เสียงคราง...เมื่อตอนตี ๔

----------------------------

ข้าพเจ้าได้ยินเสียงนาฬิกาตี ๑ ตี ๒ ตี ๓ แล้วก็ถึงตี ๔ พอเสียงครางของนาฬิกาในห้องข้างล่างสิ้นสุดลง ธีรศักดิ์ก็ดึงผ้าห่มที่คลุมตัวเขาออกโยนทิ้ง ลุกขึ้นนั่งแล้วเอื้อมมือมาจับแขนข้าพเจ้าเขย่าแรงๆ..

----------------------------

เรากำลังเดินเข้าไปในตรอกมืดใกล้ทางรถไฟสายตะวันออกจากสะพานยมราชตรงเข้าสู่หัวโค้งซึ่งดูเหมือนมีปล่องโรงสีหักนอนแหงนหน้าอยู่ ตามสองข้างทางจะแลเห็นต้นข้าวที่ถูกเก็บเกี่ยวแล้วยืนต้นต้านลมหนาว เช่นเดียวกับคนพิการที่ถูกกำหนดที่ให้อาศัย เมื่อเราเดินเลยโค้งไปประมาณ ๑๕ เมตร ก็ถึงสะพานไม้เก่า ๆ สองแผ่นคู่ พาดข้ามคูผักตบด้านขวามือ ธีรศักดิ์หยุดตรงนั้น ชี้มือข้ามฟากไปที่ตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง

“บ้านใหม่ของกันที่ว่าเพิ่งหาเช่าได้อยู่ในตรอกที่กันชี้มือนี้แหละ” เขาพูด “เงียบดี แต่ตั้งแต่กันมาอยู่ใจคอมันเหี่ยว ๆ ชอบกล จิตใจมันไม่ยอมเงียบเสียเลย มันเต้นและสั่นเหมือนถูกผีหลอกอยู่ตลอดวันตลอดคืน”

“บ้านที่แกเช่าเคยมีคนตายมาก่อนหรือเปล่า?” ข้าพเจ้าถาม เมื่อเดินตามธีรศักดิ์เข้าไปในตรอกนั้นแล้ว

“กันไม่ได้ออกหาบ้านเช่าหลังนี้ด้วยตนเอง เขาตอบด้วยเสียงแผ่ว ๆ คล้ายกับว่าในขณะที่พูดมีอะไรเข้าไปขวางอยู่ในลำคอ “มีนายหน้าพามาตกลงเช่าอีกต่อหนึ่ง กันถามนายหน้าว่าทำไมบ้านนี้จึงว่าง เขาหัวเราะ แล้วห้ามไม่ให้กันถาม และพูดตัดบทเสียทันทีว่า “สมัยนี้จะเลือกอย่างใจไม่ได้ พอมีบ้านให้เช่าอาศัยอยู่ได้ก็ดีแล้ว”

“ในที่สุดแกก็ไม่เคยทราบประวัติบ้านหลังนี้”

“กันมาทราบเอาทีหลังว่าเคยมีคนตาย”

“ฆ่าตัวตายหรือป่วยตาย?”

“คนก่อนเป็น ที.บี. ตาย”

“แกคงหมายความว่ามีคนตายหลายคนแล้ว”

“ถูกทีเดียว กันทราบจากบ้านติดกันว่า เคยมีคนตายมาแล้วถึง ๔ คน”

“ป่วยตายทั้งนั้นหรือ?” ข้าพเจ้าถาม รู้สึกว่าบรรยากาศทึมทึบ และหนักเหมือนศีรษะถูกครอบไว้ด้วยหมวกเหล็ก

“เป็น ที.บี. ตายทุกคน”

“ทำไมเมื่อแกรู้แล้วจึงไม่รีบหาที่ย้ายเสียล่ะ?”

“ย้ายไปไหน แป๊ะเจี้ยตั้งสองสามพัน” เขาตอบเร็ว “ถ้าหาที่ใหม่ได้ แม้จะต้องเสียเงินกินเปล่าสัก ๑,๕๐๐ กันก็จะทูนหัวให้ทีเดียว”

ข้าพเจ้าเห็นใจธีรศักดิ์และข้าราชการต่างจังหวัดทุกคนที่ต้องย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ

ธีรศักดิ์อยู่ที่นี่คนเดียวเท่านั้น เขาไม่มีเพื่อนและญาติหรือครอบครัวอื่นมาอยู่ร่วมด้วย นอกจาก--

“ตาแช่มกับยายพรผัวเมีย” เขาบอก “ผัวเป็นคนดูแลทำความสะอาดในบริเวณบ้าน ส่วนยายเมียกันให้ซักเสื้อทำกับข้าวและถูพื้น ตลอดจนปูที่นอน”

“บ้านของแกกว้างขวางมาก อากาศโปร่งสบาย ลมพัดยังกะอยู่ชายทะเล ไม่น่าจะมีคนเป็นวัณโรคตายเลย”

“กันก็คิดอย่างแกว่านี่แหละ” เขาตอบพร้อมกับโยนกล่องทรีคาสเซิลมาให้ข้าพเจ้า “ล่อเสียคนละตัวก่อน รู้ตัวไว้เถอะว่าคืนนี้แกต้องค้างที่นี่ กันไม่เคยเชื่อในเรื่อง--”

“เรื่องอะไร-เรื่องอะไรที่แก-?”

“เรื่องผีๆ สาง ๆ นะซี” เขาตอบ จ้องตาข้าพเจ้าเขม็ง “กันทนต่อเหตุการณ์เช่นนี้มานานแล้ว”

“แกหมายความ-”

“หมายความว่ากันต้องนอนฟังเสียงระยำอัปรีย์มาตั้ง ๖ เดือนเต็ม ๆ ทีเดียว!”

“เสียงระบำอัปรีย์? แกพูดชอบกล บอกซีว่ามันเป็นเสียงอะไร?”

ดวงหน้าของธีรศักดิ์ในขณะนี้แสดงว่าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“เสียงคราง-เสียงมนุษย์ -เสียงร้องที่เจ็บปวดเหมือนคนกำลังถูกควักลูกตา”

“แกได้ยินเสียงครางในบ้านหลังนี้หรือ?”

“ไม่ใช่ในบ้านหลังนี้ แต่ถึงไม่ใช่ที่นี่กันก็เกือบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว เมื่อแรก ๆ ได้ยินเสียง กันคิดว่ามีคนตกบันไดขาหรือแขนหัก เสียงไม่เครือนัก สั้นและขาดเป็นห้วงๆ แต่เดี๋ยวนี้เสียงที่ครางยิ่งแหบลง มันยาว-สั่นเครือ และแหบโหย กันต้องลุกขึ้นทุกคืนเมื่อตอนตีสี่”

“เสียงครางที่แกได้ยินเริ่มขึ้นในกำหนดเวลาอัน แน่นอนหรือว่าสุดแต่โอกาส?”

“ทุกคืน พอตีสี่ก็ได้ยินทีเดียว”

“ได้ยินมาจากทางไหน?”

“ทางทิศเหนือ แถวบ้านที่มีต้นหูกวางใหญ่ขึ้นอยู่ริมบ่อน้ำนั่นแหละ”

“บ้านนั้นเป็นบ้านเช่าหรือบ้านส่วนตัว?”

“บ้านเช่าเหมือนหลังนี้แหละ แต่เขามาเช่าตั้งแต่สมัยญี่ปุ่นขึ้น”

“เจ้าของเดียวกันหรือ?”

“เจ้าของเดียวกัน ตรอกนี้เรียกกันว่า ตรอกขุนประมวญฯ เพราะขุนประมวญฯ เป็นเจ้าของที่ดิน และปลูกบ้านเช่าไว้รวมหมดด้วยกันถึง ๗ หลัง”

ตลอดเวลาที่เรานั่งสนทนากัน ธีรศักดิ์เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า บ้านติดกับเขานั้นทนายความมาเช่าอยู่ ถัดไปเป็นบ้านนางลัดดา เมียเก็บของนายวิชัยเจ้าของโรงงานกลั่นแอลกอฮอล์ ต่อจากบ้านนางลัดดาก็ถึงบ้านที่ได้ยินเสียงคราง หรือบ้านที่มีต้นหูกวางใหญ่ขึ้นอยู่ริมบ่อ คนที่มีบ้านช่องของตัวเองหรือเช่าเขาอยู่ในตรอกขุนประมวญฯ ต่างก็ได้ยินเสียงประหลาดนี้ทุกคืนไป แต่ไม่เห็นมีใครพูดว่ากระไร นอกจากเป็นที่รู้กันว่าในบ้านนั้นมีหญิงชราอายุประมาณ ๖๐ เศษ เป็นโรคอัมพาตอยู่คนหนึ่ง และนอนร้องครวญครางอยู่เรื่อยๆ กลางวันไม่ค่อยจะได้ยินเสียง แต่เวลาดึกตอนใกล้รุ่งเงียบสงัดมากจึงได้ยินทั่วกัน แต่ไม่มีใครสนใจหรือคิดจะสืบสวนดูให้ได้ความจริงเลย

ธีรศักดิ์บรรยายเรื่องราวอันแปลกประหลาดให้ข้าพเจ้าฟังอีกว่า เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของคนเจ็บป่วยธรรมดา เพราะบางครั้งก็ขาดเป็นห้วงๆ หนักๆ เบาๆ แล้วก็เงียบไป บางคืนก็มีเสียงร้องโอย ๆ และตึงตังโครมครามเหมือนกับว่าได้เกิดการดิ้นรนต่อสู้กันขึ้น

“แกเชื่อว่ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอาชญากรรมหรือ?” ข้าพเจ้าถาม

“กันไม่เชื่อในเรื่องผีๆ สางๆ และเพราะเหตุที่คิดว่ามีการทารุณกรรมอะไรสักอย่างหนึ่ง กันจึงต้องชวนแกมาค้างที่นี่” เขาตอบ “กันไม่เชื่อในเรื่องการตาย โรค ที.บี. หรือโรคอะไรมันไม่เกี่ยวกับเรื่องเสียงครางเมื่อตอนตีสี่อย่างแน่ ๆ กันว่าต้องมีการกระทำอย่างเร้นลับแทรกอยู่”

“เจ้าของบ้านที่มาเช่าอยู่เป็นใครล่ะ?”

“เป็นแพทย์แผนโบราณ อายุประมาณ ๔๐ เศษ รูปร่างล่ำสันใหญ่โตเหมือนนักมวยปล้ำ เขาเรียกกันว่าหมอเชย กันได้ยินข่าวอีตาคนนี้เคยเป็นพลพยาบาลที่เสนารักษ์มาแล้ว อาชีพของเขาที่ทำให้ร่ำรวยคือทำยาเลือดม้าบำรุงโลหิตขาย และรับฉีดยาลับ ๆ โดยอ้างตนเองในบางโอกาสว่าเป็นแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่ง”

“เป็นพฤติกรรมที่ชวนให้แกต้องใช้ความคิดมากทีเดียว”

“ก็นั่นน่ะซี จักร” เขาพูดเสียงดัง “มันทำยาเลือดม้าขาย แต่กันไม่เห็นมีคอกม้าอยู่แถวนั้นเลยในตรอกขุนประมวญฯ มีแต่แมว ตั้งแต่กันมาอยู่ไม่เคยเห็นม้าแม้แต่เพียงมันจะวิ่งผ่าน”

คืนนั้น ข้าพเจ้านอนเตียงเดียวกับธีรศักดิ์

ข้าพเจ้าได้ยินเสียงนาฬิกาตี ๑ ตี ๒ ตี ๓ แล้วก็ถึงตี ๔ พอเสียงครางของนาฬิกาในห้องสิ้นสุดลง ธีรศักดิ์ก็ดึงผ้าห่มที่คลุมตัวเขาออกโยนทิ้ง ลุกขึ้นนั่งแล้วเอื้อมมือมาจับแขนข้าพเจ้าเขย่าแรงๆ

“แกได้ยินหรือยัง เสียงครางนั่นน่ะ มัน-มันกำลังเริ่มขึ้นแล้ว!”

เป็นความจริงทีเดียว เสียงอันแหบโหยด้วยความทรมานกำลังเปล่งกระจายออกมาจากทิศทางของบ้านต้นหูกวางนั้น ในชั้นแรกก็แหบโหย แผ่วเครือเหมือนสุนัขที่ถูกบาดเจ็บนอนจวนจะตายอยู่ข้างทาง แล้วในที่สุดก็ดังขึ้น ๆ จนกลายเป็นเสียงตะโกน และมีเสียงตวาดเสียงฮึดฮัดกัดฟันและเสียงขู่คำราม!

มันไม่ใช่คนป่วยเจ็บครวญครางตามธรรมดา ข้าพเจ้าคิด มันเป็นเหตุการณ์ที่อาจมีภาพอันแสนโหดร้ายซ่อนอยู่เบื้องหลัง

นายร้อยตำรวจโทนิกร ศักดิ์ธำรง ได้ทราบเรื่องราวเหล่านี้จากปากข้าพเจ้าในวันนั้นตอนสาย และอีกสองวันต่อมาจำได้ว่าเป็นเย็นวันเสาร์ นิกรก็แวะมาหาข้าพเจ้าที่บ้านถนนราชวิถี

“เรียบร้อยแล้ว” เขาพูดพร้อมกับหัวเราะด้วยเสียงแจ่มใส “อ้ายหมอเชยพร้อมกับพรรคพวกอีกสองคนถูกรวบตัวไปทั้งโขยง นับจากวันนี้ คุณธีรศักดิ์เพื่อนรักของแกกับคนที่อยู่ในตรอกขุนประมวญฯ จะไม่ได้ยินเสียงครางอีกต่อไป มันไม่ใช่เสียงคนเจ็บคนป่วยหรือเสียงภูตผีปีศาจอะไรหร็อก อ้ายหมอเชยมันเป็นบ้า กันสอบถามได้ความว่ามันปีนกำแพงหนีออกไปจากโรงพยาบาลตั้งหลายปีมาแล้ว อ้ายหมอนี่เป็นบ้าชนิดเอาเรื่อง ไม่ดุร้าย เงียบขรึม แต่ชอบฉีดยา เมื่อฉีดยาคนหนัก ๆ เข้า ขลังจัดขึ้นมาเลยริอ่านสูบเลือดคนเล่น”

“อุบาทว์จริง “ ข้าพเจ้าร้องขึ้นเหมือนคนถูกน้ำร้อนราด

“มันเป็นเรื่องของคนบ้า ในบ้านหลังนั้นมีตะรางพิเศษ สร้างไว้ยังกะคุกบางขวาง มันลงมือทำด้วยมือของมันเอง และเริ่มทำการทดลองด้วยวิธีจับคนแก่ นางแปลกป้าของมันเองยัดเข้าไป”

“เป็นความคิดของคนบ้ามากกว่าที่จะเป็นความคิดของคนธรรมดาสามัญ” ข้าพเจ้าว่า

“ถูกทีเดียว” เขาพูดพร้อมกับหัวเราะอย่างรื่นเริงตามอุปนิสัย “ในที่สุดฤทธิ์บ้าพลังขึ้น มันก็เลยจับตัวล่ามโซ่แล้วสูบเลือดเสียเลย”

“เอาไปทำไม เลือดคน?”

“เอาไปทำต่างเลือดม้าไงล่ะ กันบอกแล้วว่าอ้ายหมอนี่มันหลุดออกมาจากปากคลองสาน แกอย่าไปเอาเรื่องกับมันเลย คนถูกสูบเลือดมันก็ต้องคราง แต่เดี๋ยวนี้กันส่งตัวคุณหมอเข้าตะรางไปแล้ว จึงไม่มีคนที่จะสูบเลือดยายแปลกนั่นอีก บอกเพื่อนแกเถอะว่า เสียงครางจะไม่มีอีกเลย กันรับรองว่าไม่มีจริงๆ”

เขาจุดบุหรี่สูบตัวหนึ่ง “คืนนี้แกต้องพากันไปเลี้ยงที่แป๊ะม้อ กันจัดการให้เรียบร้อยแล้ว” เขาบอกตาเป็นประกายแวววาวคล้ายกับว่าโลกนี้มีแต่สิ่งแจ่มใสไปทั้งหมด

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ