีหน้านายคิวบันไม่ผิดปกติ ต่อเมื่อข้าพเจ้าถามเช่นนั้นเข้า หน้าจึงเปลี่ยนเป็นโกรธ พูดกระชากออกมาว่า “ท่านมีอำนาจอะไรที่จะมาไล่เลียงข้าพเจ้าเช่นนั้น” แล้วก็ยกมือขึ้นลูบหนวดในเวลาเผลอ แต่รีบชักข้อมือเสื้อเชิ๊ตปิดลงไปอย่างแต่ก่อน ข้าพเจ้าสังเกตเห็นแผลเป็นอยู่ที่ข้อมือแผลหนึ่ง เป็นแผลธรรมดา อาจเป็นด้วยล้มไปกระทบอะไรเข้าแต่เด็ก ครั้นโตขึ้นแผลก็โตตามตัวขึ้นไป ดังนี้ก็เป็นได้ เมื่อข้าพเจ้าเห็นเช่นนั้น ก็ทำเป็นไม่เห็น แต่ให้นึกไปเองว่า จะจัดการสำเร็จก็ด้วยแผลเป็นรอยนี้

ในทันใดนั้น ข้าพเจ้านึกอุบายที่จะลองขู่นายคิวบันขึ้นมาได้ จึงเรียกเจ้าพนักงานเข้ามาคนหนึ่ง และสั่งให้คุมตัวนายคิวบันไว้จนกว่าข้าพเจ้าจะกลับ แล้วข้าพเจ้าก็ออกจากห้องไป

ที่ข้าพเจ้าทำเช่นนั้น ก็เป็นการหลับตามองดูเท่านั้น ที่ข้าพเจ้าจะเอารอยแผลเป็นเป็นที่พึ่งได้อย่างไรก็ไม่แน่ ทราบอยู่แต่ว่า ถ้าข้าพเจ้าทอันใดหรือที่สุดพูดไม่ถูกออกไปสักคำเดียว อุบายก็คงไม่สำเร็จ ด้วยนายคิวบันเป็นคนไหวพริบพอใช้ แมดามอาร์ได้บอกข้าพเจ้าไว้แล้วว่า อย่าให้ใช้วิธีขู่ แต่ข้าพเจ้าก็ทราบว่า ถ้าเป็นคนธรรมดาที่ไม่คาว ถ้าขู่ก็มีแต่ทางเสีย แต่คนชนิดนายคิวบันคนนี้คงได้ทำผิดไว้ที่ไหนสักแห่ง อาจเป็นคนที่ปลอมตัวหลบหนีกฎหมายอยู่ก็ได้ ถ้าข้าพเจ้าทราบพงศาวดารก็นับได้ว่าอยู่ในมือ เพราะฉะนั้นอุบายที่ข้าพเจ้าคิดทำนี้มีช่องสำเร็จ แลจำเป็นทำด้วยไม่ทราบจะทำอย่างอื่นประการใดได้

ข้าพเจ้าออกจากห้องนั้นไปสักสองสามนาที ก็กลับถือสมุดเข้าไปเล่มหนึ่ง เป็นสมุดรูปผู้ร้ายฆ่าคนตายแลขโมย แลพวกที่หนีกฎหมายอยู่บ้าง ที่ได้ตัวแล้วแต่กองตระเวนไม่อยากลืมหน้าบ้าง รูปผู้ร้ายที่หนีมาจากประเทศอื่น ๆ ก็มาก

รูปนายคิวบันไม่มีอยู่ในสมุดเล่มนี้ แต่ข้อนั้นนายคิวบันทราบไม่ได้ด้วย ถ้าตัวทำผิดไว้ในเมืองไหนแล้วหนีมา โปลิศเมืองนั้นอาจส่งรูปมาให้ข้าพเจ้าไว้แล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงพลิกสมุดนั้นอยู่สักครู่หนึ่ง ถึงรูป ๆ หนึ่งซึ่งไม่ใช่รูปนายคิวบัน แต่ข้าพเจ้าจ้องดูประหนึ่งว่าเป็นรูปนายคิวบัน ดูรูปแล้วดูหน้าแลดูรูปอีก แล้วหยิบสมุดอีกเล่มมา ประหนึ่งว่าสอบโน๊ต แต่ทำเช่นนี้อยู่ครู่หนึ่ง จึงลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้ตัวนายคิวบันบอกว่า “ไหนขอดูข้อมือทีรึ”

เมื่อข้าพเจ้าพูดดังนั้นแล้ว ก็สังเกตได้ว่า นายคิวบันมีอาการตกใจ แต่ไม่แสดงออกมาให้เห็นถนัด แล้วยื่นข้อมือซ้ายออกมาให้ดู

ข้าพเจ้าพูดเสียงเขียวว่า “ข้อมือซ้ายไม่ต้องการ ขอดูข้อมือขวา” แล้วฉุดข้อมือออกมาเปิดดูรอยแผลเป็น พิจารณาอยู่สักครู่หนึ่งจึงปล่อย ในเวลาที่ข้าพเจ้าดูรอยแผลเป็นอยู่นั้น เมื่อแลดูหน้านายคิวบันเห็นได้ว่า พยายามจะทำเป็นที่ไม่รู้ไม่ชี้ แต่ตาราวกับตาสัตว์ร้าย ถ้ากัดข้าพเจ้าได้ก็คงกัด

ข้าพเจ้าดูรอยแผลเป็นพอแล้วก็กลับไปนั่งเก้าอี้กล่าวว่า “พอแล้ว คราวนี้เราพูดกันอย่างอื่นก็ได้”

นายคิวบันนั่งจ้องดูตาข้าพเจ้า ราวกับว่าจะเดาความคิดในศีรษะข้าพเจ้า ๆ นิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง จึงว่า “เมื่อ ๑๕ นาทีมาแล้ว ข้าพเจ้าขอให้ท่านส่งจดหมาย ๔ ฉบับนั้นให้ข้าพเจ้า แต่ท่านไม่ยอม เดี๋ยวนี้ท่านยอมหรือยัง”

นายคิวบันนิ่งไม่ตอบว่ากระไร ไม่ทราบว่าข้าพเจ้าทราบความลับเพียงไหน (ด้วยความลับในทางชั่วของเขานั้นมีเป็นแน่) แลถ้าเขาไม่ยอมทำตามคำข้าพเจ้าจะเกิดความหรือไม่ ถ้าเกิดจะเกิดมากน้อยเพียงไร แลถ้ายอมตามใจข้าพเจ้าจะรอดตัวไปเพียงไหน ข้อความเหล่านี้นายคิวบันคงจะตรึกตรองตลอด แต่ไม่พูดอะไรออกมา ด้วยต้องการจะให้ข้าพเจ้าพูดก่อน เผื่อคำที่ข้าพเจ้าพูดจะให้ช่องแก่เขาบ้าง

ข้าพเจ้าเข้าใจดีทีเดียวว่า นายคิวบันคอยให้ข้าพเจ้าพูดแต่ข้าพเจ้าก็ไม่พูด ในที่สุดนายคิวบันพูดออกมาว่า “มองซิเออร์โกรอง เมื่อพูดตามทางกฎหมาย ท่านก็ไม่มีอำนาจอันใดเลย ที่จะบังคับให้ข้าพเจ้าส่งหนังสือ ๔ ฉบับนั้น ให้แก่ท่าน แต่หากว่า......”

นายคิวบันพูดค้าง ๆ อยู่เท่านั้นแล้วก็หยุดชะงัก จ้องดูตาข้าพเจ้า ด้วยทราบอยู่ว่าเวลานั้นเป็นเวลาได้เสียของเขา จำต้องชั่งคำเสียทุกคำก่อนจึงพูดออกมา นายคิวบันจ้องดูตาข้าพเจ้าอยู่สองสามอึดใจ โดยหวังว่าถ้าข้าพเจ้าพูดอะไรออกมา จะได้เป็นทางจูงเขาบ้าง ครั้นเห็นข้าพเจ้านิ่งอยู่จึงพูดต่อไปว่า “ถ้าหากว่าข้าพเจ้าส่งหนังสือเหล่านั้นให้ท่านตามที่ต้องการ ท่านจะทำอันใดเป็นการตอบแทนความสุภาพของข้าพเจ้าบ้าง

ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าก็คงตอบแทนท่านให้สมกับความสุภาพของท่าน คือข้าพเจ้าจะทำได้อย่างนี้ ท่านออกจากนี่ท่านต้องตรงไปที่อยู่ของท่าน แล้วรีบนำหนังสือ ๔ ฉบับนั้นกลับมาให้ข้าพเจ้าโดยเร็ว เมื่อข้าพเจ้าได้รับหนังสือเหล่านั้นแล้ว ข้าพเจ้าจะอนุญาตให้ท่านมีเวลาไปจนเที่ยงพรุ่งนี้ สำหรับที่จะได้เก็บรวบรวมเข้าของของท่าน ออกจากประเทศฝรั่งเศสไปเสีย ถ้าท่านไม่ยอมทำตามที่ข้าพเจ้าว่านี้ ท่านกับข้าพเจ้าก็จะต้องพูดเรื่องอื่นกันใหม่”

คราวนี้นายคิวบันทิ้งกิริยาโอ่โถงหมด รีบถามข้าพเจ้าว่า “ถ้าข้าพเจ้าทำตามคำท่านแล้ว ท่านสัญญาเป็นคำมั่นหรือว่าท่านจะปล่อยข้าพเจ้าไปโดยดี ไม่พยายามจะเหนี่ยวรั้งข้าพเจ้าไว้ด้วยคดีเหลวไหลอันใดต่อไป”

ข้าพเจ้าตอบว่า ข้าพเจ้ารับสัญญาเช่นนั้น นายคิวบันก็รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปจะออกประตู ข้าพเจ้าว่า “ช้ากอน อย่าเพิ่งรีบ ไปยังไม่ได้ ข้าพเจ้าต้องการแสดงความสุภาพต่อท่านอีก ด้วยคนที่มีเกียรติยศอย่างท่าน จะไปมาอย่างคนธรรมดาไม่ควร ข้าพเจ้าจะให้คนไปตามหลังท่านเป็นเกียรติยศ”

ข้าพเจ้าพูดดังนั้นแล้ว ก็สั่นระฆังเรียกคนใช้บอกให้ไปเรียกตัวสารวัตรเลโรซ์มาแล้วสั่งว่า “เลโรซ์ ท่านผู้นี้จะไปที่ถนนดอัลแยร์ เพื่อจะนำหนังสือสำคัญกลับมาให้เรา เจ้าจงไปกับเขา อย่าให้เขาหลบเจ้าไปได้ ถนนดอัลแยร์ก็ไม่ไกล จงเช่ารถไปเถิด แล้วกลับมาภายในครึ่งชั่วโมง แต่อย่าลืมว่า จะต้องพาท่านผู้นี้กลับมาด้วย”

วันนั้น ข้าพเจ้ามีงานทำเป็นอันมาก แต่เมื่อเลโรซ์กับนายคิวบันไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่เป็นอันทำงานอื่น เป็นแต่นั่งคอยอยู่จนคน ๒ คนนั้นกลับมา นายคิวบันมาหน้า เลโรซ์คุมติดหลังเข้ามา นายคิวบันเมื่อมาถึงก็ไม่ว่ากระไร ถือหนังสือ ๔ ฉบับตรงเข้ามาส่งให้ข้าพเจ้า ๆ รับมาตรวจดูเห็นถูกต้องกับที่แมดามอาร์บอกไว้แล้ว จึงบอกกับนายคิวบันว่า “คราวนี้เป็นไม่มีอะไรติดค้างกันต่อไป ข้าพเจ้าขออวยพรให้ท่านเดินทางไปถึงประเทศอื่นโดยสวัสดิภาพแลท่านต้องอย่าลืมเวลาเที่ยงพรุ่งนี้”

นายคิวบันทำสีหน้าเหมือนว่าอยากจะกินเนื้อข้าพเจ้า แต่ไม่พูดว่ากระไร เป็นแต่ก้มศีรษะเป็นทีลาแล้วก็ออกประตูไป

ครั้นนายคิวบันไปแล้ว ข้าพเจ้าก็เชิญแมดามอาร์กลับเข้าไปในห้องออฟฟิศข้าพเจ้า เทศน์ให้ฟังเสียกัณฑ์หนึ่ง ทั้งทำให้สาบานว่าจะไม่ประพฤติผิดเช่นนี้ต่อไป

ฝ่ายแมดามอาร์ เมื่อได้รับหนังสือ ๔ ฉบับไปทำลายแล้ว ก็ขอบใจข้าพเจ้าไม่รู้หยุด ข้าพเจ้าบอกว่า “คุณไม่ต้องขอบใจผม ควรขอบใจรอยแผลเป็นมากกว่า”

ม. อาร์ “ท่านว่ารอยแผลเป็นอะไร”

ข้าพเจ้า “รอยแผลเป็นที่ข้อมือขวานายคิวบัน”

ม. อาร์ “รอยแผลเป็นที่ไหน ดิฉันไม่เคยเห็นเลย”

ข้าพเจ้า “คุณไม่เคยเห็นก็เป็นได้ แต่ผมเห็น แต่มันช่วยให้คุณได้หนังสือเหล่านั้นคืน”

๏ ๏ ๏

ต่อนั้นมาอีก ๕ ปี ข้าพเจ้าเดินไปในปาร์กมองโซ เห็นหญิงคนหนึ่งแต่งกายอย่างงดงาม มีหญิงพี่เลี้ยงอุ้มเด็กเดินไปด้วยคนหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นแต่ไกล ก็จำได้ว่าแมดามอาร์ ๆ เห็นข้าพเจ้าก็จำได้ สีหน้าแดงขึ้นชั่วอึดใจหนึ่ง แล้วรับเด็กจากพี่เลี้ยงชูขึ้นให้ข้าพเจ้าดู แสดงว่า บัดนี้มีบุตรเป็นผู้คุมขึ้นแล้ว

ต่อนั้นไปไม่อีกกวัน ข้าพเจ้าอ่านหนังสือพิมพ์เมืองนิวยอร์ก พบเรื่องวิวาทกันในบ่อนเบี้ย ยิงกันตาย ๓ คน ศพ ๆ หนึ่งไม่มีใครรู้จัก คนผมดำ ผิวเนื้อไม่ขาวทีเดียว มีแผลเป็นอยู่ที่ข้อมือแผลหนึ่ง

ศพนั้นจะเป็นศพนายคิวบันของข้าพเจ้าหรือไม่ใช่ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าใช่ จึงทำให้เกิดพิศวงขึ้นมาอีกว่า แผลเป็นรอยนั้น มันจะมีเรื่องอย่างไร

 

  1. ๑. ประมวญมารค ฉบับที่ ๕๒ หน้า ๖ ปีที่ ๒ ศุกรที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๘

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ