- นิคมคนเก็บก้นยา
- “ผู้บังคับการห้อย” คนรับจ้างแคะเรือดในโรงแรม
- ชาวโลกผู้เกลียดกลางวัน ชอบกินทุเรียน ร้องไห้ดังๆ
- ความรู้สึกของหญิงสาวที่เป็นกามโรค
- ที่นอนผีตายโหง
- นายทะเบียนย้อยผู้ไม่สนใจเรื่องคนเกิดคนตาย
- ตำรวจแขกผู้ผจญนักเลงบ้านอู่และพวกดงพญาไฟ
- สิวก่ำ......ดาราโคมเขียว
- อั๊วต้งขบจายพูหญิงหาเงิง...
- ชีวิตคนตะรางครั้งสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
- คนตัวเหม็นเห็นน้ำสั่น
- มนุษย์หน้าผีใจพระ หรือ “ศพเดินได้” คนที่หน้าไม่เหมือนคน
- คนใต้ถุนบ้าน
- “เสี่ยขาว” นักต้มญี่ปุ่น
- นิคมอาบแดด...พิสดารแห่งทุ่งบางกะปิ
- ไม้กระดานโลงผีกลายเป็นโต๊ะเครื่องแป้ง
- ผัวหน้าเหมือนเมีย เมียหน้าเหมือนผัว
- ครอบครัวขี้เกียจ ในจุฬาฯ ซอย ๒
- ดงตุ๊กแก
- คนไทยผู้ยักคิ้วให้เฮนรีฟอร์ด
- เสียงคราง...เมื่อตอนตี ๔
- บ้านหมาหอน
- ครอบครัวประหลาดอายุยืนเหมือนต้นโอ๊ก
- นิคมของ...คนหัวล้าน
ชาวโลกผู้เกลียดกลางวัน ชอบกินทุเรียน ร้องไห้ดังๆ
๑
ค่าตัวของเมียเก็บ
----------------------------
ตั้งแต่สมัยสงครามมาแล้ว จำนวน “เมียเก็บ” มีเพิ่มขึ้นมาก เพราะบรรดาผู้ที่มั่งคั่งร่ำรวยขึ้นด้วยการสงครามไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร พอเงินกระโดดเข้ามาอยู่ในกำมืออย่างคล่อง ๆ ก็เริ่มมองหาทางที่จะกอบโกยขวนขวายหาความสุขให้แก่ตน และสิ่งหนึ่งที่เขามักจะตกลงใจรีบกระทำก่อนสิ่งอื่นนั้น คือเริ่มหาเมียมาเก็บไว้ ซึ่งเราอาจจะเรียกกันว่า “เมียเก็บ” ก็ได้...
----------------------------
เท่าที่ข้าพเจ้าได้เคยพบเห็นมาแล้วนั้น เมียเก็บมีค่าตัวถูกบ้างแพงบ้างตามความแพรวพราวแห่งรูปโฉมของหล่อน คำว่าค่าตัวในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการซื้อขาย แต่หมายถึงค่าใช้จ่ายการเลี้ยงดูผู้หญิงในยามสงครามที่เต็มไปด้วยความสุรุ่ยสุร่ายคนหนึ่ง ตามธรรมดาสงครามไม่ได้ทำให้เกิดแต่ความร่ำรวยเท่านั้น คนที่จนลงจนแทบว่าปากจะไม่เคยเจอกับขอบถ้วยกาแฟก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน คนพวกนี้ไม่คิดมี “เมียเก็บ” เพราะไม่มีปัญญาจะหารังให้เมียเก็บอยู่ได้ เพียงแต่เขาจะซื้อกรงนกเล็ก ๆ สักกรงหนึ่งมาใส่นกปรอดหัวโขนไว้ดูเล่น เขาก็ทำไม่ได้เสียแล้ว เพราะกรงนกเล็ก ๆ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่สามสิบสี่สิบสตางค์เหมือนแต่ก่อน มันกลายเป็นห้าถึงสิบบาท อยู่ห่างกับเงินซึ่งนอนตัวบิดตัวเบ้ (เพราะเป็นธนบัตรเก่า) อยู่ในกระเป๋าอย่างลิบลิ่ว คนที่มีเมียเก็บได้โดยมากมักเป็นคนชั้นนายห้าง เพราะสามารถที่จะหารังให้เมียเก็บอยู่ได้โดยไม่ต้องพะวงถึงเงินแป๊ะเจี๊ยและค่าเช่าบ้าน ซึ่งอาจจะเป็น ตั้งเดือนละสองร้อยสามร้อยบาทนั้นเลย
เมียเก็บ
เป็นหญิงชนิดใดมาก่อน
ส่วนมากในบรรดาเมียเก็บที่มีอยู่ในประเทศไทยสมัยสงคราม สืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ เป็นหญิงที่มีอาชีพเป็นนางเต้นรำประจำฮอลล์มาก่อน ผู้หญิงชนิดนี้ บางคนก็มีเงินเดือนประจำ บางคนก็โฉบไปโฉบมา ที่ไหนมีโรงเต้นรำ หล่อนก็ถลาร่อนไปที่นั่น ใครซื้อ “เหล้าเขียว” ให้ดื่ม หล่อนจะดื่มทันทีและดื่มกรุ๊บเดียวหมด “เหล้าเขียว” หมายถึงเปปเปอร์มินต์สำหรับผู้หญิงดื่ม แต่เหล้าเขียวสมัยนี้ไม่ค่อยจะมี หล่อนจึงไม่ค่อยเลือก บางครั้งจะดื่มแม่โขงได้ด้วยท่าทีอันไม่แพ้ผู้ชายชนิดที่เรียกกันว่า ‘คอทองแดง’ นั่นเสียอีก-หล่อนยอมดื่มยอมเมาเพราะหล่อนได้เปอร์เซ็นต์!
หลังจากที่หล่อนปรากฏรูปโฉมเป็นที่ยวนยั่วในอ้อมแขนของบรรดา ‘นกเค้าแมว’ หรือ ‘เหยี่ยวกลางคืน’ อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว หล่อนก็หายตัวไป
“อีณีหายไปไหน?” (หล่อนชื่อ อารุณี) เป็นเสียงถามกันเองในหมู่ชาวโลกที่เกลียดกลางวัน
“มันถูกเก็บไปแล้ว อีณีกลายเป็นเมียเก็บไปแล้ว”
นั่นคือการเปลี่ยนไปสู่ชีวิตในกรงทอง ซึ่งเพื่อนๆ ผู้ยังรักชีวิตในโรงเต้นรำจะรู้สึกว่าหมดอิสรภาพเอาเสียทีเดียว
เมียเก็บ
ชอบกินทุเรียนและร้องไห้ดังๆ
เมียเก็บคนหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้จักและเคยคุยกันบ่อย ๆ บอกข้าพเจ้าว่า หล่อนไม่อยากจะให้ชีวิตเป็นฝั่งเป็นฝา หล่อนไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ในความรับผิดชอบหรือข้อผูกมัด “ดูซีคุณ หม้อข้าวหม้อแกงและเครื่องครัวเราไม่ต้องมีเลยก็ได้ กับข้าวจะไปทำกันทำไมให้เสียเวลา” หล่อนบอกข้าพเจ้า “ดิฉันมีผัวก็จริง แต่เขาเรียกกันว่า เมียลับ เมียเก็บ ส่วนเมียจริงๆ นายห้างเขาก็มีของเขาอยู่แล้ว เขาไม่จริงไม่จังอะไรกับดิฉันหรอกเขาเก็บไว้สำหรับใช้บำเรอในขณะที่หิวกระหายมาเท่านั้น”
เมียเก็บที่กล่าวนี้ชอบกินทุเรียน แม้ราคาจะแพงถึงลูกละห้าสิบบาทหล่อนก็ซื้อ ฉีกออกรับประทานเพียงเม็ดครึ่งเม็ดแล้วก็แจกชาวบ้าน เงาะ ๔ ผลบาท หล่อนซื้อมาทีละมากๆ ลางสาดหล่อนก็ชอบกินไม่น้อยเหมือนกัน “นายห้างเขารวยมากค่ะ” หล่อนพูดกับข้าพเจ้าในวันหนึ่ง “เขาต้องทิ้งดิฉันในวันหนึ่งแน่ ๆ เมื่อดิฉันรู้ตัวแล้วว่ามันไม่มีอะไรจริงจังต่อกัน ก็ไม่ต้องมัธยัสถ์ ดิฉันจะใช้กินและเล่นให้สนุกทีเดียว”
๒
หลังสงครามเมียเก็บน้อยลง
ผัวบางคนจากไปเสียเฉยๆ
หญิงที่เป็นเมียเก็บนั้น ไม่ใช่แต่จะรู้สึกฉ่ำชุ่มต่อชีวิตอันฟุ่มเฟือยแต่ประการเดียว ชีวิตของหล่อนไม่ได้ตั้งอยู่บนความมั่นคง ขณะนี้หล่อนนึกถึงวันพรุ่งนี้ แต่เมื่อหล่อนเริ่มนึกถึงเวลาอันยืดยาวออกไปแล้ว หล่อนจะร้องไห้เสียเป็นวรรคเป็นเวรทีเดียว หล่อนร้องไห้เก่งเท่า ๆ กับกินทุเรียน บางทีก็ร้องโฮ ๆ ออกมาราวกับว่ามีคนตายไปหลายคน และเมื่อมีคนไปถาม หล่อนจะตอบสั้น ๆ ว่า “นายห้างไม่มาหลายวันแล้ว”
ถ้ายังไม่ท้อง
หล่อนไม่เคยกลัวชีวิต
เมียเก็บคนหนึ่งเคยบอกข้าพเจ้าว่า การที่ ‘นายห้าง’ เอาตัวมาเก็บไว้นั้น ถ้าไม่ปล่อยตัวจนเกิดท้องขึ้นมาแล้ว หล่อนไม่เคยกลัวชีวิตเลย ถ้านายห้างเบื่อ หล่อนก็ไม่ต้องวิตกว่าเขาจะทิ้ง เพราะหล่อนจะเป็นผู้ทิ้งเขาก่อน ไฟแห่งความรักนั้นเขาเป็นผู้จุด แต่ไฟแห่งความเกลียดหล่อนจะจุดให้เขาได้โดยไม่ต้องอาศัยเวลาสำหรับการตัดสินใจแต่อย่างใดเลย ในขณะนี้หล่อนเผลอตัวไปเสียแล้ว เพราะรู้สึกว่าตั้งท้องมาถึง ๕ เดือน หล่อนจะต้องพึ่งเขา แต่เวลาที่เขาควรจะให้ความประคับประคองเยี่ยงคู่ผัวตัวเมียอื่น ๆ มันหดสั้นเข้าไปทุกที เขารู้ว่าหล่อนยังขายความสำราญให้แก่เขาได้เพียงอีกไม่กี่เวลา แล้วต่อจากนั้น หล่อนก็ต้องอุ้มท้องและซ่อนหน้าเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน
ข้าพเจ้าเคยพูดด้วยความชื่นชมต่อเมียเก็บคนนี้ว่า “เมื่อเธอมีบุตรกับเขา เธอคงจะมีความสุข ลืมชีวิตหลัง ๆ และทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่เสียบ้างซี”
เมียเก็บผู้มีรูปโฉมแช่มช้อยและตาคมกล่าวตอบว่า “อ้ายลูกในท้องมันทำให้ดิฉันไปไหนไม่ได้ นายห้างเขามีเมียเก็บหลายคน ฉันอยากให้ลูกมันตายเสียนัก!”
ข้าพเจ้าสะดุ้งทั้งตัว ข้าพเจ้ารู้ว่าหล่อนไม่ต้องการบุตร นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่ารักสำหรับหล่อน แต่กลายเป็นโซ่ที่ล่ามคอหล่อนไว้จากโลกภายนอก
เมียเก็บอีกคนหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้จัก ไม่เพียงแต่จะแสดงว่าเกลียดเด็กเท่านั้น หล่อนเกลียดเลยไปถึงหญิงอื่น ๆ ที่รักลูกของตนด้วย “หน็อย ทำเป็นรักลูก หมั่นไส้” หล่อนพูดออกมาทั้ง ๆ ในขณะที่หล่อนเองก็กำลังมีท้องอยู่
เมียเก็บ
ไม่ต้องการความรับผิดชอบ
ในส่วนความรับผิดชอบ เมียเก็บทุกคนมีความรู้สึกคล้ายคลึงกัน คือพวกหล่อนไม่ชอบความรับผิดชอบ อาจจะพูดได้ว่าเกลียดเอาเสียเลยทีเดียว เมื่อเห็นผัวเมียคู่ไหนเขามีความสุข เช่นผัวไปทำงานแต่เช้า กลับมาเย็น ส่วนเมียก็ซักเสื้อผ้า ทำกับข้าวและกวาดถูเรือน หล่อนจะชวนเพื่อนๆ มาโผล่หน้าต่างดู แล้วหัวเราะกันคิกคัก
“พวกเราสบายนะเธอ เราจะไปไหนมาไหนก็ได้ ชีวิตที่ไม่ต้องมีความรับผิดชอบ”
ต่อมาอีกไม่กี่เดือน เมียเก็บคนที่กล่าวคำว่า “ชีวิตที่ไม่ต้องมีความรับผิดชอบ” นั้น ก็ต้องท้องขึ้น หล่อนเริ่มรู้แล้วละซีที่นี้ว่าชีวิตที่ไม่มีความรับผิดชอบนั้น มันไม่ใช่ชีวิต และไม่เคยมีอยู่ในโลก
เพื่อนข้าพเจ้าเคยเล่าให้ฟังว่า เขารู้จักเมียเก็บคนหนึ่ง ซึ่งหล่อนไม่พยายามจะทำให้บ้านเป็นสิ่งน่าอยู่เลย หล่อนไม่เคยซื้อสิ่งจำเป็นสำหรับบ้าน อ้างว่าเป็นภาระ และเมื่อมีท้องขึ้นกับ ‘นายห้าง’ หล่อนก็บ่นว่า อยากจะให้ลูกในท้องตายเสียเร็ว ๆ เช่นเดียวกัน
จำนวนเมียเก็บลดลง
ภายหลังสงคราม
จำนวนเมียเก็บที่เพิ่มสถิติปรูดปราดขึ้นอย่างรวดเร็วในสมัยสงครามนั้น บัดนี้กำลังลดจำนวนลงมากแล้ว เหตุผลคือ บรรดานายห้างที่ “เซ็งลี้” ได้คล่อง ๆ กำลังจะพบความฝืดเคืองเพิ่มขึ้นตามลำดับ เมื่อตลาดมืดกำลังจะประสบความอับปาง ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ ‘นายห้าง’ ทั้งหลายจะต้องเปลี่ยนวิธีใช้เงินของตนให้เหมาะสมกับเหตุการณ์และวันเวลา เขามีเมียเก็บซุกไว้คนหนึ่ง ก็เป็นสิ่งแน่นอนที่เขาจะต้องใช้จ่ายเงินไม่น้อยกว่าเดือนละ ๑,๐๐๐ - ๑,๕๐๐ บาท ถ้าเขามีสักสามคน เขาจะต้องใช้เงินสักเท่าใด นี่เป็นเรื่องของการสมดุล ในที่สุดคนที่เก็บเมียไว้มากก็จะต้องเปิดกรงออกปล่อยนกตัวงามไปเสียบ้าง เลือกคัดเอาไว้แต่ตัวที่มีเสียงเพราะและเฉิดโฉม เป็นที่พอใจจริงๆ ส่วน ‘นายห้าง’ ขนาดย่อมที่มีเมียเก็บ เพียงคนเดียว ก็อาจจะหาวิธีประนีประนอมกับครอบครัวใหญ่ พาตัวเข้าไปเก็บไว้เสียในบ้านเดียวกัน โดยวิธีนี้ก็พอจะลดรายจ่ายลงได้ไม่น้อย และทำให้ระบบเมียเก็บของเขายืดขยายเวลาเนิ่นนานวันออกไปได้อีกอย่างเป็นที่น่าพอใจ
รายงานข่าวที่ข้าพเจ้าได้รับครั้งหลังสุดนั้นคือ ‘นายห้าง’ บางคนได้หายตัวไปจากบ้านเมียเก็บเสียเฉย ๆ ค่าเช่าบ้านก็ปล่อยทิ้งให้คั่งค้างอยู่ และนางนกน้อยผู้กำลังตกไข่ก็จำต้องหมอบนิ่งอยู่ในกรงโดยปราศจากอาหาร
หล่อนเกลียดกลางวัน เมื่อไรหนอจะถึงเวลากลางคืน แล้วหล่อนก็จะบินปร่อออกไปจากกรงนั้น และไม่ยอมกลับมาอีกเลย
----------------------------