ตำรวจแขกผู้ผจญนักเลงบ้านอู่และพวกดงพญาไฟ

----------------------------

เขาไม่รู้จักสุภาสจันทรโพสและอินเดียอิสระ เขายุ่งอยู่กับถั่วและน้ำมันเนยเท่านั้น นายตำรวจได้จ้างช่างไม้ทำกระบองให้เป็นพิเศษ เขามีชีวิตอยู่ด้วยการยื่นหัวให้เป็นที่ทดลองไม้คมแฝก

----------------------------

“ผัวดิฉันถูกแทงกลางหลังครั้งหนึ่ง แต่เขาไม่ตาย ต่อให้ถูกแทงที่ซอกคอและสีข้างอีกสองครั้ง เขาก็ยังไม่ตาย” นางเมาะ-หญิงมอญซึ่งเป็นเมียตำรวจแขก ยืนยามอยู่แถวบ้านบางรักบอกข้าพเจ้า “เดี๋ยวนี้ผัวของดิฉันมีอายุ ๖๕ ปีแล้ว อ่อนแอไปมาก อย่าว่าแต่จะถึงถูกแทงเลย เพียงเอามือซ้ายผลักเบาๆ ก็หงายหลังผลึ่งเสียแล้ว”

ข้าพเจ้าถามว่า “เขาเป็นตำรวจแขกเข้ามารับจ้างอยู่ยาม เขาน่าจะเป็นคนฉลาด ฉันอยากรู้ว่า เขารู้จักสุภาสจันทรโพสอินเดียอิสระที่ฝักฝ่ายกับญี่ปุ่นบ้างหรือเปล่า?”

นางเมาะเคี้ยวหมากแหยะ ๆ ยิงฟันดำเป็นเม็ดน้อยหน่าหัวเราะด้วยเสียงอันดังแล้วตอบว่า “มันจะไปรู้จักอะไรคะคุณ การบ้านการเมืองผัวของดิฉันไม่ยุ่งด้วยหร็อก เขายุ่งอยู่กับถั่วและเนยเท่านั้น”

ผัวของนางเมาะเป็นแขกฮินดู เคยเป็นตำรวจรับจ้างยืนยามอยู่ในสมัยที่นักเลงบ้านอู่กับพวก ‘ดงพญาไฟ’ กำลังสำแดงเดช ซึ่งเต็มไปด้วยความเกกมะเหรกเกเรอย่างรุนแรงจนปราบไม่ลง ตำรวจแขกผัวนางเมาะเป็นคนร่างใหญ่กำยำ มีฉายาตามที่เรียกกันในหมู่นักเลงว่า ‘อ้ายยักษ์’ ความสูงของตำรวจแขกผู้นี้ หากจะวัดกับความสันทัดของคนไทยแล้ว หัวคนไทยจะสูงกว่าเข็มขัดของเขาเพียงคืบเดียวเท่านั้นเอง ในขณะที่ตำรวจรับจ้างคนไทยกำลังจะยื่นใบลาออกเพราะทนอำนาจ ‘ปลายมีด’ ของพวกปีศาจบ้านอู่และดงพญาไฟไม่ไหว แขกฮินดูยักษ์ใหญ่กลับเดินขึ้นไปบนโรงพัก ขอสมัครเป็นตำรวจรับจ้าง สารวัตรใหญ่หัวหน้าโรงพักในสมัยนั้น มองดูร่างอันกำยำของยักษ์ใหญ่ แล้วก็ทำรายงานเสนอขอจ้างไว้ทันที ‘บังไม่กลัวตายหรือ?’ นายตำรวจไทยถาม

“กลัวทำไม ตาย? ยืนก็ตาย นอนก็ตาย มีกินก็ตาย ไม่มีกินก็ตาย” เขาตอบ แล้วต่อมาแขกฮินดูร่างใหญ่ก็ไปเดินแกว่งกระบองกลับไปกลับมาอยู่แถวตรอกไก่ บางรัก ตั้งแต่โรงหนังสาธรเหนือขึ้นไป ซึ่งในบางวันจะมีผู้เห็นเขาไปเดินแกว่งกระบองอยู่แถวบ้านอู่ และในเขตที่ปีศาจร้ายแห่งซ่องดงพญาไฟกำลังอาละวาด เขาเดินตรวจอย่างระมัดระวังงานในหน้าที่เป็นชีวิตแม้จะได้เงินเดือนขั้นแรกเพียงเดือนละ ๑๕ บาท เขาก็มีความสุขในการครองชีพพอแล้ว ไม่ต้องอนาทรร้อนใจอีก

กระบองที่ “อ้ายยักษ์” ถือกวัดแกว่งและครูดไปกับถนนส่งเสียงโปกเปกอยู่เรื่อย ๆ นั้น กรมตำรวจได้สั่งทำให้เป็นพิเศษเพราะมีขนาดผิดธรรมดา ไม้กระบอกซึ่งตำรวจไทยใช้อยู่เดิมเป็นไม้กระบองขนาดสั้น พอสมตัว แต่เมื่อให้ตำรวจแขกลองเอาไปใช้ กลับดูเป็นภาพตลก เหมือนคนหัวโตสวมหมวกเล็ก สารวัตรใหญ่เห็นเพื่อนตำรวจด้วยกันล้อเลียนมากนัก จึงได้เรียกช่างไม้กวางตุ้งมาจ้างทำกระบองให้ใหม่ เปลี่ยนเป็นขนาดยาววาเศษ ตำรวจแขกได้เหน็บกระบองของเขาไว้ในปลอกหนัง แต่ยกขึ้นแบกไว้บนบ่าบ้างเดินแกว่งเล่นบ้างตามถนัด

เขาเคยถูกพวกนักเลงบ้านอู่แอบตีหัวสามครั้ง แต่เมื่อถูกตีแล้วถึงเลือดจะไหลโซมหน้า ก็ยังยืนอยู่เฉย ๆ ไม่ยอมล้มลงหรือส่งเสียงร้องเอะอะ ถ้าเขายังมีกำลังอยู่ เขาก็จะวิ่งไล่ไปทันที แต่พวกนักเลงเหล่านั้น เมื่อลอบทดลองไม้คมแฝกของตนที่หัวตำรวจแขกแล้ว ก็มักจะวิ่งหนีเข้าไปในตรอกไก่ เลี้ยวเข้าซอยเล็ก ๆ อันมืดทึบหายตัวไป

ตำรวจแขกคุยให้ข้าพเจ้าฟังร่วมกับเมียของเขาซึ่งเป็นหญิงมอญว่า พวกนักเลงบ้านอู่นั้น เมื่อตีหัวเขาแล้ว ก็จะวิ่งเข้าใต้ถุนบ้านเตี้ยๆ เพราะมันรู้ดีว่า เขาเป็นคนร่างใหญ่และสูงเกินขนาดใต้ถุนบ้านเตี้ย ๆ ไม่สามารถจะวิ่งไล่ติดตามคนร้ายเข้าไปได้ จึงมักจะเจ็บตัวเปล่า

คนร้ายบางคนตีหัวตำรวจแขกเล่นเพื่อความสนุกเท่านั้นเอง ไม่ได้มีความโกรธเคืองอาฆาตแต่อย่างใด เขารู้สึกว่าตำรวจแขก ‘อดทนดี’ จึงอยากจะรู้ว่าอดทนสักแค่ไหน บางคนตีหัวตำรวจแขก เมื่อนึกว่าไม่มีใครจะมาวิ่งไล่เล่นเอาเถิดกัน เขาอยากจะเล่นเอาเถิด จึงตีหัวตำรวจแขกเพียงเบาะๆ แล้วก็วิ่งพลางกวักมือเรียกพลาง พลตำรวจแขกวิ่งไล่ตามมา ก็หลบแวบเข้าไปเสียในใต้ถุนเรือนเตี้ย ๆ เพียงเท่านี้ ตำรวจแขกจะยืนงงอยู่กับที่ สบถสาบานออกมาเป็นภาษาฮินดีอยู่พักหนึ่งแล้วก็เดินกลับไป

ที่หน้าแข้งตำรวจแขกทั้งสองข้าง มีแผลเป็นอยู่หลายแห่งดูเลอะเทอะไปหมด ข้าพเจ้าถามเขาว่า “ถูกหมากัดหรือ?”

เขาตอบทันทีว่า “ไม่ใช่หมา นาย คน-คนดักตีน่ะ!”

แล้วเราก็คุยกันต่อไป เขาเล่าอย่างสนุกสนานว่า เมื่อรับราชการเป็นตำรวจจ้างพิเศษอยู่นั้น พวกนักเลงบ้านอู่กับพวกดงพญาไฟมักจะชอบนัดมาตีกันในเขตของเขา ยกพวกกันมาคราวละตั้ง ๒๐-๓๐ คน และเมื่อเขาควงกระบองเข้าไปห้ามปราม มันก็จะรุมกันเลี้ยงโต๊ะเอาทีเดียว เขาสู้ทุกครั้งไม่เคยถอนหนี จึงถูกตีบ้าง ถูกแทงบ้าง มีบาดแผลเต็มไปทั้งตัว รอยแผลเป็นที่หน้าแข้งนั้น เกิดจากถูกดักตีในขณะที่เขาวิ่งติดตามคนร้ายเข้าไปในตรอก

สมัยเมื่อ ๒๐ ปีมาแล้ว ในตรอกไก่บางรักมีซ่องลักเล่นการพนันของพวกนักเลงตั้งเรียงรายมั่วสุมกันอยู่มาก ถ้าตำรวจแขกเดินไปตรวจท้องที่ ทำให้บ่อนลักเล่นการพนันต้องหยุดชะงัก เล่นไม่สะดวก พวกนักเลงก็จะส่งเด็กอายุราวๆ ๑๓-๑๕ ปี ให้ออกไปยืนดักอยู่ในทางที่ตำรวจแขกจะเดินแกว่งกระบองมา พอเห็นหน้ากันห่างๆ จะถึงตัว เจ้าเด็กจอมแก่นลูกสมุนนักเลงก็จะเริ่มยั่วโทสะทันที เช่นถามว่า “อาบัง! กินหมูไหม?”

ถ้าบังเอิญเป็นวันที่ตำรวจแขกมีอารมณ์เย็น เขาก็จะเดินแกว่งกระบองตรวจท้องที่ต่อไปตามถนนโดยมิได้โต้ตอบ ส่วนเจ้าเด็กก็จะเริ่มด้วยวิธีใหม่ คือเอาข้ออ้อยหรือก้อนหินเล็ก ๆ ขว้างพร้อมกับร้องด่าแม่ไปด้วยในตัว คราวนี้ยักษ์ดำจะไม่ยอมอดทนอีกต่อไป เพราะถึงแม้ว่าแม่ของเขาจะอยู่ถึงประเทศอินเดีย แต่เขาก็ย่อมจะรักแม่เหมือนคนทั้งหลาย พอขยับตัวจะออกวิ่ง เจ้าเด็กบรมเซียนนั้นก็เผ่นปร๋อเข้าไปในซอยเล็กกลางตรอกนั้นทันที หากว่าตำรวจแขกลังเลใจหรือกลับยืนหอบนิ่งคุมเชิงอยู่เจ้าจอมเซียนก็จะร้องด่าและแหกหูแหกตาล้อผี คราวนี้อาบังตำรวจแขกจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ถึงกับลากพลองวิ่งไล่ตามติดไปทีเดียว

แต่นั่นคือการพลาดท่าเสียทีโดยไม่รู้ตัวทีเดียว เพราะจะมีมือมืดอีกมือหนึ่งแอบอยู่ตรงหัวโค้งในซอยนั้น พอตำรวจแขกวิ่งไล่จวนจะคว้าตัวได้ เจ้ามือมืดก็จะเอาดิ้วฟาดโครมเข้าที่สันหน้าแข้ง ทำให้ตำรวจแขกเสียหลักล้มฮวบลงทันที พลองหลุดจากมือกระเด็นไปไกล แต่เขาก็พยายามเดินโขยกเขยกกลับออกมาสู่ถนนได้ในไม่ช้า

เขาถูกตีหน้าแข้งหลายครั้ง และทุกครั้งถ้าเดินไม่ไหวก็ต้องลาพัก หากพอโขยกเขยกไปได้ เขาก็จะไปทันที มองหาที่ไหนที่ร่มพอนั่งพักได้ก็พักอยู่นิ่ง ๆ การที่เขาไม่ออกเดินตรวจทำให้พวกติดบ่อนในซ่องการพนันได้รับความสะดวก และเพราะเหตุนี้เขาจึงถูกหลอกไป ‘เคาะหน้าแข้ง’ เสียบ่อยๆ

----------------------------

ถูกหลอกไป “เคาะหน้าแข้ง” และถามว่า “อาบังกินหมูไหม?” ถ้ายังหายใจได้เป็นไม่ยอมปล่อยกระบองคู่ชีพหลุดจากมือ คืนเดียว ถูกพวกนักเลงลอบแทงถึงสามผลัด เขาชอบกินฝักมะรุม และติดใจเมียมอญ ไม่คิดกลับอินเดีย...

----------------------------

เคยปรากฏบ้างในบางครั้งที่นับเป็นคราวเคราะห์ของพวกเด็กซน เมื่อลูกพี่ให้ออกไปแลบลิ้นปลิ้นตายั่วตำรวจแขกให้วิ่งไล่พอเห็น ‘อ้ายยักษ์’ ทำเฉย ดูมีอารมณ์ดีใจเย็น ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน จะเป็นด้วยถั่วคลุกน้ำมันเนยตอนเช้ามีรสอร่อยอย่างถึงขนาด หรือมีคนเอาดอกเบี้ยมาส่งถึงห้อง ไม่ต้องตามไปทวงถามถึงบ้าน ไม่มีใครทราบได้ ที่ทราบก็แต่เพียงว่า พวกเด็ก ๆ ลูกน้องซ่องดงพญาไฟไม่สามารถจะหลอกเขาไป “เคาะหน้าแข้ง” ได้ง่ายๆ และเมื่อเจ้าพวกจอมแก่นเหล่านั้นทำการไม่สำเร็จ ก็ชะล่าใจถามว่า “อาบังกินหมูไหม?” ก็เห็นยักษ์ใหญ่เฉยอยู่เป็นปรกติ ทำแฉลบร่อนกางมือเข้าไปเฉียด ๆ หน้า แล้วร้องว่า “ตำรวจแขกจับตุ๊ด” เขายังเดินย่ำเนิบ ๆ ควงกระบองอยู่เป็นปรกติ คราวนี้พวกลอบติดบ่อนพนันเถื่อนชักจะใจไม่สู้ดีเสียแล้ว พวกดูต้นทางเห็นว่าจะใช้วิธีเก่าไม่สำเร็จ จึงเริ่มดำเนินวิธีรุนแรงทันที ในมิช้าจะได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ และเสียงเอะอะดังลั่นตรอกขึ้น ปรากฏว่ามีคนเอาก้อนอิฐปาหัวอ้ายยักษ์ในระยะประชิดตัว แล้วเขาก็จะเผ่นตามทันที รวดเร็วและดุดันเหมือนเกิดพายุใหญ่ นั่นแปลว่าอีกไม่ช้าก็จะมีมือมืดโดดออกมาสกัดตีหน้าแข้งอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อเสียง “เปรี๊ยะ” ซึ่งเป็นเสียงไม้ดิ้วกระทบกับสันแข้งลั่นขึ้นแล้ว ต่อจากนั้นก็จะได้ยินเสียง ‘อ้ายยักษ์’ ล้มลง ไม้กระบองที่สารวัตรสั่งจ้างทำให้เป็นพิเศษกระเด็นหลุดจากมือไปฟาดกับรั้วสังกะสีดังปังใหญ่!

หลังจากนั้นอีกสักครู่ พวกชาวบ้านที่อยู่ตรอกใกล้ซ่องการพนันเถื่อนก็จะเห็น “พระเอกหนังดำ” เดินโขยกเขยกออกมาสู่ถนนใหญ่ ไม่มีใครช่วยเหลือแต่ประการใด ที่สันหน้าแข้งแดงฉานไปด้วยเลือด ไม้กระบองคู่ชีพที่ท่านสารวัตรสั่งให้เป็นพิเศษ ยังคงกุมแน่นอยู่ในมือ เขาไม่ยอมทิ้ง ได้ลากมันออกมาด้วย จะฝากชาวบ้านไว้ก่อนก็ไม่ยอมทำ เขาบอกข้าพเจ้าว่า “ถือกระบองเป็นตำรวจ ไม่ถือกระบองไม่ใช่ตำรวจ ตำรวจไม่มีกระบองเป็นคนตาย”

‘อ้ายยักษ์’ จะหมายความว่าอย่างไรก็ตาม แต่ข้าพเจ้าคิดว่าเขาหมายถึงหน้าที่ที่มีความรับผิดชอบอยู่ เขาไม่ทิ้งไม้กระบองของเขา นั้นหมายความว่า เขายังปักใจมั่นที่จะกลับเข้ามาเผชิญทุกสิ่งในตรอกนั้นอีก

ชายไทยบางคนมีความสงสาร เมื่อเห็นเขานั่งลงเช็ดเลือดอยู่ที่ริมถนนใหญ่

“บัง ไม้กระบองนั่นถือไว้ทำไมนะ หนักจะตาย” คนเดินทางแถวบางรักคนหนึ่งว่า “ส่งมานี่เถอะ จะช่วยถือไว้ให้”

“จั๋นถือเอง” พี่บังหรือ ‘อ้ายยักษ์’ ตอบ “สารวัตรให้จั๋นต้องถือเอง จั๋นเป็นแขกโปลิศ กระบองให้ใครถือไม่ได้”

ทุกคนหัวเราะอย่างสนุกสนานและเห็นอกเห็นใจ เมื่อได้ยินคำพูดของเขา

“วิ่งไล่มันเข้าไปเซ่อ ๆ ได้รึบัง” คนไทยอีกคนหนึ่งว่า “โดนเคาะหน้าแข้งมาตั้งหลายหนแล้ว ควรจะรู้บ้างว่า มันหลอกเอาไปกินเปล่า ซ้อมมือเล่น”

“เป็นโปลิศหนีไม่ได้น่ะ” เขาตอบพร้อมกับยิ้มอย่างใจเย็น “เป็นโปลิศต้องไม่กลัวตายน่ะนาย”

กระบองสั่งทำพิเศษยังคงอยู่ในมือของเขา ถ้าเขายังเดินโขยกเขยกได้ในวันรุ่งขึ้นหรืออาจจะเป็นในคืนวันนั้น จะต้องมีผู้เห็นเขาเดินแกว่งกะบองอยู่อีกในท้องที่เดิม ถ้าเขาเดินไม่ไหว ก็จะนั่งอยู่เงียบ ๆ แถวหน้าโรงจำนำ หรือไม่ก็ในตรอกข้างโรงหนังสาธร บางครั้งจะมีผู้เห็นเขาส่งเสียงร้องเพลงเอะอะแข่งกับเสียงจีนร้องขายโจ๊กไก่ ส่วนแขกยามที่นอนหลับยามอยู่ตามหน้าห้างร้านต่างๆ เมื่อเขาเฉียดไปพบเข้า ก็จะเอาไม้กระบองจี้เข้าให้ที่สีข้างเป็นเชิงปลุก บางทีเขาก็จะนั่งลงคุยด้วย ถ้ามีเพื่อนตำรวจไทยหาผู้หญิงหาเงินฉายมาให้เห็น “อ้ายยักษ์” จะยิ้มทักทายปราศรัยเป็นปรกติ แต่ไม่ยอมทิ้งหน้าที่หรือขาดยาม เขาว่า “คนหน้าตัวเมียไม่ดี มีงานต้องทำน่ะ นาย ไม่มีงานทำไปเที่ยวผู้หญิงดี สนุ้ก”

พวกนักเลงบ้านอู่บางคนใช้ลูกน้องมือใหม่มาล่อตำรวจแขกไปเคาะหน้าแข้ง เจ้าลูกน้องคนนั้นเป็นเด็กเซ่อ ๆ อายุประมาณ ๑๔ ปี มันเอาก้อนอิฐไปปาถูกต้นคอ “อ้ายยักษ์” แล้วก็วิ่งหนี บังเอิญโดดพรวดพราดไปชนเสาไฟฟ้าเข้า พี่บังตะครุบตัวเอาไว้ได้ ชาวบ้านร้านถิ่นตกอกตกใจกันอย่างถึงขนาด คิดว่า “อ้ายยักษ์” จับวานรได้ มันโกรธแค้นมานานวันแล้ว คราวนี้คงจะบดขยี้เจ้าเด็กนั่นจนละลายไปกับพื้นถนนทีเดียว แต่การณ์กลับตรงข้าม เขาจับต้นคอไว้เขย่าไปเขย่ามา แล้วก็หัวเราะชอบใจ

“ฉันขอเสียทีเถอะน่านาย อย่าไปทำมันเลย” แม่ค้าขายขนมหม้อแกงอยู่ปากตรอกเดินเข้าไปพูดกับตำรวจแขก “นึกว่าเอาบุญเถิด”

ในทันใดนั้น เขาจิกหัวเจ้าเด็กจอมแก่นหันมาข้างหน้า ตบเสียสองฉาดแล้วก็ปล่อยตัวไป เขาไม่คิดที่จะเกาะกุมตัวไปโรงพักหรือลงโทษที่ร้ายแรงกว่านั้น “ที่อินเดียก็มีคนชั่วมีคนดีน่ะนาย เมืองไทยคนดีมีมาก คนชั่วมีน้อย ตีหน้าแข้งไม่ตาย จั๋นไม่โกรธน่ะ” เขาพูดกับแม่ค้าแล้วก็เดินลากกระบองต่อไป

วันหนึ่ง พวกนักเลงบ้านอู่กับพวกซ่องดงพญาไฟ เกิดนัดตีกันขึ้นในตรอกหลังโรงหนังสาธรเป็นการใหญ่ วันนี้ไม่ใช่เวรของ “อ้ายยักษ์” แต่เขาขออาสาท่านสารวัตรร่วมมากับตำรวจที่โรงพักด้วย พอได้เวลาภาพยนตร์เลิก พวกนักเลงบ้านอู่ซึ่งมีบังอุยเป็นหัวหน้า กับพวกซ่องดงพญาไฟซึ่งมี “แหยม” เป็นผู้เผด็จการ ก็คุมสมัครพรรคพวกซึ่งแต่ละฝ่ายมีอยู่ประมาณไม่น้อยกว่าสามสิบ พุ่งเข้าโรมรันฟันแทงกันอย่างดุเดือดฉกาจฉกรรจ์ถึงเลือดตกยางออก ฝ่ายผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จึงปรากฏตัวออกห้ามทันที ในชั้นแรกท่านสารวัตรก็ร้องประกาศเป็นเชิงขอร้องไปแต่โดยดีก่อน ครั้นเห็นไม่มีใครฟังเสียง จึงต้องรวมกำลังกันปราบปราม คราวนี้ได้เกิดต่อสู้กันถึงพริกถึงขิง รวมเป็นสามฝ่าย จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร พวกที่หนีรอดพ้นไปได้ก็หนีไป พวกที่หนีไม่รอดเพราะไปไม่ไหวด้วยถูกบาดเจ็บ ก็ถูกเจ้าหน้าที่คุมตัวไว้ได้ร่วม ๑๐ กว่าคน

พอการโรมรันพันตูอย่างดุเดือดสงบลงแล้ว ปรากฏว่าตำรวจแขกลงไปนอนจูบน้ำครำอยู่ในแอ่งดินข้างร้านขายน้ำชา หัวแตกสามแผล พูดไม่ได้ แต่กระบองที่ท่านสารวัตรสั่งทำพิเศษนั้นยังคงกำแน่นอยู่ในมือของเขา

ก่อนลาออกจากหน้าที่ราชการ เขาเคยถูกแทงคืนเดียวถึงสามผลัด ตอนหัวค่ำมีคนมาขอต่อยาแล้วจ้วงแทง เฉียดสะบักขวา เครื่องแบบขาดไปตั้งสองคืบ ตอนตี ๑ กำลังนั่งอยู่บนราวสะพาน มีคนสวมเสื้อกุยเฮงดำนุ่งกางเกงแพรดำ ลงรถรางมาตามหาเพื่อนตำรวจไทย พอเขาเผลอก็โดดเข้าจ้วงแทงด้วยมีดชายธงเฉียดสีข้าง พลาดที่หมายไปเพียงไม่ถึงนิ้ว และในคืนวันเดียวกันนั้นเอง พวกซ่องดงพญาไฟได้ส่งคนออกมาลอบแทงอีกเมื่อตอนที่ ๓ แต่เขายังไม่ถึงที่ตาย มันก็แคล้วคลาดไปได้อีก

ตอนตี ๔ ใกล้รุ่งของคืนที่เขาถูกแทงสามผลัด และเขาได้กลับไปรายงานที่โรงพักแล้ว พวกบ้านอู่กับดงพญาไฟได้คุมพรรคพวกเข้าโรมรันกันอีกครั้งหนึ่ง ข่าวว่าพี่แหยมตายในที่รบและบังอุยนั้นถึงกับแขนขวาหลุดหายไปข้างหนึ่ง รุ่งขึ้นเช้า คนเรือที่เอาฟืนไม้แสมมาขายได้ไปแจ้งความที่โรงพักว่า เขาได้พบแขนมนุษย์ข้างหนึ่งจมดินอยู่ข้างตลิ่ง เข้าใจว่าคงเนื่องจากการโรมรันครั้งใหญ่เมื่อคืนนี้

ตำรวจแขกของเราได้รับยศเป็นนายสิบโท เขางัดเอาเครื่องแบบเก่าๆ และบั้งที่ยังเก็บรักษาไว้ออกมาอวด ข้าพเจ้าได้กลิ่นน้ำมันเนยคลุ้งออกมาจากครัว นางเมาะเมียมอญของเขาทำกับข้าวเก่งไม่ใช่เล่น เขาออกปากชวนให้ข้าพเจ้ากินแกงมะรุมกับเขา ข้าพเจ้าเพิ่งรู้ว่าฝักมะรุมที่คนไทยชอบแกงส้มนั้น แขกอินเดียก็โปรดปรานไม่น้อยเหมือนกัน แต่ข้าพเจ้ามิได้รับคำเชื้อเชิญของเขา

เขาบอกข้าพเจ้าว่า เขาจะไม่กลับไปอินเดียอีกแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่า พี่บังคงติดใจนางเมาะเมียมอญและ—ฝักมะรุม

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ