คนใต้ถุนบ้าน

----------------------------

นายวอนได้รับคำบอกเล่าจากหัวหน้าคนงานว่า เนื่องจากบริษัทจำต้องปรับงบประมาณใหม่เพื่อความมั่นคง จำเป็นต้องลดเงินเดือนคนงานลงหนึ่งในสามของจำนวนที่ได้รับอยู่ตอนนี้ เขาเริ่มจะสงสัยบ้างแล้ว ว่านอกจากเงินเดือนที่หวังจะได้ขึ้น กลับประสบความจริงที่ต้องลดลง “เอ-นี่ มันยังไงกันหว่า ความพากเพียรกับความอดทนช่างไม่ช่วยตัวกูเสียบ้างเลย”...

----------------------------

“ตีมันทำไม ร้องไห้เอะอะ ชาวบ้านเขาจะด่าเอา” เสียงตาผัวร้องถามอู้อี้มาจากในมุ้ง

“อีหนุ่ยมันคลานลอดรั้วไปหยิบกระดูกไก่มากิน” เป็นเสียงผู้หญิงตอบ “มันตะกละตะกลามยังกะตัวห่าตัวกระสือ”

“กระดูกไก่ที่ไหนล่ะ แช่ม”

“กระดูกไก่ที่คนครัวบ้านใหญ่หลังโน้นเอามาทิ้งท่อน่ะซี” เมียของเขาตอบด้วยเสียงห้วนๆ “แกลืมไปแล้วหรือ ว่าเมื่อวานนี้เขามีการแต่งงานลูกสาว เชิญแขกรับเป็นร้อยๆ ตั้งโต๊ะเลี้ยงดูกันเกือบเต็มสนาม”

“ก็แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ” นายวอนผู้ชายคนเดียวกับที่ชาวบ้านสมัครใจเรียกว่า “ตาวอน” พูด พอขาดคำก็เปิดมุ้งเอามือยันพื้น พยุงตัวออกมานั่งข้างนอก

“มันเกี่ยวซีแก ทำไมจะไม่เกี่ยว เขาเอามาทิ้งให้หมากินแท้ๆ อีหนุ่ยคลานไปเก็บเอามากินจึงต้องตีให้เข็ด ของบ้านเราดีๆ ไม่บูดไม่เน่าไม่ชอบกิน หยิบป้อนใส่ปากกลับคายทิ้ง สันดานอีลูกคนนี้มันเลว มันชอบกินกระดูกเหลือหมากูไม่เคยเห็น เคยเห็นแต่หมากินเหลือคน ลูกผีปอบอย่างนี้เลี้ยงไม่ได้ แม่จะตีให้กระอักเลือดทีเดียว” พูดขาดคำก็หยิบด้ามไม้กวาดฟาดซ้อนๆ ลงไปตามตัวลูกหญิงอายุ ๔ ขวบอย่างไม่เลือกที่ “ตะกละนัก ตะกละนัก อีลูกตายอดตายอยาก!”

นายวอนโดดเข้าไปห้ามนางแช่มคู่ทุกข์คู่ยาก ดึงตัวลูกกันเอามาไว้เสียทางหนึ่งแล้วว่า “ขอเสียทีเถอะ แม่แช่ม ตัวมันรุม ๆ ไม่ค่อยสบายอยู่ อย่าไปตีมันเลย”

“ต้องตีให้ตาย เอาไว้ไม่ได้หรอก เด็กตายอดตายอยากไม่เคยเห็น”

อาการของผัวซึ่งสงบนิ่งและพูดเรื่อย ๆ มาตั้งแต่ต้น ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปทันที เขาเดินตรงเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้านางแช่มเมียรัก พูดพร้อมกับหัวเราะแค่นๆ ว่า “มันอดจริง ๆ นะแช่ม ลูกของเรามันไม่เหมือนลูกคนมั่งมีเขา ตั้งแต่เกิดมามันได้พบแต่กะปิน้ำปลา อย่างดีก็ปลาทูเค็มคลุกข้าว ไม่ค่อยได้พบชิ้นเนื้อชิ้นไก่และชิ้นหมู มันไม่ใช่เด็กตายอดตายอยาก มันทั้งอดทั้งอยาก แต่มันไม่ตาย แกอย่าไปเหมาเอาว่ามันอยู่ดีกินดี โธ่!” เสียงอันกระเส่าแกมสะอื้นของเขาขาดห้วนลง ไอแห้ง ๆ สองสามครั้งแล้วจึงพูดต่อไป “มันไม่ใช่ความผิดของใครเลยมันเป็นความผิดของฉันที่เกิดมาจน ฉันไม่รู้เลยว่าลูกจะต้องมาเกิดด้วย เมื่อฉันจน ลูกจึงต้องคลานไปเก็บกระดูกกิน--กระดูกที่หมามันก็ยังไม่กินกันแล้ว ความจริงอีหนุ่ยมันไม่ใช่เด็กตะกละเมื่อมันอดเพราะพ่อมันเป็นคนจน หาให้มันกินไม่พอ มันก็ต้องเก็บกระดูกมากิน เศษอาหารของบ้านใหญ่ที่เขาเหลือกิน เอามาเททิ้งให้หมา ความจริงมันยังดีกว่ากับข้าวที่พ่อแม่ลูกเรากินกันเสียอีก”

“พี่วอนไม่ผิด” เมียเขาพูดสวนขึ้นทันที “พี่วอนไม่ผิด อีหนุ่ยมันตะกละ พี่วอนเกิดมาสำหรับครอบครัวแท้ๆ” พูดแล้วก็เบือนหน้าหนี ขว้างไม้กวาดที่ตีลูกกระเด็นไปไกล ส่วนเด็กหญิงอายุ ๔ ขวบนั้น แม้ว่าแม่ของหนูจะหยุดตีแล้ว ก็ยังยืนสะอื้นตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่

“หนุ่ยเป็นเด็กดี หนุ่ยไม่ตะกละ หนุ่ยหิวใช่ไหมลูก” นายวอนหันไปปลอบลูก แล้วหันมาพูดกับเมีย “ฉันทำงานตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ก็เพื่อลูกเพื่อเมีย ถ้าไม่ใช่เพื่อลูกเพื่อเมีย ฉันคงไม่ทำงานมากถึงเพียงนี้”

คำพูดของเขาแสดงให้เห็นว่า เขาทำงานเพื่อลูกเพื่อเมียจริงๆ

และในฐานะที่เป็นคนซื่อ เขาไม่เคยสงสัยเลยว่า ในโลกนี้เขาจะทำงานเพื่อใครกันอีก เขานึกถึงแต่ความสุขของลูกเมียเท่านั้น และเขาไม่เชื่อด้วยว่า เขามีชีวิตอยู่เพื่อตัวของเขาเอง

นายวอนเป็นกรรมกรสามัญอยู่ในโรงงานถลุงแร่ดีบุกแห่งหนึ่ง โรงงานถลุงแร่แห่งนี้เป็นของนายสุชาติเศรษฐีใหญ่และนายสุชาติเป็นเจ้าของบ้านหลังมหึมา ซึ่งได้ใช้เป็นที่ประกอบพิธีสมรสของบุตรสาวดังกล่าวแล้ว นอกจากจะได้ทำงานอยู่ในโรงงานนายสุชาติมาสิบกว่าปี นายวอนยังเป็นคนที่นายของเขาเมตตาเรียกเอาตัวไปใช้บ่อยๆ ด้วย

“วอนมันเป็นคนซื่อดี กลางค่ำกลางคืนเรียกตัวใช้สอยได้คล่อง จะต้องพิจารณาขึ้นเงินเดือนให้เสียที” เศรษฐีสุชาติกล่าว หลังจากที่ได้เรียกตัวไปล้างส้วมในบ้าน อันนับเป็นงานส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ต่อจากนั้นอีกสองปี บริษัทได้ขยายกิจการไพศาลออกไปมาก แต่วอนยังคงได้รับเงินเดือนเท่าเดิมอยู่ “ท่านคงจะลืม งานท่านมาก” กรรมกรถลุงแร่ผู้นี้คิด “แต่ท่านคงจะขึ้นให้เราในไม่ช้า”

อีก ๖ เดือนพ้นไป วอนได้รับคำบอกเล่าจากหัวหน้าคนงานว่า เนื่องจากบริษัทจำต้องปรับงบประมาณใหม่ เพื่อความมั่นคง จำเป็นจะต้องลดเงินเดือนคนงานลงหนึ่งในสามของจำนวนที่ได้รับอยู่ ตอนนี้เขาเริ่มจะสงสัยบ้างแล้ว ว่านอกจากเงินเดือนที่หวังจะได้ขึ้น กลับประสบความจริงที่ต้องถูกลดลง

“เอ-นี่มันยังไงกันนี่หว่า ความพากเพียรกับความอดทนช่างไม่ช่วยตัวกูเสียบ้างเลย”

เขาจำต้องทำงานต่อไป เขามีลูกมีเมียที่จะต้องรับผิดชอบ

อีก ๔ เดือนล่วงแล้ว เขาได้พบนายสุชาติเศรษฐีใหญ่ที่ประตูโรงงาน นายสุชาติพูดขึ้นว่า “วอน แกเป็นคนดีมาก คนดีต้องมีน้ำอดน้ำทน รออีกสักหน่อยเถอะ ฉันจะขึ้นเงินเดือนให้อย่างงาม ๆ ทีเดียว”

วอนเกือบจะหลุดปากถามออกไปแล้วว่า “ท่านจะขึ้นเงินเดือนให้ผมน่ะ จะขึ้นให้เท่าเก่าหรือขึ้นเลยไปกว่านั้นอีก?”

แต่เขายังไม่ทันจะพูด เศรษฐีสุชาติก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า “ได้ทราบว่าเมียแกออกลูก ฉันไม่มีเวลาจะแวะไปเยี่ยม คุณนายเมียของฉันก็คลอดบุตรเหมือนกัน แกควรจะบอกให้เมียแกขึ้นไปรับใช้บ้างซี ถ้าได้เห็นหน้าเห็นตาบ่อย ๆ เงินเดือนของแกจะได้ขึ้นเร็วขึ้นอีก”

“ขอบพระเดชพระคุณครับ” วอนตอบ “แล้วกระผมจะสั่งให้เขาขึ้นไปรับใช้บนตึก”

“เออ ดี แกเป็นคนซื่อสัตย์ดีมาก เกิดมาเป็นคนต้องซื่อสัตย์ ต้องถือความกตัญญูรู้คุณเป็นที่ตั้ง ฉันเห็นใจแก วอน แกจะต้องได้รับเงินเดือนขึ้นก่อนคนอื่น” เมื่อพูดจาสั่งสอนให้โอวาทแล้ว ท่านเศรษฐีผู้มีน้ำใจงามก็จากไปขึ้นรถยนต์ซึ่งติดเครื่องรออยู่

เพื่อให้เป็นที่สนิทสนมใกล้ชิดกับนายผู้ที่ตนหวังจะยึดเหนี่ยวไว้เป็นที่พึ่ง วอนได้นำความคิดของตนไปปรึกษาเมีย “แช่ม ฉันจะย้ายที่อยู่ละ”

“ย้ายไปไหนอีกล่ะ?” เมียเขาถาม “ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาย้ายบ้านจนเกือบจะต้องขุดหลุมอยู่แล้ว”

“อย่าพูดใจร้อนไป นายท่านจะขึ้นเงินเดือนให้เรา ฉันคิดว่าถ้าเราย้ายบ้านไปอยู่ใกล้ ๆ ท่านเห็นหน้าเห็นตากันบ่อยๆ ไม่ช้าก็อดสงสารไม่ได้”

“สงสารแล้วใช้แกน่ะไม่เป็นไรหร็อก หนักเข้าจะเลยมาใช้ฉันเข้าด้วยละมันไม่เข้าที ธรรมดานาย เมื่อเรียกหาตัวได้ง่ายก็ใช้ง่าย เราทำให้ก็เสมอตัวไป วันไหนปวดหัวตัวร้อนบอกขอทุเลาก็เริ่มจะเกลียดน้ำหน้า ความคิดของแกมันเป็นความคิดของคนโง่ คนฉลาดไม่มีใครเขาอยากอยู่ใกล้นายหร็อก”

แต่กรรมกรโรงงานถลุงแร่ผู้นี้ไม่คิดอย่างเดียวกับที่เมียของเขาคิด ในที่สุดเขาก็พาครอบครัวย้ายบ้านมาอยู่ใกล้ตึกใหญ่ของนายสุชาติ เป็นบ้านของเพื่อนเก่าเคยร่วมงานมาด้วยกันคนหนึ่ง เพื่อนที่กล่าวกับครอบครัวอยู่ข้างบน เมื่อบ้านมีสภาพเป็นเรือนชั้นเดียว นายวอนกับลูกเมียก็ต้องเลือกเอาใต้ถุนเป็นที่อาศัย โดยหาซื้อกระดานเก่าๆ มาทำยกพื้นขึ้น ส่วนข้างฝาใช้เสื่อลำแพนกั้นเข้าไว้ชั่วคราวก่อน

เขามีชีวิตและดำรงชีวิตอยู่ใต้ถุนบ้าน เขามีอาการที่เกิดมาเช่นเดียวกับคนทั้งหลาย แต่เขากินอาหารเลวกว่าคนทั้งหลายถึงเพียงนี้ เขาก็ยังคิดและเชื่ออยู่ว่า เขาทำงานหาความสุขเพื่อครอบครัวของเขา

นายวอนห้ามเมียและขอให้หยุดตีลูกหญิง แล้วก็ลุกขึ้นสวมเสื้อ

“อ้าวนั่นพี่วอนจะไปไหนเล่า?” เมียเขาถาม “ไปทำงาน” เขาตอบสั้นๆ “กำลังไม่สบายอยู่ไม่ใช่หรือ?”

“หายแล้ว” เขาตอบทั้ง ๆ ที่รู้สึกตัวว่าเป็นไข้อยู่พลางออกเดิน

“ไม่กินข้าวเสียก่อนหรือ?”

“ยังไม่หิว” เขาจำได้ว่าได้ตอบไปเช่นนั้น แล้วก็พบตัวเองเดินเบาหวิวผ่านไปทางถนนนอกรั้วบ้านของนายสุชาติ ตรงมุมบ้านด้านหลังเป็นท่อที่ขุดไว้สำหรับเทสิ่งโสโครก ชิ้นหมูชิ้นไก่และเศษอาหารต่างๆ จากงานเลี้ยงใหญ่เมื่อวันวาน ได้ถูกพ่อครัวและคนล้างชามนำมาสาดลงไว้ นั่นคืออาหารที่กินกันอย่างฟุ่มเฟือย แม้ในยามสงคราม ในขณะที่คนตั้งค่อนประเทศกำลังต้องเผชิญกับราคาข้าวของที่แพงอย่างถึงขนาด และเกลื่อนกล่นไปด้วยคนท้องหิว-คนที่ขาดอาหาร และกำลังต่อสู้กับความทุกข์ทรมานซึ่งมีอำนาจและทารุณอย่างถึงขนาด

ทำไมคนเหล่านั้นจึงได้มีชีวิตอยู่บนตึก และทำไมตัวเขาเองจึงต้องอยู่ใต้ถุนบ้าน ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ นายวอนไม่เคยนำมาคิดเลย เขารู้สึกแต่เพียงว่าเป็นกรรมเก่าทำไว้ในชาติก่อนอย่างใด ในชาตินี้จะต้องได้รับอย่างนั้น คนที่เกิดมาอยู่ใต้ถุนก็จะต้องอยู่ใต้ถุนต่อไป คนที่เกิดมาสำหรับอยู่ตึกหรืออยู่ในปราสาทราชวัง ก็จะต้องอยู่ตึกอยู่ปราสาทราชวังต่อไป

มีคนนุ่งผ้าขาดวิ่นยิ่งกว่านายวอนสองคนเดินมาที่ท่อสำหรับเทสิ่งโสโครกนั้น คนทั้งสองต่างถือกระป๋องใส่นมวัวมาคนละใบ พอมาถึงก็ส่งเสียงไล่หมา และคว้าก้อนอิฐขึ้นขว้างปาหมาสองสามตัวซึ่งกำลังขย้ำและขยอกกินเศษอาหารอยู่

“อ้ายหมาระยำนี้เต็มทีจริง มาทีหลังมันหน่อยเดียว ขย้ำเสียเกือบหมด” คนหนึ่งในสองคนนั้นพูด

“เอาไม้แพ่นกบาลมันเข้าซีวะ!” อีกคนหนึ่งพูดด้วยความโกรธ แล้วก็ฉวยไม้วิ่งปราดเข้าไปไล่ตีหมา หมาบางตัวที่กลัวคนก็วิ่งหนีไป แต่มันก็ไม่ลืมที่จะคาบกระดูกหมูกระดูกไก่ติดปากไปด้วย ส่วนเจ้าหมาที่ไม่กลัวคนก็ส่งเสียงฮื่อเอา เพราะเกี่ยวกับผลประโยชน์ของมัน คนสองคนต้องถือไม้เข้าโรมรันยื้อแย่งเอา มันสู้ไม่ได้ มันจึงต้องล่าหนี นายวอนเห็นคนจนทั้งสองซึ่งจำต้องมาสู้กับหมานั้นครั้นได้ชัยชนะแล้ว ก็ช่วยกันโกยชิ้นหมูและชิ้นไก่ รวมทั้งเศษอาหารอื่น ๆ รวมลงอัดแน่นในกระป๋องนมวัว เขาทำอย่างรวดเร็วคล้ายกับมีความหวั่นเกรงอยู่ว่า เจ้าหมาเหล่านั้นอาจจะกลับมายื้อแย่งเอาคืนไปเสียอีก

“หมากับหมาไม่ได้แย่งกันกินเท่านั้นนี่หว่า” คนใต้ถุนบ้านหยุดยืนปลงธรรมสังเวชอยู่ในใจ “นี่คนกับหมาก็ต้องมาแย่งกันกินแล้ว”

เขาเห็นคนจนทั้งสองคนนั้น เมื่อแย่งอาหารไปได้จากหมาก็ถือกระป๋องลงไปซาวในท้องร่องใกล้ ๆ กันนั้น เมื่อซาวน้ำเสียให้กลิ่นบูดเน่าบรรเทาลงบ้างแล้ว คนหนึ่งได้หยิบใส่ปากเคี้ยวกิน แล้วร้องเพลงอย่างมีความสุข แต่อีกคนหนึ่งรั้งรออยู่ไม่หยิบของตัวกิน แต่ยื่นมือไปขอจากเพื่อนของเขา

“ขอข้ากินหน่อยซีวะ!”

“ของเอ็งแย่งหมามาได้มากกว่าข้า ทำไมไม่กินล่ะ? มึงมันโลภจะเอาของเขาข้างเดียวนี่ คิดจะมาแย่งกูอีกหรือ?” เสียงเพื่อนของเขาถามห้วนๆ

“กูไม่แย่งมึงหรอก อ้ายเกิด ถึงมันคนโสดกินปากเดียวท้องเดียว ส่วนกูมีลูก ๓ คน ถ้ากินเสียหมดลูกเมียก็อด กูขอมึงกิน ไม่ได้เบียดเบียนมึงเลย กูแย่งหมามาได้เท่าถึง ต้องแบ่งให้คนกินอีก ๔ คน แต่ถ้ามึงให้กูกิน มึงจะถูกแบ่งเพียงปากเดียวเท่านั้น”

แต่ผู้ขอร้องก็ไม่ได้รับส่วนแบ่ง นายวอนยืนนิ่งฟังอยู่ บัดนี้เขาเริ่มจะรู้สึกบ้างแล้วว่าสัตว์ต่อสัตว์มิใช่แต่จะโผนเข้าโรมรันขย้ำเนื้อแย่งชิงกันกินเท่านั้น และมนุษย์ต่อมนุษย์ก็หาได้แบ่งปันกันกินด้วยความยุติธรรมไม่ ต่อครอบครัวและสมาชิกของตนเท่านั้น จึงจะได้รับเผื่อแผ่เมตตาจิต หากเป็นคนอื่นแล้วแม้จะเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ก็จะไม่ได้รับความกรุณาเอื้อเฟื้อเลย ทั้งเมื่อคนก็ยังต้องต่อสู้กับสัตว์แย่งอาหารอันควรจะเป็นของสัตว์ เอามาเป็นอาหารคนด้วยฉะนี้แล้ว ตัวเขาเองจะมิถึงต้องโจนเข้าต่อสู้เพื่อแย่งอาหารจากหมา เอามาเป็นเครื่องยังชีพและครอบครัว ดังที่เห็นตำตาอยู่เช่นนี้บ้างหรือ?”

นายวอนขยับจะก้าวขาออกเดินพ้นมาจากที่นั้น แต่ยังไม่ทันจะพ้น ก็พอดีมีชายร่างใหญ่ท่าทางกักขฬะหยาบช้าคนหนึ่งเดินออกมายืนส่งเสียงเอะอะอยู่ที่ท่อเทสิ่งโสโครก

“นี่มันคนเลวระยำอย่างหมาไม่กินทีเดียว มาคุ้ยท่อจนเลอะเทอะไปหมด อ้ายพวกนี้มันทำอุบายเป็นคนอดอยาก ของบูดของเน่ามันจะกินกันได้หรือ? มันไม่มีอย่างอื่นหรอกโว้ย! นอกจากจะมาหาช่องทางปีนเข้าบ้าน”

นายวอนได้ฟังก็ได้แต่นึกในใจว่า “มนุษย์ต่อมนุษย์ ไม่มีความไว้วางใจกันบ้างเลย ความจริงยาจกทั้งสองนั้นไม่ได้คิดขโมย เขาเพียงแต่จะได้อาหารมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเท่านั้น ก่อนที่จะได้ก็ยังต้องต่อสู้แย่งเอามาจากสัตว์ เขาไม่ได้ไปเปล่า ๆ เขาต้องลงทุนลงแรงเหมือนกัน”

นายวอนเพียงแต่รู้สึก แต่ไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่จะต้องพูดหรืออธิบาย

เสียงคนในบ้านดังตามหลังมาอีกว่า “ถ้ามันมาคุ้ยเอาไปกินได้จริง ๆ มันก็เกือบจะเลวกว่าหมา เพราะของบูดของเน่าหมามันก็ไม่อยากจะกิน”

นายวอนคิดถามตัวเองในทันทีนั้นว่า “ก้อมีมนุษย์ตนใดบ้างเล่าที่อยากจะเลวกว่าหมา?”

“อันที่จริงเศษอาหารที่นำมาทิ้งไม่ควรจะหวงแหนเลย” นายวอนคิดต่อไปอีก “แต่บางทีท่านที่มั่งคั่งร่ำรวย ท่านไม่เคยอดท่านจึงไม่รู้ว่าเศษอาหารที่เหลือกินอย่างฟุ่มเฟือยนั้น มนุษย์ที่มีรูจมูกหายใจอย่างเดียวกับท่านอีกไม่น้อยที่กินได้ เลี้ยงชีวิตได้ และมีความต้องการ”

คนใต้ถุนบ้านหรือกรรมกรผู้ภักดีต่อนายและต่องานผู้นี้ได้เร่งฝีเท้ารุดหน้าต่อไปอีก เมื่อเขาพาตัวเองเข้าไปถึงหน้าตึกใหญ่ของนายสุชาติ บังเอิญพบนายสุชาติกำลังเดินตรงมาที่รถเดอโซโตคันใหญ่ในรถมีผู้หญิงสาวดัดผมฟู แต่งตัวหรูหรา นั่งรอกันอยู่ ๔-๕ คน

“นั่นแกหรือ? อ้อ! วอนน่ะเอง ทำไมไปทำงานสายนักล่ะวันนี้?”

“ครับ ผมเอง” เขาตอบพร้อมกับนั่งลงยกมือไหว้ “วันนี้ผมเป็นไข้ จับมาตั้งแต่กลางคืน พอไปไหวก็ต้องไปครับ”

“เวลาขี้เกียจไปทำงาน วันไหนสาย มันก็ต้องว่าเป็นไข้เหมือนกันหมดทุกคน” นายของเขาพูด “ถ้าเป็นอย่างนี้บ่อยๆ เงินเดือนมันจะขึ้นได้อย่างไร?” นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อไปว่า “อ้อ! วอน อย่าลืมนะ เย็นวันนี้ กลับจากงานแล้วเข้ามาตัดต้นไม้ในบ้านให้ทีเถอะ ไม่มากมายอะไรหรอก ต้นมะม่วงสามต้นเท่านั้น”

เมื่อนายสุชาติขึ้นรถสนุกสนานไปกับผู้หญิงผมฟู ทาปากแดง ๆ เหล่านั้นแล้ว วอนยังคงยืนนิ่งงงอยู่เหมือนคนถูกชกที่ปลายคาง เขาแหงนหน้าขึ้นมองดูตึกใหญ่อันตระหง่านเงื้อมของท่านเศรษฐี เขานิ่งคิดและคิดต่อไปว่า เหตุใดนายสุชาติจึงต้องอยู่ตึก และเหตุใดตัวเขาจึงต้องอยู่ใต้ถุน? นายสุชาติกินอาหารเลี้ยงดูกันอย่างฟุ่มเฟือย จนมีอาหารเหลือมาให้หมากิน แต่ทำไมตัวเขาและครอบครัวจึงต้องอดอยาก แม้แต่อาหารเพียงเท่าที่หมามันกินกันนั้น เขาก็ไม่มีจะกิน นี่เขาอยู่เพื่อใครกัน เขามีชีวิตอยู่เพื่อความสุขของครอบครัวแน่แล้วหรือ?

ในที่สุดเขาก็เริ่มจะรู้ความจริง “นี่เราทำงานเพื่อคนอื่นเขานี่หว่า!” วอนพูดพึมพำกับตัวเอง “เขาอยู่ตึก เราอยู่ใต้ถุนบ้าน เขานั่งรถยนต์ เราย่ำด้วยตีน ซ้ำยังจะมาสั่งให้ไปตัดต้นไม้ด้วย ถ้าเราไปตัดให้เขา เราจะได้อะไร ได้เงินเดือนขึ้นหรือ? มันก็เปล่าอีก เขาจะเอาเงินเดือนมาขึ้นให้พวกเรากรรมกรทำไม เอาไปแจกจ่ายให้พวกผู้หญิงปากแดงเหล่านั้นซื้อซิ่นซื้อกระโปรงสวยๆ แต่งตัวล่อผู้ชาย แล้วมาสนุกกับเขาจะไม่ดีกว่าหรือ?”

“นี้เราทำงานเพื่อใครกันแน่?” เขาถามตัวเองอีก “ถ้าเราทำงานเพื่อครอบครัว ทำไมอีหนุ่ยจึงต้องไปเก็บเศษอาหารที่เขาทิ้งท่อมากิน?”

เย็นวันนั้น เมื่อนายวอนกลับถึงใต้ถุนบ้านอันเป็นที่พักอาศัยเขาได้พูดกับเมียด้วยเสียงแจ่มใสว่า

“แช่ม แกกินข้าวแล้วหรือยัง?”

“ยัง” เมียเขาตอบ “กำลังรอกินพร้อมแก” นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ได้เงินเดือนขึ้นแล้วหรือ ดูหน้าตาแกบานเป็นจานเชิงทีเดียว?”

“ฉันลาออกจากงานแล้ว” วอนตอบเรื่อย ๆ ไม่ได้พูดถึงเรื่องเงินเดือนขึ้นอีกเลย “ฉันเป็นทาสนายเงินมากว่าสิบปี ฉันคิดว่าฉันทำงานเพื่อลูกเพื่อเมีย แต่ฉันคิดผิด---”

เมียเขานิ่งฟังเฉยอยู่ แล้วจึงพูดสั้นๆ ว่า “ไปกินข้าวเสียก่อนเถอะ แกไปอยู่ที่ไหน ฉันจะไปอยู่กะแกทั้งนั้น”

“เออ! แช่ม เราจะย้ายไปจากที่นี่ เราจะไม่ต้องอาศัยใต้ถุนบ้านเขาอยู่อีกแล้ว ฉันจะไปบ้านนอก-ไปหาที่กว้าง ๆ สำหรับหายใจ”

เมียของเขาไม่ได้พูดอะไรอีกเลย แต่น้ำตาร่วงพรูลงอาบอยู่ที่แก้มอันตอบซีดทั้งสองนั้น!

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ