นิคมอาบแดด...พิสดารแห่งทุ่งบางกะปิ

----------------------------

ชายแก่ชวนหญิงสาวสองคนลงไปอาบน้ำในสระ และบางคนก็กระโดดน้ำเล่น ที่นั่นไม่มีที่กระโดดน้ำเล่นเหมือนสปอร์ตคลับสมัยก่อน มีแต่คนเดินออกไปที่ปลายสะพานหรือที่เรียกกันว่าหัวบันไดท่าน้ำ แล้วก็โดดท่า ‘ชาวไชยางมมะพร้าว’ ทุ่มลงไปน้ำแตกกระจาย ข้าพเจ้าไม่เห็นเขาโดดน้ำหรือว่ายน้ำตามวิธีของฝรั่ง แต่เป็นวิธีไทยไทยนี่เอง เขาเดินเข้าทักทายกันอย่างสนิทสนม เหมือนเดินอยู่ที่เฉลียงในบ้านของตัว!

----------------------------

ที่นั่นมีหญิงชายไปร่วมชุมนุมจับกลุ่มกันด้วยจิตอันระรื่นชื่นบาน ผู้ชายบางคนมีเพียงผ้าเช็ดตัวผูกไว้ใต้สะดือเท่านั้น บางคนก็ยืนเปลือยกายเปล่าอยู่กลางทุ่งในที่ใกล้ ๆ ส่วนพวกผู้หญิงเห็นแต่ข้างหลัง เดินจับมือเกี่ยวก้อยอยู่กับเพื่อนของเธอ บางคนมีเพียงเสื้อคลุมสำหรับเข้าห้องน้ำผูกสะเอวไว้ แต่มีหลายคนที่ไม่มีผ้าผ่อนพันกายเลย หล่อนเดินวนเวียนอยู่ในบริเวณที่ดินอันกว้างใหญ่ราวสามไร่เศษ ลมกำลังพัดเอื่อยๆ เหมือนคนขี้เกียจเดิน หมอกกระจายจับเป็นฝ้าบางๆ เช่นเดียวกับหลอดไฟฟ้าออสแร็ม อากาศกำลังหนาว เพราะเตรียมตัวที่จะรับความอบอุ่นจากแสงแดดอ่อนเมื่อรุ่งอรุณ

ข้าพเจ้าไปถึงสถานที่นี้ตั้งแต่ตอนดึกสงัดจวนใกล้รุ่ง เมื่อตอนหัวค่ำ เราไปร่วมสนุกเมามายกันอย่างเต็มที่มาแล้วที่ขี่จั๊นเหลา ในระหว่างที่นั่งออสตินเก๋งมาจอดคุยกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้าได้ยินเสียงเพื่อนคนหนึ่งในรถพูดถึงนิคมอาบแดดที่ทุ่งบางกะปิ ข้าพเจ้าจวนจะหลับอยู่แล้ว เพราะ “แม่โขง” ผ่านลำคอเข้าไปมากจนเกือบจะพูดได้ว่า มันกำลังจะไหลกลับออกมาเหมือนน้ำประปาที่เติมจนล้นปีบ

“นิคมอาบแดดมีจริงหรือฝ่าบาท? กระหม่อมไม่นึกว่าเรื่องเช่นนี้จะมีขึ้นได้ นอกจากเป็นเรื่องเล่ากันเล่นเพื่อสนุกในเวลาเมาเท่านั้น”

“นิคมอาบแดดมีจริงๆ ที่ทุ่งบางกะปิ คุณอย่าสงสัยเลยผมได้ผ่านมาแล้ว” ข้าพเจ้าได้ยินสหายผู้เป็นหม่อมเจ้านักเรียนอังกฤษรับสั่งตอบอย่างไม่ถือพระองค์ “ผมเป็นสมาชิกของสถานที่นั้นด้วยคนหนึ่ง ถ้าคุณอยากจะรู้ว่ามันมีจริงหรือไม่ ผมจะพาคุณไปดูให้เห็นกับตาทีเดียวแต่ถ้าคุณไปถึงนิคมอาบแดดแล้ว คุณจะต้องให้สัญญากับผมอย่างหนึ่ง--”

“สัญญาว่าอย่างไร ฝ่าบาท?” เพื่อนผู้ทำหน้าที่ขับรถยนต์กล่าวถามด้วยเสียงที่แสดงความสนใจเป็นพิเศษ

“สัญญาว่า จะไม่พูดและไม่ถาม มีหน้าที่แต่จะดู และรับประทานของว่าง หรืออาหารที่เขาจัดส่งมาให้เท่านั้น”

หลังจากเวลาที่เขาได้พูดกันแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าสหายหม่อมเจ้าและเพื่อนผู้ร่ำรวยมีฐานะดีทั้งสองได้ตกลงอะไรกันอีก ข้าพเจ้ามารู้ตัวเอาเมื่อเขาจับตัวเขย่าแรงๆ และปลุกให้ลุกขึ้นนั่ง ในขณะที่รถยนต์เข้าไปจอดนิ่งอยู่ในตรอกมืดแห่งหนึ่งสองข้างทางไม่มีแสงไฟจากบ้านในบริเวณนั้น จะมีบ้างก็เพียงแสงสลัว ๆ จากหน้าต่างห้องนอนชั้นบน ข้าพเจ้าเพิ่งสร่างเมาพอลุกขึ้นนั่ง ท่านชายสหายผู้รับหน้าที่นำทางก็ชะโงกมากระซิบข้างหูว่า “คุณเห็นไหมนิพนธ์ ที่บ้านบังกะโลห่างจากรถของเราอีกราวสองเส้นนั่นแหละคือนิคมอาบแดด ไฟฟ้าหน้าประตูสีฟ้าอ่อน เขาตามไว้ตลอดคืนเป็นเครื่องหมาย”

ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกตื่นเต้นบ้างเล็กน้อยในเมื่อถูกปลุกขึ้นและได้ทราบข่าวว่า เรากำลังจะมีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมนิคมอาบแดด

ก่อนที่รถจะแล่นเข้าสู่ประตูที่กล่าวนั้น ท่านชายได้รับสั่งว่า “คุณยังเป็นแขกของนิคมอาบแดด ส่วนผมเป็นสมาชิกเก่าและเป็นผู้นำคุณทั้งสองมา เมื่อคุณพบหน้าใครที่เคยรู้จักมาก่อน หากยังไม่มีการแนะนำให้รู้จักกัน จะต้องทำเฉยเสีย คุณจะต้องนึกเอาเองว่าอยู่คนละโลกกับเขา คุณมีสิทธิ์เพียงแต่จะดูเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์จะถาม สงสัยอะไรเก็บเอาไว้มาคุยกันที่บ้านเราวันหลัง”

เราทั้งสองย่อมอยู่ในฐานะที่ต้องเชื่อฟังท่านชายอยู่แล้ว เมื่อรถเทียบประตูบ้านบังกะโลเลยไปทางด้านเหนือประมาณ ๕ วา ท่านชายก็รับสั่งให้หยุด เปิดประตูรถออกนำหน้าพาเราย้อนกลับไปที่ประตูบ้าน เราทั้งสามต้องข้ามสะพานไม้ที่ทอดข้ามคูไปหยุดยืนอยู่ตรงประตูไม้ทาสีเขียว ข้างบนซุ้มประตูเป็นเถาไม้เลื้อยอย่างหนาทึบปกคลุมอยู่ จำไม่ได้ในเวลานั้นว่าเป็นเถาลดาวัลย์หรือกระดังงาการะเวก ส่วนรั้วบ้านจำได้ว่าเป็นต้นพู่ระหง พอท่านชายควักบุหรี่ออกมาจุดสูบก็พอดีมีคนเปิดประตูเดินออกมา เป็นผู้ชายรูปร่างผอมสูง และเอาไว้หนวดราวกับฮิตเลอร์

“นายชอบหรือ?” ท่านชายร้องทัก

เขาเดินเข้ามาใกล้ จ้องดูพระพักตร์ท่านชาย พอจำได้แน่นอนว่าเป็นใคร ก็พูดว่า “เชิญเสด็จข้างในเถอะฝ่าบาท เขามากันบ้างแล้ว”

“วันนี้ฉันมีเพื่อนมาด้วยสองคน” ท่านชายรับสั่ง “ตอนสายเมื่อออกจากที่นี่แล้ว เราจะต้องไปธุระด้วยกัน จึงเลยชวนมาด้วย แต่ไม่เป็นไร ฉันรับรอง เขาจะรอเราอยู่ที่ห้องรับแขก”

ชายหนวดเฟิ้มปานจะเย้ยผู้เผด็จการนัมเบอร์หนึ่งคนนั้น มองดูหน้าเราแวบหนึ่งแล้วก็รีบเปิดประตู และหลีกทางให้คณะพรรคเดินเข้าไป เขาปิดประตูตามหลังเสียงดังสนั่น เหมือนชะแลงเหล็กกระทบเสาหิน แล้วก็วิ่งเหย่า ๆ ออกหน้าพาเราทั้งสามเดินตรงไปตามถนนลาดซีเมนต์ซึ่งมีขนาดกว้างราวสองเมตรครึ่ง--ไปสู่เรือนบังกะโล แล้วสักครู่หนึ่ง ไฟฟ้าในห้องด้านขวามือตอนนอกก็สว่างพรึ่บขึ้น

“นั่นแหละห้องรับแขก” ท่านชายรับสั่งแล้วเราก็พากันเดินย่ำขึ้นไปบนเสื่อปอรองพื้นที่ทำจากไซ่ง่อน “คุณจะต้องไปคอยอยู่ที่นั่น จะไปปะปนกับใครเขาไม่ได้หรอก”

บ้านบังกะโลหลังนั้นทาสีเขียวอ่อน ตามขอบหน้าต่างประตูสลับด้วยสีเหลืองและสีน้ำตาลเข้ม เมื่อไฟฟ้าเปิดสว่างเราก็เห็นเฟอร์นิเจอร์อย่างดีราคาแพง ประดับอยู่ในห้องรับแขก เก้าอี้ชุดหวายทาสีอย่างเดียวกับบ้าน บุนวมอย่างดี บนโต๊ะมีกระจกหนา และในช่องข้างล่างมีหนังสือพิมพ์บรรจุอยู่หลาย ๆ ฉบับหนังสือพิมพ์รายวันมีนิกร สุภาพบุรุษ ประชากร และไทยใหม่ หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์มี พิมพวัณณ์ ประชามิตร รุ่งอรุณ และมหาชน ส่วนหนังสือภาษาอังกฤษและภาษาไทยที่เป็นเล่มก็มีเรียงรายกันอยู่ในตู้หนังสือด้านซ้ายมือของห้องเป็นจำนวนไม่น้อย

“นายชอบไปหาแม่โขงมาทิ้งไว้ให้ฉันหนึ่งขวด กับแก้วสามใบ แล้วจะไปไหนก็ได้” ท่านชายรับสั่งกับชายหน้าหนวดเมื่อเขาเข้ามายืนรอรับคำสั่งอยู่ตรงหน้า “บอกสมิงเลิศด้วยก็แล้วกันว่า ฉันจะอาบแดดหรือไม่อาบแดด ไม่ต้องเอาใจใส่ ฉันมีเพื่อนมาด้วย ขออนุญาตอยู่คุยกันในห้องรับแขก”

จนบัดนี้ ข้าพเจ้าก็ยังไม่มีโอกาสจะทราบได้ว่า ใครคือสมิงเลิศ ทำไมจึงต้องเรียกว่าสมิง และสมิงเลิศผู้นี้เป็นใคร?

ข้าพเจ้าได้ยินเสียงนาฬิกาในห้องทางทิศเหนือของบังกะโลมันบอกเวลาตีสี่ครึ่ง

มีเสียงเปิดประตูและเสียงปิดประตูหน้าบ้านแว่วมากระทบหูข้าพเจ้าบ่อยครั้ง นาน ๆ ก็เสียงเครื่องยนต์ แสดงว่ามีรถยนต์มาจอดหน้าบ้าน ท่านชายรับสั่งว่า “เขามากันเรื่อยๆ วันนี้คงจะมีคนมามากเป็นพิเศษ เพราะนัดกันไว้พร้อมเพรียงทั้งหญิงชาย”

ข้าพเจ้านั่งกินเหล้าอยู่จนนาฬิกาตีห้าฟ้าสาง ลุกไปชะโงกดูที่หน้าต่างด้านเหนือ เห็นเป็นทุ่งกว้าง มีรูปเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า บางตอนมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่เป็นแถวเป็นแนว ที่เป็นหย่อม ๆ หรือเป็นซุ้มก็มี ขณะนั้นนกกาเหว่ากำลังส่งเสียงเอ็ดตะโรอยู่ตามยอดไม้ นกกางเขนบินมาเกาะที่ซุ้มพู่ระหงข้างรั้ว ซึ่งตีสังกะสีกันไว้ภายใน ถัดจากรั้วด้านขวามือเข้ามา ข้าพเจ้าเห็นมีสระน้ำขนาดใหญ่ เขาขุดเอาไว้สำหรับลงเล่นน้ำ ถ้าท่านเคยเห็นน้ำฝนที่แอ่งน้ำตกปราจีนมาแล้ว หากได้มาเห็นน้ำใสในสระของนิคมอาบแดดแห่งนี้ จะรู้สึกว่าที่เมืองปราจีนนั้นไม่ควรจะพูดกันถึงเรื่องน้ำใสอีกเลย มันเป็นเรื่องอับอายอย่างพูดไม่ถูกทีเดียว

ถัดจากห้องรับแขกที่เราเข้าไปนั่งพักเสพสุรา มีถนนเล็กโรยกรวดเลี้ยวอ้อมไปที่ประตูอีกชั้นหนึ่ง ผู้เป็นสมาชิกเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ล่วงล้ำเข้าไปในบริเวณนั้นได้ ก่อนจะเข้าประตู สมาชิกอาบแดดชายหญิงจะต้องแวะเข้าไปเปลื้องเครื่องแต่งกายในห้องพิเศษที่ศาลาเล็กเสียก่อน ท่านชายทรงสาธยายให้ข้าพเจ้าทราบแน่ชัด ข้าพเจ้ารู้ว่าเป็นความจริง เพราะได้เห็นหญิงสาวหลายคน--มากกว่า ๗-๘ คน เดินหายเข้าไปในศาลาเล็กหลังที่กล่าว แล้วก็ออกทางประตูหลังห้อง เดินกลมกลืนไปกับอากาศยามเช้าตรู่ที่ยังหนาวจัดอยู่ แต่ดูเขาไม่หนาวกันเลย แดดก็เพิ่งจะรำไร เพราะดวงอาทิตย์เพิ่งจะพ้นขอบฟ้าขึ้นมาเท่านั้น

ข้าพเจ้าแลเห็นพวกผู้ชายสิบกว่าคนเดินเข้าไปในศาลาเล็ก แต่พอโผล่ออกสู่ที่แจ้งของนิคมอาบแดด ก็กลายเป็นคนไม่นุ่งผ้า ดูล่อนจ้อนไปหมด มีบางคนที่ใช้ผ้าขนหนูหรือผ้าเช็ดตัวผูกสะเอวท่อนล่างตอนใต้สะดือไว้ ท่านชายรับสั่งว่า คนที่ยังต้องใช้ผ้าเช็ดตัวปิดบังอวัยวะส่วนนั้น โดยมากเป็นสมาชิกใหม่ เกรงว่าอำนาจการควบคุมทางจิตยังอ่อนไหวอยู่ อาจจะพลั้งพลาดต่ออำนาจฝ่ายต่ำได้ง่าย ก่อให้เกิดตบะแตก จะเป็นที่เสียหายแก่ตัวเอง!

ท่านชายทรงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ในนิคมอาบแดดแห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นแห่งแรกในเมืองไทย ผู้คิดค้นเพื่อกิจการอันเกี่ยวแก่สุขภาพพลานามัยที่เป็นประโยชน์ หรือเจ้าของสถานที่นี้เป็นชนชั้นที่มั่งคั่งร่ำรวย และมีหลักฐานดีผู้หนึ่ง แต่ก่อนเคยรับราชการดำรงตำแหน่งสูง ทั้งเคยผ่านการศึกษามหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดมาแล้วด้วย ภรรยาของท่านเป็นโรคผอมแห้งเกี่ยวแก่ปอด บุตรชายคนหัวปีเป็นนายทหารก็เป็นโรคปอด ท่านจึงตั้งนิคมนี้ขึ้น เพื่อประโยชน์ที่จะดำรงชีวิตบุตรภรรยาไว้ ปรากฏเป็นผลดีมาก จึงขยายกิจการออกไปอีกโดยจำกัด และเลือกสมาชิกเฉพาะในหมู่ญาติมิตรที่สนิท

ข้าพเจ้าทูลถามท่านชายว่า “ไม่เป็นการผิดกฎหมายและไม่เป็นการอนาจารหรือ?”

“ผมเข้าใจว่าไม่ผิดกฎหมาย และไม่เป็นการอนาจาร” ท่านชายรับสั่งตอบ “เขาทำกันเป็นไปรเวตอยู่ภายในบริเวณบ้าน เป็นการกระทำในหมู่ญาติมิตรที่เต็มใจปลดเปลื้องโรคภัยไข้เจ็บ และไม่มีการชักชวนหรือส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกในทางกามารมณ์ เป็นเรื่องความสมัครใจของแต่ละคน”

“ถ้าจะทำเช่นนั้น ทำไมจึงไม่ทำคนเดียว?” ข้าพเจ้าทูลถามเพราะอดเคร่งอยู่ตามสัญญาไม่ได้ “จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องนัดกันมาร่วมชุมนุมอาบแดดเช่นนี้?”

“การกระทำคนเดียวจะไม่ช่วยให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน เขาจึงนัดกันมาคราวละหลาย ๆ คน แต่คุณอย่าลืมว่า ถ้าทุกคนไม่ใช่ญาติสนิทก็ต้องเป็นมิตรสนิท ที่มีความเข้าใจระหว่างกันเป็นอย่างดี ที่นี่ยังไม่เคยปรากฏเลยว่าได้มีเรื่องเสื่อมเสียเกิดขึ้น การอาบแดดเป็นเรื่องของคนที่มีจิตใจสูง เขามีสมาธิอันกล้าแข็ง และจะไม่มีการล่วงล้ำน้ำใจของกันและกันเลย”

ท่านชายทรงบรรยายให้เราฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน และชี้แจงว่า ไม่แต่เพียงหนุ่มสาวเท่านั้นที่เป็นสมาชิกของนิคมอาบแดด ถึงผู้สูงอายุในวัย ๕๐ เศษ ก็มีรวมอยู่ด้วยหลายคน บางคนเป็นอัมพาตตายไปครึ่งตัว แต่เมื่อได้เข้ามาร่วมความบันเทิงสนุกสนานร่วมจิตร่วมใจอาบแดดกันแล้ว ก็มีอาการกลับคืนเป็นปรกติเหมือนเช่นเดิม

ข้าพเจ้าเห็นชายศีรษะหงอก แต่ท่าทางกระฉับกระเฉงคนหนึ่ง เดินตรงเข้าไปในศาลาเล็กเพื่อเปลื้องผ้าเข้าไปอาบแดดในนิคม บุคคลผู้นี้เคยเห็นหน้าอยู่บ่อยๆ ทางท่าพระจันทร์ ดูเหมือนจะเป็นข้าราชการชั้นเอก แต่จำไม่ได้แน่นอน และนึกไม่ออกว่าเป็นคุณหลวงหรือคุณพระอะไร ข้าพเจ้าเกือบจะหลุดปากถามนามของเขาอยู่แล้ว แต่ระลึกได้ว่า ข้าพเจ้ามีสิทธิ์ที่จะดูเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะถาม จึงนิ่งพินิจและสังเกตต่อไปด้วยความรู้สึกอันไม่สามารถจะเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือได้

ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นเด็กหญิงหรือเด็กสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานเดินเข้าไปที่ศาลา แล้ว “ถอดปลอก” หรือลอกคราบเดิมออกเก็บ พูดให้เข้าใจง่ายก็ต้องว่า ไม่มีหญิงสาวหรือเด็กหญิงเข้าไปในนิคมอาบแดด ข้าพเจ้าเห็นแต่คนใกล้จะแก่ทั้งชายหญิงสังเกตท่าทางดูเป็นคนชั้นสูง มีสกุลดี ไม่ใช่คนที่มาจากตรอกหม้อหรือตรอกเต้าหู้ ส่วนมาก (หรือเกือบจะทุกคนก็ว่าได้) มีรถยนต์ของตัวเอง นักอาบแดดทั้งชายหญิงไม่เคย ‘ย่ำ’ มาเลย ข้าพเจ้าคิดเอาเองว่า การที่เขาไม่ย่ำมานั้น คงไม่ใช่เพราะเสียดายน้ำมันรถ แต่ในตรอกอันเป็นถนนซอยมืดเหมือนเล้าไก่ใต้ถุนบ้านนี้ สถิตอยู่ในที่ห่างไกล จนเกือบจะเรียกว่าเอาต์สเกิร์ตของกรุงเทพฯ หรือชายพระนคร สมาชิกจะเดินมาเป็นไม่ไหวแน่ ทั้งในปัจจุบันก็เต็มไปด้วยพวกจี้พุ่งจนนับไม่ถ้วน พวกนี้มีมากไม่แตกต่างอะไรกับงูสี่ตีนที่หลบเข้ามาเกาะอยู่ตามฝาผนังห้องส้วมเมื่อปีน้ำท่วม เหมือนจะทำให้ถนนกลายเป็นแม่น้ำพระคงคาของอินเดียอย่างเมื่อสามสี่ปีมาแล้ว

ผู้ที่มาร่วมชุมนุมกันเพื่อพักผ่อนจิตใจภายใต้แสงแดดท้องทุ่ง จะต้องเริ่มออกเดินทางตั้งแต่กลางคืนตอนใกล้รุ่ง ทั้งนี้เพื่อให้มาถึงนิคมทันเวลาเช้าตรู่ หากมาสายจะไม่มีโอกาสได้รับแสงแดดอ่อน ท่านชายทรงอธิบายให้รู้เองโดยไม่ต้องถามว่า นิคมอาบแดดแห่งนี้ สมาชิกจะมาชุมนุมอาบแดดกันเฉพาะเวลาเช้าตรู่เท่านั้น และยังไม่ถึงเวลา ๗.๐๐ น. ก็จะพากันทยอยกลับไปทีละคนทีละคู่จนหมด

ข้าพเจ้านั่งอยู่ในห้องอาบแดดไปรเวตของนิคมอาบแดด เทแม่โขงผ่านลำคอลงไปเรื่อย ๆ นานๆ ท่านชายก็ชวนให้ลุกไปชะโงกดูที่หน้าต่างเสียครั้งหนึ่ง ตอน ๖.๐๐ น. เศษ ข้าพเจ้าเห็นสมาชิกชายหญิงของนิคมอาบแดดเพิ่มจำนวนขึ้นมากกะดูด้วยตาจะทราบว่า เดินกันอยู่ตามที่ต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า ๒๐ คน ที่เป็นชายหนุ่มจูงมือหญิงสาวเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ตามริมสระก็มี ชวนกันไปนั่งที่โคนต้นไม้ก็มี ตรงช่องระหว่างต้นมะม่วงใหญ่สองต้น ซึ่งมีแสงแดดสาดผ่านเข้ามาเป็นลำยาวนั้น หญิงสามชายสองกำลังนอนผึ่งกายรับแดดรับลมอยู่บนเสื่อผืนเดียวปูไว้ที่กลางดิน ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสผ่านศาลาเข้าไป และไม่มีโอกาสได้ “ถอดปลอก” กับเขา จึงไม่เห็นภาพที่ว่านี้อย่างชัดเจน ได้เห็นแต่เพียงภาพไกล เพราะเขารวมกันอยู่ในบริเวณที่ดินอันมีเนื้อที่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาว ต่อมาเห็นชายแก่ชวนหญิงสาวสองคนลงไปอาบน้ำในสระและบางคนก็กระโดดน้ำเล่น ที่นั่นไม่มีที่กระโดดน้ำเหมือนสปอร์ตคลับสมัยก่อน มีแต่เดินออกไปที่ปลาย สะพาน หรือที่เรียกกันว่าหัวบันไดท่าน้ำแล้วก็กระโดดท่า “ชาวไชยางมมะพร้าว” ทุ่มลงไปน้ำแตกกระจาย ข้าพเจ้าไม่เห็นเขาโดดน้ำหรือว่ายน้ำตามวิธีของฝรั่งแต่เป็นวิธีที่เรียกกันว่า ไทยไทย นี่เอง น่าประหลาดก็แต่ว่าเขาเดินตรงเข้าทักทายปราศรัยกันได้สนิทสนมโดยปราศจากการเก้อเขิน ทำราวกับว่ากำลังเดินอยู่ในบ้านของตัว ส่วนคนที่ควรจะเป็นคุณลุงได้แล้วนั้น ก็เห็นอยู่ตำตาว่าเขาจูงมือไปกับหญิงสาว เหมือนเดินอยู่ในห้องหน้ามุขตามระเบียงเรือนที่บ้าน เขาคงนึกว่ามีเครื่องแต่งกายปกปิดอยู่ จึงทำราวกับว่า ในโลกนี้ไม่มีคนจะมาทำร้ายคนที่กำลังนุ่งกางเกงอยู่ได้

ท่านชายทรงชี้ให้ข้าพเจ้าดูชายคนหนึ่ง ซึ่งกำลังว่ายน้ำอยู่ในสระ แล้วรับสั่งว่า “คนนั้นแหละเป็นเจ้าที่ตกกระป๋องมาก่อน แต่มาร่ำรวยด้วยการเซ็งลี้ คบกับเจ๊กเปิดตลาดมืด จึงร่ำรวยมีเงินสดหลายล้านบาท ท่านมีที่ดินอยู่คลองยี่สิบเกือบสองพันไร่ ที่ดินในกรุงเทพฯ ก็ซื้อไว้ไม่น้อย เวลานี้หม่อมก็มาอยู่ในนิคมด้วย คนร่างระหงรัดผมด้วยแพรดำที่มองเห็นข้างหลังนั่นแหละ คุณพระกำลังจูงมือไปยืนคุยกันใต้ต้นสน ดูราวกับมาจากบ้านเดียวกัน”

ข้าพเจ้ามองดูไปตามมือที่ท่านชายชี้ ขณะนี้อากาศแจ่มใสมากแล้ว แดดเริ่มจะเลยจากความอบอุ่นกลายเป็นความร้อน แต่ก็ดูเขายังชุมนุมกันอยู่ ไม่แสดงกิริยาว่าอยากจะกลับ หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง ร่างอวบท้วม แต่ ‘หย่อน’ ไปทั่วทั้งตัว เพราะเจริญวัยมาได้ราว ๔๐ กว่าปีแล้ว หล่อนกำลังเดินเข้าไปร่วมวงนอนบนเสื่อผืนใหญ่ ทุกคนดูเงียบ ๆ อยู่ในอาการสำรวมจะพูดจะคุยกันก็ไม่ได้ยินเสียงเลย ข้าพเจ้ายืนชมทัศนภาพของนิคมอาบแดดอยู่ที่ช่องหน้าต่างห้องรับแขก รู้สึกว่าชายหญิงทุกคนระวังมารยาทดีมาก ไม่เห็นมีการเจี๊ยวจ๊าว และไม่มีการหยิกข่วนหรือจับตัวผู้หญิงไปโยนน้ำ ความเรียบร้อยและระเบียบอันวางไว้อย่างสุภาพ ได้ทำให้สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นของน่าดู ไม่น่าเกลียดเลย

เราไม่อาจจะกล่าวไปในทางที่เสียหายได้ว่า คนเหล่านั้นเป็นนักแสวงสุขทางกามารมณ์ ข้าพเจ้าขอพูดด้วยความรู้สึกเที่ยงธรรมว่า ไม่มีใครได้แสดงกิริยาให้ประจักษ์เป็นที่น่าเกลียดน่าชังถึงเพียงนั้น สถานที่นี้เป็น ‘มุมอันสงบ’ มุมหนึ่ง เป็นที่ไปรเวตของชนชั้นสูง ข้าพเจ้าเคยผ่านและพบสิ่งแปลก ๆ มาแล้วไม่น้อย แต่ไม่เคยได้พบสิ่งแปลกประหลาดพิสดารเท่าที่พบในนิคมอาบแดดแห่งนี้ หลายคนอาจคิดว่าไม่ใช่เรื่องจริงหรือบางคนอาจปรักปรำเอาว่าเป็นการสาธยายเรื่องเท็จ ข้าพเจ้าจะไม่ขอร้องให้ท่านเชื่อ และก็ไม่สนใจในคำกล่าวหาใด ๆ ข้าพเจ้าเชื่อว่าความจริงหรือความเท็จนั้นความจริงมันก็เป็นเพื่อนกันอยู่เสมอ แม้มันจะอยู่ห่างกันคนละทางก็ตาม

ข้าพเจ้ายังจำได้ติดหูติดตาราวกับเอาภาพเหล่านั้นใส่กระเป๋ากลับมาบ้านด้วย เมื่อเขาอาบแดดกันจนสาย ดวงอาทิตย์โผล่หน้าขึ้นมาดูที่ยอดไม้ จะเกิดความกระดากขวยใจกันขึ้นมา หรือชักร้อนก็พูดไม่ถูก เขาได้พากันเดินกลับออกสู่ศาลาเพื่อสวมเสื้อผ้าและแต่งตัวกันที่นั่น บางคนเดินตามกันมาเป็นหมู่แต่ก็ต้องเลี้ยวเข้าไปตามทางที่กำหนดไว้ ข้าพเจ้ามองไม่เห็นสิ่งที่ใคร ๆ คิดว่าจะเป็นภาพโป๊ เขาจะเห็นเขาจะเข้าใจกันก็แต่เพียงในหมู่สมาชิกที่สนิทสนมประดุจบุคคลอันเป็นเครือญาติของกันและกันเท่านั้น ในนิคมอาบแดดไม่มีคนอื่นแปลกปลอมเข้าไปได้เลย ก็เนื่องจากอิทธิพลของท่านชายผู้เป็นเพื่อนสนิทของเรา แต่เราก็ถูกกำหนดให้อยู่ได้เพียงปากน้ำพระคงคาเท่านั้น เหมือนกับผู้อำนวยวรรณคดีทั้งหลายพึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจซีซาร์ในตอนที่ต้องยับยั้งกองทัพใหญ่ไว้ที่ปากแม่น้ำรูบิคอน

เมื่อสมาชิกแห่งนิคมอาบแดดทำหน้าที่ของเขาในด้านการแต่งกายเรียบร้อยแล้ว บางคนก็ชวนกันกลับไปเลย แต่บางคนก็แวะเข้ามาหาอาหารเบาๆ รับประทานในห้องรับแขกซึ่งมีสภาพเหมือนบาร์ขายหล้า เขาสั่งกาแฟ ไข่ไก่ลวก ขนมปังทาเนย ท่านชายไม่ได้ทรงแนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จักกับใคร และชายหญิงเหล่านั้นก็มองดูข้าพเจ้าด้วยสายตาธรรมดา

“เขาคงจะคิดว่าเราเป็นสมาชิกใหม่” ข้าพเจ้าคิดอยู่ในใจ “แต่ถ้ามีคนมาชวนข้าพเจ้าจริงๆ ข้าพเจ้าคิดว่าอยากจะลองสมัครดูบ้าง เพราะตามธรรมดาสมัยหลังสงครามนี้ เสื้อผ้าของข้าพเจ้ามีเหลือน้อยชิ้นอยู่แล้ว”

แต่เพื่อนของข้าพเจ้าขัดคอว่า “อาบแดดน่ะดี เราใช้เสื้อผ้าได้น้อยชิ้นอย่างที่คุณพูด แต่คุณอย่าลืมว่า เสื้อผ้าที่เราจะสวมมานิคมอาบแดด เป็นปัญหาใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง”

และเมื่อเรากำลังนั่งอยู่ในรถที่วิ่งตรงไปวังท่านชายแถบทุ่งมหาเมฆ ท่านชายได้รับสั่งว่า “เราจะกินอาหารเช้าด้วยกันเสียก่อน แล้วจะให้คนรถพาตัวไปส่งถึงบ้าน แต่ต้องไม่ลืมว่าอย่าถามอะไรเรื่องนิคมอาบแดดต่อไปอีก”

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ