ป้าเกตกับกวีนวิกตอเรีย

เขียนจากภาษาอังกฤษ

ป้าเกตตายเสียนานแล้ว ตายเมื่อชราเหมือนสตรีบรรดาศักดิ์อีกหลายคน ซึ่งเคยเป็นสาวสวยรุ่นเดียวกับป้าเกต แลเคยเป็นสหายเล่นหัวทุกข์สุขด้วยกันในพระราชวังวินด์เซอร์ คือ ราชสำนักแห่งหนึ่งของกวีนวิกตอเรีย เมื่อยังดำรงพระชนม์และเป็นนางพญาครองประเทศอังกฤษ ในร้อยปีที่ ๑๙ ป้าเกตเคยเป็นนางกำนัลอยู่ในราชสำนักของพระราชินีนาถพระองคนั้น

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ข้าพเจ้าไปเที่ยวดูตามห้องที่ประทับในพระราชวังวินด์เซอร์พร้อมกับอเมริกันพวกหนึ่ง ซึ่งมาเที่ยวเมืองอังกฤษ (ราชฐานแห่งนั้นเมื่อได้รับอนุญาตแล้วก็เข้าดูได้ ในเวลาที่พระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ประทับอยู่) ข้าพเจ้าเข้าไปเดินดูแล้วก็นึกถึงป้าเกต แต่ไม่ได้นึกถึงในเวลาที่ป้าเกตชราแล้ว นึกถึงในเวลาที่ข้าพเจ้ายังไม่เกิด เมื่อป้าเกตยังเป็นสาวสวย เป็นตอนที่มีเรื่องเสน่หาผูกพันกับชายที่อยู่ในราชสำนักด้วยกัน เมื่อทั้งบ่าวแลสาวยังรับราชการอยู่กับกวีนวิกตอเรียในพระราชวังนี้

เหตุใดข้าพเจ้าจึงนึกถึงเรื่องก่อนเกิด เหตุใดข้าพเจ้าจึงนึกถึงป้าเกต ซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นและรู้จักในวัยชรา แต่นึกถึงในวัยสาวซึ่งข้าพเจ้าเกิดไม่ทันเห็น ที่เป็นดังนั้นเพราะเมื่อข้าพเจ้ายังเด็ก ป้าเกตได้เล่าเรื่องให้ข้าพเจ้าฟังนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งหลง ๆ ลืม ๆ เล่าทิ้งโน่นทิ้งนี่ ข้าพเจ้ารู้เรื่องขึ้นใจจนถึงกับว่า ถ้าป้าเกตเล่าขาด ๆ วิ่น ๆ ในตอนที่ข้าพเจ้าเห็นสนุก ข้าพเจ้าก็เตือนขึ้นจนป้าเกตย้อนเล่าติดต่อกันไปใหม่

“คุณป้าเล่าให้ผมฟังหน่อยว่า เมื่อยอนเบราน์ไปพบคุณป้าอยู่ในสวนบริเวณพระราชวังสองต่อสองกับนายทหารหนุ่มนั้น คุณป้าทำอย่างไรบ้าง”

“ตกใจเหลือเกินเทียวหลาน ป้าเกือบจะล้มสลบลงไปในหว่างแขนวิลเลียมทีเดียว หลานหรือใคร ๆ ในสมัยนี้นึกไม่ออกเป็นแน่ว่า ทำไมพวกเราสาวหนุ่มในพระราชสำนัก จึงกลัวยอนเบราน์เหลือเกิน อ้ายเฒ่านั้นมันก็เป็นคนชั้นต่ำ เป็นบ่าวคนหนึ่งเท่านั้นเอง เป็นชาวสก๊อตแลนด์ไพร่ ๆ แต่พูดจาหยาบคายข่มขี่ใคร ๆ ทั้งนั้น แม้จะเพ็ดทูลกวีนก็พูดออกมาดื้อ ๆ และบางทีจะเป็นเพราะพูดดื้อ ๆ กระมัง กวีนจึงทรงเชื่อมากถึงเพียงนั้น เมื่อมันมาเห็นป้าอยู่ท่านั้นกับวิลเลียม ป้าก็รู้ทันทีว่า มันคงเอาไปเที่ยวเล่าให้รู้กันลั่นไปหมด”

“คุณป้ายังเป็นสาวน้อยอยู่ในเวลานั้น ก็อุตส่าห์กล้าจนให้เขาไปพบเข้าได้ สาวน้อยสมัยกวีนวิกตอเรียที่กล้าเห็นจะหายาก ยิ่งในราชสำนัก ยิ่งเข้าใจกันว่าไม่มีเลย”

ข้าพเจ้าพูดอย่างข้างบนนี้ เพื่อจะยั่วให้ป้าเกตหัวเราะ และชี้แจงปัดเป่าความขลาดความกลัวครหา หรือความเชื่อของสาวสมัยโน้น เมื่อข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ ป้าเกตก็เป็นทนายแทนสาวทั้งหลายในสมัยเดียวกันแทบทุกครั้ง

“เราไม่ใช่นางหนูขี้อายเหมือนที่คนในสมัยนี้ว่าดอก ป้านึกว่าหนุ่มสาวคงจะเหมือนกันเสมอ ไม่ว่าในสมัยนั้น สมัยนี้ หรือสมัยไหน แต่ถ้าถึงคราวรักเข้าหละก็ คนเรามักจะกล้าเสมอ ๆ ตัวหลานเองก็จะเห็นจริงอย่างป้าว่าสักวันหนึ่ง”

ที่ป้าเกตว่านั้นจะจริงทั่วไปหรือไม่ก็ตามที แต่เมื่อป้าเกตอายุ ๑๙ แลอยู่ในพระราชวังวินด์เซอร์กับกวีนวิกตอเรียในตอนที่เป็นหม้ายราชสามีแล้วนั้น ความรักทำให้กล้ามาก กวีนวิกตอเรียทรงเคร่งครัดที่สุด ในเรื่องขนบธรรมเนียม เมื่อเสด็จอยู่ในที่ใด ก็เป็นที่ยำเกรงของคนทั่ว ๆ ไป ไม่มีใครกล้าทำอะไรที่ถือว่าไม่สมควร ที่บุคคลพึงปฏิบัติ ถ้าหนุ่มสาวในราชสำนักประพฤติเล่นหัวในทางคนอง ก็กริ้วจนแทบพระวาจาพิโรธจะตัดศีรษะให้หลุดไปจากคอ ความสงบเสงี่ยมของคนเหล่านั้น จึงเป็นไปเหมือนหนึ่งว่าความเรียบร้อยมมาพร้อมกับกำเนิดของตน

ส่วนป้าเกตนั้น เมื่อก่อนมีความรักมาทำให้กล้า ก็เป็นนางสาวซึ่งมิใช่แต่หวาดหวั่นเกรงพระบารมีกวีนเท่านั้น ย่อมยำเกรงสตรีมีเกียรติ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่อยู่ในราชสำนักด้วย ท่านผู้ใหญ่เหล่านั้น บางทีก็เห็นป้าเกตเป็นเด็กเล่นคนองนอกรีตจนน่าสะดุ้ง บางทีก็เห็นร่าเริงเกินควรแก่อายุ เพราะเห็นว่าสาวอายุ ๑๙ ควรจะสงบเสงี่ยมอย่างเดียว จะสนุกสนานเกิ๊กก๊ากไม่ได้ อันที่จริงตามธรรมดาป้าเกตก็เป็นคนสงบเสงี่ยมสมกับที่สำนัก แต่บางทีก็เผลอตัวไปบ้าง เช่น วันหนึ่งหัวเราะคึก ๆ ขึ้นมาหน้าที่นั่ง แม้เอาผ้าเช็ดหน้าอุดปากแล้วยังทรงได้ยิน แลแสดงพระประสงค์จะทรงทราบว่า อะไรทำให้สนุกขึ้นมาในเวลาเช่นนั้น

ป้าเกตตกใจจนอยากให้พื้นแยกสูบตนลงไป ถวายคำนับถอนสายบัวอย่างลึก (ถอนสายบัว คือย่อเข่าทั้ง ๒ แลชักเท้า ๆ หนึ่งถอยไปข้างหลัง ย่อตัวลงต่ำ) แล้วทูลโดยที่นึกแก้ตัวอย่างอื่นไม่ทันว่า “ดุมเสื้อกระหม่อมฉันหลุดตกลงไปเมล็ดหนึ่ง”

คนทั้งหลายซึ่งอยู่ในที่เฝ้าตกตะลึงกันหมด ดุมที่ตกนั้น เป็นดุมเสื้อชั้นใน ป้าเกตรู้สึกตัวเวลามันหลุดเลื่อนลงไป แลเพราะเป็นคนเห็นขันง่าย ก็ปล่อยคึก ๆ ออกมาโดยที่อัดไว้ไม่อยู่ ดุมเมล็ดนั้นลงไปนอนขาวอยู่บนพื้นสีน้ำตาลแก่ ดูโง่แลผิดที่สุด พวกที่อยู่ในที่เฝ้าตกตะลึงกันอยู่นาน จนป้าเกตนึกว่าตั้งชั่วโมง แต่ที่จริงก็สักสองสามอึดใจเท่านั้น

กวีนตรัส “เห็นขันอย่างไม่น่าเอ็นดูเลย เผอิญไม่มีชายอยู่ที่นี่ ถ้ามีสักคนหนึ่ง ก็จะน่าบัดสีที่สุด เกต จงไปห้องตัวเองเสียเถิด”

ป้าเกตถอนสายบัวลึกอีกครั้งหนึ่ง แล้วถอยหลังออกไปจากหน้าที่นั่ง การเดินถอยหลังจะให้สะสวยนั้นยากเสมอ แต่ถ้าสวมกระโปรงรูปเหมือนสุ่มไก่อย่างที่เป็นแฟรชั่นในสมัยโน้น ก็คงจะยากยิ่งขึ้น แลในวันนั้นป้าเกตรู้สึกเหมือนว่า การเดินถอยหลังออกจากที่เฝ้าในขณะที่ถูกกริ้วอย่างใหญ่นั้น เป็นการทรมานอย่างสาหัส แลความกริ้วของนางกษัตริย์นั้น ดูเหมือนจะเห็นได้ในหน้าของสตรีมีเกียรติทั้งหลายในที่นั้น เสมือนกระจกเงาย่อมส่องฉายแสงแดดฉะนั้น สิ่งที่ทำให้ยิ่งร้ายใหญ่ในคราวนั้น ก็คือดุมซึ่งทิ้งขาวโร่อยู่บนพื้น ดูเหมือนมันนอนส่งเสียงฟ้องอยู่ตลอดเวลาที่ประทับอยู่ในห้องนั้น

ป้าเกตออกจากห้องที่ประทับแลวก็รีบขึ้นบันไดไปห้องของตน ขึ้นเตียงนอนคว่ำร้องไห้ใส่ลงในหมอนช้านาน เพราะจะนึกอะไรเป็นทุกข์ร้ายกาจ (ตามความเห็นป้าเกตเวลานั้น) ยิ่งกว่าถูกกริ้วต่อหน้าท้าวนางเถ้าแก่นั้นไม่มีในโลก

แต่อันที่จริง การถูกกริ้วครั้งนั้น ก็มิได้ร้ายกาจนักหนา เพราะสาวสวยย่อมจะได้เปรียบคนธรรมดา โดยประการที่คนโดยมากย่อมเอ็นดู จนชั้นทหารยาม ซึ่งสวมหมวกขนสัตว์ทรงสูง เหมือนเอาโถเปิดฝาคว่ำครอบศีรษะก็ยิ้มในเวลาที่ป้าเกตเดินผ่านไป แลพวกข้ารับใช้ในราชสำนัก ซึ่งไม่ทำใจดีต่อใคร นอกหน้าที่ ก็เอื้อเฟื้อต่อป้าเกตอย่างพิเศษ ผิดกับปฏิบัติต่อสตรีมีเกียรติชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งทำกิริยากับพวกรับใช้เหมือนหนึ่งพวกนั้นไม่ใช่คน

เมื่อป้าเกตแก่แล้ว ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าบ่อย ๆ ว่า “ความสวยนั้นเป็นสมบัติสำคัญนักนะหลาน ป้าในเวลานั้นเป็นคนสวยมาก แต่หลานคงไม่นึกอย่างนั้นในเวลานี้ ป้าเมื่อยังสาว เป็นที่ต้องตาชายแทบทุกคน ป้าก็รู้ตัวว่าเป็นเช่นนั้นแลดีใจ”

พูดที่จริง นางสาวสมัยวิกตอเรียนั้น ถึงจะมีอาการสงบเสงี่ยมปราศจากกิริยาอวดโอ้โอหัง มีแต่เจียมตัวกลัวเกรงก็จริง ก็ยังเข้าใจความเป็นไประหว่างเพศ ซึ่งยวนกันเองโดยมิต้องทำอะไร แต่ถ้าใครเอ่ยพูดถึงความยวนชนิดนั้นก็คงจะเห็นเป็นของน่าบัดสีที่สุด

ในพวกชายที่ป้าเกตเป็นผู้ต้องตานั้น มีผู้หนึ่งซึ่งมีตำแหน่งเป็นสมภารหรือศาสนาจารย์ประจำพระราชวัง มีที่อยู่ในบริเวณนั้น ภายหลังได้เป็นสังฆราช เพราะกวีนทรงพระราชดำริว่า เป็นหลักสำคัญในศาสนา แลทรงเห็นว่าเทศน์ดีนัก (แต่ป้าเกตเห็นว่าเทศน์อย่างน่าง่วงที่สุด) ตำแหน่งสมภาร หรือศาสนาจารย์ประจำพระราชวังพระเจ้าแผ่นดินนั้น ย่อมเป็นตำแหน่งราชาคณะชั้นสูง แลท่านผู้นั้น (ซึ่งชื่อแคนอนแลงปอต) เป็นผู้ใหญ่อายุ ๔๘ ปี แก่กว่าป้าเกตเกือบ ๓๐ ปี ป้าเกตจึงเห็นเป็นคนชรา หรือถ้าไม่ถึงกับชรา ก็เป็นผู้ใหญ่พอที่ป้าเกตจะไม่ต้องระวังตัวมิให้และเล็มเกี้ยวพานอย่างพวกหนุ่ม ๆ เพราะฉะนั้น เมื่อท่านสมภารหยุดยืนพูดเล่นด้วย เมื่อผ่านกันตามทาง หรือกระซิบพูดขัน ๆ หรือยิ้มด้วยในเวลาที่ป้าเกตเข้าไปอ้อนวอนพระเจ้าอยู่คนเดียวในโบสถ์ของพระราชวัง ป้าเกตก็หาเกิดสงสัยไม่ การเข้าไปอ้อนวอนพระเจ้าในโบสถ์นั้น อาจเป็นด้วยป้าเกตมีความในใจอันเกี่ยวกับการรัก ซึ่งไม่กล้าเอ่ยปากกับใครนอกจากพระเจ้าก็ได้ หรือเป็นด้วยต้องการจะหนีจากคุณท้าวเถ้าแก่ผู้ลิ้นคมก็ได้ ป้าเกตไม่เคยนึกเลยว่า ท่านสมภารผู้สูง ผู้อ้วน ผู้ยิ้มแย้ม ผู้แต่งกายเป็นราชาคณะสวมถุงเท้าแพรยาวดำ ผู้มีอาการเหมือนอยู่นอกฝูงมนุษย์สามัญ จะรักนางกำนัลสาวน้อย ซึ่งเป็นบุตรของข้าราชการผู้น้อยในราชสำนัก แทนที่จะรักกุลสตรีมีบรรดาศักดิ์สูง ซึ่งจะสมกันมากกว่า ยิ่งเมื่อทราบกันอยู่ว่า กุลสตรีเหล่านั้นแต่ละคนชื่นชมนับถือท่านสมภาร ก็ยิ่งน่าเห็นแปลกหนักขึ้น

ป้าเกตเมื่อชราแล้วว่า “ป้าไม่นึกเลยว่า ท่านสมภารจะรักสาวน้อยอย่างป้า แม้เดี๋ยวนี้ถ้ากลับไปนึกดู ก็น่าเห็นขันเหลือเกิน”

ข้าพเจ้านึกว่าท่านสมภารคงจะมีตา ซึ่งรู้จักความงามของหญิง แลความงามนั้น ชายบางคนย่อมเห็นประเสริฐยิ่งกว่าบรรดาศักดิ์ ไม่ว่าชั้นไหนทั้งนั้น ป้าเกตเมื่อยังสาวคงจะเหมือนกุหลาบแย้มอยู่กับต้น ซึ่งงามสดชื่นกว่ามาลาอันเข้าร้อยกรองเป็นพวง คือกุลสตรีสูงศักดิ์ มีอายุพ้นวัยเด็กสาว อันเป็นที่ชื่นตาเหมือนกัน แต่ไปคนละอย่าง ความสาวของป้าเกต ความสนุกง่าย ความสดเหมือนดอกไม้แย้ม สำเนียงสำรวลซึ่งมีมาร่ำไปเหล่านี้ จะเป็นเครื่องชื่นใจชายสูงอายุเช่นท่านสมภาร ซึ่งอยู่มาจนอายุ ๔๘ แล้วยังไม่มีภริยา แลอยู่เป็นโสดในราชสำนักของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งทรงเคร่งในจรรยาแลประเพณีที่ทรงนิยม แลคนทั้งหลายย่อมนิยมตามไปในสมัยนั้น

ท่านสมภารเชิญป้าเกตไปกินนาชา ณ ที่อยู่ของท่านสมภารหลายครั้ง มารดาของท่านสมภาร นั่งปักม่านซึ่งไม่รู้จักแล้วอยู่ในห้องรับแขก แลท่านสมภารก็ให้ป้าเกตดูของต่าง ๆ ที่ได้มาจากอิตาลี แลประเทศน่าสนุกต่าง ๆ ทั้งเล่าเรื่องขัน ๆ เมื่อครั้งท่านเป็นนักเรียนในมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เป็นเรื่องน่าเสียวไส้ในสมัยนั้น (อันเป็นสมัยซึ่งไส้ยังเสียวง่าย) เป็นต้นว่า ท่านสมภารเคยถูกเอ็ด เพราะท่องโคลงตลกภาษาละตินในหอกินข้าว แลเรื่องยั่วกันในพวกนักเรียน ล้วนแต่เป็นเรื่องซึ่งมารดาท่านสมภารเห็นไม่สมที่ผู้ใหญ่มีบรรดาศักดิ์จะมาเล่าให้ผู้น้อยฟัง จนถึงบางทีมารดาท้วงว่า “ ไม่เป็นไรหรือที่นำเรื่องชนิดนี้มาเล่าให้สาว ๆ ฟัง จะไม่ควรกระมัง”

ท่านสมภารตอบว่า “ สาวก็ต้องเป็นสาวน่ะแหละคุณแม่ มิสเกตคงไม่อยากฟังเทศน์เวลากินน้ำชา เพราะต้องฟังหนักกว่าหนัก”

คำที่ท่านสมภารกล่าวนั้นเป็นความจริง ป้าเกตต้องฟังเทศน์วันอาทิตยหนักกว่าหนักจนเบื่อกว่าเบื่อ แต่ป้าเกตเป็นเด็กกิริยาวาจาดี จึงปฏิเสธข้อที่ว่าเบื่อฟังเทศน์ กลับชมว่าชอบฟังด้วยซ้ำ

ป้าเกตบอกข้าพเจ้าในเวลาเล่าว่า “ที่ป้าพูดในเวลานั้นเป็นมุสาวาทสีขาวล้วนทีเดียวหลาน แต่สมัยนั้นเราได้รับอบรมสั่งสอนให้สุภาพทั้งกิริยาแลวาจา ตามที่เรียกกันในปัจจุบันว่า พูดตรงๆนั้น บางทีก็ไม่ใช่อื่น คือความลวนลามหยาบคายนั่นเอง”

ป้าเกตจำได้ว่า บ่ายวันนั้นเวลากลับจากกินน้ำชา ท่านสมภารเดินไปส่ง แลจะเลยไปลงโบสถ์ทำวัตรค่ำ เมื่อจับมือลา ท่านสมภารบีบมือแปลกกว่าที่เคยบีบ แต่ถึงกระนั้น ป้าเกตก็ยังไม่สงสัยว่า ชายผู้ใหญซึ่งมีอายุพอจะเป็นพ่อได้ จะมีความคิดนอกรอยอะไรไป

ป้าเกตนึกในใจว่า “ท่านสมภารนั้นใจดีจริงๆ เรานี้คนทั้งหลายเมตตานัก แลเราเป็นคนอกตัญญูที่สุด ที่เห็นว่า สำนักนี้เป็นสำนักน่าเบื่อนัก เมื่อใคร ๆ ก็ใจดีต่อเราเช่นนี้ เราก็ควรสบายใจ ไม่ควรรู้สึกเบื่อหน่ายอะไรเลย”

บ่ายอีกวันหนึ่ง ป้าเกตไปกินน้ำชากับท่านสมภารอีก เพราะท่านสมภารเขียนหนังสือไปเชิญแลบอกว่ามี “กิจสำคัญ” ที่อยากจะพูดด้วย เมื่อป้าเกตได้รับหนังสือแล้วก็เดาไม่ถูกว่า กิจสำคัญนั้นคืออะไร คิดวิตกไปว่า อาจมีท่านพวกสตรีมีเกียรติชั้นผู้ใหญ่ฟ้องท่านสมภารถึงเรื่องเล่นซนอะไรสักอย่างหนึ่งของป้าเกต ท่านสมภารอาจได้รับมอบให้เทศน์สั่งสอนในเรื่องความประพฤติของสาวที่เป็นกุลสตรี

คืนก่อนนั้นเอง คุณท้าวหัวหน้าพระภูษา (ซึ่งเป็นสตรีบรรดาศักดิ์ มีตำแหน่งราชการสูงอยู่ในราชสำนัก) จับป้าเกตซนได้ ในเวลาที่ป้าเกตกับเพื่อนสาว ๆ อีกสองคนกำลังเอาหมอนตีกันตลุมบอน ป้าเกตอวดว่าต่อสู้ได้ตำแหน่งเบี้ยบนจะชนะสงครามอยู่แล้ว ก็พอคุณท้าวออกมาพบเข้า คุณท้าวเตรียมจะเข้านอนอยู่แล้ว ได้ยินเสียงการรบ ก็ออกจากห้องมา ทั้งที่ผมได้ม้วนกระดาษแล้ว (ม้วนกระดาษเป็นวิธีดัดผม) ป้าเกตเล่าว่า รูปร่างท่าทางคุณท้าวเวลานั้นทุเรศเหลือเกิน ยิ่งสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ ก็ยิ่งทุเรศหนักขึ้น

คุณท้าวเสียงเขียวออกมาว่า “เหลือทนเหลือทานแล้ว ความเสงี่ยมของพวกหล่อนไม่มีเลยเจียวหรือ เหตุไรจึงบังอาจทำเช่นนี้ ไม่มีความเกรงกลัวเลย จะต้องกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ”

เมื่อถูกขู่เช่นนี้ เลดีมาเยอรี นางกำนัลสาวคนหนึ่งก็ร้องไห้โฮขึ้น ประเดี๋ยวก็สะอื้น ประเดี๋ยวก็กลับโฮ อ้อนวอนคุณท้าวไม่ให้กราบทูล ป้าเกตเล่าว่า “ยายตัวร้าย” นั่นก็ยังไม่มีคลายสาวทั้ง ๓ คนนึกว่ารุ่งเช้าคงจะถูกกริ้วใหญ่ แต่ “ยายตัวร้าย” นั้นแกคงไม่ร้ายอย่างว่า เพราะแกหาได้ทูลฟ้องไม่ แต่ถึงกระนั้นป้าเกตก็นึกว่า แกคงไปเล่าให้ท่านสมภารฟังท่านสมภารจึงมี “กิจสำคัญ” ที่จะพูดกับป้าเกต กิจสำคัญก็คือจะเทศน์นั่นเอง

บ่ายวันนั้นป้าเกตจำได้ว่า เป็นบ่ายสำคัญในประวัติของป้าเกต เป็นวันร้อนอ้าววันหนึ่งในเดือนกรกฎาคม แดดแข็งส่องลงบนที่ลาดบนป้อมพระราชวัง ทำให้ความร้อนกระท้อนไปไกล แลที่บังกำแพงก็เป็นเงาลึก ภายในตึกก็ดูอากาศหนักไปด้วยความวิตกของคน เพราะกวีนมีเรื่องกริ้ว แลเมื่อกวีนกริ้ว คนทั้งหลายในราชสำนักก็สั่นกันไปหมด คนที่ไม่โกรธง่าย ก็โกรธง่าย แลยอนเบราน์ซึ่งเป็นคนบุ่มบ่ามก็พูดทลึ่งตึงตังแก่สตรีผู้ดี แลใคร ๆ ที่เข้าไปใกล้ แม้แขกอินเดียที่ไปรับราชการอยู่ในราชสำนัก ซึ่งภาคภูมิราวกับเจ้า ก็เดินย่อง ๆ แลดูท่าทางเหมือนไม่สบายใจเลย

วันนั้น มีคนไป ๆ มา ๆ เข้าเฝ้าแลออกจากเฝ้าติดต่อกันเรื่อย เป็นต้นว่านายพันเอกรอเบิตซ์ (ภายหลังเป็นจอมพล ลอร์ด รอเบิตซ์) ซึ่งกลับมาจากราชการรบในประเทศอบิสซิเนียได้ชื่อเสียงมาก ท่านผู้นี้เข้าเฝ้าแล้วเดินมาทางระเบียง เสียงสะเปอร์กริ๋ง ๆ ลูกตามีแสงความชื่นบาน แสดงว่าได้คำทรงชมเชยมาใหม่ ๆ ต่อนั้นมิสเตอร์แกลตสโตนเข้าเฝ้า บางทีท่านผู้นี้เอง จะเป็นเหตุให้พระทัยกวีนหงุดหงิดเพราะแกลตสโตนเป็นผู้ทำให้ดิสเรลี (ลอร์ดเบคอน ฟิลด์) ตกจากแท่นอรรคมหาเสนาบดี แลดิสเรลีเป็นคนโปรด พอแกลตสโตนเดินผ่านไป คุณท้าวหัวหน้าพระภูษาก็กระซิบว่า “นั่นแน่ะชายร้ายคนนั้น” แต่แกลดสโตนก็เดินทำสง่าเหมือนแม้กวีนวิกตอเรียก็ไม่ทำให้แกลตสโตนเห็นผิดในราชการบ้านเมืองเช่นดิสเรลีได้ คนทั้งหลายในราชสำนักเห็นแกลดสโตนเป็นตัวเรดิกัลอย่างฉกาจ คือผู้มุ่งหมายจะเปลี่ยนแปลงการบ้านเมืองให้ถึงรากเง่า ต้องการจะทำให้รัฐธรรมนูญล่มจมลงไป โดยประการที่เปิดช่องทางให้ดิโมคระซี (รัฐบาลราษฎรโดยตรงหรือโดยเลือกตั้งผู้แทน) เข้าเพ่นพ่านเหมือนมังกรตัวร้าย แกสตสโตนไปเฝ้าที่พระราชวังวินด์เซอร์คราวใด ก็ทำให้กวีนมีพระอารมณป่วนปั่นแทบจะทุกครั้ง

แต่บางทีจะไม่ใช่แกลตสโตนที่ทำให้พระหทัยหงุดหงิด ในวันนั้น อาจเป็นด้วยพระยุพราช (ภายหลังคือพระเจ้าเอ็ดวาดที่ ๘) ก็เป็นได้ ป้าเกตเคยเล่าเรื่องซนของพระเจ้าเอ็ดวาด. (เมื่อเป็นพระยุพราช) หลายเรื่อง แต่ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าเรื่องไหน ที่อาจขุ่นพระหทัยพระราชมารดา ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๑๘๖๘ เข้าใจว่าจะเป็นเรื่องนางงามที่ไหนคนหนึ่ง หรือเรื่องแข่งม้า (ทั้งสองเรื่องเป็นเหตุให้กวีนทรงพระพิโรธอยู่บ่อย ๆ) ป้าเกตเล่าว่า บ่ายวันนั้น พระยุพราชมีพระพักตร์ไม่สู้ทรงสบาย ในเรื่องที่มีพระราชดำรัสให้หา แลเผอิญป้าเกตขึ้นอยู่ที่เฉลียง ซึ่งพระยุพราชทรงยืนคอยอยู่หน้าประตูห้องเฝ้า คอยให้แกลตสโตนออกแล้วจะได้เข้าเฝ้าต่อ ป้าเกตเล่าว่า พระยุพราชทรงใช้ผ้าเช็ดพระพักตร์ซับพระเสโท มีอาการเหมือนเด็กนักเรียนที่อาจารย์ใหญ่เรียกเข้ามาจะเอ็ดแลลงโทษ แต่เวลานั้น พระชนมพรรษาพระยุพราชเกือบ ๓๐ แล้ว ไม่ใช่เด็กนักเรียนเลย

ครั้นทรงเหลียวเห็น ป้าเกตก็ถวายคำนับ ทรงยิ้มแล้วตรัสว่า “ฮัลโล เกต ฉันอยากรู้สึกเย็นแลสดอย่างเกตบ้าง”

ป้าเกตทูลว่า “วันนี้ร้อนมาก”

ตรัสตอบว่า “ร้อนราวกับนรก แล้วอีกประเดี๋ยวก็จะร้อนยิ่งขึ้นไปอีก (ตรัสดังนั้นแล้วทรงพยักไปทางประตูห้องเฝ้า)

“ฉันกำลังจะถูกเอ็ด เกต วันนี้เห็นจะโดนใหญ่ ลูกชายสุรุ่ยสุร่ายต้องโดนเช่นนี้ ตามที่ท่านเขียนไว้ในนิทาน”

ป้าเกตขึ้นต้นหัวเราะ แล้วชักผ้าปิดปากไว้ดูขันเหลือเกิน ที่คนผู้ใหญ่อายุเกือบ ๓๐ ปี เป็นพระยุพราชของประเทศใหญ่ แต่ยังกลัวพระราชมารดาเหมือนบุตรเล็ก ๆ แลเหมือนคนอื่นทั่ว ๆ ไปในประเทศ พระยุพราชเอานิ้วพระหัตถ์ปิดที่พระโอษฐ์ เป็นที่หมายให้ป้าเกตหยุดหัวเราะ เพราะขณะนั้น ประตูห้องเฝ้าเปิด แลแกลตสโตนเดินออกมาทำท่าทางสลักสำคัญจนป้าเกตเกือบหัวเราะอีก พระยุพราชตรัสทักแกลตสโตนแล้วก็เสด็จเข้าเฝ้า

ป้าเกตกล่าวว่า “วันนั้นเป็นวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ป้าจำได้ทุกอย่างราวกับเมื่อวานนี้เอง เพราะวันนั้นเป็นวันที่ท่านสมภารชวนแต่งงาน”

เมื่อป้าเกตชราแล้ว ป้าเกตหัวเราะว่า เรื่องนั้นเป็นเรื่องขัน แต่ในวันนั้น (เมื่ออายุเพียง ๑๘ ปี) เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตเหลือที่จะต้านทานได้ เมื่อเวลาที่ยังกินน้ำชาอยู่นั้น ป้าเกตอุตส่าห์ประชุมความกล้าทั้งหมดที่มีในใจแล้วเอ่ยถามถึง “กิจสำคัญ” ที่ท่านสมภารต้องการพูดด้วย แต่ท่านสมภารก็ตอบเลี่ยง ๆ ไว้ก่อน ครั้นกินน้ำชาแล้ว มารดาท่านสมภารบอกว่าจะไปเอาม่านที่กำลังปักค้าง แล้วออกจากห้องไป ท่านสมภารก็เสือกถ้วยน้ำชาของท่านสมภารไปให้ห่าง แล้วลุกขึ้นยืนหันหลังไปทางเตาผิงไฟ มีท่าทางเป็นสง่าผ่าเผย ตาดูป้าเกตซึ่งกินขนมกำลังอร่อย

ท่านสมภารว่า “มิสเกตที่รัก ฉันกำลังจะเสนอความต่อหล่อนข้อหนึ่ง ซึ่งคงจะทำความตื่นตกใจให้เกิดแก่ดรุณีเช่นหล่อน หล่อนยังเป็นสาวเด็กอยู่มาก แลฉันเดี๋ยวนี้ไม่หนุ่มเหมือนที่อยากจะหนุ่ม แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยู่ในวัยกลาง...”

ป้าเกตเล่าตอนนี้ ทำเสียงเลียนท่านสมภาร คล้ายสำเนียงพระเทศน์ แม้ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินท่านสมภารพูดเพราะเกิดไม่ทัน ก็นึกว่าคงจะคล้ายเสียงพระราชาคณะพูดในสมัยนั้น

ท่านสมภาร “แต่ถึงแม้อายุจะผิดกันมาก บางทีหล่อนจะเห็นประโยชน์ในการที่ได้เขยิบฐานะสูงขึ้นไปกว่าฐานะในสกุลของหล่อนเอง แลจะทราบได้ว่ามีผู้รักหล่อนอย่างเที่ยงแท้ มีความพะวงแต่ที่จะให้ความสุขแก่หล่อน จะพูดสั้น ๆ ก็คือว่า ถ้าหล่อนยอมเป็นภริยาฉัน ฉันจะเป็นคนมีความสุขมาก ฉันรักหล่อนจริง ๆ แม่เกตน้อย เพราะความงามกาย งามจริต และจรรยาอันเสงี่ยมของหล่อน เป็นเครื่องเจริญใจฉันยิ่งนัก”

ท่านสมภารเดินไปข้างเก้าอี้ที่ป้าเกตนั่ง คุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วจับมือซ้ายป้าเกตยกขึ้นจูบ เมื่อจูบมือซ้ายแล้วก็คงจะจูบมือขวาอีกข้างหนึ่ง แต่ขัดข้องเพราะป้าเกตถือขนมอยู่ในมือนั้น แลเมื่อตกใจก็บีบขนมจนครีมแตกออกมาเปื้อนมือหมด

ป้าเกตตกใจแลประหลาดใจยิ่งกว่าที่เคยก่อนหรือหลังวันนั้น สีแดงก็วิ่งขึ้นไปถึงแก้มแลวิ่งกลับหายไปหมดจนหน้าขาวซีด เกิดมีอาการตกประหม่า แลครีมที่เปื้อนมือนั้น ก็ยิ่งทำให้น้ำใจป่วนปั่นยิ่งขึ้น เพราะแม้ในเวลาสำคัญถึงเช่นนั้นแล้ว ยังอุตส่าห์เห็นน่าขันที่สุด ที่มือแม่สาวมือหนึ่งเปื้อนขนมที่กัดแหว่ง แลอีกมือหนึ่งที่มีท่านสมภารผู้มีเกียรติและมีขนาดกายอันเขื่อง คุกเข่าถือไว้ในขณะที่ชวนแลเชิญให้รับตำแหน่งสำคัญในชีวิตของท่านสมภาร ซึ่งถ้าป้าเกตยอมรับก็จะสำคัญในชีวิตของป้าเกตด้วย ป้าเกตนึกเช่นนี้แล้ว อุตส่าห์แอบเช็ดมือด้วยผ้าเช็ดหน้าเล็กแลปากก็พูดตะกุกตะกักออกมาได้สองสามคำ

“ท่านเจ้าคะ ท่าน-ท่าน-ท่านให้เกียรติแก่ดิฉันเหลือเกิน ท่าน ท่าน-ท่านเมตตาเหลือเกิน”

ป้าเกตเล่าภายหลังว่า ในเวลานั้นเห็นเป็นเกียรติใหญ่โตแลเห็นเป็นเมตตาใหญ่โตจริง ๆ ป้าเกตไม่ได้รักท่านสมภารจนนิดเดียว แต่จะพูดตอบปัดอย่างมะนาวไม่มีน้ำ ก็ไม่ได้ เพราะรู้สึกตัวว่าเป็นเด็กนิดเดียว จะขัดความประสงค์ของผู้ใหญ่ผู้มีบรรดาศักดิ์ ซึ่งได้ให้เกียรติถึงเช่นนั้นหาได้ไม่ ส่วนในใจนั้น นึกจะไม่ยอม แต่จะว่าไม่ยอมออกมา ก็ยังพูดไม่ออก จนมีอำนาจใหญ่โตมาบังคับอีกชั้นหนึ่งในบัดนั้น

ท่านสมภารกล่าวว่า “กวีนก็เห็นชอบแล้ว ที่เราจะแต่งงานกัน ฉันได้พูดกับบิดาที่นับถือของหล่อนแล้ว แลฉันเข้าใจว่า บิดาของหล่อนก็ยินดี แลเห็นเป็นเกียรติอันงาม”

สิ่งใดที่กวีนวิกตอเรียทรงเห็นชอบแล้ว สิ่งนั้นจำต้องเป็นไปไม่มีผู้ใดจะขัดได้ (เว้นแต่มิสเตอร์แกสตสโตน) จึงเป็นอันว่า ป้าเกตไม่มีทางจะหลีกเลี่ยงได้ แต่ถ้าจะพูดที่จริงป้าเกตก็มิได้คิดจะหลีกเลี่ยงในเวลานั้น อย่างเดียวกับกระต่ายไม่ได้คิดจะหนีจากงูเหลือม ซึ่งประชันหน้าแลทำให้มันตัวสั่น เหมือนถูกมัดอยู่ด้วยสายตางู ที่กล่าวดังนี้ มิได้หมายความว่า ท่านสมภารมีลักษณะเป็นงู ที่แท้ท่านกรุณาแลอ่อนโยนที่สุด เมื่อท่านสมภารพูดดังนั้นแล้ว ก็ลุกขึ้นจากคุกเข่าก้มจูบป้าเกตที่คอ หลังหูขวาแล้วว่า “ที่รักของฉัน เกตน้อยที่รักอันหวานของฉัน น่าพิศวงนักที่ฉันจะได้หล่อนเป็นเมียของฉันเองแท้ ๆ เป็นแม่ยะนางอันงามของวินด์เซอร์ เป็นกุหลาบน่ารักที่สุดในประเทศอังกฤษ”

หัวป้าเกตไปอิงอยู่ที่เสื้อกั๊กแพรของท่านสมภาร แลป้าเกตก็ร้องไห้ขึ้นในทันใด ไม่ใช่ร้องเพราะเศร้า ร้องเพราะมีความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง แลมารดาของท่านสมภาร ซึ่งถือม่านปักกลับเข้ามาในห้อง ก็มาพบบุตรกับป้าเกตอยู่ในท่านั้น

บ่ายวันนั้น ระหว่างน้ำชากับข้าวเย็น ป้าเกตแทบจะไม่มีเวลารู้ตัวแน่ว่าได้มีการใหญ่เกิดแก่ตน หรือมีเวลาจะร้องทักท้วง เหตุที่เป็นไปเร็วจนแทบไม่ทันหายใจ (ถ้ารู้ใจตัวเองพอที่จะทำเช่นนั้นได้) ท่านสมภารก็กระจายข่าวไปแก่สตรีบรรดาศักดิ์ในราชสำนัก ๒ คน แลแจ้งให้เลดีอิลี หัวหน้าพระภูษา (ซึ่งอยู่เวรปฏิบัติกวีน) ทราบด้วย ข่าวชนิดนี้เดินเร็วในราชสำนัก แลเพียงเวลาข้าวกลางวันรุ่งขึ้น ก็รู้กันแทบจะทั่วไปหมด แลป้าเกตได้รับพรแลรับยิ้มพยักจากสตรีบรรดาศักดิ์ใหญ่น้อย ซึ่งแต่ก่อนแทบจะไม่แสดงกิริยาว่ามีป้าเกตในราชสำนัก แม้พวกข้าราชการชั้นบ่าวก็ยังว่า “อำนวยพร ขอรับ มิสเกต” อย่างเคารพแลด้วยไมตรีอันดี และเมื่อยอนเบราน์แสดงความยินดีด้วย ก็แทบจะกล่าวได้ว่า การหมั้นนั้นเสมอกับได้ประทับพระราชลัญจกรทีเดียว ป้าเกตสวนกับยอนเบราน์ตามทางในพระราชวัง ยอนเบราน์กำลังจูงม้าจะไปคอยรับเสด็จเที่ยวประพาส ครั้นพบป้าเกตก็หยุด

ยอนเบราน์ “เขาบอกผมว่าคุณจะแต่งงานกับท่านสมภาร ผมยินดีมาก ผมนับถือท่านสมภารว่าเป็นผู้มั่นคงเลื่อมใสในพระเจ้า แต่มีความเห็นของท่านบางอย่างในทางสอนของศาสนา ซึ่งผมไม่เห็นด้วย ท่านสมภารเป็นคนกล้ามาก ที่จะแต่งงานกับเด็กสาว ๆ อย่างคุณ เพราะสาวน้อยๆ ย่อมจะชอบเฮฮาตามประสาเด็ก แต่ท่านสมภารก็คงสอนให้คุณรู้จักยำเกรงพระเจ้า ไม่มัวแต่สนุกคนองอยู่อย่างเดียว ผมขอให้คุณมีความสุขต่อไป แลผมจะกระซิบหูกวีนวันนี้”

ป้าเกตว่า “ขอบใจมาก มิสเตอร์เบราน์” แต่ในใจอยากให้ยอนเบราน์กำลังว่ายอยู่ในกระทะน้ำมันเดือด เพราะทำเสียงเป็นเจ้าเข้าเจ้าของราวกับสังฆราช ตานั่นเป็นเพียงคนจูงม้า แต่ได้เข้าใกล้พระองค์ มีโอกาสเพ็ดทูล แลกวีนทรงเชื่อ คนทั้งหลายในราชสำนักจึงครั่นคร้ามทั่วไป

บ่ายวันนั้น ยอนเบราน์คงจะได้ทูลกวีนจริง ๆ เพราะบ่ายรุ่งขึ้นเลดีมาเยอรีนางกำนัลสาวอีกคนหนึ่งวิ่งเข้าไปในห้องป้าเกต ฉุดมือให้ออกจากห้อง หัวเราะพลางบอกว่า “มาเร็ว ๆ เกต กวีนรับสั่งให้หา วิ่งจี๋เทียว”

ป้าเกตเหลียวดูกระจกว่า ผมยุ่งหรือเปล่า มือป้ายผม เช็ดน้ำตาที่กำลังหล่อหน่วยอยู่ก่อนเลดีมาเยอรีวิ่งเข้าไปฉุด เมื่อป้าเกตอยู่ในห้องคนเดียวนั้น กำลังเศร้าใจในเรื่องหมั้นกับท่านอาจารย์ผู้ทรงคุณและทรงเกียรติ นึกไม่เห็นว่าเมื่ออยู่กับชายที่ต่างวัยและเป็นมนุษย์ต่างชนิดกันถึงเพียงนั้น จะมีความสุขกระไรได้ จะทำอย่างไรจึงจะทำตัวให้สมกับเป็นเมียท่านสมภาร ซึ่งเปี่ยมไปด้วยธรรมจริยา และซึ่งมีอายุเกินจะเป็นพ่อ นึกถึงเสื้อกั๊กแพรดำถุงเท้ายาวแพรดำก็เบื่อเต็มทน แต่คิดแล้วเหมือนหนูติดกับ มิรู้จะดิ้นรนให้หลุดอย่างไรได้

เลดีมาเยอรี “แน่ะ เกต ดูแถบที่โผล่ออกมานอกเสื้อนี่แน่ะ ถ้าทอดพระเนตรเห็นเขาหละก็ทรงบัดสีแย่”

ป้าเกตรีบยัดแถบเข้าไปในเสื้อ แลลูบส่ายขาวให้หายย่นไปบ้าง แล้วเลดีมาเยอรีก็จูงฉุดรีบไปตามระเบียง หัวใจป้าเกตเต้นเฝือกที่รัดตัวในเสื้อเหมือนค้อนตีเหล็ก เต้นยิ่งกว่าเคยเต้นในคราวที่เข้าไปในห้องประทับตามปกติ

กวีนกำลังประทับฟังเลดีอิลีอ่านหนังสือพิมพ์ “ไตมส์” ถวาย เลดีอิลีนั่งม้าเล็กใกล้พระเก้าอี้ ป้าเกตเข้าประตูไปแล้วก็ถวายคำนับครั้งหนึ่ง แล้วยืนคอย ป้าเกตเข้าไปใกล้เช่นนั้นแล้วก็เหมือนไม่ได้เข้าไป ไม่มีใครเหลียวแลดูเลย เลดีอิลีก็อ่านแลกวีนก็ฟังเรื่อยไป

กวีนทรงฟังตลอดแล้วก็ตรัสว่า “น่าขันเหลือเกิน สำนวนก้าวร้าวที่สุด เสรีของหนังสือพิมพ์เดี๋ยวนี้เกินเขตจรรยามารยาทและสัมมาคารวะทั้งนั้น ช่วยอ่านซ้ำข้างท้ายอีกที”

เลดีอิลีอ่านซ้ำด้วยสำเนียงแสดงรังเกียจถ้อยคำที่อ่าน แต่ป้าเกตจำไม่ได้เลยว่าหนังสือ “ไตมส์” เขียนก้าวร้าวเรื่องอะไรในวันนั้น เพราะไม่ได้ฟังเลย มัวแต่นึกว่ากวีนจะทรงได้ยินเสียงค้อนเหล็กที่ตีหัวใจป้าเกตจนกระแทกเฝือกนั้นหรือไม่ ป้าเกตแอบชำเลืองดูนางกษัตริย์เกียรติหนักศักดิ์ใหญ่ ซึ่งพระกายเล็กนิดเดียว ประทับอยู่ในพระเก้าอี้หลังสูงซื่อ พระหัตถหนึ่งเท้าใต้พระหนุ พระเศียรทรงแก๊ปแม่หม้าย ซึ่งขลิบด้วยลูกไม้ขาว แลทรงเครื่องแพรดำทั้งพระองค์ (กวีนวิกตอเรียเสียราชสามีก็ทรงพระภูษาอย่างแม่หม้ายตลอดพระชนมายุ) ในเวลานั้นกวีนก็อยู่ในวัยกลางคนแล้ว และเริ่มทรงอ้วน แต่งพระองค์อย่างเกลี้ยง ๆ แต่มีสง่าให้เห็นความเป็นใหญ่ ซึ่งทำให้คนทั้งหลายยำเกรงพระเดชานุภาพ แม้ผู้มีศักดิ์สูงสุดในประเทศก็มีมิน้อยเลย

อีกครูหนึ่งประมาณ ๕ นาที แต่ป้าเกตดูเหมือนตั้งชั่วโมง กวีนก็ทรงเหลียวดูป้าเกตทรงยิ้มแล้วกวักพระหัตถ์เรียก

กวีน “มานี่หนู”

ป้าเกตถวายคำนับอีกครั้งหนึ่ง แล้วขยับเข้าไปใกล้พระเก้าอี้

ตรัสว่า “หมั้นกับแคนอนแลงปอตแล้วหรือ เกต เป็นเกียรติอย่างสูงของเกตน๊ะ จงประพฤติตัวให้สมกับชายดีควรเป็นที่นับถือเช่นนั้น”

ป้าเกตปากสั่นพูดไม่ออก เป็นแต่ถวายคำนับ

ทรงยิ้มแล้วตรัสว่า “ยังเด็กมาก แต่ว่าแต่งงานแต่ยังสาวดีกว่า บอกแคนอนน๊ะว่า กวีนทรงยินดีที่เลือกคู่ได้ดี แลจะเสด็จไปในพิธีแต่งงานด้วย ต้องแต่งในโบสถ์หลวง”

ป้าเกตทูลว่ากระไรก็ไม่มีใครได้ยิน แม้คำที่พูดจะถึงพระกรรณมีเพียงแต่ “พระกรุณา...” คำนอกนั้นดูเหมือนเสื้อจะดูดเอาไว้เสียหมด

ตรัสว่า “ไปได้เกต”

ป้าเกตถอยหลังออกจากที่เฝ้า รู้สึกขาเพลียแทบจะล้ม (แต่ขานั้นในสมัยกวีนวิกตอเรียพูดถึงไม่ได้ เป็นของน่าบัดสีนัก) ยังไม่ทันออกมาพ้นประตูห้อง เลดีอิลีก็อ่านหนังสือถวายต่อไป

แน่แล้ว ทีนี้เหมือนหนูติดกับแน่ กวีนจะเสด็จในพิธีแต่งงาน แลพิธีที่กวีนจะเสด็จนั้น อย่าว่าแต่จะเลิก แม้จะเลื่อนไปนานก็ไม่ได้ และการแต่งงานในโบสถ์หลวงจะหลีกเลี่ยงได้อย่างไร ป้าเกตจะเป็นสัตว์เลี้ยงของสมภารไปชั่วกาลปาวสาน จะสนุกเฮฮาก็ไม่ได้ จะหัวเราะก๊าก ๆ ก็ไม่ได้ จะเอาหมอนตีกับใครก็ไม่ได้ จะแอบอ่านหนังสือซนในที่นอนก็ไม่ได้ แม้จะฝันตื่น ๆ ถึงชายหนุ่มน่ารัก ซึ่งป้าเกตรู้ว่าคงจะมีคอยอยู่ที่ไหนในโลกกว้างก็ไม่ได้ บุพเพสันนิวาสแลคำยาว ๆ เหล่านั้นจะไม่มีความหมายเสียแล้ว

แต่คำเช่นบุพเพสันนิวาสนั้น อาจไม่ใช่คำซึ่งมีไว้สำหรับพูดเล่นเหลว ๆ อาจมีความหมายบ้างก็เป็นได้ คำพูดที่ว่าเทวดาบันดาลก็เช่นกัน แต่เทวดานั้น บางทีก็บันดาลช้าไป หรือบันดาลพลาด ๆ ด้วยประการอื่น ในส่วนป้าเกตตอนนี้ น่าจะเห็นว่า เทวดาบันดาลผิดเวลา เพราะเมื่อได้ตกลงกันแน่นอน จนป้าเกตเริ่มทำเสื้อผ้าสำหรับวันแต่งงานแล้ว จึงมีชายหนุ่มน่ารักให้ป้าเกตเห็น ป้าเกตรู้ทันทีว่าชายที่เคยนึกเคยฝันถึง แต่ไม่เคยพบนั้นคือคนนี้เอง

ชายนั้นชื่อนายร้อยโทวิลเลียมแอนซัน เป็นนายทหารอยู่ในกองเกรนาเดียรักษาพระองค์ ซึ่งเพิ่งมาเข้าเวรประจำการอยู่ที่พระราชวัง วิลเลียมแอนซันเป็นหนุ่มมีหนวด ๒ ข้างแก้มอย่างสวยประหลาด มีสีเหมือนแววทอง ตาสีน้ำเงินอ่อนซึ่งอมความยิ้มอย่างหนุ่มแลอย่างน่ารักไว้เสมอ แลเมื่อเห็นป้าเกตหัวใจซึ่งอยู่ใต้เสื้อทหารตื่นเต้นจนเลือดขึ้นตามผิวอันละเอียด

กองทหารเกรนาเดียรักษาพระองค์มาเปลี่ยนเวรกองทหารสก๊อตรักษาพระองค์ รักษาราชการที่พระราชวัง แลได้เปลี่ยนกันเมื่อป้าเกตหมั้นแล้วไม่ถึงเดือน คราวแรกที่ป้าเกตพบวิลเลียม ก็คือเมื่อวิลเลียมไปกินน้ำชากับท่านสมภารซึ่งเผอิญเป็นลุง พอป้าเกตเห็นก็รู้ทันทีว่า ชายคนนี้เองที่เป็นคนรักของป้าเกตในฝัน ป้าเกตหน้าซีดไปครู่หนึ่ง แลจวนจะเป็นลมเสียให้ได้ ป้าเกตเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเรื่องเป็นลมนี้ภายหลังมาสัก ๓๐ ปี แลเมื่อข้าพเจ้าถามว่าเป็นด้วยรัดเฝือกแน่นเกินไปกระมัง ป้าเกตก็ไม่ชี้แจงแก้ข้อหาเลย

ป้าเกต “ดูวิลเลียมกันนั้นน่ารักน่าบูชาเหลือเกิน สวมเสื้อแดง หมวกขนสัตว์วางบนแขนซ้าย มือถือด้ามดาบซึ่งอีกประเดี๋ยวก็ปลดออกวางบนหิ้งเหนือเตาไฟ ราวกับซ่อมปิ้งขนมปัง”

หนุ่มสาวประสบตากันชั่วสองสามอึดใจ ป้าเกตก็หลบตา แต่ได้เห็นเลือดขึ้นหน้านายทหารหนุ่ม แลเห็นแสงทองที่มีเรื่อ ๆ ในหนวดที่แก้มแลเห็นได้ในดวงตาว่า เขาก็รู้ตัวทันทีว่ามาพบรักแท้จริงเข้าแล้ว ดังซึ่งป้าเกตก็รู้เหมือนกัน

ท่านสมภาร “ นี่แน่ะ เกต วิลเลียม แอนซัน หลานฉัน เราจะได้วิลเลียมมาที่นี่บ่อย ๆ เพราะกองทหารของวิลเลียมกลับมารักษาราชการพระราชวังนี้อีก รินน้ำชาจะดีกระมัง เกต คุณแม่ของฉันคงไม่รังเกียจให้เกตทำแทนในเวลาที่ไม่อยู่ แลฉันชอบดูเกตทำหน้าที่อันนี้เตรียมตัวไว้”

ท่านสมภารพูดเช่นนั้นแล้วก็หัวเราะ แลตบหลังมือป้าเกตอย่างสัพยอก

ป้าเกตได้ความลำบากในการรินน้ำชาต่อหน้านายทหารหนุ่ม เพราะประหม่าจนมือสั่น เลยทำน้ำชาหกรดสร่ายขาว แล้วก็เลยประหม่าใหญ่ เพราะวิลเลียมตรงเข้าคุกเข่า ทั้งที่กางเกงในสมัยนั้นตัดขาลีบจนตึง ชักผ้าเช็ดหน้าออกจากแขนเสื้อแขนซ้ายซับน้ำที่สร่าย ปากบอกว่า “ขออนุญาต ขออนุญาตช่วย โปรดอนุญาต”

ป้าเกต “ ไม่เป็นไรดอกคุณ อย่าเลย อย่าลำบากเลย”

มือป้าเกตกระทบกับมือวิลเลียมชั่วอึดใจเดียว แต่ดูเหมือนไฟฟ้าวิ่งวาบไปทั่วตัว เหมือนสายมีกระแสไฟอย่างแรงเข้าใกล้กันก็เป็นประกาย ป้าเกตรู้ว่าวิลเลียมก็รู้สึกเหมือนที่ป้าเกตรู้สึก เพราะเห็นสีหน้าซีดลงไปชั่วขณะ แลลุกขึ้นยืนทันที

ท่านสมภารว่า “เป็นด้วยกา เป็นด้วยกาแน่ พวยกาคงจะบกพร่องอะไรสักอย่างหนึ่ง เมื่อวานนี้น้ำก็หกรดคุณแม่เหมือนอย่างนี้ สร่ายสวยของเกตเสียไปแล้ว น่ารำคาญจริง”

ต่อนั้นไปสมภารเล่าถึงไปอิตาลี ซึ่งปรากฏตามความยาวที่เล่าว่าได้เที่ยวมาก ป้าเกตไม่ต้องว่ากระไรเลย เป็นแต่นั่งนิ่งฟัง แลยิ้มให้ถูกที่เท่านั้น แลวิลเลียม แอนซัน ก็เพียงคอยว่า แม้อย่างนั้นเทียวหรือขอรับ น่าสนุกจริง น่าเที่ยวเหลือเกิน ! ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

ป้าเกตแลพบตาวิลเลียมสองสามครั้ง ทุกทีเห็นลูกตาเหมือนต้องการจะกลืน แลป้าเกตเองก็ต้องเพียรซ่อนความลับที่เกิดรักขึ้นมาทันทีทันใด แลแม้ในใจตัวเองก็เพียรจะปิด ดูเหมือนกลัวตัวเองจะรู้ความลับของตน ดูเป็นทุกข์ทรมานอย่างสาหัส นึกเห็นเป็นบาปเหลือเกินที่ใจเป็นเช่นนั้น เพราะได้หมั้นแล้วกับชายจวนชรา ผู้เป็นลุงของชายหนุ่มนั้นเอง และเป็นผู้อันบุคคลพึงนับถือ มิหนำซ้ำจะแต่งงานเฉพาะพระพักตร์กวีนในเร็ว ๆ นั้นด้วย

แต่โชคหรือกรรมหรือเรียกว่ากระไรก็ตาม มักจะเดินแปลก ๆ บางทีก็ชักใยหัวใจมนุษย์ให้เป็นไปในทางที่รู้ว่าไม่ถูกแต่อยากทำ บางทีก็ให้โอกาสให้ประกอบเป็นบาป แลเฉพาะป้าเกตกับชายหนุ่มคนนั้น เผอิญพบกันร่ำไปในสองสามวันนั้น เป็นต้นว่า เมื่อวิลเลียมมาเปลี่ยนทหารยาม ก็เผอิญป้าเกตเดินผ่านไปกันพอดี แลธรรมดาคนรู้สึกและจะเป็นญาติเกี่ยวดองกัน เมื่อพบกันเข้าก็ต้องทักทายปราศรัย แต่วิลเลียมมักจะเดินพูดเคียงไปกับป้าเกต ต้องก้มตัวสูง ๖ ฟุต ซึ่งมีหมวกขนสัตว์สูงลงไปพูดกับป้าเกต ซึ่งสูงเพียง ๕ ฟุต ๔ นิ้ว แลสวมหมวกรูปหีบใส่ถ่านซึ่งเตี้ยนิดเดียวเท่านั้น

ป้าเกตพูดด้วยสำเนียงพูดเล่น เพื่อจะซ่อนความไว้ในใจ “ท่านคงจะเห็นพระราชวังนี้ง่วงเต็มทีกระมัง”

“มิได้ ไม่ง่วงเลย ดูเป็นที่ยวนใจยิ่งนัก คุณไม่เห็นอย่างนั้นหรือ”

“ท่านควรจะชอบลอนดอนมากกว่าที่นี่ ในลอนดอนมีหญิงงามมาก แลพวกหญิงคงจะช่วยกันจูงใจพวกนายทหารในกองเกรนาเดียรักษาพระนคร”

วิลเลียมหน้าแดง ยกมือขึ้นลูบหนวดทองเรื่อที่แก้ม “คุณล้อผมเสียแล้ว ความจริง ผมไม่ใส่ใจกับพวกหญิงงามในลอนดอนเลย”

ป้าเกต “ใจแข็งจริงมิสเตอร์แอนซัน”

ป้าเกตบอกข้าพเจ้าภายหลังว่า เป็นแต่เพียงพูดยั่วเล่น แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าไปข้างยวนมากกว่ายั่ว และที่ยวนเช่นนั้น ก็เป็นภัยแก่ตัวป้าเกตเอง และแก่วิลเลียม แอนซันด้วย เพราะป้าเกตจะเป็นป้าสะใภ้อยู่ในเร็ว ๆ นั้นแล้ว ที่ข้าพเจ้าว่าเช่นนี้ ป้าเกตว่าข้าพเจ้าเข้าใจผิด แต่แล้วก็รับว่าคืนวันหนึ่งวิลเลียม แอนซันเดินไปใต้หน้าต่างห้องป้าเกต ป้าเกตได้ยินเสียงฝีเท้า ก็วางเสื้อแต่งงานที่กำลังเย็บ ลุกไปเยี่ยมหน้าต่างเรียกลงไป

ข้าพเจ้าถามว่า “ทำไมคุณป้าจึงทราบว่าฝีเท้าใคร ทำไมจะไม่ใช่ฝีเท้ายอนเบราน์ หรือนายทหารคนอื่น คนในพระราชวังย่อมมีมากด้วยกัน”

ป้าเกต “ยอนเบราน์และคนที่ไม่ได้เป็นนายทหารไม่ได้ใส่สะเปอร์ แลหญิงที่กำลังรัก คงจะจำฝีเท้าชายที่รักได้เสมอ ถึงคนจะเดินมาทั้งฝูง ป้าก็จำฝีเท้าวิลเลียมได้”

คืนนั้นป้าเกตจะเยี่ยมหน้าต่างซึ่งสูงจากดิน ๓๐ ฟุต เรียกลงไปว่า “นั่นมิสเตอร์แอนซันใช่ไหม ?”

วิลเลียมหยุดยืนยกมือแตะหมวกคำนับตอบว่า “คอยรับใช้คุณอยู่” (นี้เป็นคำตอบอย่างสุภาพ แปลว่า “ใช่”)

ป้าเกต “ฉันฝากความรักไปให้กองทหารรักษาการด้วย” เราในสมัยนี้ไม่น่านึกว่า นางสาวสมัยกวีนวิกตอเรีย (ใน ค.ศ. ๑๘๖๘) จะหาญพูดถึงเพียงนั้น และส่วนวิลเลียม แอนซันนั้น บางทีความอยู่ต่ำจากหน้าต่างถึง ๓๐ ฟุต จะให้ความกล้าผิดกับเวลาที่อยู่พื้นเสมอกันกระมัง

วิลเลียม “รวมทั้งนายทหารรักษาการด้วยใช่ไหมคุณ”

ป้าเกตหัวเราะเขิน ๆ “ถ้าเป็นประโยชน์อะไรได้ก็ตามใจ”

วิลเลียม “ประโยชน์ยิ่งใหญ่ในโลก”

วิลเลียมพูดถ้อยคำแน่นแฟ้นจนป้าเกตตกประหม่า มือจับม่านหน้าต่างกำกดเข้าไปกับกำแพงจนม่านยับไปเป็นกอง วิลเลียมยกมือขึ้นแตะหมวกคำนับอีกครั้งหนึ่งแล้วกลับหลังหันเดินต่อไป ป้าเกตยืนนิ่งอยู่ที่หน้าต่างอีกหลายนาที จึงกลับไปเย็บเสื้อ มัวใจลอยจนเย็บอยู่อีกครู่เดียวเข็มก็ตำนิ้วเลือดแดงออกมาบนแพรขาว ป้าเกตเห็นเลือดก็ตะลึงดูแล้วว่า “เลือดจากหัวใจทีเดียว”

มารดาของป้าเกตคือย่าของข้าพเจ้า เข้าไปพบป้าเกตซบร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่คนเดียวในห้องนอน จึงถามว่า “อะไร ลูกรักของแม่ ร้องไห้ทำไม มีเรื่องอะไรก็บอกแม่เถิด”

เรื่องตอนนี้ข้าพเจ้าเล่าติดต่อกันให้ละเอียดไม่ได้ แต่ป้าเกตคงจะได้ขยายความลับในใจออกให้มารดาฟังหมด ข้าพเจ้าอธิบายไม่ได้ว่า เหตุใดตั้งแต่นั้นไปนายร้อยโท แอนซัน จึงไปเล่นไพ่วิสต์ที่ห้องของปู่ข้าพเจ้า (คือบิดาป้าเกต) ในคืนที่ไม่อยู่เวรแทบทุกคืน บางคืนท่านสมภารก็ไปเล่นด้วย แต่บางทีก็ไม่ได้ไป บางทีป้าเกตจะเป็นผู้ออกอุบายจัดให้เป็นดังนี้ หรือบางทีท่านสมภารเองจะเป็นผู้จัด เพราะท่านสมภารเป็นคนใจดีไม่มีสงสัย อาจยินดีที่หลานชายได้รู้จักคุ้นเคยกับสกุลที่เป็นสหายดี ทำให้หมดความง่วงเหงา ท่านสมภารเองมิทันได้คิด ว่าอาจเป็นเครื่องกีดกั้นความสุขของท่านสมภารเองได้ นายร้อยโทแอนซันได้ไปเล่นไพ่แลร้องเพลงคืนแล้วคืนอีก เวลาเล่นไพ่ป้าเกตก็เป็นคู่มือ เวลาร้องเพลง ป้าเกตก็เป็นผู้ดีดหีบเพลง

แอนซันเป็นคนขี้กระดากก็จริงอยู่ แต่คนขี้กระดากบางคน เมื่อถึงคราวรัก ก็รักฉุนเฉียวนัก แลเป็นเพราะเป็นนายทหารกองรักษาพระองค์ จึงเป็นผู้มีความกล้าประจำตัว ในสมัยนี้มีผู้กล่าวแลเขียนหนังสือไว้มาก ถึงเรื่องความองอาจของชายหนุ่ม แลความหาญของหญิงสาวสมัยหลังมหาสงคราม แต่ข้าพเจ้าอยากจะชี้ให้เทียบความอาจหาญของหนุ่มสาวสมัยนี้ กับนายร้อยโทแอนซันกับป้าเกต ซึ่งเกิดและเป็นหนุ่มสาวในรัชกาลกวีนวิกตอเรีย อยู่ในราชฐานของนางพญาพระองค์นั้น และกล้าประพฤติล่อแหลมแทบจะใต้พระนาสิกก็ว่าได้

คืนหนึ่งเมื่อควรจะเข้าใจกันว่า ป้าเกตได้เข้าคลุมอยู่ในที่นอนแล้วประมาณชั่วโมงหนึ่ง ป้าเกตค่อยย่องไปตามเฉลียงยาว เข้าเคาะประตูห้องเล็กห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องพักนายทหารเวร ซึ่งนายร้อยโท แอนซันอยู่ในเวลานั้น ตอนเย็นวันนั้น แอนซันได้เล่นไพ่กับบิดามารดาป้าเกต แลทิ้งไพ่ผิดจนดูเหมือนโกง จนถูกบิดาป้าเกตต่อว่าอย่างเฉียบขาด อันที่จริง แอนซันเลินเล่อเพราะสติหลงวนเวียนไปในตางามของป้าเกตจนแทบจะไม่เห็นไพ่ในมือตนเอง ได้บอกป้าเกตด้วยตาแทบไม่รู้หยุดว่ารักเต็มหัวใจ ว่าถูกทรมานเหมือนอยู่ในนรก เพราะป้าเกตหมั้นเสียแล้ว และหมั้นกับลุงของแอนซันเอง ทั้งนี้บอกโดยไม่ใช้ปากเลยสักนิดเดียว บอกด้วยตาทั้งนั้น เมื่อเลิกไพ่แลว่า “กูดไนต์” กันแล้ว ป้าเกตเดินออกไปนอกห้อง แต่ทำผ้าพันคอตกไว้ (อาจแกล้งทำตกก็เป็นได้) แอนซันหยิบผ้าได้ ก็ตามออกไปให้เจ้าของ เมื่อส่งให้แล้ว ก็จับมือยกขึ้นจูบ จนป้าเกตเป็นลมเซทับไปที่อก หยุดอยู่สักสองอึดใจแล้ว ก็ออกวิ่งไปเข้าห้องนอนเหมือนผีขาว แต่บัดนี้กว่าเที่ยงคืนแล้ว ภายหลังที่วิ่งเข้าห้องไปนั้นสักชั่วโมงหนึ่ง ป้าเกตกลับย่องลงบันได และย่องไปเคาะประตูห้องนายทหารเวร แล้วเข้าไปในห้องก่อนแอนซันรู้ตัว เพราะเมื่อเคาะค่อย ๆ นั้นหาทันได้ยินไม่ แอนซันนั่งอยู่ในเก้าอี้หุ้มกำมะหยี่ เท้าทั้ง ๒ ข้างเหยียดซื่อ คางอยู่บนอก และ ๒ แขนกอดอก ดาบวางอยู่บนโต๊ะข้างตัว แสงไฟจับผมสีอ่อนแลหนวดสีทองเรื่อ ดูท่าทางเศร้าเหมือนไม่มีความหวังเหลืออยู่เลย เป็นภาพความสลดอันไม่มีอาการว่าจะคืนสู่ความสดชื่นได้ ป้าเกตเห็นดังนั้น ก็ดูเหมือนหัวใจเต้นสะดุ้ง (ป้าเกตเล่าดังนั้น) เหลือที่จะกลั้นความสงสารไว้ได้

ป้าเกตกระซิบเรียก “วิลเลียม”

วิลเลียมแอนซันลุกทลึ่งขึ้นจากเก้าอี้ยืนตะลึงดูป้าเกตเหมือนไม่รู้ว่าจริงแล้วตรงเข้ากอดไว้แน่น จูบปากแลจูบหลังตาทั้ง ๒ ข้าง (ป้าเกตเล่าว่าจูบหลังตาเท่านั้นไม่ได้จูบปาก แต่ข้าพเจ้านึกว่า ป้าเกตเห็นจะไม่ได้จำไว้ เพราะเมื่อหนุ่มกับสาวผู้รักกัน ได้เข้าชิดกันในรโหฐานเป็นครั้งแรกนั้น ย่อมเป็นเวลาฉุกละหุกมาก)

วิลเลียม “ฉันรักหล่อนเต็มหัวใจ ไม่จำเป็นต้องบอกด้วยปาก หัวใจต่อหัวใจย่อมพูดกันได้”

ป้าเกต “จะทำอย่างไรเล่า วิลเลียม ลุงของวิลเลียมฉันจะแต่งงานด้วยอย่างไรได้ ฉันจะทรมานไปไหวหรือ”

ป้าเกตไม่ได้ปิดบังความรักเลย แต่แรกก็คงไม่ได้ตั้งใจจะโพล่งออกไปเช่นนั้น แต่จูบทำให้ความเอียงอายอันตรธานไปหมด ป้าเกตยืนเอาหน้าซบอกเสื้อแดง (เครื่องแบบทหารเกรนาเดีย) ของวิลเลียม ดุมตรากองทหารเมล็ดหนึ่งกดหน้าจนเป็นรอยตรา เพราะวิลเลียมกอดรัดแรงจนเป็นเช่นนั้น แต่ต่างคนก็ต่างไม่รู้สึก

วิลเลียมว่า “ลุงของฉันเป็นตาเฒ่าโง่เง่าที่สุด โง่พอที่จะแต่งงานกับหล่อน จะเป็นที่ยิ้มเยาะของคนทั้งหลาย ฉันยอมบุกน้ำลุยไฟหรือทำอะไร ๆ ทั้งนั้น ธาตุน้ำ ธาตุไฟ หรือธาตุไหน ๆ ก็กีดกั้นความรักของเราไม่ได้ เกตหวานของฉันต้องเป็นของฉันให้ได้”

หนุ่มสาวสมัยนี้อาจนึกไม่เห็นว่า หนุ่มสาวชั้นคุณปู่คุณย่าจะพูดความรักกันด้วยถ้อยคำอย่างนั้น แต่ข้าพเจ้าทราบแน่ เพราะป้าข้าพเจ้าเองเป็นผู้เล่า คืนนั้นป้าเกตกับวิลเลียมอยู่ ๒ ต่อ ๒ ในห้อง ๆ หนึ่งในพระราชวังวินด์เซอร์ เริ่มแต่เวลาเพิ่งพ้นเที่ยงคืน แลนั่งพูดกันอยู่จนสาง ๆ ป้าเกตจึงย่องกลับไปห้อง มีผู้เห็นแต่ทหารยามซึ่งคงจะมีเรื่องไปซุบซิบกับพวกเพื่อนในวันต่อนั้น

การที่ป้าเกตเข้าไปอยู่ในห้องพักของนายทหารรักษาการจนรุ่งสางนั้น แม้จะไม่เรียกว่า ห้าว ก็ต้องว่าหาญนักหนา ถ้าเผอิญหัวหน้าพระภูษานอนไม่หลับลุกออกไปเดินตากลมอยู่ที่ระเบียงในเวลานั้น จะเป็นอย่างไรบ้าง

แต่ความหาญอย่างน่ากลัวนั้นก็คือ นัดไปพบกันในป่า ซึ่งเป็นบริเวณของพระราชวัง ที่เรียกว่า ป่านี้ เป็นอุทยานภายนอก มีถนนซอยไปซอยมา สำหรับให้เที่ยวขับรถได้ ป้าเกตกับคนรักไปพบกันใต้ต้นโอ๊คใหญ่ห่างจากถนนพอที่คิดว่าจะไม่มีใครพบ ได้ไปเช่นนั้นถึง ๖ ครั้ง เพื่อที่ป้าเกตจะได้ยืนเอาหัวซบอกวิลเลียมฟังคำบอกซ้ำ ๆ ว่ารักไม่มีจืดจาง แลป้าเกตร้องไห้บอกว่า ถูกทรมานใจเหลือเกิน ในเรื่องที่จะต้องแต่งงานกับท่านสมภาร ในวันซึ่งใกล้เข้ามาทุกที จะหาทางเลี่ยงหลีกอย่างไรก็ไม่กล้าทั้งนั้น

วิลเลียม “ต้องถอนหมั้นกับตาเฒ่าโง่นั่นเสีย”

ป้าเกต “ถอนอย่างไรได้ กวีนก็จะเสด็จ”

วิลเลียมถอนใจใหญ่ เรื่องกวีนทรงเห็นชอบนี้ ทำให้เป็นปัญหาแก้ยาก แม้ความรักจะเหมือนไฟโชน พอเอ่ยพระนามกวียนก็เท่าเอาน้ำทั้งถังมาราด วิลเลียมนิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงว่า “กวีนพระทัยดี ทรงยุติธรรมมาก อาจทรงเห็นอก เกตลองอ้อนวอนเลดีอิลีให้ช่วยเราไม่ได้หรือ”

ป้าเกต “ฉันไม่กล้า ไม่กล้าเลย ถ้ากริ้วก็ร้ายยิ่งกว่าอะไร ๆ ในโลกนี้ทั้งหมด”

วิลเลียม “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหนีไปประเทศอื่น ฉันจะลาออกจากกองทหาร ไปแต่งงานกันประเทศฝรั่งเศส แล้วอยู่กัน ๒ คนอย่างผู้ถูกเนรเทศ”

ป้าเกตร้องไห้สะอื้นว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ทำให้เสียหมด จะต้องเสียตำแหน่งในกองทหารและเสียลู่ทางหมด วิลเลียมก็จะเกลียดฉันว่าทำให้เสีย พวกเพื่อนในกองทหารก็จะเกลียดหมด”

ป้าเกตยิ่งร้องไห้สะอื้น วิลเลียมก็ยิ่งกอดแน่นเข้า

เช่นนี้แหละที่เกิดเหตุ มีเสียงในหญ้ารก สองคนยังไม่ทันนึกว่ากระไร ยังไม่ทันเห็นใคร ก็ได้ยินเสียงยอนเบราน์ ครั้นเหลียวดูก็เห็นมายืนอยู่แล้ว

ยอนเบราน์ “นี่หรือ อย่างนี้เองหรือ น่าดูจริง มาทำความรักกันในป่า แลสาวคนนี้ ก็หมั้นกับท่านผู้รับใช้พระผู้เป็นเจ้าในสวรรค์”

ยอนเบราน์หัวเราะเสียงกร้าว ๆ แล้วว่า “เป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องทูลกวีนให้ทรงทราบ กวีนเป็นสตรีมีจรรยาประเสริฐ และทรงระวังมิให้ข้าราชการประพฤตินอกทางจรรยา ยิ่งเป็นนายทหารกองรักษาพระองค์ด้วยก็ยิ่ง... ผมจะทูลให้ทรงทราบ”

คำท้ายนี้ ยอนเบราน์พูดกับวิลเลียมแอนซัน ผู้นั้นโกรธจนเลือดขึ้นหน้า พูดตวาดอย่างดุแลอย่างโง่ว่า “ไปนรกเถิดเจ้า แล้วก็หัดเคารพคนชั้นสูงกว่าเสียด้วย”

ยอนเบราน์ “หามิได้ คุณแหละจะไปนรก และจะพาคุณสาวนี้ไปด้วย ผมเคารพคนชั้นสูงกว่า ต่อเมื่อคนชั้นสูงประพฤติตนดี ตามคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าในสวรรค์ ซึ่งมีพระเนตรเห็นทั่วไปหมด”

วิลเลียมว่า “อ้ายเจ้ามายา” แต่ยอนเบราน์เดินไปเสียแล้ว ป้าเกตกลัวเต็มที ยืนซบหน้าร้องไห้อยู่บนอกวิลเลียมอีกนาน

ยอนเบราน์ไม่เวทนาหนุ่มสาวทั้ง ๒ นั้นเลย ในวันนั้นเองได้ทูลกวีนให้ทรงทราบแล้วก็เลยไปบอกท่านสมภารด้วย

ส่วนป้าเกตนั้น เมื่อกลับไปถึงห้องก็นอนคว่ำสะอื้นอยู่บนที่นอน เอาหมอนอุดปาก เพื่อไม่ให้มารดาได้ยินเสียง อีกครู่หนึ่ง เลดีมาเยอรีวิ่งมาตามว่า รับสั่งให้หา

เลดีมาเยอรี “เร็วเกต เร็ว กวีนรรับสั่งให้หา กำลังกริ้วใหญ่ เกตไปซนอะไรเข้าอีกหรือ ดูถี ร้องไห้ออกตาแดง”

ป้าเกตไม่มีเวลาจะล้างคราบน้ำตาที่หน้า ต้องรีบเข้าไปเฝ้าทั้งที่ตากำลังบวมและกำลังสั่นไปทั้งตัว จนเมื่อถวายคำนับนั้น เกือบจะล้มลงอยู่กับพื้น

กวีนประทับอยู่ในห้องพระองค์เดียว กำลังทรงเซ็นหนังสือราชการ บางทีถอนพระทัยใหญ่ เหมือนมีเรื่องการบ้านเมืองหนักอยู่บนพระอุระ ไม่เหลียวทอดพระเนตรนางสาวที่เข้าไปยืนสยองเกล้าอยู่เป็นนาน อีกครู่หนึ่งจึงทรงเสือกหนังสือไปให้พ้นพระหัตถ์ แล้วทรงหันมาทำพระเนตรเขียวกับป้าเกต ตรัสว่า “เจ้าเป็นหญิงสาวน่าอายที่สุด มีผู้เห็นเจ้าอยู่ในหว่างแขนชายหนุ่มในป่า เจ้าปฏิเสธหรือ ?”

ป้าเกตพูดไม่ออก ได้แต่สั่นศีรษะแล้วยกมือขึ้นกุมหน้า

กวีน “น่าบัดสี น่าอดสู หญิงสาวซึ่งหมั้นกับชายผู้มีศีลและมีเกียรติ เป็นผู้ใหญ่ในศาสนา ทำเช่นนี้ก่อนวันแต่งงานไม่กี่วัน เจ้าไม่มีความเสงี่ยมเจียมตัวบ้างหรือ ไม่มีธรรมในใจบ้างหรือ ไม่มีความละอายเสียเลยเจียวหรือ เจ้าไม่นับถือกวีนของเจ้าแล้วหรือ”

คำที่ตรงนั้น พระสุรเสียงแข็งขึ้นทุกประโยค พระหัตถ์ถือมีดตัดกระดาษตีบนแผงกระดาษซับ เหมือนจะทรงตัดคอป้าเกต คำสุดท้ายที่ทรงถามว่า ไม่นับถือกวีนแล้วหรือ พระสุรเสียงน่ากลัวที่สุด ป้าเกตตัวสั่นจะพูดว่ากระไรก็พูดไม่ออก ยืนก้มหน้าน้ำตาตก มือกอดหน้าอกแน่น หน้าซีดเหมือนหาเลือดมิได้

กวีน “เจ้าถูกไล่ออกจากราชการแต่เดี๋ยวนี้ไป แลเพื่อจะไม่ให้มีเรื่องอะไรอีกในพวกข้าราชการ ชายคนรักของเจ้าจะต้องลาออกจากกองทหารเกรนาเดียรักษาพระองค์ เจ้าต้องออกจากพระราชวังไปพรุ่งนี้เช้า”

เมื่อป้าเกตได้ยินว่า วิลเลียมจะต้องรับพระราชอาชญาไล่ ก็ยิ่งกระวนกระวายใหญ่ เมื่อได้ยินตรัสไล่ตนเองก็พอทนได้ แต่เมื่อได้ยินตรัสถึงชายที่รักก็ทนไม่ไหว คุกเข่าลงทูลอ้อนวอนแทบพระบาท

ป้าเกตร้องไห้พลางทูลพลาง “ประทานพระกรุณาแก่เขาเถิดพระเจ้าข้า เขาเป็นคนกล้า เป็นคนมีสัตย์ และรับราชการด้วยภักดี แลด้วยอุตสาหะ แลที่เรารักกันนั้น ก็เป็นแต่รักกัน หาได้มีละลาบละล้วงล่วงเกินไปไม่”

กวีน “หวังใจว่าจริงอย่างว่า อยากจะเชื่อว่าจริงอย่างนั้น ลุกขึ้นเถอะ สะกดใจไว้บ้าง”

พระสุรเสียงตอนนี้ค่อยยังชั่วเข้า อาจพระทัยอ่อนลง เพราะเห็นความเศร้าสลดถึงป่านนั้นก็เป็นได้ อีกเดี๋ยวก็ทรงกดกระดิ่งเรียกให้มีผู้มาพาป้าเกตออกจากห้องไป

ต่อนี้ไปก็คือท่านสมภารนั้นเอง ที่ทูลเบี่ยงบ่ายให้คลายกริ้ว จนในที่สุดป้าเกตไม่ถูกไล่จากราชสำนัก ท่านสมภารมีใจเป็นธรรม มีกรุณาแก่ผู้อื่น และรู้จักลืมสิ่งที่ควรลืม แลคงจะเพ็ดทูลให้ทรงเห็นอกหนุ่มสาวผู้รักกันจนเหลือที่จะเหนี่ยวรั้งตนไว้ได้

ท่านสมภารแสดงเมตตาต่อป้าเกต โดยที่พูดมิให้เกิดแสลงในใจเลย

ท่านสมภาร “จะหาใครโง่เหมือนคนแก่โง่นั้นไม่มี ฉันไม่ติเตียนเกตเลยที่รักหลานของฉัน ฉันติเตียนตัวเองว่าลืมอายุของตน แลลืมธรรมดาที่อวยความรักให้แก่หนุ่มสาว ฉันจะขอบใจเกตอยู่เสมอ ที่ไม่แสดงก้าวร้าวแก่ฉันในตอนที่ฉันลืมตัว เกตใจดีมาก เช็ดน้ำตาเสียเถิด กวีนก็ยกโทษประทานให้แล้ว ให้ฉันจูบสักที ไม่ใช่จูบอย่างคนรัก จูบอย่างลุงของผู้ที่จะเป็นสามีเกตในวันหน้า”

เมื่อข้าพเจ้าเที่ยวเดินดูในพระราชวังวันนั้น เมื่อป้าเกตแก่จนตายไปนานแล้วนั้น ข้าพเจ้าหวนไปคิดถึงป้าเกตไม่ใช่ในวัยชรา เมื่อเล่าเรื่องซ้ำๆ ซากๆ ให้ข้าพเจ้าฟัง นึกถึงในวัยที่ยังสาว เป็นนางงามอยู่ในพระราชวังวินด์เซอร์ ในรัชกาลพระราชินีนาถผู้ทรงเกียรติ และเกิดเหตุให้ทรงพระพิโรธแล้วยกโทษประทานดังเรื่องที่เล่ามานี้

 

  1. ๑. ประมวญมารค ฉบับที่ ๒๕ หน้า ๑๐ ปีที่ ๒ ศุกรที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ