นิคมของ...คนหัวล้าน

----------------------------

คุณน้าเป็นคนหัวล้าน ที่ขึ้นชื่อลือชาอยู่ในบรรดาข้าราชการที่จังหวัดพิจิตรคนหนึ่ง ตรงกลางโหว่เหมือนที่ดินที่ถูกรถแทรกเตอร์ไถตะลุยเข้าไป...

----------------------------

ข้าพเจ้ามีโรคติดตัวอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ใช่หิดที่ชอบขึ้นตามง่ามมือของคนที่ชอบควักล้วงอะไร และไม่ใช่เหาหรือกลากเกลื้อนที่คนขี้เกียจอาบน้ำเผลอไม่ค่อยได้ โรคติดต่อดังว่านี้ ไม่มีหยูกยาอะไรจะมารักษาให้หายได้ เพราะเป็นโรคเกลียดของสูง สำหรับตัวข้าพเจ้านั้น ตามปกติก็ไม่ค่อยจะได้เกลียดอะไร แต่ถ้าลงได้เกลียดแล้ว ก็มักจะไม่เกลียดของต่ำ อารมณ์เกลียดมันเลื่อนปรูดขึ้นไปสูงถึงหูถึงหัวทีเดียว ข้าพเจ้าจะบอกท่านว่า คนจำพวกที่ผมไม่ยอมอยู่บนหัวนั้นข้าพเจ้าเกลียดที่สุด เกลียดจนกระทั่งเมื่อจะพูดคำว่าหัวล้านก็ยังรู้สึกกระดากปาก เช่นเดียวกับนักเรียนใหม่ที่ผ่านเข้าสู่มหาวิทยาลัยแพร่งสรรพศาสตร์เมื่อตอนย่างเท้าเข้าสู่ประตูเป็นครั้งแรกนั้น จะต้องรู้สึกขาแข้งสั่นหูอื้อตาลายอย่างพูดไม่ถูกทีเดียว

เพื่อนบ้านของข้าพเจ้าคนหนึ่งชื่อคุณอำนวย นามสกุลแปลก-อำนวยหวคุรุ มีอาชีพเป็นครู ป.ม. แกเป็นเดือดเป็นแค้นนักที่รู้ว่าข้าพเจ้าเกลียดคนหัวล้าน

“ผมอยากรู้นักว่า คนหัวล้านน่ะมาทำอะไรให้” คุณอำนวยผู้มีหัวเป็นครูว่า “คุณจึงเฝ้าจงเกลียดจงชังเสียราวกับฝรั่งเกลียดกระเทียมเจียว”

ข้าพเจ้าก็เป็นคนจริงคนหนึ่งเหมือนกัน เห็นเพื่อนบ้านมาทำเสียงขึงขังเชิงขู่เอาจริงเอาจัง ก็เลยยักคิ้ว เบ้ปากเชิงนักเลง ยักไหล่นิดหนึ่งจนเสื้อผิดเบอร์ที่สวมอยู่ขาดดังแควกแล้วตะเบ็งเสียงตอบไปว่า

“คุณรู้ไหมว่า ผมเป็นคนชอบของสวยของงาม”

“บนหัวที่ไม่มีผมนั่น ถ้าคุณมองให้ดีก็จะต้องพบความงามที่สว่างแจ่มใสชนิดที่ลูบปราดแล้วจะลื่นเลียนเตียนยออย่างที่ไม่มีอะไรสะกิดติดมือเลย”

เขาพูดเข้าที แต่ท่านอย่าลืมว่า คุณอำนวยเป็นคนหัวล้านคนหนึ่ง หัวล้านอย่างฉกาจทีเดียว คือคล้ายกับว่า ตั้งแต่เกิดมาหัวของแกยังไม่เคยพบเส้นผมเลย

ข้าพเจ้าจำได้ว่า วันที่ต้องประสบความหงุดหงิดใจครั้งใหญ่ในชีวิตนั้นคือ เมื่อประมาณสัก ๘-๙ ปีมาแล้ว น้าชายจากต่างจังหวัดได้มาชวนไปดูแข่งเรือที่วัดนางชี ข้าพเจ้าไม่อยากไปเลย “ผมติดธุระจริง ๆ วันนี้ ผมไปไม่ได้อย่างแน่ ๆ ครับ” ข้าพเจ้าว่า

“นาน ๆ น้าจะลงมากรุงเทพฯ สักครั้ง” คุณน้าพูดเป็นเชิงตัดพ้อต่อว่า “น้าอยากดูอยากเที่ยวให้สนุก แต่-อ้า-บังเอิญหลานก็ปฏิเสธเสียเช่นนี้ ทำให้เสียความตั้งใจไป”

ข้าพเจ้าจะบอกให้ท่านรู้เสียเดี๋ยวนี้ทีเดียวว่า คุณน้าเป็นคนหัวล้านที่ขึ้นชื่อลือชาอยู่ในบรรดาข้าราชการที่จังหวัดพิจิตรคนหนึ่ง ตรงกลางโว่งเหมือนที่ดินที่ถูกรถแทรกเตอร์ไถตะลุยเข้าไป ส่วนพื้นที่เหนือใบหูทั้งสองข้างมีผมขึ้นหยิกหยองอยู่กระหย่อมหนึ่ง แต่ดกหนาเป็นพิเศษเหมือนทัดไว้ด้วยบุหรีใบโพธิ์มวนใหญ่

ท่านคงเห็นแล้วละซีว่า มันไม่ใช่ความสนุกเลยในการเดินเคียงคู่ไปกับคนมีปัญญาที่ผมต้องวิ่งหนีเช่นนี้ แล้วก็วัดนางชีนั่นอีก อันที่จริงถ้าบรรดาแม่ชีทั้งหลายมีผมที่ดัดคลื่นม้วนหลอดหรือทำกะบังหน้าโด่งสูงตั้งคนละฟุตสองฟุตอย่างสาวสังคมในปัจจุบันนี้ เขาก็ไม่เรียกพวกหล่อนว่านางชีหรือแม่ชี เพราะฉะนั้นภาพของแม่ชีจึงต้องเป็นภาพของผู้หญิงแก่หรือสาวที่ถูกโกนหัว หล่อนอาจไม่ใช่คนหัวล้าน เป็นเพียงบุคคลจำพวกที่ไม่ยอมให้มีผมโผล่ขึ้นยาว ๆ จากหนังหัวเท่านั้น แต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าไม่อยากดูเสียเลย ข้าพเจ้าชอบคนที่มีผมตามปกติ ยิ่งตั้งกะบังสูงหลาย ๆ ฟุตได้ หรือม้วนหลอดจนกลายเป็นพวกเงาะป่าตาโตไปได้ก็ยิ่งดี

ดังนั้น เมื่อสรุปแล้ว ข้าพเจ้าจึงรู้สึกตัวว่าต้องอยู่ กันคนละแผ่นดินกับคนหัวล้านอย่างแน่ ๆ เมื่อวานซืนนี้เอง นายร้อยโทสุริยะ แจ่มดวง บ้านอยู่ในตรอกวัดบรมนิวาศ เป็นคนหัวล้านคนเดียวที่มีความจองหองต่อความลื่นเลื่อนของตัว จนถึงกับเที่ยวสบประมาทคนผมดกทั้งหลายว่าเป็นคนเลว ผมในที่ต่ำมันจึงพากันเดินขบวนขึ้นไปชุมนุมกันอยู่บนหัว เขาว่าคนผมดกเป็นคนโง่ ผมก็เหมือนต้นไม้ ต้องมีรากเหง้า ส่วนหัวคนต้องมีรากเหง้า หัวคนก็เช่นเดียวกับพื้นแผ่นดิน ถูกรากผมสูบกินอาหารนาน ๆ เข้าก็หมด เลยขาดปุ๋ย คนไม่มีปุ๋ยอยู่ในหัว ก็เท่ากับคนไม่มีมันสมอง จึงน่าจะเป็นอ้ายงั่งที่คนบอกว่าตัวเป็นพระราชาก็ยอมเชื่อ อย่างไรก็ตาม เหตุผลของร้อยโทสุริยะจะถูกหรือผิดมันไม่ใช่เรื่องของข้าพเจ้า มันควรจะเป็นเรื่องของบรรดาคนหัวล้านจำพวกเดียวกันจะต้องรับผิดชอบมากกว่า

เมื่อวานนี้ ที่ห้างขายยาเวชปกรณ์หัวลำโพงส่งคนเก็บเงินไปเก็บเงินค่ายาที่บ้านหลวงจรูญฯ ที่ตรอกวัดสามพระยา หลวงจรูญฯ ไม่ยอมจ่าย โดยอ้างว่าเจ้าของห้างเวชปกรณ์เยาะเย้ยแกเห็นว่าแกเป็นคนหัวล้าน จึงแกล้งส่งคนหัวล้านมาเก็บเงินจึงงดจ่าย นี่แหละท่าน คนหัวล้านส่วนมากมักพาลรีพาลขวางเช่นนี้ ใจน้อยก็ที่หนึ่ง ขี้ระแวงก็ที่หนึ่ง เมื่อสองเดือนที่แล้วมา นายมานิตย์ นามสกุลโกโก้ (ลืมถามไปว่าใส่นมหรือเปล่า?) เป็นคนรู้จักกัน ได้บ่นมาให้ฟังว่า “ผมต้องเลิกกิจการโรงงานอุตสาหกรรมน้ำมันใส่ผมแล้วปรากฏว่ายุคหลังสงครามนี้ คนหัวล้านในบ้านเมืองมีสถิติสูงขึ้น คนต่างด้าวที่แห่กันมาอยู่เมืองไทยเที่ยวละหมื่นสองหมื่น ส่วนมากเป็นคนหัวล้านทั้งนั้น ชาวอังกฤษที่มาโดยเครื่องบินก็หัวล้าน ชาวอเมริกันก็ล้านขนาดพันขนาดหมื่นไม่มีเลย ผู้หญิงที่ผมเคยดกเป็นดงไผ่ กำลังเป็นทุกข์เป็นร้อนนั่งกอดเข่ากันทั่วเมือง เพราะอยู่ๆ ผมมันก็ร่วงหล่นไปทีละปอยสองปอยจนเกือบจะหมดอยู่แล้ว ถ้าขืนเป็นเช่นนี้น้ำมันใส่ผมจะไปขายกะลิงอะไรได้ที่ไหน ผลสุดท้ายมันก็ต้องเจ๊งเท่านั้นเอง บอกตามตรงว่าผมเกลียดคนหัวล้านเท่า ๆ กับเกลียดยายแก่ที่เอาลิปสติกทาปากนั่นแหละ!

ปฐมเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าเกลียดคนหัวล้านน่ะหรือ? ก็เมื่อคราวไปอยู่จังหวัดร้อยเอ็ดเมื่อปี ๒๔๗๙ ไงล่ะท่าน หลวงอรรถข้าหลวงกับขุนธานีนายอำเภอบ้านลานนา ได้มาชวนข้าพเจ้าร่วมขบวนไปในการตรวจท้องที่ด้วย “คุณชอบยิงนกตกปลา หรือชอบดูของแปลก?” ท่านข้าหลวงถาม

“ของแปลก ๆ ซีครับคุณหลวง ที่จังหวัดนี้มีที่เที่ยวที่ไหนสนุก ผมไปด้วยทั้งนั้น ยิงนกตกปลาน่ะเบื่อเสียแล้ว” ข้าพเจ้าตอบ

“ถ้ายังงั้นผมจะพาคุณนิพนธ์ไปเที่ยวนิคมของคนหัวล้าน”

ข้าพเจ้าพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “อยู่ที่ไหนครับ นิคมของคนหัวล้านอยู่ที่ไหน?”

“อยู่ในท้องที่อำเภอแม่ปรวง ตำบลบ้านม่วง”

ในที่สุดเราก็นัดวันและออกเดินทางไปสู่นิคมของคนหัวล้าน เป็นความจริง ข้าพเจ้าได้เห็นกับตาทีเดียว ที่นั่นมีแต่คนหัวล้านทั้งนั้น ยกเว้นผู้หญิง คนในตำบลบ้านม่วงไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่หรือคนแก่คนเฒ่า ดูราวกับว่าเขานัดกันมาเป็นคนหัวล้านทีเดียว”

“ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ครับคุณหลวง?” ข้าพเจ้าถาม

“คนเหล่านี้เมื่อเกิดมาก็มีผม แต่ครั้นอยู่ไปนาน ๆ เข้าก็ร่วงหมด กลายเป็นคนหัวล้านเลี่ยนไปทุกคน”

“คนจากถิ่นอื่นเข้ามาอยู่ จะต้องกลายเป็นคนหัวล้านไหมครับ?”

“อ๋อ-แน่นอน ทุกคนที่เข้ามาอยู่ตำบลนี้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น ผมจะร่วง แต่อย่างพวกเรามาประเดี๋ยวประด๋าวกลับ หัวไม่ล้าน ผมเคยมาตรวจท้องที่ ๆ บ้านม่วงนี้สิบกว่าครั้งแล้ว ผมไม่เคยทำท่าว่าจะร่วงลงจากหัวเลย”

ข้าพเจ้าชักใจชื้น ถามท่านข้าหลวงต่อไปว่า “ข้าราชการประจำอำเภอนี้เป็นคนหัวล้านหรือเปล่าครับ?”

“ล้านซีคุณ เมื่อย้ายมาจากกรุงเทพฯ ผมหยิกหยักศกสวยยังกะไทโรน แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นเจ้าคุณยมราชไปแล้ว” ท่านข้าหลวงพูดพลางทำหน้าเศร้า “วันหนึ่งเมียเดินทางจากรุงเทพฯ มาเยี่ยมผัว เห็นคนหัวล้านยืนอยู่หน้าอำเภอก็ถามว่าท่านนายอำเภออยู่ไหม คนหัวล้าน (คือนายอำเภอ) เดินตรงเข้ามาหาเมียแล้วถามว่า จำฉันไม่ได้หรือ ฉันนี่แหละคือผัวของเธอ”

พอเมียทราบความก็ร้องไห้โฮ ยังกะได้ข่าวว่าผัวตายไปแล้ว

ต่อมา จนถึงเวลาญี่ปุ่นเข้ามากำแหงอยู่ในเมืองไทยแล้วประมาณปีครึ่ง ข้าพเจ้าพบชายคนหนึ่งที่ร้านแป๊ะม้อ ถนนราชวงศ์ เขาเดินเข้ามาทักทายปราศรัย และเมื่อเห็นข้าพเจ้ายืนงงอยู่ ก็กล่าวขึ้นว่า “คุณนิพนธ์ จำผมไม่ได้หรือ หลวงอรรถฯ ไงล่ะ”

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ