- นิคมคนเก็บก้นยา
- “ผู้บังคับการห้อย” คนรับจ้างแคะเรือดในโรงแรม
- ชาวโลกผู้เกลียดกลางวัน ชอบกินทุเรียน ร้องไห้ดังๆ
- ความรู้สึกของหญิงสาวที่เป็นกามโรค
- ที่นอนผีตายโหง
- นายทะเบียนย้อยผู้ไม่สนใจเรื่องคนเกิดคนตาย
- ตำรวจแขกผู้ผจญนักเลงบ้านอู่และพวกดงพญาไฟ
- สิวก่ำ......ดาราโคมเขียว
- อั๊วต้งขบจายพูหญิงหาเงิง...
- ชีวิตคนตะรางครั้งสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
- คนตัวเหม็นเห็นน้ำสั่น
- มนุษย์หน้าผีใจพระ หรือ “ศพเดินได้” คนที่หน้าไม่เหมือนคน
- คนใต้ถุนบ้าน
- “เสี่ยขาว” นักต้มญี่ปุ่น
- นิคมอาบแดด...พิสดารแห่งทุ่งบางกะปิ
- ไม้กระดานโลงผีกลายเป็นโต๊ะเครื่องแป้ง
- ผัวหน้าเหมือนเมีย เมียหน้าเหมือนผัว
- ครอบครัวขี้เกียจ ในจุฬาฯ ซอย ๒
- ดงตุ๊กแก
- คนไทยผู้ยักคิ้วให้เฮนรีฟอร์ด
- เสียงคราง...เมื่อตอนตี ๔
- บ้านหมาหอน
- ครอบครัวประหลาดอายุยืนเหมือนต้นโอ๊ก
- นิคมของ...คนหัวล้าน
ผัวหน้าเหมือนเมีย เมียหน้าเหมือนผัว
----------------------------
“...ที่คุณปรารถนาดีจะให้มาทั้งครอก แถมอ่างน้ำข้าวด้วยอีกใบหนึ่งนั้น ผมขอบใจนัก แต่ทว่าข่าวสารเวลานี้มันแพงถึงลังละ ๒๐ บาทแล้วเห็นจะสู้ไม่ไหว จะขอปลดเปลื้องช่วยทุกข์เพื่อนเพียงตัวเดียว ขโมยบ้านผมมันชุมเหลือเกิน กางเกงในขาด ๆ มันก็เอา นี่คุณรู้ไหมว่าผมไม่ได้นุ่งกางเกงในไปทำงานตั้งครึ่งเดือนมาแล้ว รู้สึกเหนอะหนะเหมือนนั่งทับตังเม...”
----------------------------
ถ้ามีคนมาบอกท่านว่า ไก่หน้าเหมือนเป็ด ท่านคงจะนึกบ่นพึมพำว่า “เป็ดอะไรกัน ทำไมหน้ามันจึงจะต้องเหมือนไก่” และเมื่อหน้าไก่เหมือนเป็ดหรือเมื่อหน้าเป็ดเหมือนไก่ ทำไมเขาจึงไม่เรียกชื่อเสียอย่างเดียวกัน คือเรียกให้เด็ดขาดลงไปเลยว่า ‘เป็ด’ หรือ ‘ไก่’ การที่จะเรียกไก่ ๆ เป็ด ๆ และบอกว่าหน้ามันเหมือนกันนั้น ฟังดูมันจะกลายเป็นเรื่อง ‘ทาร์ซาน’ เข้ากรุง หรือพระเจ้าไกเซอร์แวะมาถอนฟันที่สามแยกเสียแหละมาก อีกหน่อยลูก ๆ หลาน ๆ ของเราคงจะไม่รู้จักว่าหน้าตาช้างจริงๆ มันเป็นอย่างไร ถ้ามีคนอุตริพูดกันว่า “เสือหน้าเหมือนช้าง ช้างหน้าเหมือนเสือ” เพราะเมื่อช้างหรือเสือหน้าเหมือนกันเสียแล้ว ช้างหรือเสือมันก็คือเสือและช้างนั่นแหละเราจะเรียกอะไรก็ได้ตามสะดวก เช่นพอเห็นช้างเดินมาเราว่าเสือ พอเสือเดินมาเราว่าช้าง
ถ้ามีคนมาบอกท่านอีกว่า เสือหน้าเหมือนไก่ ต่อไปตลาดไก่จะกลายเป็นป่าช้าที่ไม่มีศพคนจะไปฝังทีเดียว เพราะคนคงไม่กล้าแวะเข้าตลาดไก่เพื่อซื้อไก่เอาไปกิน ด้วยไม่แน่ใจว่าเป็นไก่จริงๆ เมื่อเสือหน้าเหมือนไก่เสียแล้ว ตลาดไก่มันคงจะเต็มไปด้วยเสือ การซื้อไก่ก็เท่ากับซื้อเสือ คนไม่ทันจะกินมัน แต่มันจะกินเอาคนเข้าก่อน ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ ท่านผู้อ่านคงจะว่า “จอห์นฮิกซ์” เข้าแล้ว แต่เรื่องอย่างว่า มันเป็นเรื่อง “ไม่คิดไม่เห็น” ถ้าเสือหน้าเหมือนไก่จริงๆ เวลาเอาไก่ไปปล่อยวัดเราอาจจะต้องพูดว่า “เฮ้ย อ้ายหลอ (เด็กคนใช้ของข้าพเจ้าชื่ออ้ายหลอ) มึงเอาเสือไปปล่อยวัดทีเถอะวะ” และเมื่อเราพูดเช่นนี้ ชาวบ้านแอบได้ยินเข้าเกิดความตระหนกตกใจ บอกเล่ากันต่อๆ ไป พระที่วัดได้ยินเข้าจะมิต้องจัดการย้าย ปล่อยให้กุฏิว่างเป็นแถบ ๆ ไปหรือ?
ข้าพเจ้าคิดเลยไปอีกว่า เมื่อถึงคราวเทศกาลออกร้านงานภูเขาทอง มีคนนำเสือมาแสดง แต่เขาเขียนป้ายบอกไว้หน้าประตูว่าเชิญดูไก่ คนก็อาจจะเดินเลยไปโดยไม่นำพาชายตาดูเสียเลย แต่ถ้าอีกแห่งหนึ่งมีไก่สามขา มาแสดง เขาเขียนโฆษณาว่า “เชิญท่านแวะมาชมเสือสามขา” ผู้คนก็คงจะผ่านประตูเข้าไปชมกันจนแน่น ต้องใช้ศอกช่วยตัวเองเหมือนเมื่อคราวนายเลื่อน พงศ์โสภณ สำแดงเดชขี่จักรยานยนต์ไต่ถังเป็นครั้งแรกแล้วมันก็จะกลายเป็นเรื่องผิดหวังอีก เพราะผู้ดูย่อมจะรู้สึกเสียดายสตางค์ขึ้นมาทันที ในเมื่อมองไม่เห็นเสือ เขาจะพากันถามว่า “เสืออยู่ที่ไหน?” ส่วนคนเฝ้ากรงไก่ก็จะชี้ให้ดูไก่แล้วทำหน้าเหย ๆ เพราะเหตุที่เสือหน้าเหมือนไก่ และไก่หน้าเหมือนเสือ คนดูก็ตกที่นั่งหน้าเป็นไก่ (ต้ม) ไปด้วย แต่บางคนจะดุเป็นเสือขึ้นมาทันที ทั้ง ๆ ที่หน้าของเขาไม่เหมือนเสือเลย เขาเป็นไก่ที่ถูกต้ม แต่ดุร้ายเกรี้ยวกราดเหมือนเสือ แต่ถึงอย่างไรก็ดี การที่จะเห็นเสือหรือไก่มันก็ไม่สนุกทั้งนั้น เพราะเพียงแต่ไก่ตอนตัวเหลือง ๆ ที่เจ๊กแขวนไว้ในตู้กระจก เราเดินผ่านเข้าไปเห็นเข้า เราก็ต้องยืดลิ้นกระดกออกมาเลียริมฝีปาก ส่วนเจ้าเสือนั้น ถ้าเรานั่งอยู่ในศาลาเฉลิมกรุง ได้เห็นมันโผล่ออกมาเลียคางคนป่าให้เราดู ทุกคนคงจะมีอารมณ์เย็นนั่งยิ้มหรือเคี้ยวเนื้อสวรรค์อยู่ได้นิ่งๆ แต่ถ้าเป็นที่บ้าน ท่านกำลังนั่งทำธุระเปลื้องทุกข์อยู่ ท่านแว่วเสียงเขาพูดกันว่าเสือมา ท่านจะลุกพรวดพราดขึ้นทันที กลายเป็นคนขี้ลืมไปได้อย่างประหลาด และถ้าอ้ายหลอเด็กคนใช้ของข้าพเจ้ามันเห็น มันจะบอกทันทีว่า
“คุณครับ กลับเข้าไปเสียก่อน”
ท่านได้ยินท่านจะเดือดเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที
“อ้ายระยำ” ท่านว่า “ถึงจะให้กูกลับเข้าไปทำไมอีกวะ?”
“คุณลืมนุ่งกางเกงครับ” อ้ายหลอจะพูดแล้วพร้อม ๆ กันนั้น มันจะยิ้มอย่างยั่วยวนเป็นที่สุด
เท่าที่ข้าพเจ้ากลั้นใจเขียนเรื่องไก่หน้าเหมือนเป็ด และเสือหน้าเหมือนไก่มาได้อย่างยืดยาวถึงเพียงนี้ ดูมันเป็นเรื่องกาหลอลหม่านเสียเหลือเกิน แต่ท่านไม่ต้องทำเป็นคนใจร้อน ข้าพเจ้ากำลังจะเล่าเรื่อง “ผัวหน้าเหมือนเมีย เมียหน้าเหมือนผัว” ซึ่งเป็นเรื่องจริง แต่บางคนอาจจะว่า ไม่เห็นมีอะไรที่เหมือนกันนอกจากจะคล้าย และผู้หญิงกับผู้ชายก็ไม่คล้ายกัน มันเป็นเรื่องคนละอย่าง คนละชนิด แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ถ้ามีผู้หญิงคนหนึ่งพยายามจะทำให้หน้าของตนเหมือนกับผู้ชาย และในทำนองเดียวกัน มีผู้ชายคนหนึ่งพยายามจะทำหน้าของตนให้เหมือนผู้หญิง แล้วหน้าสองหน้านั้นใคร ๆ ก็เห็นว่าเหมือนกันจึงเป็นเรื่องที่ผิดกับเสือหน้าเหมือนไก่ หรือไก่หน้าเหมือนเสือ ใคร ๆ เห็นก็ไม่อยากกิน ไม่อยากวิ่งหนี แต่อยากดู
ผัวเมียที่หน้าเหมือนกัน ด้วยความพยายามที่จะให้เหมือนคู่นี้ อยู่กินร่วมหอลงโรงด้วยกันที่บ้านเช่าหลังเล็กในซอยกิ่งเพชร ถนนเพชรบุรี เวลาเช้าเขาจะเดินออกไปด้วยกัน และเวลาเย็นเขาก็จะเดินกลับมาด้วยกัน ข้าพเจ้าบังเอิญไปยืนคอยรถสามล้ออยู่ที่นั่นในเช้าวันหนึ่ง สหายผู้ใจดีบ้านอยู่ในซอยกิ่งเพชรบอกว่าเลี้ยงสุนัขงาม ๆ ไว้มาก มันออกลูกออกหลานกันเกรียวกราวเหมือนเปิดแผ่นกระเบื้องในวิหารเก่า ๆ แล้วตัวอะไรต่ออะไรจะวิ่งกรูกันไปคนละทิศละทาง สภาพเป็นไปน่ากลัวถึงเพียงนี้ เขาว่า “ผมเลี้ยงหมาครับคุณ มีไว้เป็นเพื่อนนอนขดอยู่เฉย ๆ พอให้ขโมยมันรู้สึกสองตัวก็พอ ผมไม่รู้ว่ามันจะกลายเป็นเปิดฝากระเบื้องในวิหารอย่างว่า”
“แล้วคุณจะให้ผมทำอย่างไรกะอ้ายพวกหมาที่วิ่งกรูเป็นตัวแมลงสาบของคุณนั่นล่ะ” ข้าพเจ้าถาม
เขาพูดยังกะข้าวสารเดี๋ยวนี้ราคาถังละ ๑ บาท เหมือนเมื่อครั้งคุณปู่ของเขาเพิ่งเดินเตาะแตะ “ผมจะทำอย่างไร ผมก็ให้คุณทั้งหมดน่ะซี เอาไปเถอะ ขนเอาไปทีเดียว เอาไปให้หมดทั้งครอกนั่นแหละ อ่างน้ำข้าวเดี๋ยวนี้ราคาแพงมากนาครับ เมื่อก่อนซื้อใบละ ๑๘ สตางค์ เดี๋ยวนี้ตั้ง ๕ บาท ถ้าคุณจะไม่ใส่น้ำข้าวให้มันกิน จะขนเอาไปไว้ให้คุณผู้หญิงใช้ดองผักก็ได้”
เพื่อนของข้าพเจ้าพูดเร็วเหมือนสี่เครื่องยนต์ เขารำพันต่อไปอย่างโหยหวนว่า “ผมไม่มีข้าวสุกจะให้มันกินแล้ว หมาของผมเป็นหมาพันธุ์ฝรั่ง แต่เดิมพ่อแม่ของมันอยู่ในวัง ต่อมาเจ้านายไปต่างประเทศ บางทีพระองค์อาจจะกลัวว่า เมื่อพาขึ้นเครื่องบินไปด้วยมันจะเผ่นลงมา จึงทำเฉย ๆ เสีย มันจึงเที่ยวเพ่นพ่านไปอยู่ใต้ถุนบ้านคุณจางวาง คุณจางวางมีเมียสาวชอบกินแต่ปลาร้า ไม่ชอบกินหมูกินเนื้อ ยิ่งเป็นไก่ด้วยแล้วคุณนายสั่นหน้าว่าเมื่อยังกะเห็นจิ้งจกตามฝา เมื่อก่อนราคาไก่ที่เมืองเหนือตัวละสลึงกว่า ๆ เท่านั้น ถูกกว่าปลาซิวที่ตลาดบางลำภูเสียอีก เมื่อเจ้าของบ้านเป็นอย่างที่ผมว่า อ้ายหมาที่เข้าไปอาศัยอยู่ด้วยมันจะไม่ยอมทนไหวหรือ เพราะตามปรกติเมื่อถูกเจ้านายทอดทิ้งมันก็ผอมอยู่แล้ว มันกินจุยิ่งกว่าคน เมื่อยามโปรดปรานท่านไปเอามันมาเลี้ยงใหม่ ๆ ถึงแก่สั่งอาหารกระป๋องจากออสเตรเลีย ว่าต้องคิดตามส่วนแคลอรี กลางคืนอากาศร้อนต้องให้มหาดเล็กขับรถแล่นไปซื้อไอศกรีมที่ลอนดอนไอศกรีมถนนราชวงศ์มาให้กิน เวลาเสด็จนอกปล่อยทิ้งไว้ตามยถากรรม อ้ายหมาแผนสูงจึงต้องตกที่นั่งเล่นข้าวสุกใต้ถุนบ้านคุณจางวาง เมื่อก่อนมันเห็นก้างปลาทำเฉย ๆ แต่เดี๋ยวนี้มันโดดขย้ำเอาทีเดียว”
ข้าพเจ้าแวะไปดูบรรดาสุนัขพันธุ์ที่เคยกินไอศกรีมราชวงศ์แล้วก็บอกสหายว่า “ที่คุณปรารถนาที่จะให้มาทั้งครอก แถมอ่างน้ำข้าวด้วยอีก ๑ ใบนั้น ผมขอบใจนัก แต่ทว่าเวลานี้ข้าวสารมันแพงถึงถังละยี่สิบกว่าบาทแล้ว เห็นจะสู้มากตัวไม่ไหว จะขอปลดเปลื้องช่วยทุกข์เพื่อนเพียงเลือกเอาอ้ายตัวที่ปากเปราะ ๆ กินน้อย ๆ ไปเลี้ยงไว้เฝ้าขโมยสักตัวเดียว ขโมยบ้านผมมันชุมเหลือเกิน กางเกงในขาด ๆ มันก็เอา นี่คุณรู้ไหมว่าผมไม่ได้นุ่งกางเกงในไปทำงานตั้งครึ่งเดือนมาแล้ว รู้สึกเหนอะหนะเหมือนนั่งทับตังเม เวลาลุกขึ้นกางเกงติดกับเนื้อต้องเสียเวลาดึงออก จนพวกผู้หญิงปากแดงพากันค้อนให้”
เขาเสียใจมากที่ข้าพเจ้าพอใจจะเลือกเอาไปเลี้ยงเพียงตัวเดียว เป็นการผิดหวังที่ว่าจะกว้านเอาไปทั้งครอก (ราว ๑๒ ตัว) แต่ถึงอย่างไรก็ดี ถ้าไม่ใช่เพราะสหายบอกให้หมา ข้าพเจ้าก็คงไม่ได้ไปที่ซอยกิ่งเพชร และไม่มีโอกาสได้พบกับ “ผัวหน้าเหมือนเมีย เมียหน้าเหมือนผัว” อย่างแน่นอน
เพื่อนข้าพเจ้าว่า “มันเป็นเรื่องประหลาดถ้าคุณดูเพียงผ่าน ๆ คุณจะไม่รู้ว่าใครเป็นผัวใครเป็นเมีย แต่เมื่อเขาเดินออกมาจากบ้านด้วยกันจึงจะรู้ เพราะเมียนุ่งสเกิร์ต และผัวจะนุ่งกางเกงสากล”
ข้าพเจ้าเห็นชายหญิงคู่หนึ่งเดินเคียงคู่กันออกมายืนอยู่ที่ปากซอยกิ่งเพชร หากไม่สังเกตเครื่องแต่งกายที่ผิดกันตรงสเกิร์ตและกางเกงนั้นแล้ว จะไม่รู้ว่าคนไหนเป็นเพศชายและคนไหนเป็นเพศหญิง ผิวเนื้อของคนทั้งสองขาวเปล่งปลั่งไม่แตกต่างกันเลย ผมเป็นลอนคลื่นคล้ายไปดัดมาด้วยกัน ผู้หญิงไม่ปล่อยผมไว้ยาวมาก แต่ผู้ชายก็ไม่ปล่อยให้ผมสั้นเหมือนคนทั้งหลาย หมายความว่า ผู้หญิงพยายามจะเอาไว้ผมให้ดูเป็นผู้ชาย และผู้ชายก็พยายามจะปล่อยยาวให้เหมือนผู้หญิงแต่ยาวเกินไป หรือสั้นเกินไปจะน่าเกลียด จึงต่างเอาไว้ผมเข้าไปหากัน ทำให้ดูเหมือนกัน”
เพื่อนผู้กำลังจะคิดเนรเทศหมาเพราะข้าวสารแพง เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ผัวเมียคู่นี้เมื่อก่อนอยู่ที่ไหนไม่มีใครทราบ แต่ชาวกิ่งเพชรเพิ่งรู้ว่า เขาเข้ามาเช่าบ้านอยู่ในตรอกเมื่อสามเดือนมานี่เอง ผัวทำงานอยู่ในร้านค้าของเอกชนแห่งหนึ่ง เมียทำงานอยู่กรมช่างแสง ที่บ้านมีหญิงแก่เฝ้าทำความสะอาดและหุงหาอาหารเสร็จไปด้วยในตัว วันธรรมดามีผู้เห็นเขาทั้งสองคนในตอนเช้าและตอนเย็นเท่านั้น วันอาทิตย์ส่วนมากเขาจะขลุกอยู่ด้วยกันในบ้านไม่ออกไปไหน บางเวลาจะได้ยินเสียงร้องเพลงหงิงๆ ครั้งแรก ๆ เพื่อนบ้านคิดว่าเมียร้อง เพราะครูนเพลงสากลได้ดีมาก แต่เมื่อแอบดูก็รู้ว่าเป็นผู้ชายผัวเป็นคนร้องไม่ใช่เมียร้อง เขาพยายามทำเสียงให้เป็นผู้หญิง และบางทีก็ทำมือทำไม้ประกอบเหมือนดารานักร้องยืนเปล่งเสียงอยู่หน้าไมโครโฟนที่ศาลาเฉลิมกรุง หูตาทำชม้อยคราคร่ำไปด้วยความหวาน ส่วนเมียของเขาก็ยืนเอามือเท้าคาง พาดศอกไว้บนโต๊ะ และจ้องมองด้วยดวงตาอันคม หน้าเชิด และบางทีก็ผิวปากคลอไปด้วย ท่าทางเหมือนผู้ชายรูปหล่อกำลังจีบคู่รัก ซึ่งกำลังสำราญอยู่ในชีวิตอันเต็มไปด้วยความฝัน
มีผู้เล่าเรื่องผัวเมียคู่นี้สู่กันฟังในซอยกิ่งเพชรว่า เมื่ออยู่ที่บ้านผัวมักชอบนุ่งโสร่งไหม แต่ตัดเย็บทำเหมือนสเกิร์ต เวลานั่งจะดึงขึ้นสูงแค่หัวเข่า ทำให้ดูเหมือนผู้หญิง เขาจะบอกเมียว่า “ลัดดา หยิบตังญีให้พี่ทาปากเสียหน่อยซี เดี๋ยวประภาจะครูน ‘เมื่อคืนฉันฝันเห็น’ ให้ฟัง เพิ่งไปต่อมาใหม่ ได้ฟังแล้วลัดดาจะต้องจูบฉันจนเต็มรักทีเดียว เมื่อคืนฉันฝันเห็นเธอจริงๆ นะลัดดา”
เมียเขาชื่อลัดดา ชื่อเดิมของเขาชื่อเวก แต่เมียอยากจะให้มีชื่อฟังเหมือนๆ กัน หากจะมีชื่อเหมือนกันไม่ได้ ก็ขอให้คล้ายกัน “เราต้องรักกันเหมือนคนๆ เดียว เปลี่ยนชื่อเสียเถอะนะคะ เวก เปลี่ยนให้คล้ายกับชื่อของลัดดา”
“จะให้เปลี่ยนเป็นอะไรก็ตามใจเธอ” เขาตอบ “เธอช่วยเปลี่ยนให้ฉันด้วยก็แล้วกัน” คำพูดของเขาเหมือนกับเป็นคำพูดของเมียที่อ้อยอิ่งกับผัว มันไม่ใช่คำพูดของผัวที่พูดกับเมีย
“ชื่อประภา ดีไหมคะ เวก?” เมียเขายืนเท้าสะเอว พูดยักคิ้วข้างเดียว พลางเอามือเชยคางผัว “ประเภทน่ารักอ๊อก ประภากับลัดดาชื่อฟังคล้ายๆ กัน ประภาน่าเอ็นดูเหมือนชื่อผู้หญิง”
นับแต่นั้นเป็นต้นมา นายเวกก็มีชื่อใหม่ เขาบอกเพื่อนของเขาทุกคนว่าได้เปลี่ยนชื่อมาแล้ว เขาขออนุญาตเป็นทางการทีเดียว ต่อไปนี้ทุกคนจะต้องเรียกเขาว่า ‘นายประภา’
เพื่อนที่ร้านค้าแห่งเดียวกันแย้งว่า “ประภามันเป็นชื่อผู้หญิงนี่เวก ลื้ออย่าเปลี่ยนชื่อใหม่เลย ชื่อเวกมันเป็นชื่อผู้ชายดีอยู่แล้ว ชื่อประภามันเป็นชื่อผู้หญิง ผิดวัฒนธรรม”
“สมัยนี้เป็นประชาธิปไตย” เขาตอบอย่างมีหลักฐานราวกับไปยืมสำนวนผู้แทนราษฎรมาใช้ “คนไทยมีเสรีภาพที่จะตั้งชื่อของตัวเองว่าอะไรก็ได้ ถ้าหากชื่อนั้นไม่กระทบกระเทือนศีลธรรมอันดีของประชาชน”
เขาโกรธมากที่มีผู้มาขัดแย้งการกระทำของเขา ขึ้นชื่อว่าสิ่งใดที่เป็นความประสงค์ของลัดดาแล้ว ประภาจะไม่ยอมให้มีผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเป็นอันขาด มันเป็นเรื่องโดยเฉพาะตัวเขากับหล่อนเท่านั้น
วันหนึ่งลัดดาปรารภว่า อยากจะได้ลูกแมวมาเลี้ยงเล่น ประภาก็ไปหามาให้ตัวหนึ่ง เป็นลูกแมวสีสวาด พอลัดดาเห็นเข้าก็บอกผัวว่า “เธอต้องไปหามาอีกตัวหนึ่ง เราจะเลี้ยงลูกแมวไว้คนละตัว เธอกับฉันต้องมีทุกอย่างเหมือนกัน มันน่ารักใครไหมคะภา? เรารักกันมาก เราจึงต้องมีอะไร ๆ อย่างเดียวกัน”
ในวันรุ่งขึ้น ประภากลับจากงานก็หิวลูกแมวติดมือมาด้วยตัวหนึ่ง แต่เป็นลูกแมวสีขาว มีจุดดำอยู่ทั่วตัว พอลัดดาเห็นก็แสดงความไม่พอใจ “เธอต้องการจะเป็นอื่นหรือ ประภา?” หล่อนถาม “ฉันโกรธเธอแล้วละ ต่อไปอย่ามาใช้ตังญีทาปากร่วมกันฉันอีก เธอไม่รู้หรือว่าอ้ายแมวตัวนี้มันสีขาวจุดดำ มันไม่ใช่สีสวาด ถ้าเราเลี้ยงแมว เราจะต้องมีแมวสีสวาดเหมือนกัน”
เขาไม่โกรธหล่อน ประเภทเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ เมียของเขา เอาหัวซบกับตัก แล้วว่า “อย่าโกรธภาเลย พรุ่งนี้ภาจะเอาไปคืนเจ้าของเขา แล้วหามาใหม่อีกตัวหนึ่ง ภาจะเลือกให้เหมือนกับตัวสีสวาดของเธอ”
หล่อนจูบเขาเบาๆ ที่ปลายจมูกครั้งหนึ่ง ประภาลืมเรื่องขุ่นใจเล็กน้อยนี้ ราวกับหมอกตอนเช้าละลายไปกับแสงแดดอ่อน เขาครูน ‘เมื่อคืนฉันฝันเห็น’ ให้เมียรักฟังเสียงหงิงๆ แล้วก็หลับไปด้วยกันอย่างแสนสุข รุ่งขึ้นตอนกลับจากทำงาน ลัดดามาถึงบ้านก่อน รออยู่ด้วยความกระสับกระส่าย จนเกือบเที่ยงคืนประภาจึงกลับมาถึง เขาอุ้มลูกแมวสีสวาดมาด้วยตัวหนึ่ง
“ฉันข้ามฟากไปขอลูกแมวจากเพื่อนถึงบ้านบางจาก” เขาอธิบายด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน “นี่ไงล่ะเธอ เหมือนตัวของเธอราวกะแกะทีเดียว”
เมียเขาโถมเข้ากอดคอผัว แล้วจูบเสียอย่างยกใหญ่ “ภากำลังเหนื่อย ไปอาบน้ำแล้วรับประทานข้าวเสียก่อนนะคะ คืนนี้อย่าครูน ‘เมื่อคืนฉันฝันเห็น’ เลยค่ะ พักเอาเรี่ยวเอาแรงเสียสักคืนหนึ่งให้สบายก่อน ลัดดาดีใจเหลือเกิน เราจะได้แมวสีสวาดมาเลี้ยงเหมือนๆ กันสองตัว”
ที่ปากกระเป๋าเสื้อของเมีย หล่อนปักเป็นรูปเจ้าหญิงสโนว์ไวต์ แต่ที่ปากกระเป๋าเสื้อฮาวายของเขาไม่มีภาพอย่างเดียวกัน ลัดดาจึงตั้งต้นปักให้เป็นภาพที่เหมือนกับของหล่อนไม่ผิดเพี้ยน หล่อนไม่ยอมให้เขาสวมเสื้อเชิ้ตฮาวายตัวนั้นก่อนที่การปักจะสำเร็จลงเป็นที่เรียบร้อยลัดดายอมสละรายได้ประจำวันหยุดงานเพื่อปักกระเป๋าเสื้อให้ผัว นี่เป็นเรื่องแปลกมากที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินมา
วันหนึ่งเป็นวันเงินเดือนออก ลัดดาจะซื้อจานกินข้าว หล่อนชอบจานที่มีลายดอกกุหลาบสีเหลืองอยู่ตรงกลาง แต่ที่ร้านแปซิฟิกมีใบเดียว หล่อนเลยไม่ซื้อ เพื่อนของข้าพเจ้าเล่าว่าหล่อนเดินต่อไปจนถึงสำเพ็ง เพื่อจะซื้อจานข้าวที่เหมือน ๆ กัน สำหรับหล่อนใช้เอาใบหนึ่ง สำหรับประภาใบหนึ่ง ทำเหมือนๆ กันเสียทุกอย่างจนที่บ้านเช่าหลังนี้ เมื่อมีคนเดินเข้าไปในซอยกิ่งเพชรจะต้องชี้ให้กันดู “นั่นไงล่ะ ผัวหน้าเหมือนเมีย เมียหน้าเหมือนผัว เขาอยู่ด้วยกันเหมือนลูกฝาแฝด”
เวลานี้ลัดดาตั้งท้องอ่อน ๆ แล้ว ส่วนชาวบ้านก็ยังได้ยินประภาครูน ‘เมื่อคืนฉันฝันเห็น’ อยู่เรื่อยๆ มันเป็นเพลงที่ไพเราะเสียนี่กระไรเลย ม่านหน้าต่างสีน้ำเงินดอกขาวโบกสะบัดและบานประตูสังกะสีนั้นปิดสนิท จะเปิดบ้างบางคราวก็เพียงแง้มนอกจากลูกแมวสีสวาดสองตัว ที่มันวิ่งออกมาฟัดกันแล้วบางวันก็มีเสียงยายแก่โขลกน้ำพริกดังขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก นี่คือสภาพอันไม่คิดไม่เห็นของประภาและคู่ของเขา
ใครจะคิดบ้างว่า สิ่งที่ไม่ควรมีนั้น แท้ที่จริงมันก็มีอยู่ในโลกนี้?
----------------------------