ครอบครัวขี้เกียจ ในจุฬาฯ ซอย ๒

----------------------------

ได้เป็นคุณหลวงเพราะความขี้เกียจ คุณหลวงขี้เกียจจูบจนกระทั่งเมียของตัว เจ้าของบ้านรับหนังสือพิมพ์ทุกเช้า แต่ขี้เกียจอ่าน แม้แต่จะถามว่า “วันนี้มีเรื่องอะไร” ก็ขี้เกียจ เรื่องนี้เป็นเรื่องคนขี้เกียจล้วนๆ...

----------------------------

ข้าพเจ้าได้ไปพบสิ่งประหลาดมาอีกแล้ว คนขี้เกียจอยู่รวมกันเป็นครอบครัวภายใต้หลังคาบ้านเดียวกัน ทุกคนในบ้านนี้ไม่ชอบคนขยัน มองเห็นใครทำงานมาก ๆ แล้วรำคาญ เขามีคติประจำครอบครัวอยู่ว่า งานเป็นสิ่งบั่นทอนความสุข คนเราควรจะเกิดมาเพื่ออยู่อย่างสบายๆ และไม่ต้องทำงานดีกว่า

“งานน่ะเราจะทำมันเมื่อไรก็ทำได้” เขาว่า “คนเรามีชีวิตอยู่ได้เพราะทำงาน ผมไม่เห็นแปลก ความแปลกมันอยู่ที่งานไม่ต้องทำแต่อยู่ดีกินดี และเมื่อมนุษย์รู้ว่าการทำงานมาก ๆ มันเป็นเรื่องของวัวควายแล้ว ก็ควรจะอยู่อย่างคนขี้เกียจ ไม่ควรจะรนหาที่กันเลย”

หัวหน้าครอบครัวคนขี้เกียจกลุ่มใหญ่ผู้กล่าวคำดังว่านี้ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ เขาเป็นคุณหลวง เคยรับราชการชั้นหัวหน้ากองมาแล้ว แต่ในปัจจุบันได้ลาออกมาอยู่บ้านรับเบี้ยบำนาญ แต่ไม่เล่นต้นไม้ เขาชอบนั่งอยู่เฉย ๆ จะมองดูอะไรนาน ๆ ก็ขี้เกียจจึงมักจะหลับตา ครั้นหลับตานานเข้าก็ขี้เกียจกลับลืมขึ้นมาอีก นั่งอยู่ที่เดิมนานเกินไปเขาก็ว่าขี้เกียจนั่ง แล้วเอนกายลงนอน แต่ในไม่ช้าเขาก็จะบ่นอีกว่า ขี้เกียจนอน

เขาเป็นคนขี้เกียจที่เราเห็นได้อย่างชัดแจ้งและเปิดเผยมาก เพราะเห็นว่าความขี้เกียจเป็นสิ่งที่ดี จึงไม่รู้สึกอับอายขายหน้าแต่อย่างใด เขามีความภาคภูมิใจที่วางตัวเป็นคนขี้เกียจได้ดียิ่งกว่าคนทั้งหลาย ไม่ต้องหลบซ่อนหรือหลีกเลี่ยงการงานจนเกือบจะเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติอยู่แล้ว

“ผมได้เป็นคุณหลวงคุณเถรใหญ่โตขึ้นมาไม่ใช่เพราะคนขยัน” เขาบอกข้าพเจ้า “เพราะผมเป็นคนขี้เกียจ ไม่ชอบทำงานแข่งกับใคร ทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่ไม่ทำเสียละมาก ตอนแรกๆ นายก็รำคาญ ต่อ ๆ มาก็หายรำคาญไปเอง แล้วกลับมาชอบผม ว่าเป็นคนไม่ชอบชิงดีเลี้ยงได้ มันขี้เกียจมันก็ไม่ทำความเดือดร้อนคิดปัดแข้งปัดขา ใครประจบนายมันก็ขี้เกียจ ทำงานแข่งกับข้าราชการด้วยกันก็ขี้เกียจ ใครจะได้ขึ้นเงินเดือนหรือถูกลดเงินเดือนมันก็ไม่บ่น ไม่เห็นมันว่าอะไรเพราะขี้เกียจจะพูด นานวันเข้ายศศักดิ์มันก็เลื่อนขึ้นไปเองตามขั้นถึงไม่มีใครขอให้ เมื่อเขาจะขอยศให้คนอื่นเขาก็ต้องเกรงใจผม เพราะผมเป็นข้าราชการเก่าแก่คนหนึ่ง เมื่อนายจะเลื่อนยศหรือขึ้นเงินเดือนให้พรรคพวกหรือคนโปรดปราน ผมก็พลอยได้เลื่อนยศติดหลังแหไปด้วย”

“ข้าราชการที่ทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของผมก็เหมือนกัน” เขาพูดต่อไปด้วยอาการที่แสดงว่าเริ่มจะขี้เกียจขึ้นมาบ้างแล้ว “ผมขี้เกียจว่า ขี้เกียจบ่น ทุกคนจึงชอบผม เมื่อไม่มีคนเกลียด ผมก็ไม่มีศัตรู ต่อมานาน ๆ ก็เลยได้เป็นคุณหลวงไปเอง ผมมีเพื่อนข้าราชการอยู่คนหนึ่ง ขยันทำงานอย่างไม่ลืมหูลืมตา นายลอบชำเลืองดู เห็นผิดสังเกต นึกว่าอ้ายหมอนี่จะแข่งดีกูเสียแน่แล้ว เลยปัดขาตกเก้าอี้หมดท่าไปเลย เพราะความขยันอย่างมืดหน้าตามัว เดี๋ยวนี้ตกกระป๋องนุ่งกางเกงตูดปะเที่ยวเดินแบกกระเป๋าเสื่อไปขอแลกเสื้อผ้าเก่า ๆ อยู่แถวตรอกวัดบรมนิวาศ”

ขณะที่เรากำลังนั่งคุยกันอยู่พอดีเด็กส่งหนังสือพิมพ์มากดกริ่งเรียกอยู่หน้าประตูบ้าน คนรับใช้ผู้หญิงลุกขึ้นเดินจะออกไปรับ คุณหลวงก็หันไปดุทำตาเขียวเอาที่เดียว เขาดุอย่างเกรี้ยวกราดและหยาบคายราวกับว่าเป็นความผิดที่จะให้อภัยกันไม่ได้

“เสือกทำเป็นคนขยันไปได้อีนี่ ไม่ต้องรนหางานทำเอาหน้าหร็อก ไปนอนอยู่เฉย ๆ ในห้องของเอ็งก็แล้วกัน บ้านข้าไม่ชอบคนขยัน เมื่อไม่มีคนออกไปรับมันก็ต้องขว้างเข้ามาเอง เป็นหน้าที่ของมันที่จะต้องส่งให้ถึงมือคนรับ มันส่งไม่ถึงคนรับ เขาต่อว่าไปมันก็ต้องถูกไล่ออก”

เป็นความจริงอย่างว่า เมื่อเด็กส่งหนังสือพิมพ์กดกริ่งรัวสามครั้งไม่เห็นมีคนเดินออกไปรับ ก็ต้องเปิดประตูนำเข้ามาส่งให้ถึงมือเจ้าของบ้าน เขารับไว้ แต่ไม่ได้อ่าน กลับวางลงที่โต๊ะตรงหน้าลูกชายคนเล็กของเขาอายุประมาณสิบหกปี เดินออกมาหยิบหนังสือพิมพ์ไปกางอ่านเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากพร้อมกับอ้าปากหาว และคุณหลวงได้ร้องถามว่า “มีเรื่องอะไรบ้างล่ะ?”

“ผมดูๆ เท่านั้นแหละครับ” ลูกชายกล่าวตอบ คล้ายคนที่กินยานอนหลับเข้าไปตั้งสามเม็ด “ขี้เกียจอ่านจะตายไป หนังสือพิมพ์เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีเรื่องน่าอ่าน มีแต่เรื่องการเมือง”

“นอนดีกว่าลูก” เสียงคุณหลวงพูด “อย่าไปขยันอ่านมันเลย พ่อเองก็ไม่อยากอ่าน สู้คอยถามเขาดีกว่า พ่ออยากจะบอกเลิกรับหนังสือพิมพ์เต็มทีแล้ว แต่ขี้เกียจเขียนจดหมาย”

“สั่งเด็กให้ไปบอกก็ได้นี่ครับ” ลูกชายแนะนำ พร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากหาวอีกครั้งหนึ่ง แสดงให้เห็น ได้ชัดว่า แม้แต่มือที่ยกขึ้นก็เป็นได้อย่างเกียจคร้านมาก เหมือนเครื่องจักรโรงสีเก่า ๆ ที่หยุดเดินมาตั้งหลายปี

“พ่อขี้เกียจพูดกับมัน” คุณหลวงพูดเรื่อย ๆ “พ่อขี้เกียจฟังว่ามันจะพูดอะไรด้วย”

“ผมจะเขียนจดหมายให้คุณพ่อนะครับ”

“อ้ายพงศ์นี่มันยังไงเสียแล้ว” คุณหลวงขึ้นเสียง ลืมตาโพลงขึ้นด้วยความโกรธ “นี่แกอยากจะเป็นคนขยันหรือ? อยากจะเสือกสำแดงตัวเป็นคนชอบทำงาน-เออ -อ้ายนี่ถ้าจะอยู่ในบ้านกูไม่ได้เสียแล้ว”

เมื่อลูกชายหลบเข้าไปข้างในห้องแล้ว คุณหลวงได้หันมาพูดกับข้าพเจ้าว่า “ผมพูดกับคุณมากๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นคนขยันขึ้น วันนี้เราเลิกคุยกันเสียทีเถอะ ผมขี้เกียจเหลือเกินแล้ว”

พอดีคุณนายของเขาสั่งให้เด็กออกมาเชิญคุณหลวงเข้าไปรับประทานอาหารเช้า โดยไม่รู้ว่าคุณหลวงกำลังนั่งสนทนาอยู่กับข้าพเจ้า คุณหลวงจึงหันไปดุเอา “เอ็งนึกว่าข้าจะขยันเดินเข้าไปกินหรือ อ้ายฉิม? เอ็งไปยกออกมานี่ ข้าจะกินไปคุยไป”

ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที เด็กคนใช้ก็จัดแจงยกสำรับออกมาตั้ง แต่เขากลับเป็นเดือดเป็นแค้นขึ้นมาเหมือนคนถูกเอาน้ำร้อนราด “อ้ายบ้านี่ระยำหนักขึ้นทุกวัน ดูมัน อยากจะทำงานกันเสียจริง ๆ มึงจะยกออกมาช้า ๆ ไม่ได้หรือ ต้องทำเป็นคนรีบร้อนจนแทบจะไม่ต้องหายใจ กูขี้เกียจกินเหลือเกิน มันไม่ใช่ว่ากรอกใส่ปากแล้วก็ไหลเข้าไปเอง กูยังจะต้องเคี้ยวเสียเวลาอีก ขี้เกียจจับส้อมช้อนวายร้ายเลย”

ความขี้เกียจที่ข้าพเจ้าได้พบเห็นมาแล้วในครอบครัวที่กล่าวนี้ ดูจะเป็นเรื่องที่ประหลาดพิสดาร “มากไป” สักหน่อย แต่ความจริงที่เล่ามาแล้วยังเป็นเพียงเรื่องแรกเริ่มเท่านั้น ที่ประหลาดร้ายแรงกว่านั้นยังมีอีกหลายประการทีเดียว คนข้างบ้านคุณหลวงชื่อตาทิม แกเป็นคนตัดหญ้าอยู่ในบ้านฝรั่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า สาวใช้บ้านคุณหลวงหน้าตาจิ้มลิ้มน่าจูบชื่อนางสาวชูชื่น กำลังเปล่งปลั่งผิวขาวอวบ แก้มทั้งสองข้างเป็นพวง นางสาวชูชื่นคนนี้เพิ่งจะมาอยู่บ้านคุณหลวงได้ประมาณปีเศษ แต่ก่อนเป็นคนขยันขันแข็ง ชอบทำงานไม่เลือกชนิด เมื่ออยู่กับคุณหญิงผ่องนายเก่า ถูเรือนเก่งจนถึงกับคุณหญิงต้องร้องห้าม เพราะลูก ๆ ของคุณหญิงเดินบนกระดานที่นางสาวชูชื่นถูไว้มักจะหกล้ม กระจกส่องหน้าในบ้านก็เกือบจะไม่มีประโยชน์ เพราะพื้นห้องบนตึกมันแปลบปลาบแวววาวจนอาจจะมองเห็นหน้าได้ ยิ่งกว่านั้นนางสาวชูชื่นยังขยันขันแข็งวิ่งขึ้นวิ่งลงรับใช้เจ้าคุณและคุณหญิงคล่องแคล่วทันอกทันใจเป็นพิเศษ จนชาวบ้านร้านตลาดออกปากเชยชมกันทั่วไป แต่เมื่อตกมาถึงสมัยที่นางสาวชูชื่นมาอยู่บ้านคุณหลวงที่จุฬาฯ ซอย ๒ กลับเปลี่ยนนิสัยใจคอไปได้รวดเร็วราวกับคว่ำขันน้ำ มีคนเห็นหล่อนเดินอืด ๆ และเชื่องช้าราวกับตัวด้วง ผมเผ้าก็ปล่อยรุงรังเพราะขี้เกียจหวี หน้าที่เคยนวลเป็นไยเพราะประทาอยู่บ่อยๆ เดี๋ยวนี้ดูมอมแมมไม่น่าจูบเสียแล้ว ตาทิมคนตัดหญ้าบ้านฝรั่งว่า “มันกลายเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาวไปหมด บ้านนี้มันเป็นบ้านประหลาด ใครเข้ามาอยู่หางงอก เวลาเดินมักอืดเพราะหางมันถ่วงเอาไว้ เจ้าของบ้านไม่ชอบคนขยัน แต่ชอบคนขี้เกียจ ใครทำงานมากจะถูกด่า ส่วนคนทำงานน้อยหรือขี้เกียจทำงานกลับได้รับคำชมเชย”

“ลุงเคยเข้าไปรับจ้างตัดหญ้าในบ้านนั้นบ้างหรือเปล่า?” ข้าพเจ้าถาม

ตาทิมตอบทันทีว่า “เคยครับ แต่เกิดขัดใจกับอีตาลุงหลวง”

“แกให้ค่าจ้างน้อยละซี?”

“ให้มากครับ ใจกว้างพอใช้ทีเดียว”

ข้าพเจ้างงเหมือนก้อนอิฐหล่นลงมาพอดีตรงแสกหน้า “ถ้าเขาให้เงินลงมากและมีน้ำใจกว้างขวาง ทำไมจะต้องผิดใจกันด้วยล่ะ?”

“ตาคุณหลวงนั่นออกมาตวาดผม”

“ตวาดเรื่องอะไร?” ข้าพเจ้ายิ่งงงมากขึ้นอีก

“ตวาดเสียงแหวเทียวครับ แกว่าผมรีบทำงานอวดเป็นคนขยัน ผมไปทำงานที่ไหนก็อยากจะรีบทำให้เสร็จเร็ว ๆ ทันใจเจ้าของบ้าน แต่อีตาคุณหลวงคนนี้กลับไม่ชอบ แกว่าผมรีบจะไปเป็นขี้ข้าบ้านอื่นเขาอีก บ่นพึมพำงุ่นง่านไม่รู้จักจบ ว่าผมเป็นขี้ข้าเขาจนติดนิสัย กำลังทำงานเป็นขี้ข้าบ้านนี้ กลับจะรีบไปเป็นขี้ข้าบ้านอื่นอีก เห็นการทำงานเป็นของสนุกไปได้”

“แล้วลุงเถียงแกหรือเปล่า?”

“เถียงซีครับ ทำไมจะไม่เถียง ว่าถูกผมจึงจะยอมนิ่งให้ แต่ถ้ามาบ่นกันผิด ๆ ผมไม่ยอมเป็นอันขาด ผมว่าทั้งโลกมีแต่เขาชอบคนขยัน มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ชอบคนขี้เกียจ”

“คุณหลวงคงโกรธอย่างไม่ต้องมองหน้ากันเชียวนะ?”

“แกพาลจะไม่ให้สตางค์ค่าถางหญ้าเสียด้วยซ้ำ” ตาทิมว่าพร้อมกับโคลงหัว

“อ้างเหตุผลอะไร?”

“แกอ้างว่า ผมเข้าไปทำนิสัยคนในบ้านของแกเสียหมด แกต้องการให้ทุกคนในบ้านทำงานน้อย แกไม่อยากให้ลูกเมียและคนใช้ของแกกลายเป็นขี้ข้าที่พอตื่นขึ้นมาก็ต้องทำงานไปจนถึงเวลานอน ยิ่งกว่านั้นยังพูดรวน ๆ อีกว่า คนที่ทำงานจนเกือบไม่มีเวลาต้องหายใจอย่างผมนั้นเกิดผิด ควรจะขอเปลี่ยนชาติเป็นวัวควายไปเสียดีกว่า”

“แปลก!” ข้าพเจ้าออกปาก “ถ้าอย่างนั้นทุกคนในบ้านคงจะกิน ๆ นอน ๆ กันโดยไม่ต้องคิดจะทำอะไรกันเลย”

“มันไม่ใช่เช่นนั้นน่ะซีคุณ” ตาทิมพูดพร้อมกับโบกมือ “แม้แต่จะกินเขาก็บ่นว่า ‘ขี้เกียจกิน’ เวลานอน เขาก็บ่นว่า ‘ขี้เกียจนอน’ ดูมันขี้เกียจไปเสียทั้งหมด ถ้าวันไหนเกิดมีใครขยันขึ้นมาเป็นต้องทะเลาะกันเอะอะ แต่พอทะเลาะไปได้สักหน่อยก็บ่นว่า ‘ขี้เกียจทะเลาะ’ บางวันผมแอบได้ยินคนในบ้านนั้นบ่นกันว่า ‘ขี้เกียจอยู่นิ่ง ๆ เต็มทีแล้ว’ สำหรับอีตาคุณหลวงเมื่อเทศนาด่าความขยันของผมเข้าแล้ว ในไม่ช้าก็หยุดไปเอง ก่อนจะหยุดผมได้ยินแกบ่นว่า ‘ขี้เกียจพูด’ และอีตอนจะหยิบเงินส่งให้ผมกะบ่นว่า ‘ขี้เกียจหยิบ’ ทำอย่างนั้นมันจะได้หรือครับ ขืนขี้เกียจหยิบเงินส่งให้ผมละเป็นแม่แหลก ผมต้องประกาศบ้างละว่า ‘ขี้เกียจหยุดด่า’ คอยดูซี ผมจะด่าให้เงินทะลักออกมาจากลิ้นชักโต๊ะทีเดียว”

ตาทิมกล่าวว่า ในบ้านคุณหลวงหัวหน้าชุมนุมคนขี้เกียจที่จุฬาฯ ซอย ๒ มีคนขี้เกียจเต็มไปทั้งบ้าน นางสาวชูชื่นซึ่งเมื่อก่อนได้ชื่อว่าเป็นคนขยันมือหนึ่ง บัดนี้ตั้งแต่ได้เข้ามาประจำทำงานอยู่ในบ้านคุณหลวง หล่อนกลายเป็นคนขี้เกียจไปได้รวดเร็วเหมือนงูเขียวลอกคราบ เดี๋ยวนี้ชูชื่นเป็นสาวใช้ที่ถูกใจคุณหลวงมาก ตาทิมก้มเข้ามากระซิบกระซาบที่หูข้าพเจ้าว่า

“คุณรู้แล้วนิ่ง ๆ เสียนะครับ อย่าพูดเอะอะไปเป็นอันขาด ถ้ามันรู้ว่าผมปากบอนคาบเอาเรื่องของมันมาเล่า มันคงจะด่าผมแม่แหลกทีเดียว”

ข้าพเจ้ารับคำว่าถ้าได้ฟังแล้วจะเอาเท้าเหยียบไว้เลย ไม่ยอมเล่าต่อแพร่งพรายให้ใครรู้ แม้แต่นกสีชมพูสวนที่อยู่ในกรง

“อีชื่นมันขี้เกียจจังเบอร์เชียวครับคุณ” ตาทิมเริ่ม

“เล่าไปเถอะน่า” ข้าพเจ้าเร่ง “อยากรู้เร็ว ๆ จะเอาสัญญาอะไรอีกก็บอกมาเถอะ”

“พอแล้วครับ อย่างคุณรับรอง ถ้าผมไม่เชื่อจะไปเชื่อใคร อีชื่นคนนี้มันกำลังเป็นสาวสวยรูปงามยั่วยวนเสน่ห์ แต่ถ้าใครขืนเอาไปเลี้ยงเป็นลูกเป็นเมียเห็นจะฉิบหายตั้งตัวไม่ติด”

“ทำไมล่ะ เขาจะเลวทรามชั่วช้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”

“ยิ่งกว่านั้นอีก ผมจะเล่าให้คุณฟังอย่างไม่อั้น อีชื่นคนนี้มันขี้เกียจได้อย่างถึงใจอีตาคุณหลวงเจ้าของบ้านทีเดียว เวลากลางคืนมันปวดท้องเบา มันก็ขี้เกียจลุก”

“นอนนิ่งท้องแข็งทนปวดอยู่จะไหวหรือ เดี๋ยวราดออกมาจะว่าอย่างไร?” ข้าพเจ้าอดนิ่งอยู่ไม่ได้

“มันเอาผ้าห่มนอนซับเอาไว้ เมื่อซับแล้วก็เปิดมุ้ง โยนเผละไปพักไว้ที่มุมห้อง” ตาทิมอธิบาย “ต่อจากนั้นมันก็นอนหลับต่อไปโดยไม่ต้องลุกลงไปห้องน้ำ อย่างนี้เรียกว่าคนขี้เกียจนัมเบอร์หนึ่ง พอตื่นเช้า คุณนายขี้เกียจนอนตื่นก่อนมาเห็นเข้าพบผ้าห่มเปียกน้ำกองอยู่ ขี้เกียจถามก็เดินเลยไปโดยไม่พูด เมื่อกลิ่นเยี่ยวเหม็นโชยเข้าจมูก คุณนายขี้เกียจดมก็หยุดสูด ผัวถามว่านั่นมันกลิ่นอะไร หล่อนขี้เกียจตอบพอดีกับผัวขี้เกียจถามต่อไป ผ้าห่มนอนเปียกเยี่ยวมันก็คงกองอยู่ในที่เดิมเหมือนตัวหนอนขดสุมกันอยู่

“เรื่องมันแปลกประหลาดยิ่งกว่าเรื่องโกหกอีกครับคุณ” ตาทิมคนตัดหญ้าสาธยายต่อไป “อีชูชื่นมันขี้เกียจอย่างฉกาจฉกรรจ์ทีเดียว มันทิ้งผ้าห่มผืนนั้นไว้กับที่จนแห้งไปเองตั้งสองวัน พอนึกขยันขึ้นมาจะเอาไปซัก เปิดขึ้นดู ตัวแมงแกลบและตัวกุ้งเต้นวิ่งกันเกรียวกราวทีเดียว กลิ่นที่อบอยู่ข้างในระเบิดออกมาเหม็นเหมือนเดินผ่านหน้าฐานวัดสระเกศสมัยก่อน คุณหลวงบังเอิญเดินย่องอย่างคนขี้เกียจ ท่าทางเหมือนหอยทากยืดตัวมาเห็นเข้า--เอาอีกแล้ว หัวเสียเหมือนคนเดินไปโหม่งเอารอดใต้ถุนบ้าน “มันชอบขยันกันเสียจริง ๆ ผ้าผืนนี้กูเห็นกองอยู่เพียงสามวันเท่านั้น ยังไม่ทันถึงเดือนก็จะรีบเอาไปซักกันแล้ว อีชื่นนี้ถ้ามันจะไม่อยากอยู่กับกูเสียแล้ว กูสอนไม่ให้ทำงานกลับไม่ชอบ ถึงอยากเป็นขี้ข้าเขานักหรือ” คุณหลวงด่าเข้าแล้วซี คุณฟังผมเล่าจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องตลก แต่ผมเองก็เคยถูกด่ามาแล้ว”

เขาเล่าต่อไปว่า ไม่เพียงแต่นางสาวชื่นเท่านั้นที่ขี้เกียจอย่างฉกาจฉกรรจ์ ตัวคุณหลวงเองก็ไม่ยอมลุกเข้าห้องน้ำเมื่อปวดท้องเบาในเวลากลางคืนเหมือนกัน คุณหลวงสั่งให้ซื้อไม้ไผ่สีสุกมาลำหนึ่ง สั่งให้ทะลวงข้อข้างในออกแล้วก็แยงจากใต้ถุนขึ้นมาบนห้องนอน-นี่เป็นเหตุการณ์เมื่อคราวอพยพหลบภัยเวลาปวดท้องเบากลางคืน คุณหลวงจะปล่อยให้ไหลลงมาตามลำไม้ไผ่นั้น พอเสร็จกิจธุระก็จะพลิกกายนอนหลับปุ๋ยต่อไปอย่างสบาย

คุณหลวงมีบุตรชายที่ต้องเลี้ยงดูตลอดจนญาติของเมียอีกหลายคน แต่คนเหล่านั้นมีความสามัคคีกันอย่างประหลาด เพราะเมื่อต่างมีความพยายามที่จะไม่ทำงานด้วยกัน ทุกคนก็ไม่ต้องทะเลาะกันเลย ส่วนคุณนายกับคุณหลวงต่างก็อยู่กินด้วยกันอย่างผาสุก คุณหลวงนั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไร คุณนายก็เห็นเป็นดีเช่นเดียวกับที่คุณนายนอนบ่อย ๆ คุณหลวงกลับถามว่า “เธอนอนพอแล้วหรือ?” และคุณหลวงมักจะพูดด้วยความจริงใจว่า

“เธอหาเวลานอนเสียมากๆ ซี บ้านช่องรกรุงรัง มันหมายถึงความสุขที่ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ถ้ามันไม่สบายตาเราก็อย่าดูมัน ฉันกับเธอความจริงก็เป็นพวกขี้เกียจเห็นอยู่แล้ว ถ้าทำได้ทั้งสามประการ คือ ขี้เกียจพูด ขี้เกียจเห็น ขี้เกียจฟัง จะปลอดโปร่งแช่มชื่นและอายุยืนยิ่งกว่านี้มาก”

บ้านของคุณหลวงเป็นเรือนสองชั้น หญ้าขึ้นจากข้างนอกทอดยอดเข้าไปตามข้างฝา โผล่เข้าไปเยี่ยมเยือนคนที่อยู่ข้างใน แต่มันอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น ไม่มีใครดึงทิ้งหรือเกี่ยวข้องด้วย เขาขี้เกียจที่จะดู-ที่จะฟังคนบ่น และขี้เกียจที่จะพูด หลาย ๆ วันจะเห็นมีคนหอบผ้าลงซักที่ท่าน้ำสักครั้ง แต่ไม่ซักมากนาน ๆ ซักและซักน้อยๆ ทำไปอย่างช้า ๆ และไม่รีบร้อน นี่คือกฎบัตรแห่งอุดมคติและความรู้สึกทางจิตใจของบ้านนี้

ในครัว ไม่เคยมีใครได้ยินเสียงพัดไฟ กาน้ำตั้งอยู่บนเตาและเดือดปุด ๆ ไม่มีควันพลุ่งออกจากพวย แมวตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ในลังถ่าน เมื่อได้ยินเสียงสาวใช้ขอดเกล็ดปลา มันเพียงแต่ลืมตาขึ้นดูแล้วก็หลับ-นอนกรนต่อไปใหม่ เสียงบุรุษไปรษณีย์มาเคาะประตูเรียกให้รับจดหมาย แต่ไม่มีคนเดินออกไปรับ ข่าวคราวจากใครและที่ใด ดูไม่มีความสำคัญเสียเลย เขาคร้านที่จะรู้และรังเกียจเหมือนพบหน้าอันยู่ย่นของตัวเองในเวลาเช้า

คงจะมีผู้สงสัยกันว่า คนขี้เกียจดังเช่นสมาชิกแห่งครอบครัวของคุณหลวงในจุฬาฯ ซอย ๒ จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร งานเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดพลังเงิน แต่ปัญหาข้อนี้ไม่ใช่ปัญหาลึกล้ำจนถึงกับจะตอบไม่ได้ เพราะคนขี้เกียจก็ย่อมจะอยู่ได้ในสภาพของคนขี้เกียจนั่นเอง

ข้าพเจ้าถามตาทิมว่า “คุณหลวงคนนี้เป็นคนขี้เกียจในเวลาที่จะตรงเข้าไปจูบเมียแกบ้างหรือเปล่า?”

ตาทิมทำหน้าเหย พิงเคียวตัดหญ้าอันใหญ่ของแกไว้กับโคนต้นมะม่วง

“ผมคิดว่าคุณนายคงไม่ขี้เกียจครับ” แกตอบแล้วก็มวนยาใบจากจุดสูบ

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ