- นิคมคนเก็บก้นยา
- “ผู้บังคับการห้อย” คนรับจ้างแคะเรือดในโรงแรม
- ชาวโลกผู้เกลียดกลางวัน ชอบกินทุเรียน ร้องไห้ดังๆ
- ความรู้สึกของหญิงสาวที่เป็นกามโรค
- ที่นอนผีตายโหง
- นายทะเบียนย้อยผู้ไม่สนใจเรื่องคนเกิดคนตาย
- ตำรวจแขกผู้ผจญนักเลงบ้านอู่และพวกดงพญาไฟ
- สิวก่ำ......ดาราโคมเขียว
- อั๊วต้งขบจายพูหญิงหาเงิง...
- ชีวิตคนตะรางครั้งสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
- คนตัวเหม็นเห็นน้ำสั่น
- มนุษย์หน้าผีใจพระ หรือ “ศพเดินได้” คนที่หน้าไม่เหมือนคน
- คนใต้ถุนบ้าน
- “เสี่ยขาว” นักต้มญี่ปุ่น
- นิคมอาบแดด...พิสดารแห่งทุ่งบางกะปิ
- ไม้กระดานโลงผีกลายเป็นโต๊ะเครื่องแป้ง
- ผัวหน้าเหมือนเมีย เมียหน้าเหมือนผัว
- ครอบครัวขี้เกียจ ในจุฬาฯ ซอย ๒
- ดงตุ๊กแก
- คนไทยผู้ยักคิ้วให้เฮนรีฟอร์ด
- เสียงคราง...เมื่อตอนตี ๔
- บ้านหมาหอน
- ครอบครัวประหลาดอายุยืนเหมือนต้นโอ๊ก
- นิคมของ...คนหัวล้าน
ไม้กระดานโลงผีกลายเป็นโต๊ะเครื่องแป้ง
๑
----------------------------
ผู้หญิงที่มีขนหน้าแข้งยาวจนแทบจะยืดเอามาเย็บผ้าได้คนนี้ มันไม่มีจมูก “ผมเหลือบตาขึ้นดู พอรู้ว่าเป็นหญิงจมูกหายไป มีแต่รูโบ๋เหมือนโต๊ะบิลเลียดรู ตัวผมก็เริ่มสั่น” เขาเชื่อว่าต้องเป็นผี เพิ่งเปิดฝาแน่ เพราะถ้าเป็นคน ยายนั่นก็เป็นคนที่คล้ายเปิดฝาโลงเดินออกมา ทั้ง ๆ ที่ร่างกายเน่าเปื่อยอยู่เช่นนั้น...
----------------------------
ข้าพเจ้าคุยกับท่านผู้อ่านด้วยเรื่องที่มีผู้เล่าให้ฟังจริงๆ เรื่องต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องเท็จจากความคิดฝันของข้าพเจ้า แต่เป็นเรื่องที่ลูกจ้างโรงเลื่อยไม้กวงเลี้ยบเส็งของนายม้ากิมอยู่ข้างภูเขาทองเล่าให้ฟัง “ผมสาบานได้ต่อหน้าหลวงพ่อโตวัดสระเกศว่าผมไม่ได้ ‘ยกเมฆ’ เอาเรื่องฝนตกขี้หมูไหลมาโกหกหากินเพื่อจะขอสตางค์คุณใช้ ความจริงมันต้องเป็นความจริงอยู่เสมอ ผมเป็นคนเลื่อยไม้กระดานโลงผีด้วยมือของผมเอง เมื่อมีคนนำมาจ้างเถ้าแก่โรงเลื่อย เถ้าแก่ก็เรียกตัวผมไป โรงเลื่อยของเราเป็นโรงเลื่อยไม้เล็ก ๆ หมุนด้วยเครื่องมอเตอร์ขนาด ๔-๕ แรงม้า พอเหมาะสำหรับรับงานเบ็ดเตล็ดทั่วไป ครั้งแรกผมนึกเอะใจอยู่แล้ว เพราะคนขนไม้กระดานมาจ้างเลื่อย แทนที่จะเป็นผู้ชายกลับเป็นหญิง พอผมเห็นหน้าก็สะดุ้ง-ให้ผมรากเลือดตายไปเดี๋ยวนี้เถอะครับ-มันไม่ใช่หน้าคน-ยายนั่นไม่มีจมูก มันหายไปไหนเหี้ยนเตียนราบกับดายหญ้า ผมเห็นแต่เป็นรูกลวงโบ๋อยู่เท่านั้น มองดูเพดานเห็นสีแดงเหมือนเหงือกยายแก่”
ลูกจ้างเลื่อยไม้ของโรงเลื่อยกวงเลี้ยบเส็งคนนี้ชื่อเดิมชื่อนายหลี แซ่แต้ เขาบอกข้าพเจ้าว่าเกลียดชื่อหลีซึ่งเป็นชื่อของเขาเองมาก เพราะมีคนแอบเอาคำอื่นมาแถมท้ายให้เสมอ ฟังหูแล้วก็หยาบคายไม่เพราะหู กลายเป็นชื่อสองง่ามจึงเปลี่ยนเสียใหม่ เดี๋ยวนี้มีคนเรียกเขาว่านายสมผล และเขาก็มีความพอใจชื่อใหม่มาก ถือว่าเป็นสิริมงคลแก่ตัวดีกว่า ‘หลี’ เพราะคงจะไม่มีคนมาเรียกเขาว่า หลีอะไรต่ออะไรเลอะเทอะไปไม่ได้เรื่องเหมือนแต่ก่อนอีก
ชายร่างใหญ่ผู้เป็นกรรมกรเลื่อยไม้คนนี้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ในครั้งแรกเมื่อมีผู้นำไม้กระดานโลงผีไปจ้างเลื่อยนั้น เขากำลังนั่งก้มหน้าทำงานอยู่ รู้สึกเหมือนมีเงาดำ ๆ เคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้า เขายังไม่เงยหน้าขึ้น เพราะงานไม่เสร็จเรียบร้อย แต่ก็มองเห็นเงาคนยืนนิ่งรอคล้ายจะคอยให้เขาพูดด้วยก่อน ขาคนคู่นั้นเป็นขาของผู้ชายเต็มไปด้วยแผลเป็นกะดำกะด่าง ครั้งแรกไม่ได้สังเกตชัดนึกว่างูงวงช้าง--ขาคู่นั้นมีลายเป็นวงเหมือนพรมน้ำมันเก่าๆ เล็บตามนิ้วหายไปหมด เหลือแต่นิ้วลุ่น ๆ เหมือนคนเป็นโรคเรื้อน ขนหน้าแข้งยาวออกมาเกินขนาด มันดกและหยิกหยองเหมือนผมแขกกะเร็งขายถั่วมันๆ
“แต่มันไม่ใช่ผู้ชายหร็อกครับคุณ” เขาพูด ตาทั้งสองข้างลืมโพลงด้วยรู้สึกตื่นเต้นเมื่อหวนระลึกถึงความหลัง “คน ๆ นั้นเป็นผู้หญิงที่มีขนหน้าแข้งยาวราวกะหนวดแพะ มันจะเป็นไปได้หรือคุณ ถ้าผมเล่าให้ใครฟัง ใครเขาจะมาเชื่อผม
“ผู้หญิงที่มีขนหน้าแข้งยาวจนแทบจะยืดเอามาเย็บผ้าได้คนนี้ไม่มีจมูก” เขาเล่าต่อไป พร้อมกับยกมือยกไม้แสดงท่าประกอบ “ผมเหลือบตาขึ้นดูหน้า พอรู้ว่าเป็นผู้หญิงจมูกหายไปเหมือนโต๊ะบิลเลียดรู ผมก็เริ่มสั่น นั่นมันผีนี่ครับ ผีชัด ๆ ทีเดียว ผู้หญิงมีขนหน้าแข้งและพูดเสียงอู้อี้เหมือนไก่ที่เขารัดคอไว้เตรียมลงมือเชือด”
เขาเชื่อว่า ถ้าเป็นคน ยายนั่นก็เป็นคนที่คล้ายจะพึ่งเปิดฝาโลงเดินออกมา ทั้ง ๆ ที่ร่างกายกำลังเน่าเปื่อยอยู่เช่นนั้น
นายหลี แซ่แต้ หรือนายสมผล เพิ่งจะมารู้ภายหลังว่าหญิงแก่อายุราวห้าสิบเศษคนนั้นเป็นเมียสัปเหร่อวัดสระเกศ มีคนจีนช่างต่อตู้กับข้าวและโต๊ะเครื่องแป้งในตลาดขายเครื่องเฟอร์นิเจอร์สำหรับชนชั้นกลางหลายแห่ง ส่งลูกจ้างไปขอซื้อไม้ฝากระดานโลงจากผัวของแก แต่จะต้องเลื่อยเสียก่อน เพราะฝาไม้กระดานโลงตามธรรมดามักจะเป็นไม้ที่หนามาก หน้ากว้างประมาณ ๑ นิ้ว หรือ ๑ นิ้วเศษ ไม้กระดานเหล่านี้แผ่นหนึ่งเมื่อเลื่อยออกแล้วก็เป็นสองแผ่นได้ เป็นการซื้อไม้กระดานในราคาถูกพิเศษ ๑ แผ่นไปทำได้เป็น ๒ แผ่น ดีกว่าลงทุนซื้อไม้ใหม่ ๆ ไปประกอบ พวกช่างต่อเครื่องเฟอร์นิเจอร์ชนิดสุกเอาเผากินเหล่านั้น มองเห็นกำไรสำคัญกว่าชื่อเสียง มิได้คำนึงถึงผลเสียหายร้ายแรงอันจะพึงเกิดขึ้นแก่ ครอบครัวของผู้ที่หลงเชื่อซื้อไปใช้
ตามธรรมดาการต่อตู้กับข้าวหรือโต๊ะเครื่องแป้งนั้น ถ้าไม่ปรารถนาชื่อเสียงกันแล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้ไม้ใหม่หรือไม้หน้ากว้าง สมผลว่า “ครั้งแรกผมไม่รู้ว่าไม้กระดานที่ยายปริก (ชื่อเมียสัปเหร่อคนนั้น) แบกมาจ้างเลื่อยเป็นไม้กระดานโลงผีเพราะแกล้างและขัดถูด้วยทรายและขี้เถ้าจนสะอาด ไม่มีกลิ่น ต่อมาเมื่อแบกมาจ้างเลื่อยบ่อย ๆ ดูมีมากมายเสียจริง ๆ ผมก็ชักสงสัย เพราะขนาดเท่าๆ กันทั้งนั้น ลูกจ้างเลื่อยไม้อีกคนหนึ่งชื่อจีนเม่งเฮง ลองนำไม้ที่ยายปริกมาจ้างเลื่อยประกบกันดู ๓ ด้าน (ฝาโลงไม่มี) ก็ปรากฏชัดแก่ตารู้เห็นกันทั้งโรงเลื่อยว่านั่นเป็นโลงผี ผมตกใจเห็นท่าจะไม่เป็นการ จึงวิ่งไปเรียกเถ้าแก่มาดู แต่เถ้าแก่กลับพูดว่า โลงผีหรืออะไรก็ไม่เห็นแปลก เรารับจ้างเลื่อยได้เงินแล้วเป็นใช้ได้ นับแต่นั้นมาผมก็เกลียดหน้าอ้ายเถ้าแก่ยิ่งกว่าเห็นแมวขโมย ผมพูดอย่างนี้ใครจะว่าเป็นคนอกตัญญูก็ช่าง เพราะคนเราเกิดมาจะเห็นแก่เงินเท่านั้นไม่เหมาะ ผมเป็นลูกจีนแต่ก็เกิดเมืองไทย ขนบธรรมเนียมต่าง ๆ ก็พอรู้อยู่บ้าง อ้ายการที่จะรับจ้างเลื่อยไม้โลงผีให้เขาเอาไปทำโต๊ะเครื่องแป้งนั้น มันจะหาความสิริมงคลได้ที่ไหนมา สำหรับผมเมื่อรู้เช่นนี้แล้วถึงจะจ้างเลื่อยให้ค่าจ้างถึงวันละ ๑๐๐ บาท ก็ไม่อยากเอาของแม่มัน”
“ผมไม่ยอมทำงานตั้งแต่วันนั้น” เขาเล่าต่อไปด้วยเสียงเอาจริงเอาจัง “ผมแกล้งบอกป่วย แล้วไปหางานทำที่โรงเลื่อยบางลำภู พอได้งานใหม่ก็เปิดเลย ผมทำนายไว้ว่าไม่ช้ามันจะฉิบหาย ในที่สุดมันก็ฉิบหายจริงๆ”
นายม้ากิมเดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงเลื่อยแล้ว และโรงเลื่อยที่กล่าวก็ขายให้แก่ผู้อื่น เปลี่ยนชื่อและยี่ห้อกันใหม่ นายสมผลเล่าว่า พอเขาย้ายไปทำงานที่โรงเลื่อยริมคลองบางลำพูได้เพียงสองเดือน เถ้าแก่ก็พลัดตกบันไดลงมาในเวลากลางวันแสกๆ เถ้าแก่เป็นคนอ้วนน้ำหนัก ๕๐ สโตนกว่า เมื่อพลัดก้นกระแทกหงายหลังจากบันไดก็ฟั้วเสี่ยกลายเป็นโรคซ้ำใน เมียถามว่ากลางวันแท้ ๆ ไม่รู้หรือว่าบันไดมันมีกี่ขั้นก้าวลงมาเหมือนคนตาบอด ถ้าขืนเซ่ออย่างว่า มันไม่ตายเดี๋ยวนี้จะไปตายเมื่อไหร่ เถ้าแก่ตอบว่า อยู่ดี ๆ รู้สึกเหมือนมีคนเอามือผลักกระทุ้งหลังอย่างแรง จึงเหยียบบันไดพลัดตกอั้กลงไป ตัวเถ้าแก่ไม่ใช่คนซุ่มซ่ามเซ่อเซอะอะไรอย่างที่คิด เขาพูดอธิบายด้วยเหตุผลเพื่อจะให้เมียเชื่อ แต่เมียก็ไม่เชื่อ กลับหาว่าพูดจาเลอะเทอะเอาใจความไม่ได้เหมือนคนบ้าบอ
๒
ต่อมา หมอจีนที่สามแยกได้มาปรุงยาแก้ช้ำในให้รับประทาน ยาต้องใส่โสมประกอบ โสมในระหว่างสงครามแพงมาก ซื้อเป็นเงิน ๕๐๐ บาท ไม่พอสำหรับยาหม้อเดียว ประจวบกับราคาน้ำมันที่ต้องใช้เติมเครื่องยนต์แพงขึ้น การรับจ้างเลื่อยไม้จึงต้องหยุด เถ้าแก่หมดทุน ในที่สุดก็ต้องขายโรงเลื่อยรักษาตัว เดี๋ยวนี้เมียเถ้าแก่ต้องไปขายส้มฟักหมูแหนมอยู่ที่ปากประตูตลาดยอดบางลำพู ลูกชายคนเดียวที่เคยเป็นกำลังอยู่ในโรงเลื่อยเมื่อก่อน อยู่ดี ๆ กลับชอบนั่งนับนิ้วมือเล่น เห็นแมวเดินมาร้องกุ๊ก ๆ เอาข้าวเปลือกไปโรยให้กินราวกับว่ามันเป็นไก่ เขาชอบเดินออกไปกางมือท้ารถยนต์ขาวให้ทับ และบางทีก็ทำหน้าที่เป็นตำรวจจราจรไปด้วยในตัว แต่ไม่ชอบทำงาน
“เดี๋ยวนี้เมียเถ้าแก่จนกว่าคนที่เคยเป็นลูกจ้าง” สมผลบอกข้าพเจ้า “ผมยังเคยให้สตางค์ใช้บ่อย ๆ คนโลภมันไม่ดีหรอกครับคุณ ผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะเชื่อเรื่องผีเรื่องสางมากนักหรอก แต่ใครจะพูดได้ว่าผีไม่มี? สิ่งที่เรามองไม่เห็นมันอาจจะมีก็ได้ และถ้าผมจะพูดว่าผีมี ผมก็หาหลักฐานมายืนยันไม่ได้ เพราะไม่เคยเห็น สำหรับไม้กระดานโลงผีที่สัปเหร่อจ้างเลื่อยนั้น ผมได้ประสบมาด้วยตนเอง จึงรับรองได้ว่าเป็นความจริง เดี๋ยวนี้ก็ยังมีโรงเลื่อยเล็ก ๆ บางแห่งที่เห็นแก่เงินรับจ้างเลื่อยกันอยู่ มีโต๊ะเครื่องแป้งและตู้กับข้าวจำนวนไม่น้อย ที่ประกอบขึ้นด้วยไม้โลงผี ผมจะเล่าให้คุณฟังว่าสัปเหร่อได้ไม้เหล่านี้มาอย่างไร มันไม่ยากหรอกครับโลงผีเหล่านี้ เมื่อยกไปวัดแล้วก็ไม่มีใครคิดที่จะยกกลับเข้าบ้าน และมันก็กลายเป็นสมบัติอันมีค่าของพวกสัปเหร่อไปทันที โลงผีส่วนมากเป็นไม้สักที่มีราคา เวลาประชุมเพลิงสัปเหร่อจะคอยชะลอไฟไว้ พอลงมือเผาจริงก็จะถ่ายศพออก เลื่อนเอาโลงที่มีราคานำไปเก็บไว้ถ้าคุณสังเกตให้ดี จะเห็นว่าโต๊ะเครื่องแป้งหรือตู้กับข้าวบางตู้ยังมีรอยไหม้ติดอยู่ ช่างไม้มักจะประกบเอาไว้ข้างในหรือใต้ตู้ ทั้งนี้เพื่อจะตบตาไม่ให้ผู้ซื้อมองเห็น
กรรมกรผู้มีอาชีพรับจ้างเลื่อยไม้ และเคยเลื่อยไม้กระดานโลงผีมาด้วยมือของเขา กล่าวด้วยความมั่นใจว่า แม้ตัวเขาจะยากจนไม่มีจะกิน และถึงหากว่าอาชีพเลื่อยไม้กระดานโลงผี จะเป็นอาชีพชิ้นสุดท้ายที่เขามีสิทธิ์เลือกได้ เขาจะไม่ยอมเลือกเป็นอันขาด “ให้หิวเป็นอ้ายพวกหนูผีที่อยู่ตามท่อน้ำหลังตลาดบำเพ็ญบุญ ผมก็ยอมไส้กิ่วตายดีกว่าจะเลือกอาชีพที่ไม่เป็นสิริมงคล เมื่อเราไม่รู้และได้ทำไปแล้วก็แล้วไป แต่ถ้าใครรู้แล้วขืนทำ ความอัปรีย์จัญไรมันจะต้องเกิดแก่ตัวอย่างแน่นอน”
ข้าพเจ้าเคยได้ทราบมานานแล้ว ว่าได้มีพ่อค้าขายเครื่องเรือนชาวต่างด้าวบางจำพวก รับซื้อไม้โลงผีจากสัปเหร่อไปต่อตู้เตียงและโต๊ะเครื่องแป้งขาย ภายนอกขัดชะแล็กลงน้ำมันเป็นเงาละเลื่อม น่าซื้อใช้ ก่อนสงครามโต๊ะเครื่องแป้งและตู้เตียงชนิดที่ต่อด้วยไม้โลงผีขายกันได้ในราคาที่ถูกมาก โต๊ะเครื่องแป้งอย่างหรู ๆ มีลิ้นชักข้างบนสามชั้นลิ้นชักใหญ่ใส่เสื้อผ้า เช่น ซิ่นผ้านุ่งและสเกิร์ตของเมีย รวมทั้งกางเกงชุดสากลและกางเกงแพร ตลอดจนผ้าโสร่งของผัวอีกชั้นหนึ่งอยู่ชั้นล่าง ส่วนด้านซ้ายมือ มีกระจกเงาขนาดยาวตั้ง ๕ ฟุต กว้าง ๑ ฟุตกว่าประดับประดาไว้สำหรับคู่หนุ่มสาวหรือสามีภริยาจะได้มายืนแต่งตัวหมุนไปหมุนมา ดูทรวดทรงของตัวให้ละเอียดถ้วนถี่ กระจกบานที่กล่าวนี้เป็นกระจกชนิดบางครึ่งหุนเท่านั้น พูดกันให้ชัดแจ้งก็คือ กระจกชนิดที่ใช้ทำกรอบรูปอย่างเลว ๆ นั่นเอง เมื่อลงปรอทผสมสีตามวิธีทำกระจกเงาด้านหลังแล้วกระจกกรอบรูปราคาถูก ๆ เพียง ๑ บาทกว่า ๆ มันก็กลายเป็นกระจกเงาอันเฉิดฉายขึ้นมา นอกจากนี้เมื่อเปิดกระจกแผ่นที่กล่าวออก ก็จะเห็นที่ว่างเป็นช่องสำหรับแขวนเสื้อกางเกงอยู่ภายใน จะใช้สำหรับเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวก็ได้ ผู้สร้างได้ออกแบบให้ความสะดวกอย่างทันสมัยและงดงาม และขายด้วยราคาถูกอย่างที่เรียกกันตามข้างถนนในเวิ้งนาครเขษมว่า ‘ขายยกล้อ’ ก่อนสงคราม โต๊ะเครื่องแป้งตัวหนึ่งราคาเพียง ๑๘ – ๒๕ บาทเท่านั้นเอง มันน่าซื้อเหลือเกินสำหรับชนชั้นที่เคยพบแต่เงินสิบ ไม่ค่อยจะได้รับเงินร้อย
ท่านผู้อ่านคงจะสังเกตเห็นกันบ้างแล้วว่า กระจกครึ่งหุนนั้นเมื่อลงปรอททำเป็นกระจกเงาแล้วมันแอ่นได้ เมื่อติดเข้ากับไม้กรอบชนิดบางและไม่ค่อยจะแน่นหนา พอถึงฤดูหนาวไม้มันก็ยืดหรือหดไม่คงที่ เมื่อมันหดกระจกก็ถูกบีบ เพราะมันบางเพียงครึ่งหุนมันจึงแอ่นได้ ตรงกลางมีระดับขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนลูกคลื่น เวลาส่องหน้าจะรู้สึกเหมือนคนหัวหลิม คางเล็ก ส่วนตรงแก้มทั้งสองข้างจะอวบยุ้ยโป่งออกมาเหมือนตุ๊กตารูปเซียนที่ส่งมาขายจากเมืองจีน กระจกบางแผ่นแอ่นกลาง ไม่นูนออกมาอย่างที่ว่า เวลาผู้ซื้อส่องดูรูปโฉมของตัว จะแลเห็นแปลกไปอีกอย่างหนึ่ง คือหัวโตคางโต แต่หน้าลีบตาเล็กหยีปากจู๋เท่ารูเข็ม คล้ายรูปคนตกนรกอเวจีที่เขาเขียนไว้ตามฝาผนังโบสถ์ ถึงแม้กระจกส่องหน้าจะทำให้รูปโฉมของคนพิกลพิการไปถึงเพียงนั้น ก็ปรากฏว่ายังมีผู้ชอบซื้อไปใช้เสมอเพราะราคาถูก หญิงสาวเมื่อคราวแต่งงานอายุยังน้อยมักจะมองชีวิตในด้านที่เป็นความฝัน เธอชอบแต่ของสวยของงาม หวังจะได้มีเครื่องเรือนหรู ๆ แต่ชีวิตของเธอเป็นชีวิตที่อัตคัดขัดสน จะไต่ขึ้นบันไดขั้นเดียวให้ถึงสุดยอดเลยไม่ได้ การแต่งงานจึงไม่ช่วยให้เครื่องเรือนชนิดที่ทำจากเกอร์สันเฟอร์นิเจอร์ตกมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเธอ จำนวนเงินที่บิดามารดาได้รับเพียงเล็กน้อยเป็นค่าสินสอดทองหมั้น นับว่าพอเพียงสำหรับเครื่องเรือนชนิดที่ขายกันตามเวิ้งหรือสี่แยกวรจักร ในที่สุดก็มักจะประสบเคราะห์--นำความอัปมงคลมาสู่ตัวโดยมิได้คาดฝัน
โต๊ะเครื่องแป้งและเตียงนอนเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในชีวิตของหญิงสาวที่เพิ่งออกเรือนแต่งงานไป ตื่นเช้าเธอต้องไปยืนหวีผม ล้างหน้า เวลาจะออกจากบ้าน เมื่อแต่งตัวก็ต้องไปยืนส่องกระจกดูความเรียบร้อยทุกครั้งไป หากโต๊ะเครื่องแป้งของเธอเป็นโต๊ะเครื่องแป้งที่ต่อด้วยไม้กระดานโลงผี ความสิริมงคลจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
สหายของหม่อมเจ้าพระองค์หนึ่งที่ข้าพเจ้าได้พบในร้านกาแฟ ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เขาได้เคยทราบมาก่อนนานแล้วว่าโต๊ะเครื่องแป้งและเตียงนอนที่ทำจากไม้กระดานโลงผี เป็นเรื่องที่เห็นกับตาทีเดียว ชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งงานกับแม่ค้าขายผลไม้หลังตลาดนางเลิ้ง อยู่กินกันได้เพียง ๗-๘ วันก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น ผัวไปซื้อน้ำหอมอย่างดีชื่ออีฟนิ่งอินปารีสมาให้เมียใส่ผมและหยดผ้าเช็ดหน้า วันหนึ่งเมียจะไปเยี่ยมพี่สาวแล้วแวะไปเที่ยวงานพระบรมรูปทรงม้า หล่อนหยิบขวดน้ำหอมเปิดจุก เหยาะผมแล้วลืมปิด พอกลับมาถึงบ้านวันรุ่งขึ้น เหยาะน้ำหอมขวดเดิมใส่ผ้าเช็ดหน้าให้ผัว พอผัวยกขึ้นสูดเพื่อความชื่นใจก็แทบสำลัก ถึงกับเหวี่ยงผ้าเช็ดหน้าทิ้ง เพราะมันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมอีฟนิ่งอินปารีสที่เขาซื้อมา มันได้กลายเป็นกลิ่นดอกไม้จันทร์ไปอย่างประหลาด นอกจากกลิ่นดอกไม้จันทร์เขารู้สึกว่ามีกลิ่นผีตายและดอกซ่อนกลิ่นปนอยู่ด้วย!
๓
----------------------------
น้ำหอมในขวดอีฟนิ่งอินปารีสกลายเป็นกลิ่นดอกไม้จันทร์ “กลิ่นเหม็นเวียนหัวเหมือนนั่งอยู่หน้าศพ” ผัวเมียนอนอยู่ด้วยกันดีๆ ได้ยินเสียงเจ๊กแก่ผัวเมียเข้ามาทะเลาะกันเอะอะอยู่ในห้อง--กระจกบางครึ่งหุนมันแอ่นได้ เวลาส่องหน้าเหมือนคนหัวหลิมคางเล็ก แก้มสองข้างโป่งยุ้ยออกมา เหมือนตุ๊กตารูปเซียนที่เขาส่งมาขายจากเมืองจีน...
----------------------------
“นี่มันไม่ใช่น้ำหอมที่ฉันซื้อให้เธอนี่” เขาว่า หน้าตาเคร่งเครียดด้วยความไม่พอใจ
“ถ้าไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมจะเป็นกลิ่นอะไร ฉันก็เห็นว่าฉันเทออกมาจากขวดที่คุณซื้อมานั่นแหละ” ภรรยาของเขาตอบแล้วยิ้มน้อย ๆ คล้ายจะคิดว่าผัวพูดเล่น
“กลิ่นเหม็นเวียนหัวเหมือนนั่งอยู่หน้าศพ” ผัวว่า “ถ้าไม่เชื่อลองดมดูซี”
พอผัวพูดขาดคำ เมียก็หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าไปดม และในทันใดนั้นหล่อนก็โยนผ้าเช็ดหน้าทิ้ง เพราะมันเหม็นจนแทบจะเป็นลมตายไปในทันที ผัวของหล่อนยกขวดขึ้นเทน้ำหอมออกมาสูดกลิ่นพิสูจน์เพื่อความแน่ใจอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เขารู้สึกฉุนกึกจนสำลัก มันเป็นกลิ่นผีตายที่กำลังเหม็นเขียวอย่างร้ายแรง!
“ใครมายุ่งที่โต๊ะเครื่องแป้งนี่บ้างหรือเปล่า?” เขาถามเมียด้วยความเกรี้ยวกราด
“ไม่มีใครมายุ่งในห้องนอนของเราเลย เมื่อก่อนออกจากบ้านฉันใส่กุญแจไว้ด้วยซ้ำ”
ผัวของหล่อนนิ่งอึ้งอยู่ด้วยความงงงันเหมือนถูกเคาะด้วยไม้ตะลุมพุก เขาขว้างขวดอีฟนิ่งอินปารีสออกไปถูกรั้วสังกะสีแตกกระจายไม่มีชิ้นดี ต่อจากนั้นอีกสองวันก็ไปซื้อน้ำหอมชนิดเดียวกันมาใช้อีกขวดหนึ่ง เมื่อไม่ลืมเปิดจุกทิ้งไว้กลิ่นมันเป็นน้ำหอมที่หอมชื่นใจไม่มีเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อถึงเวลาที่ตัวเขาเองสะเพร่า ในเช้าวันหนึ่งต้องรีบออกจากบ้านไปทำงาน เขาได้เปิดจุกทิ้งไว้เพราะหลงลืม พอกลับมาบ้านในตอนเย็นกลิ่นอันหอมหวนก็กลายเป็นผีเน่าไปอีก เขารู้ดีว่าในห้องนอนไม่เคยมีใครเข้าไปยุ่งนอกจากตัวเขากับเมียที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ น้ำหอมในขวดที่เหม็นก็ไม่ใช่เพราะมีคนสับเปลี่ยน แต่มันเหม็นไปได้อย่างไรเขาก็คิดไม่ออก
“เวลาล่วงไปอีกราว ๑ สัปดาห์” สหายของท่านชายองค์นั้นเล่าเรื่องต่ออันแสนจะพิสดารให้ข้าพเจ้าฟัง “ในขณะที่ผัวเมียคู่นั้นกำลังนอนหลับสนิทอยู่ในมุ้งก็ได้ยินเสียงคนพูดภาษาจีน เป็นเสียงของผู้หญิงกับผู้ชายแก่โต้เถียงกัน ทั้งสองตกใจสะดุ้งตื่นขึ้น ผัวถามเมียว่า “จรุง น้องได้ยินเสียงอะไรบ้างหรือเปล่า?”
“ได้ยินค่ะ น้องได้ยินเหมือนเสียงเจ๊กผัวเมียทะเลาะกัน” เมียสาวกล่าวตอบกระซิบกระซาบ เนื้อตัวสั่นเหมือนถูกจับเขย่า
“ฉันก็ได้ยินอย่างเดียวกับเธอ” เขาพูดแล้วก็เปิดมุ้ง รีบวิ่งไปเปิดสวิตซ์ไฟฟ้า ในทันใดนั้นแสงไฟก็สว่างพรึ่บขึ้น ไม่ปรากฏว่าในห้องนั้นมีอะไรเลยนอกจากเขาสองคน บานประตูหน้าต่างก็ใส่กลอนปิดอยู่โดยเรียบร้อยเหมือนเมื่อตอนหัวค่ำ
“น้องฝันไปเสียแล้วละจรุง”
“ถ้าน้องฝันทำไมพี่จึงฝันเหมือนกันด้วยเล่า?” เมียสาวกล่าวแย้ง พร้อมกับสั่นหน้า “ผัวเมียฝันอย่างเดียวพร้อม ๆ กัน ตกใจตื่นพร้อมกัน น้องไม่คิดว่าจะเป็นไปได้”
เขาช่วยกันเดินตรวจตราจนทั่วห้องอีกครั้งหนึ่ง ใต้เตียงไม่มีอะไร หนูหรือแมวก็ไม่เห็นมันมีวี่แววให้ปรากฏ ต่อมาอีกราวสิบนาทีจึงชวนกันจะกลับเข้านอน พอเมียสาวเดินผ่านโต๊ะเครื่องแป้งก็เหลือบไปเห็นซิ้มแก่แก้มบุ๋มมีผมมวย ตากลวงเหมือนคนถูกควักเอาลูกตาดำออกทิ้ง ปรากฏตัวอยู่ในกระจกเงา หญิงจีนที่กล่าวกำลังสะพายตะกร้าเครื่องเย็บ มีด้าย เข็มและปลอกทองเหลืองสำหรับใส่นิ้วมือพร้อมเพรียง มันแปลกที่หญิงสาวกลับไม่เห็นหน้าของตัว แต่ไพล่ไปเห็นหน้าซิ้มแก่ หล่อนตกใจโถมเข้ากอดผัวแล้วละล่ำละลักชี้ให้ดูในกระจกก็ไม่พบหน้าใครเลย แม้แต่หน้าของตัวเอง กระจกบานนั้นเป็นกระจกเงาแต่ทำไมเขาจึงมองไม่เห็นหน้าของเขา?
คืนนั้นทั้งคืน ผัวเมียคู่นี้นอนไม่หลับ ตัวเนื้อสั่นเหมือนลูกไก่ถูกลม รู้สึกปวดหัวรุนแรงอย่างเดียวกับคนเป็นโรคไส้ตันกำลังจะต้องถูกผ่าท้อง พอรุ่งขึ้นญาติเห็นเป็นไข้หน้าจ๋อย รู้เรื่องเข้าประกอบกับเป็นครอบครัวที่ยังเชื่อถือในเรื่องผี ๆ สาง ๆ และเวทมนตร์คาถาอยู่ จึงพาตัวไปรดน้ำมนตร์สะเดาะเคราะห์ที่กุฏิหลวงตาเคลิ้มในวัดใหม่ หลวงตาเคลิ้มไต่ถามเรื่องราว พอทราบว่าไปซื้อโต๊ะเครื่องแป้งมาจากถนนวรจักรก็บอกให้ขายเสีย ท่านว่าบางทีมันจะเป็นไม้กระดานโลงผี ให้ไปดูรอยไฟไหม้ บางทีจะหาพบ ซ่อน ๆ อยู่ตามไม้กระดานแถวใต้ตู้ พระท่านเคยเห็น กลายเป็นเรื่องอัปมงคลเช่นนี้มาหลายรายแล้ว บางรายถึงสิ้นชีวิตไปเพราะความกลัวก็มี
เมื่อกลับจากรดน้ำมนตร์แล้ว สามีภรรยาก็ช่วยกันสำรวจดูโต๊ะเครื่องแป้งจนทั่วทั้งด้านในและด้านใต้ ในไม่ช้าก็พบรอยไหม้ไฟซึ่งช่างไม้ทำสะเพร่ามิได้ไสกบลบรอยให้หมด
เขาได้บอกขายตู้เตียงซึ่งผู้ใหญ่จัดซื้อให้ในวันแต่งงานไปทั้งหมด หลังจากนั้นก็อยู่เย็นเป็นสุขด้วยกัน เพื่อนของท่านชายอธิบายว่า น้ำหอมในขวดที่เหม็นกลิ่นดอกไม้จันทน์นั้น เนื่องจากน้ำหอมมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เมื่อเปิดจุกทิ้งไว้มันก็ดูดกลิ่นดอกไม้จันทน์และกลิ่นน้ำเหลืองจากไม้กระดานโลงผีเข้าไปแทนที่กลิ่นอีฟนิ่งอินปารีส กระดานโลงผีทุกแผ่นต้องมีกลิ่นซึมซาบอยู่ในเนื้อไม้ จะล้างกี่น้ำก็ไม่รู้จักหมด เรื่องเหล่านี้สหายของหม่อมเจ้าชายผู้เป็นเพื่อนรักของข้าพเจ้าเล่าให้ฟัง ข้าพเจ้าจะพูดว่าเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ทั้งสองทาง
อดีตนายช่างรับเหมาก่อสร้างผู้หนึ่งชื่อคุณต่อม ได้สาธยายให้ข้าพเจ้าฟังว่า เรื่องสัปเหร่อเอาไม้กระดานโลงผีไปจ้างเลื่อยตามที่นายหลี แซ่แต้ หรือสมผลเล่านั้นเป็นความจริง เขาได้เคยเห็นกับตามาแล้ว และรู้ด้วยว่า โรงเลื่อยคิดค่าจ้างตารางนิ้วละ ๖-๑๐ สตางค์ ในปัจจุบันราคาวิ่งปรูดขึ้นไปเท่าใดข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่คงจะแพงกว่าในสมัยก่อนสงครามอย่างแน่นอน เพราะตู้เตียงเดี๋ยวนี้อย่างเลว ๆ ขายกันถึงชิ้นละสองร้อยกว่าบาท
นายตรวจรถรางคนหนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า “ผมเคยโดนเข้าแล้ว เมื่อเดือน ๖ ที่แล้วมานี่เอง แม่อีหนูมันไปซื้อตู้กับข้าวมาจากเรือเมื่อคราวอพยพ วันหนึ่งมันทำไข่ตุ๋นสับหมูใส่กะทิให้ผมกิน ทำเสร็จแล้วยัดเข้าไว้ในตู้กับข้าว พอยกออกมาตั้งในสำรับ ผมตักซดเข้าไปรู้สึกเหมือนกินขี้ มันเหม็นอย่างฉิบหายวายร้ายรากแตกรากแตนไปตั้งสามวัน ถึงในเวลาที่เล่าก็รู้สึกจะอ้วกเสียให้ได้ มันไม่ใช่อะไรหร็อกครับ อ้ายตู้อัปรีย์ใบนั้นมันทำด้วยเศษไม้กระดานโลงผี ผมเลยสั่งให้เอาไปเผาเสียเลยจัญไรพิลึก!”
ข้าพเจ้าไม่ได้ขอร้องให้ท่านเชื่อเรื่องเหล่านี้ แต่ถ้าหากท่านรู้ชัดว่าไม้กระดานโลงผีได้กลายมาเป็นโต๊ะเครื่องแป้งหรือตู้กับข้าว ท่านก็ควรจะเชื่อไว้บ้าง ไม่ใช่เชื่อเรื่องผีสาง แต่ควรจะเชื่อในเรื่องที่ต้องรักษาความสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวแก่ความสดใสแจ่มกระจ่างทางจิต เราไม่ควรจะรู้สึกว่าเตียงราคาถูก ๆ ที่เราซื้อมานอนนั้น มันเป็นเตียงที่ทำจากไม้กระดานโลงผี!
----------------------------