มนุษย์หน้าผีใจพระ หรือ “ศพเดินได้” คนที่หน้าไม่เหมือนคน

----------------------------

เขาเป็นคนประหลาดที่จะต้องเห็นว่าคนอื่นจนกว่าตัวอยู่วันยังค่ำ เวลาเดินไม่ยอมหลีกคน พบนักมวยมีชื่อเขาก็เดินเรื่อย ๆ เวลากลางคืนชอบไปนั่งสูบบุหรี่โคนต้นโพธิ์ เขาภูมิใจที่เกิดมาเป็นคน แต่มีหน้าเหมือนผี เขาเป็นขอทาน แต่ชอบให้ทาน “เป็นขอทานแล้วปล่อยให้ตัวจนเสียชาติเกิด”

----------------------------

ข้าพเจ้าเคยเห็นหน้าคนมามากแต่ยังไม่เคยเห็นหน้าผี เคยเห็นหน้าคนตายมามากเหมือนกัน แต่หน้าคนตายบางหน้าไม่น่าเกลียด ดูเปล่งปลั่งราวกับหน้าคนเป็นที่อยู่ดีกินดีมั่งมีศรีสุข บางคนก็น่าเกลียดจนกระทั่งข้าพเจ้าคิดเอาเองว่า เมื่อผีมาเห็นก็คงจะต้องเผ่นหนี เช่นเดียวกับคนเดินไปพบผีห้อยหัวอยู่ในป่าช้าแจวห้ออย่างสุดเหยียด เผ่นข้ามท้องร่องท้องคูไปอย่างไม่เหลียวหลัง และพอรู้สึกว่าตัวอยู่ที่ไหน ผมทั้งหัวก็หงอกเรียบวุธไม่มีเหลือ ทั้งกลายเป็นไข้หัวโกร๋นไปเลย

มนุษย์หน้าผีที่ข้าพเจ้ากำลังกล่าวถึงนี้ยังมีชีวิตอยู่ เขายังเป็นคน แต่สหายในตรอกตึกดินเรียกเขาว่า “ศพเดินได้” เพราะรูปร่างลักษณะเหมือนคน หากแต่หน้าไม่เหมือนคน ดังนั้นจึงเป็นคนแต่ตัว ส่วนหน้าของเขากลับไปเหมือนกับหน้าศพ เมื่อออกเดินขยับย่างไปทางไหน ถ้าเป็นเวลากลางวันเปิดโอกาสให้ผู้พบเห็นได้พิจารณาถ่องแท้ จึงจะรู้ว่าไม่ใช่ภูตผีปีศาจมาเที่ยวหลอกหลอนคน แต่ความจริงเป็นคนเราดีๆ นี่เอง จะเป็นความผิดของตัวเขาหรือของใครก็ตามที หน้าของเขาช่างเหมือนกับหน้าศพเสียจริง ๆ หน้าศพคนตายที่ไม่เปล่งปลั่ง ไม่แสดงความอยู่ดีกินดีเสียเลย ตรงข้าม กลับเป็นหน้าที่เหยเกแห้งแล้งและบิดเบ้เหมือนคนที่ต้องตายไปเพราะความอดอยาก ซ้ำยังมีความเป็นห่วงกังวลอยู่ วิญญาณและจิตมิได้สงบลง ต้องเวียนว่ายท่องเที่ยวอยู่ทั่วไป

เขาเดินเข้าออกอยู่แถวตรอกตึกดินที่มีทางวกเวียนและทางแยกติด ๆ กันราวกับนิ้วมือ เวลาเดินก็เดินไปอย่างทื่อ ๆ ไม่ค่อยจะหลีกใคร แต่คนที่เดินสวนทาง ถ้ารู้ว่ามนุษย์หน้าผีกำลังก้าวย่างหรือวิ่งเหย่ามาแต่ไกล เขาจะรีบหลบทันที ถ้าเดินบนถนนก็จะต้องหลบลงข้างล่าง หากเป็นตรอกแคบจะต้องหลบหันหลังเบียดสังกะสีจนตัวแบนทีเดียว

เขาไม่ใช่คนใหญ่คนโต แต่ทุกคนจะต้องหลีกทางให้เขา

เด็ก ๆ ที่เดินจับกลุ่มกันไปโรงเรียน จะร้องขึ้นว่า “คนหน้าผีย่ำโทงๆ มาโน่นแล้ว เฮ้ย--หลีกเร็ว!”

ขบวนเด็กไปโรงเรียนทั้งขบวนจะรีบหันหลังชิดสังกะสีทำตัวแบนลีบเปิดทางให้มนุษย์หน้าผีเดินอย่างทะนงองอาจผ่านไปได้ตามสบาย และเมื่อเขาเดินผ่านไปแล้ว เขาจะไม่เหลียวมองหรือแม้แต่ชำเลืองตาอันขุ่นข้นหันกลับมาดูอีกเลย เขารู้ว่าทุกคนจะต้องหลีกทางให้เขา เป็นธรรมดาอยู่เองที่เมื่อคนหนึ่งชอบเดินตรง อีกคนหนึ่งก็ต้องหลบ เพราะถ้าไม่หลบก็ต้องชนกัน

วันหนึ่งมนุษย์หน้าผีออกไปซื้อกาแฟหิ้วกลับมาให้เมีย บังเอิญสวนทางกับนักมวยมีชื่อ นักมวยร่างใหญ่จมูกแบน หูขอดเป็นใบกะหล่ำปลีคนนั้นท่าทางเอาเรื่อง ชอบเดินทางตรงและถือเอาการเดินไม่หลีกคนเป็นของโก้อยู่เหมือนกัน เขาหิ้วนวมชกมวยติดมือกวัดแกว่งมาด้วย พร้อมกับผิวปากเพลงฝรั่งอย่างเพลิดเพลิน ผู้ที่สวนทางกับเขาจะรีบหลีก นับแต่เจ๊ก ‘มีขวดมาขาย’ ขึ้นไปจนถึงนายทหาร แต่พอประจันหน้ากับมนุษย์หน้าผี นักมวยก็คงถือคติไม่หลีก ‘เดินตรง’ เช่นเคย ครั้นใกล้เข้าไปอีกในระยะประชิดตัว ก็ยังมองไม่เห็นว่ามนุษย์หน้าผีจะหลบลงข้างทางหรือมีทีท่าว่าจะทำเช่นนั้น นักมวยผู้ไม่เคยหลบใครแม้แต่หมัดก็เดินหน้าต่อไป จนกระทั่งชนกันเข้าโครมใหญ่ มนุษย์หน้าผีกระเด็นตกลงไปจากสะพานไม้ กาแฟในกระป๋องที่หิ้วมากระฉอกไปเกือบหมด ส่วนนักมวยผู้มีร่างกายกำยำล่ำใหญ่ยังคงยืนอยู่บนสะพานตามเดิม เขาไม่เซหรือพลาดเสียหลัก เป็นแต่เสื้อฮาวายที่รีดมาเรียบ ๆ ยับเสียกลีบไปบ้างเล็กน้อยเท่านั้น

“อ้ายห่านี่วอนเสียแล้วละมึง” เขาพ่นออกมาด้วยความโกรธ “มีแต่ซี่โครง จวนจะตายซากอยู่แล้ว มาทำอวดศักดา เดี๋ยวพ่อเอาแข้งนาบเสียเลย!”

มนุษย์หน้าผีแห่งตรอกสะพานตึกดินมิได้กล่าวตอบ เขาไม่ได้หันหน้ากลับมามองดู แต่แสดงกิริยาคล้ายกับว่าตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าเดินไปชนกับอะไรเข้า อ้ายหมอนั่นมันจะเป็นนักมวย เป็นเจ๊กขายก๋วยเตี๋ยว หรือเป็นผู้หญิง เขาไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนอะไร กาแฟในกระป๋องที่กระฉอกไปเสียตั้งครึ่งนั่นแหละที่เขาเอาใจใส่มากกว่า เขามองดูแล้วดูเล่า แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

“เฮ้ย หน้าตาอ้ายหมอนี่มันยังไงนี่หว่า” นักมวยหนุ่มพูดขึ้นอีกเพราะยังไม่หายเคืองที่มีคนมาลบลาย “ดูยังกะหน้าเจ๊กตายลอยน้ำ นี่มันคนหรือผีกันแน่โว้ย!”

เพื่อนของนักมวยหนุ่มที่เดินตามติดมาข้างหลัง หยุดมองดูมนุษย์หน้าผีด้วยความรู้สึกราวกับว่าตัวกำลังเข้าไปยืนอยู่ในป่าช้า เขาพูดขึ้นว่า

“นี่มันผีนี่หว่า ไม่ใช่คนแน่ ๆ ถ้ากูเห็นกลางคืนเป็นใส่ตีนหมาวิ่ง ไม่ต้องนึกถึงญาติถึงโยมกันละ”

“มึงอย่าทำปอดไป” นักมวยว่า “ไม่ใช่ผีหร็อก ผีหลอกกลางวันกูไม่เคยพบ”

“ถ้าเป็นคนมันต้องด่ามึงแน่ มึงชนมันเข้าดังตูมถึงตกสะพาน มันยังไม่เหลียวมามอง”

“คนจริงๆ น่ะ มึงอย่าพูดมากมายไปเลย” นักมวยพูด แต่นักมวยคนนี้เองได้กลับไปเล่าให้ญาติของเขาฟังว่า เขารู้สึกใจไม่ค่อยดี และเมื่อตอนจะกลับมานั้น ก้าวขาไม่ค่อยออก ดูเหมือนจะมีมือมาคอยยึดขาไว้

เป็นความจริงที่มนุษย์หน้าผีได้สร้างความหวาดหวั่นให้แก่คนเดินทางทั่วไปอย่างมากมาย บางคนว่าในคืนวันเดือนหงาย เคยเห็นเขาเดินก้มหน้างุดๆ เข้าไปในโคนต้นโพธิ์ข้างกำแพงวัดเทพธิดาแล้วก็หายไป ที่ต้นโพธิ์ใหญ่ต้นนั้น ความจริงก็ไม่ใช่ที่เปลี่ยวจนเกินไปนัก ทั้งเป็นเวลายังหัวค่ำอยู่ ผู้คนยังเดินเข้าออกพลุกพล่าน แม้แต่นักเรียนหญิงไปเรียนกลางคืนก็ยังเพิ่งกลับ อีกหลายคนไปดูจำอวดแล้วเดินลัดเข้าทางตรอกวัดเทพธิดาซึ่งมีทางแยกไปสู่ตรอกตึกดินได้ บางคนก็ผิวปากเอาเสียงเป็นเพื่อน แต่บางคนต้องชวนกันมาหลายคน ครั้นจะไม่ผ่านทางตรอกวัดเทพธิดาใกล้กับทางเข้าโลหะประสาท ก็จะต้องเดินอ้อมเสียเวลานาน

ที่ต้นโพธิ์ใหญ่ต้นนั้น สมัยก่อนที่จะเล่าลือว่ามีผี เด็กคนหนึ่งแลเห็นไฟแดงวาบ ๆ อยู่ตรงโคนต้นไม้ จึงชี้ให้เพื่อนดู เขาทั้งสองอยู่ที่บ้านในตรอกตึกดิน แต่ไปดูจำอวด ขากลับชวนกันเดินลัดเข้าทางตรอกวัดเทพธิดา เมื่อเห็นไฟวาบในชั้นแรกคิดว่าคนนั่งสูบบุหรี่

“ไม่มีอะไรหรอกนะ พวกขอทานมันสูบบุหรี่” คนที่ถูกเพื่อนชี้ให้ดูพูดอย่างใจเย็น แล้วก็ยืนดูอยู่ สักครู่เห็นไฟที่วาบๆ เป็นระยะนั้นเลื่อนขึ้นสูง แล้วก็เคลื่อนตรงมาที่เด็กทั้งสอง จึงเห็นเป็นเงาว่าคนกำลังเดินเข้ามา

“คนหน้าผีน่ะเธอ ไม่ใช่ผีหร็อก เธอจำไม่ได้หรือ?”

อีกคนหนึ่งได้ฟังสหายบอกก็นึกขึ้นได้ แต่ก็อดนึกไม่ได้ว่าเขามีธุระอะไรจึงต้องมาเดินเตร่อยู่ในตรอกเวลาดึก ๆ และมันไม่ใช่เวลาที่มนุษย์ธรรมดาสามัญจะมานั่งสูบบุหรี่อยู่ที่โคนต้นโพธิ์

มีข่าวเล่าลือกันว่า ในบางวันมีผู้เห็นมนุษย์หน้าผีเดินตรงไปที่ต้นโพธิ์แล้วก็หายไป เคยมีเด็กวัดหลายคนชวนกันเข้าไปดูก็มองไม่เห็น จึงเชื่อว่ามนุษย์หน้าผีเป็นปีศาจหรือภูตพรายอะไรมาปรากฏหลอกหลอนคนเดินทาง แต่นายคนรับจ้างปะยางรถจักรยานสามล้อที่อยู่ในตรอกนั้นบอกข้าพเจ้าว่า “เป็นเรื่องเหลวไหลครับคุณ ภูตผีปีศาจมันควรจะอยู่ห่างพระห่างเจ้า ผีเข้าใกล้ต้นโพธิ์ หรือเข้าใกล้ผ้าเหลืองผมไม่เคยเห็น ในตรอกตึกดินซึ่งมีทางเดินทะลุถึงตรอกวัดเทพธิดา มีคนหน้าตาน่าเกลียดอยู่คนหนึ่ง ชื่อตากอน แกเป็นขอทาน แต่ชอบให้ทาน”

นายฉ่ำเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ตากอนเป็นคนประหลาด ที่เห็นว่าคนอื่นจะต้องจนกว่าตัวอยู่วันยังค่ำ ตัวเขาก็ไม่ใช่เศรษฐีเป็นยาจกขอทานเขากิน แต่ไปเที่ยวขอทานที่อื่น ไม่ขอจากเพื่อนบ้านที่อยู่ในตรอกเดียวกัน ตากอนเป็นคนพูดน้อย หรือเป็นคนชนิดที่ถือว่า พูดมากก็เมื่อยปากเปล่า สู้นิ่งฟังไม่ได้ แต่จะพิจารณาเอาว่าเขาไม่ชอบพูดเสียเลยก็ไม่ได้ เพราะถ้ามีธุระต้องขอสตางค์แล้ว เขาจะพูดทันที

เมื่อพบเพื่อนขอทานคนใดปรับทุกข์ให้ฟังว่า ออกขอทานทั้งวันไม่ได้เลย หรือได้น้อย ตากอนจะเรียกมาให้ทานทันที “เอ้า มึงเอาไปใช้บ้าง นี่สองสลึง อ้ายคนระยำ เป็นขอทานแล้วปล่อยให้จน เกิดมาเสียชาติเกิด!”

เมื่อเห็นพรรคพวกที่มีอาชีพอย่างเดียวกันอัตคัดขัดสนเพราะเที่ยวขอสตางค์เลี้ยงตัวไม่ได้ เขาจะมองอย่างเกลียดแกมเวทนาแล้วพูดว่า “ถ้ามึงขอทานเลี้ยงตัวไม่ได้ ก็ไปแจวเรือจ้างซีโว้ยเพื่อนฝูง” เขาพูดราวกับว่า อาชีพขอทานเป็นอาชีพที่เหนือกว่าการแจวเรือจ้างมาก “หากินง่าย ๆ ทั้งสะดวกสบายกลับไม่ชอบ มึงจะรนหาที่ ต้องไปแจวเรือจ้างเสียแล้ว อ้ายแมวเอ๋ย”

มันแปลกที่ว่าเขามีความเคารพในอาชีพขอทานของเขามาก เท่า ๆ กับท่านเจ้ากรมระวังเก้าอี้ของท่านทีเดียว เป็นคนมีภาวะการอยู่กินสกปรกโสมมใกล้ ๆ กับสุนัขใต้ถุนบ้าน แต่เขาชอบเลี้ยงสุนัข วันหนึ่งเขาไปซื้อซาลาเปาลูกละสองสลึง มีไข่แดงหนึ่งเสี้ยวอยู่ข้างใน กุลีล้างท่อเป็นนักดื่มยองดาแลเห็นก็ล้อเอาว่า วันนี้ตากอนมนุษย์หน้าผีคงล่อซาลาเปาอย่างจำหนับทีเดียว “นาน ๆ ได้ลิ้มที กินให้เต็มคราบ อย่าให้เหลือถึงหมาเทียวนะเพื่อน”

แต่เรื่องมันกลับกลายจากหน้ามือเป็นหลังมือ ตากอนซื้อซาลาเปาตั้งสามลูกจริง เพราะรวยมาห้าแผ่น ลูกจีนท่าทางเป็นอาเสี่ยคนหนึ่งโยนให้ที่สามแยก ราวกับว่าธนบัตรห้าบาทมีค่าเท่ากับห้าสตางค์ เขาเป็นคนมัธยัสถ์มาก แม้เงินจะตกถึงมือก็ไม่ยอมซื้อกิน หมูสะเต๊ะสิบไม้บาทที่สามแยก เขาบ่นว่า “แพงฉิบหาย มีสตางค์ซื้อมันกิน มันยังทำท่าคล้ายกะจะมาเป็นพ่อเรา พูดห้วน ๆ และ ไม่ค่อยจะต้อนรับกูเลย อ้ายพวกนี้ก็ดีแต่เมื่อสมัยญี่ปุ่นขึ้น เศรษฐีสงครามคอยปรนปรือพวกมันอยู่หร็อก เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยจะมีใครเข้าร้านมันแล้ว หมูชิ้นมันค่อยใหญ่ขึ้นหน่อย ใครเดินผ่านร้านไม่เข้าไป มันเกือบจะแล่นออกมาฉุดเอาทีเดียว”

เปาะเปี๊ยะทอดตรงข้างตรอกโรงหนังเฉลิมบุรีนั้นก็หยอกอยู่เมื่อไหร่ มันทอดน้ำมันเยิ้มเดือดปุด ๆ กลิ่นเตะกระโดงคางผาง ๆ อยู่ในกระทะ อยากจะซื้อเพราะอยากกินจนน้ำลายไหล เดินรี่เข้าไปทำท่าจะนั่งลง ผู้หญิงผมม้วนหลอดทาปากแดงแจ๋คนหนึ่งหันมามองดูสารรูปเขาแล้วรีบลุกขึ้นยืน เรียกเจ๊กมาเฉ่งสตางค์แล้วก้าวสวบ ๆ เดินหนีไปเลย

“เห็นกูเป็นหมาไปได้” เขาบ่นพึมพำ “กูก็มีสตางค์นี่หว่า”

“อั๊วไม่ได้ว่าลื้อว่าไม่มีเซ็กตาง” เจ๊กทอดเปาะเปี๊ยะว่า “ลื้อมีเซ็กตาง แต่หน้าลื้อมังไม่เหมือนหน้าคง”

“หน้ากูไม่เหมือนหน้าคน แล้วหน้ามึงล่ะเหมือนอะไร?” ตากอนย้อนเข้าให้ แล้วพยักหน้ากลอกตาอันลึกโบ๋เป็นเชิงท้าทาย

“หน้าอั๊วเปงหน้าคง หน้าลื้อเป็นหน้าโอวกุ๊ย” สหายต่างชาติตอบอย่างแยบคายแล้วก็อมยิ้ม “ลื้อกลับไปบ้านลิว ๆ ลีก่าลื้อจิหาเรื่อง อั๊วไม่สู้กะลื้อ”

----------------------------

ซื้อซาลาเปาสามลูกให้หมากิน คนอื่นดูถูกเขาเหมือนดูถูกหมา แต่เขาไม่เคยดูถูกคนเลย แม้แต่หมาก็ไม่เคยดูถูก เขารักและเข้าใจมันดี ยิ่งกว่าเมียที่นอนอยู่ด้วยกัน หล่อนพูดมาก เมื่อต้องการเงินจากผัว แต่พูดน้อย เมื่อผัวต้องการเงินจากหล่อน เขาเป็น “ศพเดินได้” แต่หลังฉากของรูปกาลีที่พระพรหมลิขิตนั้น เขาเป็นคนที่ควรจะลิขิตพรหม...

----------------------------

ออกจากสามแยกได้ก็เดินดุ่มกลับบ้านโดยไม่มองหน้าคนเลย รถจี๊ปคันหนึ่งพุ่งตรงมาที่เขา ในขณะเดินข้ามถนนตอนสี่กั๊กเสาชิงช้า อีกเพียงวินาทีเดียว มนุษย์หน้าผีก็จะต้องถูกบดเป็นผุยผงอยู่กับลูกล้อ แต่เขาไม่หลีก เจ้าแขกดำหน้ามืดเหมือนถ่านไม้โกงกางต้องเหยียบคันห้ามล้อจนสุดแรงเกิด รถหยุดแล้วก็ยังเลื่อนพรืดไปได้อีกตั้งสองวากว่า ส่วนตากอนแกก็เดินของแกไปเรื่อยๆ แขกจะด่าหรือแทบจะลงมาเตะเอา แกก็ไม่รู้เรื่อง พอถึงร้านขายน้ำชาข้างโรงยาฝิ่น ก็แวะซื้อซาลาเปาสามลูกซึ่งเจ๊กคนขายต้องมองหน้าด้วยความประหลาดใจ เพราะเคยซื้ออย่างมากเพียงลูกเดียว ราคาลูกละไม่เกินหนึ่งสลึง แต่คราวนี้เขาสั่งลูกละสองสลึง และสั่งซื้อทีเดียวถึงสามลูก

พอเดินเข้าไปถึงใต้ถุนบ้านหรือที่อาศัยของเขาในตรอกเชิงสะพานตึกดิน เขาตะโกนเรียก “--บุนนาคโว้ย บุนนาคพ่อมาแล้ว”

เงียบไม่มีเสียงคนเดินออกมา ได้ยินแต่เสียงหมาดำตัวหนึ่งลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ แล้วมันก็วิ่งมาหาและแลบลิ้นเลียตามแข้งตามขาซึ่งแสนจะสกปรกของตากอน มันเป็นหมาตัวเมียชื่อบุนนาค ไม่ใช่ลูกหลานหรือเมีย ส่วนเมียของเขากำลังนอนกรนอยู่บนเสื่อที่หน้าระเบียงเรือน เป็นคนชอบทำงานน้อย ๆ แต่ชอบกินมาก ชอบนอนกลางคืนแต่หัวค่ำ เช่นเดียวกับชอบนอนกลางวันเริ่มตั้งแต่ตอนสาย เป็นคนพูดมากในเมื่อต้องการสตางค์จากผัว หล่อนจะพูดน้อยเหลือเกินในเมื่อผัวบอกว่าอยากจะได้สตางค์ไปใช้บ้าง

ตากอนมนุษย์หน้าผีไม่ได้เรียกเมียกินซาลาเปา แกส่งซาลาเปาให้แม่บุนนาคของแกสองลูก ตัวเองบิออกกินลูกหนึ่ง ลากเสื่อที่ม้วนเสือกไว้ใต้บันไดออกมากางใต้ต้นกล้วยทางมุมบ้าน แล้วก็นั่งลงพักผ่อน ตากอนเป็นคน แต่เขาไปที่ไหนจะมีคนรังเกียจเหมือนเห็นสุนัข แต่ตากอนซึ่งเป็นคนกลับไม่เคยรังเกียจสุนัขเลย เขาอยู่กับมันใต้ถุนบ้าน และมีความสุขที่เห็นมันแลบลิ้นออกเลียซาลาเปาลูกละสองสลึงอยู่แผล็บ ๆ

เมียข้าราชการชั้นตรีผู้หนึ่ง บ้านอยู่ใกล้กับตากอนมนุษย์หน้าผี ต้องร้องไห้ตีโพยตีพายกับผัว หาว่าผัวทนเป็นข้าราชการาชอยู่ จึงได้จนยากแทบไม่มีจะกิน ผัวคนอื่นเขาที่เป็นข้าราชการเหมือนกัน เขาออกมาเซ็งลี้จนร่ำรวย เดี๋ยวนี้เมียมีเข็มขัดนากคาดออกป๋อ แหวนเพชรใส่ซ้อนๆ กัน แสดงความมั่งคั่งจนเกือบจะเป็นตัวยี่เกอยู่แล้ว ดูเขามั่งมีศรีสุขกันอย่างเต็มที่ สำหรับตัวหล่อนผ้านุ่งเกือบจะไม่มีปิดส่วนที่คนชอบดูมันล่อนจ้อนจนน่าเกลียดนัก ลูกคนเล็กเงินค่าเล่าเรียนเพียงสิบห้าบาทก็ยังไม่มีให้ เมื่อตีโพยตีพายกับผัวจนถึงกับทะเลาะวิวาทกันเป็นการใหญ่แล้ว ในวันรุ่งขึ้นตากอนมีความสงสารก็แอบไปเรียกเด็กลูกข้าราชการชั้นตรีมาที่ประตูบ้าน แล้วส่งเงินให้สิบห้าบาท สั่งว่า

“หนูเอาไปให้แม่เสียค่าเล่าเรียนเสีย ลุงมีอยู่ไม่ได้ใช้ สงสารหนูก็เอามาให้”

แทนที่จะได้รับคำขอบใจหรือคำสรรเสริญชมเชยจากพ่อแม่ของเด็ก ในการที่เขาสละเงินที่เก็บไว้ตั้งสองสามเดือนมาแล้วออกช่วยเหลือ พ่อแม่ของเด็กรู้เรื่องก็ตบหน้าเด็กเอาสองฉาดจนร้องไห้โฮ แล้วด่าว่า “อ้ายลูกระบำอัปรีย์มาเกิด พ่อแม่มึงจนยิ่งกว่าคนขอทานแล้วหรือ จึงต้องไปเอาเงินจากอ้ายขอทาน จึงรีบเอาไปคืนเดี๋ยวนี้ทีเดียว ไม่รีบเอาไปคืน แม่จะตบให้หน้าพลิก”

ผัวของหล่อนที่เป็นข้าราชการชั้นตรีได้ยินเสียงเมียตีลูกครึกโครมอยู่เป็นการใหญ่ ก็เดินมาถามว่า “มันเรื่องอะไรกันจะให้เอาเงินอะไรไปคืน”

เมียเล่าให้ฟังว่า “อ้ายคนขอทานหน้าผีที่อยู่ใต้ถุนเรือนบ้านโน้น มันเอาเงินมาให้อ้ายจิต (หมายถึงลูกชายของหล่อน) สิบห้าบาท สั่งว่าให้เอาไปเสียค่าเล่าเรียน ทำยังงี้มันก็ดูถูกกันน่ะซี มันไม่ได้มาเป็นพ่อเป็นผัวอะไรกับฉันนี่นา ตัวมันก็จน ๆ เกือบจะไม่มีแดกอยู่แล้ว ยังเสือกกะโหลกทำเป็นคนใจบุญ มันน่าด่าแม่ให้แหลกนัก อ้ายหมาผอมใต้ถุนบ้านตัวนี้”

ผัวได้ฟังเมียเล่าก็แสดงกิริยาฮึดฮัดพลอยโกรธขึ้นมาบ้างในทันที เขาถามว่า “ไหน เงินอยู่ที่ไหน?” และพอรู้ว่าเงินอยู่ที่ลูก ก็โดดเข้ากระตุกแผล็บเอาไปจากมือ “ไม่ได้ มันทำยังงี้ก็เท่ากับดูถูกกัน ฉันยอมไม่ได้ จะต้องกลับเอาเงินไปฟาดหัวมันให้รู้สำนึกตัวไว้”

แล้วเขาก็เดินออกประตูบ้านไปอย่างรวดเร็ว ท่านผู้อ่านคิดว่าข้าราชการชั้นตรีผู้นี้จะเดินเข้าใต้ถุนบ้านอันเป็นที่อาศัยของตากอน แล้วเอาเงินฟาดหัวตากอนหรือ? เปล่าเลย-เขาเดินตรงไปสนามม้า เพราะเป็นวันเสาร์ เที่ยวละ ๕ บาท แทงได้ตั้งสามเที่ยว นายฉ่ำเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า แกไปรู้เรื่องมาจากเพื่อนอีกคนหนึ่ง ซึ่งบังเอิญได้รับเลี้ยงแม่โขงจากข้าราชการผู้นั้น โชคเป็นสิ่งแปลกประหลาด ด้วยเงินทองของตากอนมนุษย์หน้าผี ที่อุทิศให้เป็นค่าเล่าเรียนลูก และแกถูกหาว่าดูถูกนั้น ข้าราชการชั้นตรีได้เอาไปแทงม้าจนร่ำรวยมาถึง ๓๖๐ บาท เขาประกาศด้วยความเมาว่า “นี่เงินมนุษย์หน้าผีโว้ย มันเก็บเอาไว้นานฉิบหาย”

และเมื่อเขารวยมาแล้ว ท่านอย่านึกว่าเมียของเขาจะได้รับเงินค่าใช้จ่ายและค่าเล่าเรียนจากเขา เด็กชายที่น่าสงสารคนนั้นกำลังจะต้องออกจากโรงเรียนอยู่แล้ว เพราะไม่มีเงินจะส่งให้เล่าเรียนอีกต่อไป เมื่อพบมนุษย์หน้าผี เมียข้าราชการที่กล่าวก็มองดูด้วยอาการหยิ่งจองหอง คิดว่าผัวของตัวคงจะเอาเงินกลับไปฟาดหัวเข้าให้แล้ว แต่หล่อนไม่เคยคิดอะไรถูกเลย!

จากดวงหน้าที่ตอบซีด และดวงตาลึกโบ๋นั้น เด็กและผู้หญิงเห็นเข้าก็ตกใจกลัว แต่เขาไม่ใช่ผี เขาเป็นคนที่มีหน้าเหมือนผี ตากอนคือ ‘ศพเดินได้’ แต่เบื้องหลังรูปกายที่ปั้นมาเองไม่ได้นั้น เขาควรจะเป็นพระได้หรือไม่?

ในตรอกวัดเทพธิดาที่ยาวและคดเคี้ยวไปทะลุออกสะพานตึกดิน ไม่เคยปรากฏว่ามีคนร้ายออกมาฉกชิงวิ่งราวในเวลากลางคืน พวกมิจฉาชีพมันกลัวตากอน มันนึกว่าเขาเป็นผี รูปร่างของเขาน่าเกลียด แต่ความน่าเกลียดกลับเป็นสิ่งประกันความปลอดภัยแก่คนทั้งหลาย

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ