“ผู้บังคับการห้อย” คนรับจ้างแคะเรือดในโรงแรม

----------------------------

“กูพักโรงแรมนี้ไม่ไหว อ้ายตัวมีขนมันร้ายยิ่งกว่ารบพวกฝรั่งเศส!” พูดแล้วลุกขึ้นเดินงุ่มง่ามอยู่ในห้อง พอเปิดไฟสว่าง อ้ายตัวมีขนมันไม่ยักเดินหนี “มันมาออกันอยู่บนผ้าปูที่นอน ราวกับว่าผ้าขาวผืนนั้นเป็นผ้าดอก “เรือใต้น้ำ” บางลำขึ้นขนเดินเข้าแถวกันมาจะเอากูตาย ---”

----------------------------

เขาไม่ต้องมีจอบมีเสียม ไม่ต้องมีเลื่อยมีค้อนก็หาเงินได้ เพียงแต่ลวดอย่างแข็งตัดปลายแหลม ปาดให้แบนสองอันอยู่ในมือ วิ่งขึ้นบันไดโรงแรมคล่องๆ เท่านั้น เขากับลูกเล็กสองคนก็มีชีวิตอยู่มาได้เช่นเดียวกับคนขับรถรางที่มีรายได้งาม ๆ คนหนึ่ง

ท่านอย่าประหลาดใจหรือคิดเลยไปว่า การที่เขาถือลวดปลายแหลมหรือเหล็กแหลมสองอันวิ่งขึ้นบันไดโรงแรมอยู่เสมอนั้น เขาจะไปแทงใคร หรือขู่เข็ญเพื่อจะเอาทรัพย์ของผู้ใดด้วยเจตนาอันมิชอบ หากว่าเขาคิดหรือมีเจตนาเช่นนั้น เขาคงจะต้องหยุดวิ่งขึ้นบันไดโรงแรมเสียนานแล้ว ลูกค้าเก่าของโรงแรมต่าง ๆ แถวหัวลำโพง ตลอดไปจนถึงเยาวราชตลาดเก่า คงจะไม่เห็นชายร่างเล็กหลังค่อม แต่เดินเอียงข้างยืดคอแข็ง เดินมองข้ามหัวคนผู้นี้อีก เพราะเขาจะต้องถูกส่งตัวไปเก็บไว้ในที่อีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ คุก-ตะราง ไม่ใช่โรงแรม!

สหายใหม่ของข้าพเจ้าคนนี้ เจ้าของหรือผู้จัดการโรงแรมหลายแห่งรู้จักเขาดี พอสั่งว่า “ไปตามตัวอ้ายห้อยมา” ลูกจ้างที่โรงแรมจะถามว่า “อ้ายห้อย ‘คอแข็ง’ ใช่ไหม?” ถ้าเจ้าของโรงแรมพยักหน้า สักครู่หนึ่งเขาก็จะถูกตามตัวมาจากห้องแถวไม้เก่าหลังวัดดวงแข เนื่องจากมีเหล็กแหลมติดตัวมาด้วยและเดินคอตั้งบ่าอยู่ ไม่มีก้มไม่มีโค้งให้แก่ใคร ประกอบทั้งเป็นคนมีอารมณ์ดีพอที่ใคร ๆ จะล้อเล่นได้บ้าง เกือบทุกครั้งที่ผู้จัดการหรือคนในโรงแรมเห็นเขาเดินมาจึงมักจะร้องทักว่า “ผู้บังคับการมาแล้วรีบจัดการเร็ว! คนพักโรงแรมไม่หลับ”

เขาจะยิ้มด้วยความมั่นใจ “อั้วจัดการเอง” ตอบด้วยเสียงดุๆ “มันจะมาทำเป็นเจ้า ไม่ยอมให้คนหลับนอนกันได้หรือ? อ้ายห้อยยังอยู่ตราบใด นายอย่าไปกลัวมันเลย” พูดพลางหัวเราะหึๆ แล้วบ้วนน้ำลายปรี๊ดไปติดข้างฝา ผู้จัดการโรงแรมนึกเคืองที่เขาแสดงกิริยาเป็นกุ๊ย บ้วนน้ำลายออกมาง่ายๆ ไม่ดูที่ดูทางแต่ไม่กล้าว่า เพราะต้องพึ่ง ‘ผู้บังคับการห้อย’ อยู่เต็มประตูคนอื่นไม่มีความศักดิ์สิทธิ์และมีฝีไม้ลายมือแม้เพียงครึ่งหนึ่งของเขา ดังนั้นพอเห็น ‘อ้ายห้อยคอแข็ง’ ทำสกปรก ลูกน้องหรืออ้ายเนี้ยวเด็กรับใช้ของโรงแรมก็จะรีบยกหรือถีบกระโถนเลื่อนมาให้ทันที

เขาได้รับตำแหน่ง ‘ผู้บังคับการห้อย’ เพราะข้าราชการหัวเมืองที่มาพักนอนตั้งฉายาให้ในขณะที่กำลังดื่มเหล้ากันอย่างมึนเมา คนหนึ่งร้องขึ้นว่า “แหม! พี่ชาย เดินคอตั้งบ่าไม่เหลียวซ้ายแลขวาเทียวนะ”

อีกคนหนึ่งพูดพร้อมกับหัวเราะด้วยเสียงอันดังว่า “ถ้าแกคงจะเคยเป็นทหารอาสามาก่อนแน่ๆ”

ข้าราชการอีกคนหนึ่งติดจะเมามากเกินกำลังไปสักหน่อย หรี่ตายื่นหน้าเข้าไปใกล้ตาห้อยคอแข็งแล้วพูดว่า “มันไม่ใช่ทหารอาสาอาแสอะไรหร็อก ดูที่คอมันซี ฝีประคำร้อยขึ้นอยู่รอบทีเดียว”

เมื่อยังหนุ่มอยู่นั้น ‘อ้ายห้อยคอแข็ง’ มีชีวิตอยู่ในถิ่นโสเภณีเถื่อนหลังโรงแรมหัวลำโพง เขาชอบเที่ยวคลุกคลีอยู่กับผู้หญิงหากินชั้นเลว และได้รับเชื้อกามโรคชนิดที่เมื่อไปถึงหมอแล้วจะไม่พ้นนีโอจุด ๙ ไปเลย แต่เขาก็รอดตายมาได้โดยเจ้าเชื้อโรคร้ายมันฝากรอยเสน่ห์ไว้ด้วยแผลเป็นจนรอบคอ มันทำให้เขาหดคอยืดเข้ายืดออกไม่ได้ จึงได้รับฉายาว่า ‘ผู้บังคับการห้อย’ ซึ่งหมายถึง การเดินคอตั้งบ่าอย่างทะนงองอาจเหมือนนายทหารใหญ่

เจ้าของโรงแรมทุกแห่งคุ้นเคยกับ ‘ผู้บังคับการห้อย’ เป็นอย่างดี เมื่อเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นเป็นภัยแก่ผู้มาพัก จนถึงกับทำให้เดือดร้อนนอนไม่หลับ ต้องตื่นขึ้นลุกเดินเพ่นพ่านคืนละหลายๆ ครั้งแล้ว ผู้บังคับการห้อยจะถูกติดตามมาบำบัดเหตุในวันรุ่งขึ้นแต่เขามักจะมีนิสัยสันดานชอบนอนตื่นสาย เมื่อคนของโรงแรมไปตามตัว หากเป็นเวลาที่เขายังนอนหลับอยู่หรือตื่นแล้วยังขี้เกียจลุก ใครบังอาจปลุกไม่ได้เป็นอันขาด ถ้าขืนส่งเสียงปลุกหรือเรียกให้เป็นที่รำคาญ ในขั้นแรกเขาจะร้องตวาดออกมาว่า “กูไม่ไปละ! อ้ายบ้าระยำนี่ไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจคนบ้างเลย มึงเห็นกูเป็นคนจนรึ? มึงรวยมากมึงก็อยู่กับพวกมึงซี! จะมากวนใจกูทำไม? ไปบอกโคตรพ่อมึงเถอะว่า กูไม่ไป!”

โรงแรมบางแห่ง เมื่อเกิดภัยแก่ผู้มาเช่าพักในตอนเริ่มแรกมักจะปล่อยดูดายไม่รีบจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน ปล่อยหมักหมมเอาไว้จนภัยนั้นรุนแรงร้ายกาจอย่างเหลือที่จะทนได้ ผู้เช่าพักที่เป็นลูกค้าประจำจึงต้องเผ่นหนี บางคนตกลงเช่านอน ๗ คืน แต่อยู่ได้เพียงคืนเดียวรีบเก็บของลงกระเป๋าเปิดไปเช่านอนที่อื่น ครั้นเดือดร้อนมากขึ้น กลัวเสียประโยชน์ แก้ไขอะไรอย่างอื่นไม่ได้ ก็รีบสั่งให้ไปตามตัว ‘ผู้บังคับการห้อย’ มา ด้วยนึกว่าเป็นคนจน “เอาเงินฟาดหัวมันทีเดียวก็มา” แต่ ‘ผู้บังคับการ ห้อย’ เคยช่ำชองชำนิชำนาญต่อชั้นเชิงของชีวิตในถิ่นนักเลงมาตั้งแต่น้อยคุ้มใหญ่ เขารู้ว่าเขามีความสามารถในอาชีพที่ใช้เหล็กแหลมสองอันแต่ผู้เดียว ถ้าใครจะเอาเงินฟาดหัวเขา เขาก็ได้แต่ยิ้มอยู่ในใจ แล้วพูดกับตัวเองว่า “มันไม่สำเร็จหร็อกเว้ย!”

ครั้งหนึ่ง มีลูกสมุนจากโรงแรมย่งตงกั๊กแถวถนนเยาวราชมาตามตัว ‘ผู้บังคับการห้อย’ ไปปราบภัยที่กำลังคุกคามโรงแรมนั้นอยู่ โรงแรมนี้มีผู้จัดการที่อวดดีวางตัวเป็นอาเสี่ย เคยพูดว่า “เราใช้ทรัพย์ ไม่ใช่ใช้คน” เขาเป็นลูกจีนที่ชอบเล่นไพ่หมาเก๊าชอบหยำฉ่า ในสิ่งที่เกี่ยวข้องด้วยไพ่และผู้หญิงแล้ว เขาไม่เคยเสียดายเงินเลย เสียเท่าไรเสียไป ดูเหมือนจะไม่เคยนึกว่าถ้าหมดตัวเข้าแล้ว จะต้องกลายเป็นคนยากจนไปในวันหนึ่ง เขารักแต่ความสนุก-แต่ในสิ่งที่จำเป็นควรจะทำให้ผู้เช่าโรงแรมมีความสุขกายสบายใจนั้น เขากลัวจะหมดเปลือง ต่อเมื่อมาเกิดภัยรบกวนผู้มาพักหนักขึ้นจนทนไม่ไหว ขาประจำซึ่งมีอยู่ ตั้งแต่ครั้งเตี่ยยังไม่ตาย ก็หายหน้าหายตาไปหมด ซ้ำยังพูดกันต่อไปด้วยว่า “โรงแรมย่งตงกั๊กเดี๋ยวนี้อย่าไปพักเลย ‘เรือใต้น้ำ’ ชุมนักบางลำตัวขึ้นขนเดินแถวกันมาราวกะจะเอากูตาย!” นายสิบทหารผู้หนึ่งเคยผ่าน “เมืองยอง” และบุกศึกมหาวินาศครั้งอินโดจีนมาแล้ว ลุกขึ้นร้องเอะอะว่า “กูพักที่โรงแรมนี้ไม่ไหวโว้ย! อ้ายตัวมีขนมันร้ายยิ่งกว่ารบพวกฝรั่งเศสเสียอีก” พูดแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินงุ่มง่ามอยู่ในห้อง พอเปิดไฟสว่าง อ้ายตัวมีขนมันก็ไม่ยักเดินหนี มันออกันอยู่บนผ้าปูที่นอนราวกับว่าผ้าขาวผืนนั้นเป็นผ้าดอก ฝ่ายอาเสี่ยเมื่อปล่อยปละละเลยไว้อย่างถึงขนาดดังกล่าวแล้ว เห็นจะไม่เป็นการเพราะรายได้ตกมาก โรงแรมของตัวใหญ่โตสวยงาม แต่ไม่มีคนมาเช่านอน แต่โรงแรมบ้วยจงหลีอยู่ใกล้ ๆ มีเพียงห้องเดียวชั้นเดียว กลับมีคนเข้าไปเช่าพักจนแน่นเกือบไม่มีที่ว่าง เพื่อที่จะแก้ไขให้ความเป็นอยู่สมัยเตี่ยกลับคืนมาอีก เขาจึงสั่งให้ลูกจ้างไปตาม ‘ผู้บังคับการห้อย’ มาโดยด่วน แต่ลูกจ้างคนนั้นพูดภาษาไทยได้เหมือนนกเอี้ยง นกขุนทอง เขาสั่งให้พูดอะไรก็พูดไปอย่างนั้น พอไปถึงห้อง ‘ผู้บังคับการห้อย’ เห็นปิดประตูนอนอยู่ข้างในก็เคาะเรียก

“อาห้อย-อาห้อย! ลุกลิว ๆ!”

“เรียกหาพ่อมึงเรอะ? ลุกลิวอะไรลุก? เตี่ยมึงน่ะ ไม่ลุกหร็อก เตี่ยมึงจะนอน!”

“อั้วให้ยี่สิบบัก ไปเหลียวนี้ให้ยี่สิบบัก” ลูกสมุนโรงแรมพูดถึงอำนาจเงิน

“๑,๐๐๐ บาทกูก็ไม่ไป” ผู้บังคับการห้อยร้องตะโกนตอบ “กูจนก็จริง มึงอย่าเอาเงินมาขู่ อ้ายบ้านี่ไม่รู้จักห้อยเสียแล้ว!”

เขาไม่ยอมไป-เขาเป็นคนแคะตัวเรือดทำความสะอาดตามโรงแรมต่างๆ แต่เขาก็รักความอิสระยิ่งกว่าเงิน!

----------------------------

ต้อนตัวเรือดลงถ้วยแก้วส่งไปขายซินแสจีน ตัวเรือดเมืองไทยใช้เป็นตัวยาแก้โรคผอมแห้งแรงดีกว่าที่สั่งจากจีน ลูกอยากกินไก่ก็ซื้อไก่ อยากกินเป็ดก็ซื้อเป็ด ตัวเรือดมันกินคน แต่คนจับเอาตัวเรือดมาขายกินเลี้ยงครอบครัวอย่างสบายทีเดียว!

----------------------------

‘ผู้บังคับการห้อย’ หรือ ‘อ้ายห้อยคอแข็ง’ นั้น ลงได้พูดว่า “กูม่าย--” ละเป็นม่ายจริงๆ ต่อให้ตัวผู้จัดการมาตาม-- “ช่วยกันหน่อยน่า อาห้อย--อ้ายเรามันคนกันเอง--” ขืนพูดไปก็น้ำลายแตกฟองเมื่อยปากเปล่าๆ ผู้บังคับการของเราเด็ดขาดนัก และถ้าหากถูกพวกโรงแรมรบเร้าหนักๆ ข้า เขจะพูดว่า “พวกลื้อมันไม่เห็นหัวคนจน เอาเงินไปฟาดหัวคนอื่นน่ะได้ แต่หัวอ้ายห้อยละ อย่าเชียวนามึงนา!”

ในที่สุดเจ้าของโรงแรมที่ปล่อยปละละเลยให้มีเรือใต้น้ำชุกชุมขึ้นบนโรงแรม จนไม่มีใครกล้ามาพักนั้นก็ต้องหยุดเล่นหมาเก๊าชั่วคราว รีบสั่งลูกน้องให้พาตัวอาเสี่ยเองย่ำซอกซอนเข้าไปตามตัวท่านผู้บังคับการจนถึงบ้าน

“อ้อ! เสี่ยมาเองเทียวนะ” เขาร้องทัก พร้อมกับหัวเราะเหอะ ๆ “เสี่ยปล่อยหมักหมมไว้นานนักนี่ ขืนทำใจเย็นมัวเล่นหมาเก๊า ชวนผู้หญิงหยำฉ่าบ่อย ๆ ไม่นึกถึงอ้ายตัวดำน้ำ อีกหน่อยอย่าว่าแต่คนอื่นจะกล้ามาพัก พวกลูกจ้างของลื้อมันก็จะเผ่น มันทนไม่ไหวหรอกน่าเสี่ย ที่โรงแรมของลื้อน่ะ มันขนาดถึงตัวขึ้นขนแล้ว ใครขืนอยู่ก็มีแต่กระดูก เลือดไม่มี เป็นคนมีแต่กระดูกเลือดไม่มี--” พูดแล้วหัวเราะฮะเหื่อยฮะเหื่อยด้วยความชอบใจ

“เอาน่าอาห้อยน่า อั๊วให้ ๓๐ บัก” เสี่ยเจ้าของโรงแรมว่า “ทำวันเดียวสองวันสามสิบบักพอแล้วนา---”

ผู้บังคับการห้อยยกมือขึ้นเกาหัวแกรก ยังไม่ทันไรมาพูดกันถึงเรื่องเงินอีกแล้ว เขาชักจะไม่พอใจ แต่เห็นว่าเสี่ยลดเกียรติมาตามตัวถึงบ้าน จึงไม่อยากจะรุนแรงอะไรมากนัก คิดว่าเอาไว้ติดต่อกันวันหน้าวันหลัง คราวนี้เพียงแต่เริ่มสั่งสอนให้รู้ฤทธิ์เสียบ้าง

“ลื้ออย่าเอาเงินมาฟาดกบาลอั๊วนาจะบอกให้” เขาพูด มองหน้าเจ้าของโรงแรมย่งตงกั๊กทำตาเขียว “ที่โรงแรมลื้อเรือดชุมฉิบหาย ถ้าไม่ใช่มือชั้นอั๊ว สองเดือนมันก็ไม่เสร็จ ทำทางนี้ไปชุมทางโน้น มันก็เหมือนคนเราแหละน่าเสี่ยเอ๊ย! หมาเก๊ามีที่ไหนมันก็ไปที่นั่น หยำฉ่ามีผู้หญิงสวย ๆ เอาไว้ล่อ เสี่ยแลดูแล้วน้ำลายไหลยืด---”

เขาพูดอย่างเยาะ ๆ แกมเสียดสี แต่ในที่สุดก็หันเข้าฝาหยิบลวดแหลมสองอันที่เสียบเอาไว้ออกมาเหน็บพุง “พูดกันดีๆ ไม่ต้องถึงสามสิบสี่สิบมันมากเกินไป อั๊วก็กินไม่ลงเหมือนกัน ลื้อเป็นเสี่ยอย่านึกว่าอยู่บนหัวคน นึกว่าอยู่บนดินเหมือนๆ กัน แล้วก็พูดกันได้ อีกคนหนึ่งเป็นเทวดา อีกคนหนึ่งเป็นหมา ถ้าลื้อคิดอย่างนี้เราอย่าเจอกันดีกว่า”

เจ้าของโรงแรมถึงจะนึกเคืองอยู่ในใจเหมือนไฟเผา แต่ก็ต้องยอมให้ ‘อ้ายห้อยคอแข็ง’ กล่าวเสียดสีอยู่จนเป็นที่พอใจ เมื่อเขากลับไปแล้วสักครู่หนึ่ง ผู้บังคับการก็จะไปถึง พูดในเรื่องการงานแล้ว เขาเป็นคนรักงานคนหนึ่ง ‘ห้อยคอแข็ง’ บอกข้าพเจ้าว่า “เชื่อผมเถอะคุณ คนเรานั้นถึงมันจะระยำหมายังไง แต่ถ้ามันไม่นั่งเลียหัวเข่าอยู่เฉยๆ แล้ว มันก็เอาตัวรอดได้เหมือนกัน ขอให้ดูผมเป็นตัวอย่าง ใคร ๆ ก็เรียกอ้ายห้อยทั้งนั้น ไม่เคยมีใครเรียกคุณ แต่ผมจองหองอยู่อย่างเดียวที่ไม่เคยกราบตีนขอสตางค์ใคร ผมหาของผมใช้เอง ใครจะเบียดเบียนผมบ้างก็ได้ ถ้าเป็นเพื่อนฝูงกัน แต่เพียงบาทสองบาทเท่านั้นนะคร้าบ”

ข้าพเจ้าคิดว่า คนที่เกิดมาในวงล้อมที่เหมือนนรกบนพื้นพิภพอย่างผู้บังคับการห้อยนี้ เขาก็มีปรัชญาแห่งชีวิตของเขาเหมือนกัน

ในการณรงค์กับฝูงเรือใต้น้ำชนิดขึ้นขนบนโรงแรมนั้น เขามีวิธีเชี่ยวชาญและมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าคนอื่น เขารู้ว่าตัวเรือดที่แก่อย่างถึงขนาดนั้น มันออกมาสืบพันธุ์กันในเวลากลางคืน เจ้าสัตว์ชนิดนี้จะไม่สืบพันธุ์ในขณะที่มันยังไม่ได้กินเลือดคน เตียงใดมีคนมาเช่านอน ถ้าเป็นในฤดูร้อน มันจะกรูกันออกมาทีเดียว ‘ห้อยคอแข็ง’ อธิบายว่า คนจีนและคนไทยส่วนมากมักชอบปิดไฟฟ้านอนมืด ๆ ในห้องใดมีคนเช่านอนเสมอ ตัวเรือดก็ไม่ค่อยหิว เพราะมันกินเลือดคนเป็นประจำอยู่ ส่วนห้องใดที่ร้อนอบอ้าว อยู่ในด้านที่มีกลิ่นเหม็นหรืออากาศไม่บริสุทธิ์ ผู้เช่าก็มักจะผ่านไปเลือกห้องอื่น นอกจากเป็นเวลาที่มีคนมาเช่าเต็มอัตราเสียแล้วจะเลือกมิได้ จึงยอมเช่า ในห้องเช่าที่ว่านี้ เรือดจะกรูกันออกมาตั้งแต่ไฟฟ้ายังไม่ได้ปิด เพราะมันหิวโหยมานาน ตัวแบนลีบแทบจะปลิวได้ ส่วนผู้มาเช่าพักที่มีประสาทไวจะนอนไม่หลับเลย หากเป็นชาวนาหรือกุลีขนของแล้ว ‘ห้อยคอแข็ง’ เล่าว่า คนจำพวกนี้เหนื่อยมา เขามักจะไม่คำนึงถึงเรื่องตัวเรือดตัวยุงอะไรเลย พอมุดหัวเข้ามุ้งก็หลับปุ๋ยเหมือนตาย แต่ที่โรงแรมย่งตงกั๊กที่กล่าวแม้แต่พวกกุลีขนของ หรือชาวนาหนังหนาชนิดที่ตัวเห็บก็ยังต้องเบ้หน้านั้น ยัง ต้องเผ่นออกไปนั่ง “หลับนก” อยู่ที่เฉลียงโรงแรมบ่อยๆ เพราะไม่อาจทนทานต่ออำนาจของเรือใต้น้ำชนิดขึ้นขน ที่เข้าแถวเดินขบวนกันมาสูบเลือดนั้นได้

ผู้บังคับการห้อยเล่าว่า ในฤดูหนาวตัวเรือดมักจะไม่ค่อยจะออกมากินเลือดคนที่มาพักในโรงแรม เพราะมันชุมนุมกันอยู่เป็นแห่งๆ รวมทั้งลูกเล็กตัวน้อย ไข่มันจะแก่และเพิ่มพันธุ์มากขึ้นในหน้าหนาว ตัวที่หิวโหยจริง ๆ เท่านั้นจึงจะออกมากัดกินเลือดคนในฤดูที่มีอากาศเย็น ส่วนในฤดูร้อน เป็นเสมือนฤดูออกหากินที่แท้ของสัตว์ชนิดนี้

“ตามเตียง ตามหมอนหรือแถวขอบที่นอนมีขี้ไคลสกปรกติดอยู่มาก ยิ่งนานวันถ้าไม่ได้ทำความสะอาด มันจะติดหนาจนเอาเล็บขูดออกได้” เขาพูดอธิบายด้วยความเจนจัดในวิชาชีพอย่างแท้จริง “หน้าร้อนคนที่มาเช่าโรงแรมพักมักจะมีเหงื่อมากเจ้าพวกตัวเรือดมันจะพร้อมหน้ากันออกมาเมื่อได้กลิ่นตัวมนุษย์ การปราบปรามสัตว์สกปรกชนิดนี้มันไม่ยากเลย ถ้าทำถูกวิธี แต่ถ้าผิดวิธีจะเลยไปกันใหญ่ โรงแรมหลายโรงต้องปิดมาแล้ว เพราะคนเกรงเดชเรือใต้น้ำ เมื่อข่าวเล่าลือระบาดไปว่า โรงแรมไหนเพาะเรือใต้น้ำไว้มากจะไม่มีคนไปเช่านอน โรงแรมต้องเสียค่าโสหุ้ยมาก หนักเข้าทนไม่ไหว ต้องปิดไปเองเพราะอำนาจของเรือใต้น้ำ

ผู้บังคับการห้อยเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า “โรงแรมบางแห่ง คิดจะไล่ตัวเรือดกันเองโดยไม่ต้องมาง้องอนคนอย่างผม เขาจัดการต้มน้ำร้อนกันเป็นการใหญ่ ลูกสมุนเที่ยวเอาน้ำร้อนไปชงตามขอบเตียง อ้ายตัวเรือดที่ถูกน้ำร้อนจังๆ มันก็ตาย แต่อ้ายชนิดหลบได้ไว กว่าน้ำร้อนจะเข้าไปถึงตัวมันก็เย็นเสียแล้ว มันจึงไม่ตาย ส่วนรังและขุมไข่ของมันที่ได้รับความอบอุ่น เลยเกิดลูกเด็กเล็กแดงขึ้นอีกนับหมื่นนับแสน คราวนี้อย่าว่าแต่คนจะไปเช่านอนเลยคุณ เพียงแต่เช่านั่งก็ไม่ได้เสียแล้ว”

เขาหัวเราะอย่างสนุกสนานพร้อมกับชูเหล็กแหลมหรือลวดแข็งปลายตัดสองอันให้ข้าพเจ้าดู “ผมไม่ใช้น้ำร้อนสู้กับเรือใต้น้ำ” ผู้บังคับการห้อยว่า “ถ้าใช้น้ำร้อนจะต้องหาถังยักษ์มาต้มน้ำแล้วจุ่มโรงแรมทั้งหลังลงไป ถ้าทำอย่างนี้ได้จึงจะศักดิ์สิทธิ์” พูดพลางหัวเราะพลางด้วยความขบขัน ข้าพเจ้าถามถึงวิธีของเขา และเขาก็ยินดีเล่าให้ฟัง

“ผมใช้เหล็กแหลมสองอันค่อยๆ ขีดชอนลงไปในร่องไม้ตามเตียงนอนที่ปรากฏว่ามีเรือดชุม ขีดชอนไป ทางเดียวเท่านั้นจะขีดกลับไปกลับมาไม่ได้ แล้วเจ้าตัวเรือดก็จะวิ่งหนีไปทางเดียวผมก็เขี่ยลงถ้วยแก้วทีละตัวสองตัวเรื่อยๆ ตัวเล็กตัวน้อยผมบี้เสียบ้าง ปล่อยมันไปบ้าง เพราะไม่สู้สำคัญนัก”

เขาสาธยายชีวิตในอาชีพอันแปลกประหลาดด้วยความแคล่วคล่อง คล้ายกับว่ามันเป็นสูตรอยู่ในใจ เรือดตัวเล็กตัวน้อยมันผสมพันธุ์ไม่ได้ ต้องรออยู่อีกระยะเวลาหนึ่งจึงจะมีฤทธิ์เดชขึ้นมา นี่เป็นความเชื่อจากความชำนาญของเขา

ด้วยเหล็กแหลมสองอันกับความเพียร เขาก้มหน้าขีดและไชชอนไปจนทั่ว อ้ายตัวใหญ่ๆ กวาดลงถ้วยแก้ว ในแห่งที่เรือใต้น้ำชุกชุม เวลาเพียงไม่เลยบ่ายโมงเขาจะต้อนลงไปรวมกัน ดิ้นขลุกขลักอยู่ในที่ตายของมันตั้งครึ่งถ้วยแก้ว ถ้าวันไหนได้เรือดมาก แทนที่จะบ่นเหนื่อยกลับรู้สึกชื่นใจ

“ยาอิมัสสุของญี่ปุ่นที่ว่าวิเศษ ก็ยังสู้เหล็กแหลมของผมไม่ได้” เขาว่าพร้อมกับหัวเราะเหอะ ๆ ตามเคย “เวลานี้กลักเล็ก ๆ ซื้อกันตั้งกลักละ ๘ บาท ทั่วโรงแรมใหญ่ๆ ใช้กี่ร้อยกลักจึงจะพอ ในที่สุดมันก็ไม่พ้นคนอย่างผม เขาเรียกผมว่า ‘อ้ายห้อยคอแข็ง’ แต่อ้ายห้อยคอแข็งนี่แหละที่เจ้าของโรงแรมจะต้องไม่โกรธมัน เพราะมันเป็นคนปากร้าย แต่ถ้ารู้จักยอละก้อใช้มันได้ อ้ายห้อยมันบ้ายอครับคุณ”

ผู้บังคับการห้อยมีลูกสองคน เมียของเขาตายเสียตั้งแต่เมื่อคลอดลูกคนที่สอง

“ผมไม่อยากคิดค่าแรงแพงหรอกครับ ถึงจะต้องทำงานมากก็ไม่รู้สึกเหนื่อย”

“ทำงานมากเหนื่อยมากต้องได้เงินมากจึงจะถูก” ข้าพเจ้าว่า

“คุณยังไม่รู้ความจริง” เขาพูดด้วยเสียงปกติ “ตัวเรือดที่ผมจับได้มาก ๆ นั้น ผมส่งไปชั่งขายที่ร้านขายเครื่องยาจีนซินแสรับซื้อเป็นเจ้าจำนำกัน ขนาดเต็มถ้วยชากังไสขายได้ ๒๐ บาท”

เขาอธิบายต่อไปว่า ตัวเรือดที่ซื้อได้จากเมืองไทยเป็นยาแก้โรคผอมแห้งแรงดีกว่าที่สั่งเข้ามาจากประเทศจีนเสียอีก

ข้าพเจ้าได้รับความรู้ใหม่พร้อมกับรู้สึกกระอักกระอ่วนในท้องอย่างพูดไม่ถูก

“อ้ายลูกเล็กของผมมันอยากจะกินไก่ ผมก็ซื้อไก่ มันอยากจะกินเป็ดผมก็ซื้อเป็ด ถ้าไม่มีโรงแรมและตัวเรือดอ้ายลูกของผมคงจะอดเป็นหมาท้องแห้ง!”

จวบจนถึงเวลาที่เขียนเรื่องนี้ ข้าพเจ้ายังคงนึกถึงตัวยาแก้โรคผอมแห้งของซินแสจีนอยู่ ตัวยาซึ่งต้องผสมด้วยเรือดำน้ำชนิดขึ้นขน

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ