ความรู้สึกของหญิงสาวที่เป็นกามโรค

----------------------------

บรรยายโดย นายแพทย์เจ้าของร้านขายยาใกล้แพร่งสรรพศาสตร์ หญิงบางคนเสียตัวเป็นกามโรค แต่ก็แต่งงานไปโดยผัวไม่รู้เรื่อง พวกสมัครเล่นบางคนขายประเวณี เพราะอยากกินไก่ตอน...

----------------------------

“หล่อนเดินเข้ามาในร้านของผมด้วยความลังเลใจ จดๆ จ้อง ๆ และเต็มไปด้วยอาการเอียงอาย” นายแพทย์ผู้เป็นเจ้าของร้านขายยาอยู่ใกล้ ๆ แพร่งสรรพศาสตร์บอกกับข้าพเจ้า “หล่อนคือนางนกน้อยรูปงามซึ่งบินโฉบฉาบอยู่แถว ๆ นี้ ร้านของผมเป็นร้านที่ผู้หญิงนักเที่ยวรู้จักดี และผมมีขาประจำมากที่สุด บางทีหล่อนก็อาจจะไม่ใช่โสเภณีอาชีพ เป็นเพียงสมัครเล่นใฝ่หาความสำราญใจชั่วครั้งชั่วคราว แต่เมื่อเกิดเป็นกามโรคขึ้น ด้วยความอาย หล่อนไม่รู้จะหันไปหาใคร โดยมากก็มักจะมาหาผม”

นายแพทย์ผู้เป็นหมอเฟเวอริตของหญิงสาวที่ได้รับเชื้อกามโรค ได้คุยกับข้าพเจ้าในเรื่องที่เกี่ยวแก่ภาวะสังคมตลอดจนชีวิตและความรู้สึกของหญิงสาวที่น่าสงสารจำพวกนี้ เขาเล่าว่าหญิงบางคนเมื่อรู้ตัวว่าเป็นกามโรคก็ไม่กล้าจะบอกให้เพื่อนหญิงด้วยกันทราบ ยิ่งเป็นบุคคลในวงญาติด้วยแล้ว นอกจากปรึกษาหารือไม่ได้ หล่อนยังจะต้องปิดความลับไว้ด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด หากความพลาดพลั้งของหล่อนล่วงรู้แพร่หลายในหมู่ญาติมิตร แทนที่จะได้รับความเห็นอกเห็นใจ หรือให้ความช่วยเหลือเท่าที่ควรจะเป็น หล่อนกลับจะต้องถูกขับไล่ออกจากบ้าน ถูกตัดขาดจากญาติมิตร และถูกดูหมิ่นดูแคลนด้วยเหตุที่ต่างก็รู้สึกกันอยู่ว่า การที่หญิงสาวลอบไปกอดเกี่ยวแสวงสุขกับชาย โดยถือเป็นเกมสนุกชั่วครั้งคราวนั้น เป็นการกระทำอันแหลกเหลวเลวทรามต่ำช้าอย่างสิ้นดี ยิ่งหญิงนั้นได้รับเชื้อกามโรคติดตัวมาด้วยเป็นครั้งแรก หล่อนยังใหม่และขาดความชำนาญของชีวิตหล่อนก็จะรู้สึกเหมือนเป็นคนที่ตายแล้วจากความหวังในอนาคต น้ำเชื้อที่จะชูชุบชีวิตให้สดใสร่าเริง ได้เดือดแห้งไปสิ้น นายแพทย์ได้เปรียบเทียบให้ฟังว่า เหมือนกับน้ำมันก้นกระทะที่ถูกโหมด้วยถ่านไฟแดง หญิงที่พลั้งพลาดต้องเสียความบริสุทธิ์แก่ชายผู้แสวงสุขในเชิงกามกรีฑา และตกเป็นเหยื่อของโรคร้ายอันจะทำให้เสียคนโสมมไปด้วยความอัปรีย์จัญไรนั้น มักจะรู้สึกมากไปในด้านประเวณี ตลอดจนในด้านมารยาทและศีลธรรม กล่าวคือความชั่วช้าลามกอย่างถึงขนาดถึงขั้นที่จารึกแน่นอยู่ในวิญญาณ แต่ความจริงหาใช่เช่นนั้นไม่ กามโรคไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้หญิงสาวผู้พลั้งพลาดเสียคนไปจนตลอดชีวิตหากโรคร้ายนี้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและเป็นไปด้วยความระมัดระวัง

“หญิงสาวบางคนที่เป็นกามโรคในระยะแรก และรีบมาหาผมก็จับตัวฉีดยารักษาให้” นายแพทย์พูดด้วยอารมณ์ของคนสนุก “เดี๋ยวนี้เธอแต่งงานไปแล้วและมีบุตรถึงสองคน เรื่องที่เธอพลั้งพลาดเสียตัวแก่ชายชั่วอันเป็นเหตุให้ตกเป็นเหยื่อของกามโรคนั้น ยังเป็นความลับอยู่ แม้แต่สามีของเธอก็ไม่มีโอกาสจะล่วงรู้ได้”

นายแพทย์แห่งนิคมโสเภณีเล่าว่า มีหญิงสาวคนหนึ่ง พ่อเป็นพระยา แต่คุณหญิงตาย พ่อมีภรรยาใหม่ เข้าทำนองหลงเมียน้อย พอตัณหากลับก็คิดแต่เรื่องที่จะหา “อีหนูเล็ก ๆ” มาไว้นวด ส่วนลูกของตัวกำลังเป็นสาวสล้างเปล่งปลั่งไปด้วยราศีแห่งความงาม เจ้าคุณกลับทอดทิ้งไม่เอาใจใส่ ธิดาสาวอายุ ๑๗ ปีกำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง เมื่อสิ้นแม่แล้วก็เลยเสียระเบียบ ถูกนักเลงดีเดินตาม ‘พ่น’ เสียไม่กี่วันเธอก็เคลิบเคลิ้ม ยอมเสียตัวกับเขา เจ้านักเลงกามกรีฑาผู้นั้นเคยเป็นเสือผู้หญิงมาก่อน ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่เชื้อกามโรคจะระบาดหนาแน่นอยู่ทั่วตัว ครั้นได้เกี่ยวข้องกับสตรีสาวบริสุทธิ์เพิ่งเริ่มรู้จักความรักอย่างธิดาของท่านเจ้าคุณ เชื้อโรคร้ายก็ย่อมจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นประจักษ์ภายในเวลาไม่กี่วัน

“เมื่อเธอมาหาผม เธอยืนงงๆ อยู่ พูดอ้อม ๆ แอ้ม ๆ ไม่ได้ความ” หมอเริ่มสาธยายเรื่องธิดาท่านเจ้าคุณ “เธอแต่งกายขะมุกขะมอมเหมือนลูกสาวชาวบ้านธรรมดาสามัญนี่เอง แต่ผิวพรรณตลอดจนกิริยาท่าทางบอกชัดว่าเป็นลูกผู้ดีมีสกุล ผมจึงรีบบอกให้เข้าไปนั่งเสียในห้องรับตรวจโรค พอผมออกปากถามถึงความประสงค์ของเธอ เธอก็โคลงศีรษะคล้ายกับมีความยุ่งยากใจอยู่ท่วมอกเหลือที่จะทนทานไหว พร้อมกันนั้นก็ปล่อยให้น้ำตาร่วงพรูออกมาทีเดียว เธอสะอื้นและมีอาการตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเหมือนลูกนก ผมจึงควักกระเป๋าหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้”

นายแพทย์ผู้นั้นได้ปลอบถามจนทราบความจริง เธอเป็นธิดาคนเล็กของท่านเจ้าคุณ และมีอายุเพียง ๑๘ ปีเท่านั้น เธอได้ถูกชายหนุ่มอายุประมาณ ๒๕-๒๖ ปี ทำการติดต่อขอความรักแล้วในที่สุดได้เสียตัวกับเขาที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งแถวเยาวราช ชายนั้นได้ลอบพาเธอไปพักนอนร่วมกันตามที่ต่างๆ ตามแต่จะเหมาะ และเห็นว่าเร้นลับจากสายตาผู้ที่เคยรู้จักคุ้นเคยโดยทั่วไป เธอได้เล่าเป็นเชิงสารภาพต่อนายแพทย์ว่า วันหนึ่งชายที่เธอหลงรักและเชื่อว่าเขามีความปรารถนาดีต่อเธอ ได้กล่าวชักชวนให้เธอหลบหนีออกไปเสียจากบ้าน เขากับเธอจึงมีโอกาสได้พบกันบ่อย ๆ ตามความต้องการ แต่ในชั้นแรก เขาแนะนำให้เธอไปอยู่ที่บ้านป้าของเขาเป็นการชั่วคราวก่อน บ้านป้าที่กล่าวนี้อยู่ในแพร่งสรรพศาสตร์ ด้วยความรักและเชื่อว่าเขาจะเลี้ยงดูเธอฉันคู่ผัวตัวเมีย เธอจึงตอบรับรองตกลงในไม่ช้านัก

ต่อมาเมื่อได้หนีตามเขาเข้าไปหลบซ่อนอยู่ที่ ‘บ้านป้า’ ในแพร่งสรรพศาสตร์แล้ว เธอจึงได้ทราบว่า ‘บ้านป้า’ นั้นเป็นซ่องโสเภณีลับ ๆ มีนักเที่ยวเปลี่ยนหน้ากันมาเที่ยวทุกคืน บางคนก็ชอบมากลางวัน ซึ่งเป็นการชั่วช้าสามานย์จนเธอไม่อาจจะอยู่ต่อไปได้ เธอเพิ่งรู้ว่าชายหนุ่มสามีลับ ๆ ของเธอนั้นปรารถนาจะให้เธอกลายเป็นผู้หญิงหากินที่ปราศจากความละอาย เขาได้บอกว่าเธอจะมีโอกาสหาเงินใช้ได้บ้าง เพียงเท่านี้เธอก็รู้ตัวเด่นชัดแล้วว่า เขากำลังจะพร่าเกียรติยศของเธอ เขาไม่ได้รักเธอด้วยความบริสุทธิ์ใจ ดังนั้นพอสบโอกาสก็รีบหนีออกไปจากบ้าน ‘คุณป้า’ ซมซานไปพักอยู่กับหญิงแก่คนหนึ่งซึ่งเป็นแม่เลี้ยง หญิงคนนี้ได้เคยเลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่สมัยที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ เธอเล่าความจริงให้ฟังทุกประการมิได้ปิดบังซ่อนเร้น หญิงแก่ผู้ภักดีมีความสงสารจึงยินดีรับรองให้เธออยู่บ้านเดียวกัน แต่บัดนี้กามโรคซึ่งไม่เคยมีความกรุณาต่อผู้ใดได้เริ่มทรมานเธอแล้ว มันปรากฏขึ้นอย่างรุนแรง ผิวเนื้อของเธอที่นิ่มนวลกลับกลายเป็นผื่นแดง และในที่ลับก็ไม่เว้นที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายจะนอนนิ่งเฉย ๆ ได้

นายแพทย์ได้จัดการให้ความช่วยเหลือด้วยการฉีดยาและชำระล้างแผลให้ตามหน้าที่ ในกรณีนี้ คนไข้ยังไม่อาจชำระค่ายาและค่ารักษาได้ ต่อมาเป็นเวลาอีกหลายเดือนจึงมีผู้นำเงินมาชำระให้ในนามของธิดาเจ้าคุณผู้นั้น

“เธอแต่งงานและมีบุตรที่แข็งแรงดีตามปกติ” นายแพทย์บรรยายให้ข้าพเจ้าฟัง “ถ้าหากหญิงสาวที่เป็นกามโรคแล้ว ไม่เก็บเรื่องนิ่งอุบเอาไว้คนเดียว เธอก็อาจมีหวังในชีวิตอันสดใสได้อีก อาจไม่มีใครล่วงรู้ในความพลั้งของเธอ และอาจมีชายที่ดีแต่งงานกับเธอจนมีบุตรด้วยกันตามธรรมดาของหนุ่มสาวที่บริสุทธิ์ทั่วไป”

นายแพทย์เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า แถว ๆ แพร่งสรรพศาสตร์นั้น ควรเรียกได้ว่าเป็นนิคมโสเภณี เพราะมีผู้หญิงโสเภณีทั้งที่เป็นพวกเอาจริงและพวกสมัครเล่นปะปนกันอาศัยอยู่ในเขตนั้นมาก ที่ว่าเป็นพวก ‘เอาจริง’ นั้น คือถือเป็นหน้าที่ของตนที่จะประกอบอาชีพ แต่พวกสมัครเล่นถือเพียงสนุกชั่วคราว หรือมิฉะนั้นก็ขายตัวเป็นครั้งคราวเพื่อหา ‘ค่าดัดผม’ หรือค่าสเกิร์ตใหม่ ผู้หญิงสมัครเล่นบางคนอยากจะกินไก่ตอน ในเวลาที่สงครามกำลังพัวพันกันอยู่นั้น ราคาไก่ตอนงาม ๆ ชนิดอ้วนและมีมันเยิ้มราคาตัวหนึ่งตั้ง ๒๐-๒๕ บาท พอพวกเธอนึกอยากจะกินไก่ตอนขึ้นมา ก็เดินไปบอกตามหน้าห้องเพื่อนฝูง ว่า “เฮ้ย! อีอ้วน (หรือไม่ก็--อีติ๋ม) วันนี้ข้าจะเลี้ยงไก่ตอนเอ็งละวะ!”

หล่อนเดินบอกเป็นเชิงป่าวประกาศให้สหายร่วมสนามกามารมณ์ทราบ เลือกเอาเฉพาะที่สนิทสนมกันมาก ๆ สักสองสามคนแล้ว ก็แปลว่าแม่นกน้อยผู้เป็นนักกีฬาสมัครเล่นตัวนั้นจะได้ทำการขายประเวณี เพื่ออิ่มปากได้กินไก่ตอนอีกประการหนึ่ง—เป็นแน่แท้!

----------------------------

ขายประเวณีเพราะต้องการค่าดัดผม และซื้อลิปสติกเอเยนต์ส่งทูตยายแก่ขายผลไม้ไปตบประตูบ้านเรียกสาวงาม ทำทีเป็นว่ามีธุระจะออกไปซื้อน้ำแข็งหรือไปตลาด แต่ความจริงลอบไปค้าประเวณีโดย “ผัว” ไม่รู้!

----------------------------

นายแพทย์เล่าให้ข้าพเจ้าฟังอย่างสนุกสนานว่า ผู้หญิงที่เป็นสาวรุ่นยามกำดัด บางคนอยากสวย หล่อนเห็นเพื่อนเขาดัดผมกันก็นึกอยากจะดัดผมบ้าง แต่ฐานะของตัวยังไม่เติบโตพอที่จะหาเงินมาดัดผมได้สะดวก จึงได้แต่รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่หากในระหว่างนี้ได้มีเพื่อนฝูงที่รู้เชิงชั้นในการลอบขายประเวณีมาก่อน มาพบปะกันเข้า ก็อาจที่จะชักชวนให้ไปแวะตามบ้านเอเยนต์เป็นบางครั้งบางคราว เพื่อหาเงินมาดัดผม ครั้นต่อมาเมื่อมีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นอีก เช่นลิปติกชนิดสีแดงแปร๊ดฉูดฉาดบาดตา หรือแว่นตาใส่โก้ชนิดที่เรียกกันว่าอิลัสติกกลาสส์ หล่อนก็อดนึกถึงวิธีหาเงินแบบเดิมไม่ได้ เพราะสะดวกดีมาก และในบางครั้งก็ได้รับความสำราญเบิกบานใจพร้อม ๆ กันด้วย กล่าวคือเงินก็ได้ ความสุขในเหลี่ยมของกามารมณ์ก็ได้ แพทย์กล่าวว่า “ผู้หญิงชนิดที่ขายตัวเพื่อดัดผมหรือเพื่อหาเงินไปซื้อเครื่องสำอางชนิดนี้แหละ ที่ในวันหนึ่งหล่อนจะต้องมาร้องไห้สะอึกสะอื้นสารภาพความจริงต่อหน้าผม”

มีหญิงสาวที่ไม่เชื่อว่าได้เสียความบริสุทธิ์แล้วหลายต่อหลายคน ที่ยอมขายสิ่งที่มีค่าสูงสุดในชีวิตของตน เพื่อจะนำเงินไปซื้อผ้าตัดเสื้อสวย ๆ เพียงเมตรครึ่ง หรือสองเมตรสำหรับตัดเสื้อทันสมัยหนึ่งตัว พวกหล่อนเห็นว่าเป็นการได้อย่างคล่อง ๆ เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น เงินจำนวนหนึ่งก็จะตกถึงมือ มันไม่ใช่การแลกที่ต้องสิ้นเปลืองอะไรมากนัก หล่อนขายประเวณีดีกว่าที่จะยอมสวมเสื้อเก่า ๆ ผมก็ไม่ได้ดัดและปากก็ไม่มีลิปสติกทา เหมือนเพื่อนหญิงทั้งหลาย ความต้องการเช่นนี้เป็นความต้องการเพื่อทำตัวให้เด่นเป็นที่สังเกตของเพศตรงข้าม นี่คือความรู้สึกในด้านกามารมณ์ตามธรรมชาติ และเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นเตือนให้หญิงเสียคนได้โดยง่าย

หญิงที่มีอาชีพประจำซ่องเป็นเวลานับตั้งแต่สองสามปีขึ้นไป เกือบทุกคนจะไม่มีความรู้สึกวิตกทุกข์ร้อนเมื่อกามโรคแสดงฤทธิ์เดชของมันปรากฏขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะหล่อนได้เคยผ่านความวิตกอย่างถึงขนาดมาแล้ว ในสมัยที่เป็นกามโรคครั้งแรกหล่อนเคยพาตัวเองไปยืนอยู่หน้าร้านของคุณหมอ และทำกิริยาลับๆ ล่อๆ ทั้งกระดากและอาย รีรออยู่ด้วยความไม่แน่ใจเหมือนกับเพื่อนร่วมเพศที่ตกอยู่ในฐานะต้องการความช่วยเหลือเหล่านั้น แต่เมื่อหล่อนกลับออกมาจากร้านคุณหมอ หากหล่อนยังต้องการความสนุกในเชิงกามอยู่ ต้องการหาเงินมาดัดผมซื้อผ้าตัดเสื้อและลิปสติก หล่อนก็อาจจะไม่คิดถึงการกลับตัวอีก ยิ่งเมื่อการรักษาตามวิธีการของแพทย์ปัจจุบันให้ผลทันตา เม็ดผื่นแดง ๆ ตามตัวหายไปภายในเวลาไม่กี่วัน เข้าข้อออกดอกหรือกามโรคที่มีอาการร้ายแรงก็ไม่อาจต่อสู้กับยาฉีดที่มีประสิทธิภาพได้ หล่อนรู้เช่นนี้ หล่อนก็เกิดลังเลใจไม่แน่นอนในระหว่างความคิดสองทางแยก คือทางหนึ่งกลับไปสู่ชีวิตปกติ หล่อนอาจจะแต่งงานมีสามีและมีบุตรกับเขาเยี่ยงคู่ผัวตัวเมียทั้งหลาย และโยน ‘สมุดบันทึกเล่มเก่าในหัวใจ’ เข้าเตาถ่านเผาวินาศไปในทันที อีกทางหนึ่งหล่อนจะกลับไป สู่ความต้องการในแบบของหญิงที่มีอาชีพขายประเวณี เพราะเห็นเป็นของสนุก หาเงินใช้สอยได้อย่างคล่องๆ หล่อนยังมีความเป็นสาว หน้าตายังเปล่งปลั่งอยู่ตามวัย พวกนักเที่ยวหรือนักนิยมกามกรีฑายังต้องการหล่อนอยู่

หญิงชนิดที่ไม่คิดจะกลับไปแต่งงานมีบุตรเป็นแม่บ้านแม่เรือนดังกล่าวนี้ ได้ก้าวผ่านธรณีประตูร้านขายยาของนายแพทย์เข้าๆ ออกๆ อยู่เสมอ บางคนพอเห็นหน้า นายแพทย์จะพูดว่า “เที่ยวนี้ดูผอมไปมากนี่ อย่าปล่อยตัวขนาดหนักนักซี พักผ่อนเสียบ้าง อย่าเห็นแก่เงินมากนัก”

นายแพทย์จำได้ว่า เมื่อมาหาครั้งแรก หญิงคนเดียวกันนี้ร้องไห้โฮทีเดียว เมื่อเขาออกปากถามว่า “เป็นอะไร” ความหวาดกลัวต่อเชื้อโรคร้ายทำให้เธอหมดหวังต่อชีวิต แต่ในขณะนี้เธอพูดกับนายแพทย์ด้วยอาการหัวเราะร่วน “เมื่อวานซืนนี้ก็มาหาผมคนหนึ่ง หล่อนบอกว่าปวดมดลูกจะให้ผมรักษาให้หายตามเคย แต่หล่อนไม่ร้องไห้หรอกคุณ พอเห็นหน้าผมก็หัวเราะแฉ่งทีเดียว ในปากคาบโกลด์เฟลกซ์พ่นควันปุ๋ยอย่างสบาย”

นายแพทย์แห่งนิคมโสเภณีแพร่งสรรพศาสตร์เล่าว่า หญิงขายประเวณีอาชีพคนนี้ “มาฉีดยาอยู่กับผม ๕ ปีแล้ว” หล่อนเริ่มเป็นกามโรคครั้งแรกเมื่อมีอายุเพียง ๑๗ ปี เดี๋ยวนี้อายุหล่อน ๒๒ ปีแล้ว แต่ความสวยตามธรรมชาติเหลืออยู่ไม่ถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ หล่อนใช้วิธีตกแต่งความงามของตัวด้วยเครื่องสำอาง ดังนั้นเมื่อถึงเวลาเข้าไต้เข้าไฟแล้ว เพียงแต่ฉาบไปฉายมาให้พวกเหยี่ยวแลเห็น พวกนั้นก็ยังไม่ถึงกับเบ้หน้าเสียทีเดียว เขาจะร้องว่า “เฮ้ย พอใช้ได้”

แต่ย่อมเป็นธรรมดาที่ค่าตัวของหล่อนย่อมจะตกลงไปบ้าง จริงอยู่ เมื่อตอนเกิดสงครามหล่อนหาเงินได้มาก แต่เดี๋ยวนี้ค่ากอดเกี่ยวตกลงบ้างแล้ว เพราะพวกเซ็งลี้หมดทางหาเงินได้คล่องๆ เหมือนแต่ก่อน ขาประจำหรือ ‘คู่เคย’ ของหล่อนลดจำนวนลงและหายหน้าไปเรื่อย ๆ นายแพทย์ว่า “สายเสียแล้วถ้าหล่อนคิดจะกลับใจมีลูกมีผัวให้เป็นฝั่งฝา ในตอนนี้หล่อนก็อาจจะทำได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ในที่สุดจะต้องกลับมาสู่สนามกามารมณ์อีก มันติดตัวยิ่งเสียกว่าที่ผมติดกาแฟและบุหรี่เสียอีก พอถึงเวลาก็จะมีอำนาจลึกลับมาเคาะประตูเรียก ถ้าไม่แต่งตัวออกไป อกแตกตาย”

หญิงสาวที่พลาดพลั้งพาตัวผงะหงายลงสู่หลุมสำหรับฝังคนทั้งเป็นดังกล่าวแล้ว มีน้อยคนนักที่จะกลับตัวได้ “ขาประจำของผมอยู่ในแพร่งนี้ไม่น้อยกว่า ๕๐ คน ไม่ใช่หญิงสาวในระหว่าง ๑๗ ถึง ๓๕ เท่านั้นที่ได้รับเชื้อกามโรค ผู้หญิงอายุ ๔๐ ถึง ๔๕ ที่อยู่ในแพร่งเคยมาขอให้ผมฉีดยาก็มี บางคนมีสามีเป็นข้าราชการ แต่จะเป็นเพราะอัตคัดขาดแคลนในยามสงครามนี้หรือเพราะเหตุใดผมก็ไม่ทราบ เธอจึงยอมขายตัว เรื่องที่พูดกันว่า คุณนายบางคนเอาเงินที่ผัวให้ไว้ซื้อกับข้าวไปเล่นไพ่เสียหมด จึงต้อง “แวะ” ไปหาเอเยนต์เพื่อหาค่ากับข้าว นั่นเป็นเรื่องเก่า แต่เท่าที่ผมทราบ มันไม่ใช่อย่างที่เขาพูดกัน คุณนายผู้หนึ่งอายุ ๔๐ เศษแล้ว เธอมีลูกถึง ๔ คน ครั้นผัวต้องถูกปลดจากตำแหน่งหน้าที่ราชการ เมียไม่อาจจะทนดูลูกเล็ก ๆ อดอยากได้ จึงแวะไปหาเอเยนต์โดยที่ผัวของคุณนายก็รู้เห็นอยู่เต็มอก สำหรับพวกนักเลงกามกรีฑาน่ะมันไม่เลือกหรอกคุณ พวกนี้บางคนเมื่อไปถึงซ่อง เขาจะถามว่า “มีดีๆ ไหม ขาประจำฉันเบื่อเสียแล้ว ถ้ามีคนดีๆ ก็ไปตามมา!”

ผู้หญิงที่เป็นกามโรคนั้น นายแพทย์อธิบายว่า ส่วนใหญ่มีอยู่สองประเภท ประเภทหนึ่งขายประเวณีเพื่อแสวงชีวิตอันฟุ่มเฟือยทันหน้าทันตาเพื่อน อีกประเภทหนึ่งขายประเวณีเพื่อแก้ขัดเพราะความจำเป็นแก่ชีวิต แต่ทั้งสองประเภทนี้ก็ไม่อาจจะยืนอยู่นอกธรณีประตูโรงพยาบาลหรือร้านขายยาได้ ไม่วันเสาร์ก็วันอาทิตย์ ถ้าไม่ใช่วันอาทิตย์ก็เป็นวันจันทร์ ให้คอยนับไปเถิด ในที่สุดก็จะต้องข้ามธรณีประตูเข้ามาในวันหนึ่ง

ในนิคมโสเภณีแพร่งสรรพศาสตร์ ซึ่งนายแพทย์เรียกเอาเองนั้น ตามบ้านล้อมรอบชั้นนอกออกมา ส่วนมากเป็นบ้านคนสามัญ แต่นักเที่ยวจะรู้ดีว่า บางบ้านภายในรั้วสังกะสีอันเอียงเท่จวนจะล้มมิล้มแหล่นั้น มีหญิงที่ต้องการจะค้าประเวณีนอนรออยู่ บางคนเป็นลูกสาวกำลังสวยกำลังงาม บางคนเป็นคุณนายเมีย ข้าราชการ และบางคนก็เป็นคนใช้สาว ๆ วิธีที่เอเยนต์จะไปตามตัวมานั้น นายแพทย์บอกว่าให้คอยสังเกตดูแม่ค้าแก่ ๆ ที่หาบมะพร้าวอ่อนหรือผลไม้อื่น ๆ ที่เดินขายอยู่ตามตรอกซอกทั่วไปในแพร่งนั้น ถ้าแม่ค้าชนิดที่กล่าวเดินเข้าไปในบ้านไหนจะเป็นด้วยตบประตูเรียกหรือเดินเข้าไปเฉย ๆ ก็ตาม นั่นแหละ--ขอให้เป็นที่เข้าใจเถิดว่า เอเยนต์ให้มาตามตัวโดยด่วนละ อีกสักครู่หญิงที่ต้องการขายประเวณีก็จะแต่งตัวออกไป ทำเป็นว่าไปซื้อของ เช่นไปซื้อกับข้าว ซื้อน้ำแข็ง หรือไปกิจธุระอื่นตามแต่จะคิดขึ้นได้

คุณหมอว่า “ลูกเมียใครต่อใครที่คิดว่าเป็นคนดี ได้เสียไปเพราะยายแก่แม่ค้าขายผลไม้ชนิดที่ผมกล่าวนี้ไม่น้อยเลย แต่ขอให้คิดดูเถิด รายได้ของผมอยู่ที่หญิงประเภทนี้ ถ้าไม่มีพวกเธอผมก็เสียรายได้ประจำไป”

นายแพทย์ยื่นซีเนียร์เซอร์วิสมาให้ข้าพเจ้าจุดสูบ เขาพูดต่อท้ายอีกว่า “ผู้หญิงที่เป็นกามโรคจะหวาดกลัวก็แต่ในครั้งแรกเท่านั้น แต่พอรู้ว่าเป็นโรคที่รักษาได้ พวกเธอก็หมดความระย่อท้อถอย เธอจะเล่นเกมชีวิตของเธอต่อไปได้อีกอย่างสบายทีเดียว

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ