“เสี่ยขาว” นักต้มญี่ปุ่น

----------------------------

“เสี่ยขาว” ต้มญี่ปุ่นให้ซื้อเหมืองร้างได้สำเร็จโดยใช้สาวสะคราญตาล่อ แต่เดิมเขาเป็นนายหน้าขายของเบ็ดเตล็ด พอเกิดสงครามเขาเป็นเศรษฐี หลอกขายเหมืองร้างให้ญี่ปุ่น ๘ ล้านบาท แต่ต้องดำดินซ่อนตัวอยู่ถึงสองปีเต็ม...

----------------------------

เมื่อก่อนญี่ปุ่นขึ้น เขาเป็นนายหน้าขายซองกระดาษ ขายยางรัดของ และขายยาชุดสำหรับผู้หญิงคลอดบุตรแล้วไม่ต้องอยู่ไฟ ย่ำเหงื่อตกอยู่แถวตลาดยอด ริมท้องสนามหลวงและที่อื่น ๆ อีก ๔ เดือนต่อมา เขาได้หายไป เหมือนเงาที่กลัวแสงสว่าง ตามร้านของคนต่างด้าวที่เคยติดต่อซื้อขายกับเขา ด่าส่งอวยพรตามหลังให้ชายคนนี้อย่างเดือดดาล เพราะว่าเขาได้ขอเบิกเงินล่วงหน้าไปก่อน แล้วไม่นำของส่งตามสัญญา ชาวต่างด้าวด่าและสาปแช่งเขา แต่ตามร้านค้าของคนไทยทุกคนที่เคยติดต่อกับเขาไม่เคยด่าเลย เจ้าของร้านวิทยุร้านหนึ่งเป็นคนไทยกล่าวว่า “มันเป็นคนซื่อดี เอาของมาส่งจนครบ ผมไว้ใจมันได้ มันไม่เคยโกงพวกเดียวกันเลย”

เลี้ยงเหล้าทุกคน ที่รู้จักบนรถไฟ

อีกหกเดือนให้หลัง มีผู้พบเขาโดยสารมาในรถไฟชั้นสองสายกรุงเทพฯ-พระตะบอง เขาสูบบุหรี่เวอร์จิเนียอย่างดีที่เศรษฐีบางคนก็หาสูบไม่ได้ เพื่อนฝูงล้อมรอบคุยกันดื่มกันเอะอะมาในรถไฟตลอดทาง เมื่อการ์ดรถเดินผ่านมาเขาเรียกทันที “เชิญคุณมาดื่มกับผม เราเป็นพวกเดียวกัน”

คนรถไฟสายกรุงเทพฯ-พระตะบองทุกคนนับตั้งแต่กุลีขนของขึ้นมาจนถึงนายสถานีรู้จักเขาหมด “เสี่ยครับ เที่ยวนี้ถ้าจะตั๋งนะครับ” พ.ข.ร. ซึ่งเป็นคนรถไฟร้องทัก และเขาจะตอบทันทีว่า “ตั๋งนิดหน่อย เดี๋ยวกินเหล้ากัน ตราขาวก็มี” คำตอบของเขาทำให้นักเลงเหล้าที่มีอยู่ทั่ว ๆ ไปถึงกับดูดปากเจี๊ยบพร้อมกับนึกในใจว่า “อ้ายหมอนี่มันใหญ่จริงโว้ย มันพูดถึงตราขาวจะเอามาเลี้ยงกันเล่น ที่บ้านท่านข้าหลวงอย่างดีก็มีเพียงค่างโหนเท่านั้น ถ้ามันจะโม้เสียละกระมังเพื่อน”

แต่ความจริงเขาไม่ได้โม้เลย พอรถออกวิ่งสักประเดี๋ยวเถอะ เขาจะงัดเอาตราขาวออกมาทีเดียว โซดาเฟรเซอร์แอนด์นีฟหรือบุญรอดก็มีพร้อม หมูหยองและเนื้อแผ่น “กวงฮะหยง” อย่างดีเอาออกมาแจกกันกินเพื่อความสำราญถึงขนาด พักหนึ่งเขาเลี้ยงตั้งสองขวด คะเนเอาว่ากว่าจะถึงพระตะบอง ตราขาวจะหมดไปหลายขวดทีเดียว สำหรับตัวเขาเองดื่มเรื่อย ๆ เขาเป็นนักดื่มที่รู้จักความเมาดีมาแล้ว จึงไม่หักโหมและไม่ยอม ‘ขาอ่อน’ ง่ายๆ เมื่อดื่มเข้าไปมากๆ เขาเป็นแต่เพียงยิ้มและเรียกให้คนรู้จักมาร่วมกันดื่ม แต่ไม่เคยส่งเสียงเอะอะหรือผิดใจกับใครเลย

ขายเหล้าต้องกินเหล้า แต่ไม่กินคนเดียว

เวลาที่เขาขึ้นล่องอยู่บนรถไฟสายพระตะบองเกือบทุกเที่ยวนั้น เขาไม่ใช่คนเดียวกับนายหน้าขายซองกระดาษแล้ว พ่อค้าใหญ่และผู้มีอิทธิพลในตลาดมืดของพระตะบองไม่มีสักคนเดียวที่เชื่อว่าเขาเคยขายยางรัดของและยาชุดอยู่ไฟมาก่อน ที่พระตะบองตั้งแต่คนถีบลาเมาะ (สามล้อ) ขึ้นไปจนถึงสมภารวัดโพธิ์เวียนเรียกเขาว่า ‘เสี่ยขาว’ เพราะเขาเป็นคนที่มีผิวเนื้อขาว ร่างกายถึงจะต่ำเตี้ยผิดธรรมดาไปเล็กน้อย แต่คิ้วอันดกหนาและตากลมทั้งคู่ พร้อมทั้งลักษณะนิสัยที่เป็นคนคุยสนุกจะทำให้ใคร ๆ อยากทำความรู้จักด้วย เขาเคยบอกข้าพเจ้าว่า “คนบ้านนอกชอบฟังเรื่องระบำตาหรั่ง ผมคุยเรื่องระบำตาหรั่งให้ฟัง โป๊มากยิ่งกว่าที่ระบำตาหรั่งแสดงจริงๆ เสียอีก ที่พระตะบองมีคนอยากดูระบำตาหรั่งกันนัก ทหารญี่ปุ่นก็มีไม่น้อยที่อยากเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อดูระบำตาหรั่ง ผมว่าใครดูระบำตาหรั่งแล้วน้ำลายไหลยืด เขากลับชอบและพากันมาล้อมซักโน่นซักนี้จนชักจะรำคาญ”

ที่พระตะบองมีเหล้าฝรั่งดีๆ ตกค้างอยู่มาก เมื่อตอนแรกๆ เพราะยังไม่มีใครรู้แหล่ง เสี่ยขาวรู้เรื่องนี้ เพราะได้รู้จักกับเมีย พ.ข.ร. สายพระตะบองคนหนึ่งซึ่งเพิ่งคลอดบุตรและสั่งซื้อยาชุดอยู่ไฟจากเขา หลังจากนั้น เขาก็ ‘ทิ้งล่วมยา’ ทันที เรื่องยางรัดของไม่ต้องพูดถึงกันอีก หมุนเงินได้ไว้ในมือ และยืมเงินเพื่อนคนขับรถรางรวมกันได้ประมาณ ๓๐๐ บาท แล้วก็เผ่นไปพระตะบองทันที เพราะราคาเหล้ากรุงเทพฯ ในขณะนั้นสูงลิบ แต่ที่พระตะบองราคาต่ำเพียงขวดละสิบกว่าบาทเท่านั้นเอง

เขาบอกแก่คนทุกคนที่เคยรู้จักมาก่อนว่า “คนขายเหล้านั้นต้องกินเหล้า แต่จะต้องไม่กินคนเดียว!”

ผมชอบต้มญี่ปุ่น ต้มคนไทยไม่เคยเลย

มีข่าวลือกันอย่างระเบ็งเซ็งแซ่อยู่พักหนึ่งว่า มีเศรษฐีสงครามจากปักษ์ใต้เข้ามาพักอยู่ที่โรงแรมชั้นสูงของเมืองไทยพร้อมด้วยผู้หญิงรุ่นกระเตาะจากปีนังสองคน ผู้หญิงทั้งสองคนนี้ข่าวว่าเป็นเมีย ‘เสี่ยขาว’ คือเศรษฐีสงครามผู้นั้นคนหนึ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งว่าเป็นเลขานุการิณี พูดภาษาอังกฤษและมลายูได้ รูปร่างหน้าตาของ หญิงสาวทั้งสองคนเป็นที่ยั่วยวนอยู่มิใช่น้อย ทาปากแดงแช็ดเป็นมันเลื่อมเหมือนกระจก สวมเสื้อบางและกว้างจนเว้าลึกเข้าไปทางด้านหน้า เพื่อจะโชว์เนื้อขาวสล้างท่อนอก ส่วนผมก็ปล่อยสยายเป็นกระเซิงและประพรมน้ำหอมอย่างดีไว้ เมื่อใครได้นั่งอยู่ใกล้ก็เป็นที่ยินดี และรู้สึกกำหนัด ‘เสี่ยขาว’ ไปคว้าได้ตัวมาจากไหนไม่มีใครทราบ แต่ผู้ที่รู้ดีกล่าวกันว่า เขามีความปรารถนาจะวางกับดักญี่ปุ่น ‘เสี่ยขาว’ เคยพูดว่า “พวกญี่ปุ่นมันอดอยากมานาน ต้องหมกมุ่นอยู่ในการที่จะรุกล้ำดินแดนของชาติอื่น อันเป็นความคิดเลวทรามต่ำช้า ผมจะต้มมันให้สุกทีเดียว มันบ้าผู้หญิง!”

แล้ว ‘เสี่ยขาว’ ก็ได้กระทำอย่างที่เขาพูดไว้ เขาหายตัวไปจากรถไฟสายกรุงเทพฯ-พระตะบอง เมื่อใด เกือบไม่มีใครทราบ เขาหายไปเมื่อฤดูร้อน และพอฤดูฝนของอีกปีหนึ่งผ่านไป ทางปักษ์ใต้ก็เล่าลือกันว่าเจ้าของเหมืองร้างแห่งหนึ่งได้ขายเหมืองของตนให้แก่ญี่ปุ่นเป็นเงินถึง ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท นั่นคือการกระทำของคนขายยาชุดอยู่ไฟหรือ ‘เสี่ยขาว’ เขาไม่ได้ลงทุนอะไรเลยนอกจากค่ารถ ‘เสี่ยขาว’ ได้ตรงไปพูดกับเจ้าของเหมืองร้างว่า เขาเป็นนายหน้าจะเดินขายเหมืองร้างที่ไร้ประโยชน์นั้นให้ เจ้าของเหมืองรู้สึกว่าศพจะมีราคาขึ้นได้ ก็แกล้งบอกไปเล่น ๆ ว่า ผมจะขาย ๘ แสนบาทเท่านั้น หากจะมีคนบ้าที่ไหนมาซื้อก็ตามใจ พอพูดขาดคำ ‘เสี่ยขาว’ ก็ตรงเข้ากอดแล้วพูดว่า “ผมจะให้คุณ ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไม่ใช่ ๘ แสน แต่คุณจะต้องยินยอมให้ผมทำตามวิธีการของผม”

ได้เป็นที่ตกลงกันในไม่ช้า ‘เสี่ยขาว’ หมกตัวของเขาอยู่ปักษ์ใต้นานทีเดียว มีผู้รู้แต่ว่า เขาได้จัดการบูรณะเหมืองใหม่ บางคนพูดเยาะๆ ว่า “นี่มันจะปลูกหญ้าเล่นหรือยังไงกันโว้ย แร่ธาตุอะไรที่เหมืองตาหว่องนี่มันก็ไม่มี มันขุดขายเกลี้ยงตั้งหลายปีมาแล้ว ถ้ามันจะคิดทำดีบุกให้เป็นทอง ทำนองเอาลิงไปขายแล้วบอกว่าเป็นราชสีห์ ใครมันจะเชื่อ”

แต่ ‘เสี่ยขาว’ คงทำงานของเขาต่อไป มีคนเห็นกุลีชาวพื้นเมืองขุดดินแบกเข้า ๆ ออก ๆ อยู่ในเขตเหมือง ตั้งแต่ฝนยังไม่ลง พอฝนลงชุกหน่อยหญ้าก็ขึ้นเขียวทั่วไป บรรดานักเยาะเย้ยก็พูดอีกว่า “มันคงปลูกหญ้าขายต่างปลูกกล้วยเสียแล้ว”

ชาวปักษ์ใต้ไม่มีใครทราบว่าเขาทำอะไร ต่อมาได้เห็นญี่ปุ่น ๓ คนเดินทางมาที่เหมือง หลังจากนั้นข่าวญี่ปุ่นซึ่งเป็นทั้งพ่อค้าและนักอุตสาหกรรมผลิตแร่จะตกลงซื้อเหมืองเก่า ก็แพร่ไปอย่างรวดเร็วเหมือนผึ้งหลวงแตกรัง นอกจากญี่ปุ่นชาวปักษ์ใต้ยังเห็นผู้หญิงร่างสะคราญสองคนมากับ ‘เสี่ยขาว’ คอยต้อนรับญี่ปุ่นด้วยทุกครั้ง ดูหัวร่อต่อกระซิกเป็นกันเองสนิทสนมผิดปรกติ ส่วนเจ้าของเหมืองนานๆ จะมาร่วมการสนทนาด้วยสักครั้ง และผู้หญิงคนหนึ่งในสองคนนั้นรับหน้าที่เป็นล่าม พูดกันเป็นภาษาอังกฤษ ตัว ‘เสี่ยขาว’ กับเจ้าของเหมืองจะพูดอะไรกับญี่ปุ่น ก็ต้องให้หญิงสาวคนที่กล่าวหรือเลขานุการิณีรูปงามเป็นผู้แปลใจความ

ต่อมาเป็นเวลาอีกราวเดือนเศษ ก็ได้ทราบว่าชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็นนักธรณีวิทยาได้มาทำการสำรวจที่ดินในเขตสัมปทานอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ไม่ได้พักที่โรงแรม ‘เสี่ยขาว’ ได้เตรียมที่ทางไว้รับรองเรียบร้อยแล้ว เขาเช่าบ้านของคุณพระข้าราชการเบี้ยบำนาญผู้หนึ่งอยู่ร่วมกับหญิงสองคนนั้น แล้วได้จัดห้องพิเศษไว้สำหรับญี่ปุ่นที่มารุ่นหลัง พร้อมด้วยการอำนวยความสะดวกทุกประการ มีผู้เห็นหญิงแก่คนใช้ออกจากบ้านไปตลาดขากลับซื้อส้มโอและกล้วยหอมมาครั้งละมากๆ

“เสี่ยขาว” รู้ดีว่า นอกจากผู้หญิง “ขนาดหนัก” แล้ว ญี่ปุ่นยังติดใจโปรดปรานส้มโอและกล้วยหอมของเมืองไทยเป็นพิเศษอีกด้วย

เหมืองร้างกลายเป็นเหมืองที่มั่งคั่ง

ในที่สุด ญี่ปุ่นก็ตกลงซื้อเหมืองเก่าที่ ‘เสี่ยขาว’ ปลูกหญ้าไว้จนสูงท่วมหัวนั้นด้วยราคาเงิน ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท พวกญี่ปุ่นทางปักษ์ใต้ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าถูกมาก เกือบจะเหมือนได้เปล่า เพราะเหมืองนี้เมื่อนักธรณีวิทยาและเทคนิเซียนชาวญี่ปุ่นได้สำรวจแล้ว ปรากฏว่ามีแร่ธาตุอันอุดมสมบูรณ์นอนหมอบคอยอยู่ เมื่อใกล้วันจะตกลง ชาวบ้านก็พูดกันว่าผู้หญิงผมเป็นกระเซิงปล่อยสยายและทาปากแดงเป็นสีทับทิมสองคนนั้น ดูสนิทสนมกับญี่ปุ่นเป็นพิเศษ บางครั้งก็หยอกล้อ ผลักกันบ้าง “ตบแผะ” กันบ้าง ญี่ปุ่นซึ่งแต่แรกมาเป็นคนเคร่งขรึม กลับเป็นคนพูดเสียงดังเอะอะ ดื่มเหล้าเมาแล้วก็พากันไปยืนชะโงกที่หน้าต่าง เห็นมีหญิงเจ้าจริตทำกิริยากระเซ้ากระซี้ต่าง ๆ บางเวลาก็สวมแต่เสื้อชั้นใน มองเห็นบราเซียร์รัดทรงยั่วยวนนัก กล้วยหอมและส้มโอยิ่งซื้อกันหนักมือขึ้น เรื่องราวไปลงเอยที่เสี่ยขาวต้มญี่ปุ่นสำเร็จ เมื่อถึงวันทำสัญญาชำระเงินกันเรียบร้อย ‘เสี่ยขาว’ ก็แบ่งเงินให้เจ้าของเหมืองสามล้านบาทตามที่พูดกันไว้ แต่เจ้าของเหมืองคงอยู่ที่ปักษ์ใต้ต่อมาอีกเพียงเดือนเศษเท่านั้น ก็ต้องหลบแวบตามเสี่ยขาวไปเพราะกลัวญี่ปุ่นจะจับตัวให้ชิมรสน้ำสบู่ ส่วนตัวเสี่ยขาวปรากฏว่า ‘ดำดิน’ ไปก่อนนานแล้ว เขาจะไปผุดขึ้นที่ไหนอีก พร้อมด้วยนางนกกระจิบสองตัว ขณะนั้นยังไม่มีใครทราบ

‘เสี่ยขาว’ ว่า “ผมดำดินอยู่ ๒ ปี”

‘เสี่ยขาว’ บอกกับเพื่อนสนิทของเขาที่อยู่ในกรุงเทพฯ ว่า “อ้ายเหมืองร้างที่ผมขายให้ญี่ปุ่นนั้น ความจริงแร่ธาตุอะไรมันก็หมดไปนานแล้ว ผมซื้อเอาดีบุกและวุลแฟรมมาโรยไว้เอาดินกลบปล่อยให้หญ้าขึ้นเสียฝนหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าเป็นเหมืองเก่า ส่วนเจ้าญี่ปุ่นที่ว่าเป็นนักธรณีวิทยานั้น ความจริงมันก็ไม่ใช่ มันเป็นทหารมากับกองทัพญี่ปุ่น เคยเป็นเพียงกุลีถลุงแร่อยู่ที่เกาหลีมาก่อน พวกพ่อค้าญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ อยากจะรวย เพราะแร่ขึ้นราคาไปมาก ผมรู้เรื่องนี้ดี จึง ‘ขยับมันเสีย’ เขาใช้ คำว่า ‘ขยับ’ มันมีความหมายลึกซึ้งอย่างไร ญี่ปุ่นที่จ่ายเงินแปดล้านบาทนั่นแหละที่ทราบดีกว่าใคร ๆ

“ผู้หญิงทำให้เขาวางใจ เขาไม่ใช่นักธรณีวิทยาจริงๆ แต่ใคร ๆ ที่ไม่หลับตาเสียทั้งสองข้างย่อมจะรู้ดีว่า ผู้หญิง ‘ขนาดหนัก’ เคยทำให้คนเก่ง ๆ ตกท้องร่องท้องคูมามากแล้ว” เสี่ยขาวพูด เขาหัวเราะด้วยเสียงเบาๆ “แต่ผมต้องดำดินอยู่ถึงสองปี โผล่ขึ้นมาให้มันเห็นตัวไม่ได้ เพราะมีสายลับตามหลังอยู่เหมือนเงาตามตัว”

เดี๋ยวนี้เสี่ยขาวได้ปรากฏตัวออกมาสู่โลก และได้พบแสงสว่างอีกครั้งหนึ่งแล้ว เขาเคลื่อนเข้ามาเมื่อญี่ปุ่นประสบความพ่ายแพ้ เดี๋ยวนี้เขาเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวยคนหนึ่ง เป็นคนใจกว้างขวางมีเพื่อนฝูงทั้งที่เป็นชาวต่างประเทศและคนไทย เสี่ยขาวไม่ต้องอาศัยเพื่อนจนๆ อยู่ตามห้องแถวเก่าๆ อีกแล้ว เขาซื้อที่ดินในกรุงเทพฯ ไว้หลายแปลง และมีคอกม้าแข่ง เขาไม่ชอบการพนันมากนัก ชอบแต่การค้าขาย ด้วยเหตุนี้ม้าของเสี่ยขาวจึงเป็นม้าชั้นเลว วิ่งห่างเพื่อนอยู่แทบทุกเที่ยว แต่แต้มคูในการค้าขายคง ‘นำ’ อยู่ตลอดมา

เดี๋ยวนี้เขาเลิกขายยาชุดอยู่ไฟอย่างเด็ดขาด ซองจดหมายและยางรัดของ เป็นอันว่าไม่ต้องพูดถึงมันอีก เขารู้จักกิจการอันต้องติดต่อกับธนาคารดี มีนิสัยไม่ชอบใช้เงินสด แต่ชอบเซ็นเช็คเมื่อมีคนมาขอเก็บเงิน แม้เพียงจำนวน ๓๐ บาท เขาจะเซ็นเช็คให้ทันที

“คนค้าขายเห็นเช็คเข้าเป็นตาโต” เขาบอก “แต่คนมีเช็คบางคน มีเงินติดก้นธนาคารอยู่ไม่กี่บาท สำหรับส่วนตัวผมชอบเงินสดมาก ใครส่งเช็คมาให้เป็นต้องนึกด่าอยู่ในใจ”

เสี่ยขาวเดี๋ยวนี้ไม่ชอบแต่งตัวโก้ ๆ เหมือนในสมัยที่เขากำลังติดต่ออยู่กับญี่ปุ่น เป็นคนกินน้อย แต่ทำงานมาก ไม่เคยนอนกลางวัน นอกจากเจ็บป่วยจริงๆ

เมื่อตอนเลิกสงครามใหม่ ๆ เสี่ยขาวพูดว่า “ผมไม่เกลียดญี่ปุ่น เพราะสันติภาพคืนมาแล้ว ญี่ปุ่นทำให้ผมรวย ยาชุดอยู่ไฟเป็นของเบาๆ ก็จริง แต่การที่ต้องย่ำบอกขายไปวันยังค่ำนั้นหนักนัก”

เสี่ยขาวเป็นใคร ทุกคนที่ได้อ่านเรื่องนี้แล้วจะรู้จักเขา

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ