ดงตุ๊กแก

----------------------------

“ตุ๊กแกที่ท่าตูมมันแปลกกว่าที่อื่น ตัวยังกะปลาช่อน มันอยู่กันอีโนงโตงเนงเชียวครับ ตัวย่อมกว่าเหี้ยแถวแม่น้ำบางปะกงนิดเดียว ตัวสั้นปุ้มปู้ ตาขุ่นยังกะทหารฝรั่ง อ้ายตัวที่ลงมาพอเห็นแสงไฟแทนที่จะวิ่งมันกลับผงกหัวขึ้นมองดูผม ทำท่าคล้ายจะโกรธกันมาแต่ชาติก่อน ดูซีครับ ตุ๊กแกแท้ ๆ จะกลายเป็นกิ้งก่าไปเสียอีกแล้ว!...”

----------------------------

“ขี้มันเหม็นอย่างตรึงใจทีเดียว คุณครับ” คนนำทางฟันหลอหน้าตาเหมือนแขกขายถั่วมัน ๆ เหลียวหลังมาบอกพวกเรา

“แกหมายถึงขี้แมวหรือขี้ไก่?” ข้าพเจ้าตะโกนถามไปบ้าง

“ขี้แมวหรือขี้ไก่ผมไม่เห็นว่ามันจะมีกลิ่นเหม็นอะไรเลยนี่ครับ” เขาตอบหน้าเฉย ขี้ไก่ตัวเมียก้อนเขื่องๆ ที่มันเข้าไปฟักไข่ เก็บเอามาสักสองสามก้อนตากแห้งไว้ แล้วกินกับเหล้าโรงแก้เมื่อยบั้นเอวดีนัก ขี้แมวก็เหมือนกัน พ่อผมแกแซะเอามาเก็บใส่หม้อตาลไว้ พอหายเหนียวเอามาปั้นเป็นลูกกลอนกินกับน้ำผึ้งใส่ใบกะเพราแดงกับการบูรลงไปนิดหน่อย กินแก้ป่วงศักดิ์สิทธิ์นัก อ้ายที่ลงจู๊ด ๆ อยู่วันนี้ พอให้ล่อลูกกลอนขี้แมวเข้าไปครู่เดียวก็หยุด หัวเราะแฉ่งหน้าทะเล้นขึ้นมาได้เชียวครับคุณ ยาฝรั่งมังค่าอะไรอย่าไปสู้มันเลย แต่ถึงกระนั้นยังสู้ตุ๊กแกไม่ได้ ขี้ตุ๊กแกเหม็นเปรี้ยวยิ่งกว่าขี้เต่า”

“ขี้แมวเหม็นเปรี้ยวฉิบหาย! กินเข้าไปจะได้รากแตกซีเพื่อน เพื่อนข้าพเจ้าเป็นปลัดอำเภอเพิ่งย้ายมาจากอำเภอดอนพะวาพูด พวกเรา ๔ คนด้วยกันกำลังเดินตรงไปสู่ตำบลท่าตูมในฐานะของนักท่องเที่ยว จุดหมายของเราคือบ้านขุนนรินทร์ฯ ท่านเศรษฐีใหญ่ผู้คุ้นเคยเล่าให้เราฟังว่า “มาเที่ยวดงตุ๊กแกสักทีเถอะน่า คุณนิพนธ์ มันชุมเป็นจิ้งหรีดทีเดียว ตุ๊กแกที่นี่มันประหลาด มดแดงเห็นเข้าเป็นวิ่งหนี ตามธรรมดาอ้ายมดนั่นไม่เคยกลัวสัตว์อะไรแม้แต่ช้าง แต่ถ้ามันกำลังเดินตามสบายโผล่หน้าไปเจอเอาตุ๊กแกเข้า มันจะเผ่นแผล็ววิ่งเร็วเป็นอีเก้งเชียวคุณ”

ข้าพเจ้าได้พบกับขุนนรินทร์ ผู้มีอายุคราวปู่แต่ นิสัยใจคอยังคึกคะนองเหมือนเด็กหนุ่มอายุไม่เกินสิบหกที่จวนข้าหลวง ท่านข้าหลวงแนะนำว่า “นี่ไงครับ ท่านขุนนรินทร์ปู่เจ้าแห่งดงตุ๊กแกท่าตูม ดงตุ๊กแกอันมีชื่อเสียง ซึ่งนักท่องเที่ยวจะพึงเว้นไม่ย่ำเหยียบเข้าไปประจักษ์แก่ตาไม่ได้ จังหวัดปราจีนบุรีมีน้ำตกอันไหลระริน ฟังเจื้อยแจ้วเป็นเพลงหงุงหงิงราวกับผู้หญิงที่เพิ่งแต่งงานเอาหัวซบตักออเซาะผัว ที่สงขลามีหาดทรายแก้วที่ว่ากันว่าใสยิ่งกว่าลูกตาแมว เชียงใหม่เขาก็มีดอยสุเทพเช่นเดียวกับที่บางแสนมีอะไรต่อไรที่แสนจะสุขสำราญ แต่นั่นมันไม่ใช่สิ่งประหลาดพิสดารอะไร สู้ท่าตูมของเราไม่ได้ ที่นั่นมีดงตุ๊กแก มันเห่ารับกันเป็นจังหวะ ฟังครื้นเครงดีเหลือเกิน”

“ผมเคยได้ยินแต่ว่าหมามันเห่า ตุ๊กแกเห่ายังไม่เคยได้ยินเลย” ข้าพเจ้าแย้งด้วยถ้อยคำสุภาพ “บางทีท่านข้าหลวงจะเรียกชื่อหมาเป็นตุ๊กแก หรือเรียกตุ๊กแกเป็นหมาไปสักอย่างเป็นแน่ ความคิดของผม-เ-อ้อ-อ้า ผมเชื่อว่าชาวท่าตูมอาจจะเรียกตุ๊กแกผิดกับคนในจังหวัดอื่นก็ได้ เช่น เรียกตุ๊กแกว่า ม้า, ไก่, หรือกระรอก

“เอ๊ะ ถ้ายังงั้นมันก็ออกจะเกินไปมากซีคุณ ต่อไปชาวท่าตูมอาจจะต้องเรียกฟ้าเป็นแผ่นดิน หรือเรียกหลังคาบ้านว่าใต้ถุน ดูมันยุ่งเป็นเรื่องเลอะเทอะไปหมด สมัยนี้เวลาเป็นเงินเป็นทองนาคุณนา เราจะเอาเวลาอันมีค่ามาพูดกันในเรื่องเหลว ๆ ไหล ๆ ไม่ได้ เช่นเราจะพูดเรื่องลิง เราก็ต้องเอาเรื่องลิงมาว่า ถ้าคุณเอาลิงมาเรียกเป็นจิ้งจก ต่อไปเราจะคุยกันไม่รู้เรื่อง แล้วเวลามันก็หมดเปลืองไปเปล่า ๆ โดยไร้ประโยชน์” ท่านข้าหลวงพูดด้วยสีหน้าที่คล้ายตะโกนขู่ตะคอกลูกชายที่กำลังจะแอบหลังแม่บ่นปวดท้องไม่ยอมไปโรงเรียน

“เป็นความจริง อย่างที่ผมไม่เคยเห็นอะไรจริงกว่านี้เทียวครับท่านข้าหลวง” ข้าพเจ้าว่า “คนไทยด้วยกันพูดภาษาเดียวกันไม่รู้เรื่องก็มี เช่นเมื่อสามเดือนก่อน ผมขึ้นไปเที่ยวภาคอีสานแวะเยี่ยมหลวงตากรุดที่วัดตองเหลือง พบชาวบ้านร้องสั่งกันว่า “เฮ้ย มึงเอาหมุดไปเกยยา" ผมได้ฟังเล่นเอางงเหมือนซองธนบัตรหาย ในชนบทที่เหมือนป่าดงพงพีเช่นนี้ ผมไม่เคยคิดเลยว่า เขาจะพูดถึงเข็มหมุดกันทำไม จะเข้าใจเอาว่าเอาหมุดไปเกยยามันก็อีกนั่นแหละจะเอาไปเกยยาเพื่อประโยชน์อะไรกัน เมื่อถามคนนำทางเพื่อให้รู้แน่ เขาก็ว่าคนแถววัดตองเหลืองเรียกม้าว่าหมุด เรียกหญ้าว่ายา แปลว่าถึงเอาม้าไปกินหญ้า”

“จริง จริงของคุณ” ท่านข้าหลวงพูด หัวร่อร่าแล้วเอามือตบแขนข้าพเจ้าดังฉาดใหญ่ “ภาษามันอาจจะเพี้ยนกันได้ แต่ที่ผมว่าตุ๊กแกเห่ารับกันนั้น ไม่ได้หมายความว่าตุ๊กแกจะกลายเป็นหมาไปได้หร็อก ตุ๊กแกที่ท่าตูมมันเห่าได้จริงๆ เห่ารับกันจากบ้านโน้นไปบ้านนี้ แล้วอ้ายตัวที่อยู่บ้านโน้นก็เห่าต่อไปอีก พอมันเห่าทั่วทุกบ้านแล้ว ก็เป็นอันว่านับกันเรื่อยๆ ไปตลอดรุ่งทีเดียว คนที่ไม่คุ้นกับท่าตูม ผมรับรองว่านอนไม่หลับ มันยิ่งกว่ากบเขียดหรือจิ้งหรีดเมื่อหน้าฝนเป็นไหน ๆ”

แล้วโอกาสดีที่ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็ผ่านมาถึง ข้าพเจ้ากับประโยชน์ วีรชัย เพื่อนรักพร้อมด้วยศักดิ์ อภิสิทธิ์ และปลัดอำเภอซึ่งเพิ่งย้ายมาจากดอนพะวา ก็ได้ร่วมการเดินทางไปสู่ท่าตูมเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ คนนำทางของเราชื่อนายผูก นามสกุลพระยาลอย ซึ่งฟังดูคล้ายๆ จะเคยเป็นคนใหญ่คนโตมาบ้างเหมือนกัน เดินดื่มสุราโรงขนาด ๔๐ ดีกรีไปตลอดทาง นายผูกคนนี้ชาวบ้านเรียก ‘ทิดผูก’ เป็นคนร่างเล็ก ขาทั้งสองข้างงุ้มเข้าหากัน ผิวเนื้อดำเหมือนต้นมะม่วงที่ถูกไฟไหม้ ตามเนื้อตามตัวมีแต่หนังหุ้มกระดูก ซี่โครงพะเยิบพะยาบเวลาหายใจ ประโยชน์ว่าเวลาทิดผูกหายใจดูไม่ผิดกับตัวแมงกะพรุนที่ถูกคลื่นซัดขึ้นมาค้างอยู่บนหาดทราย

คนนำทางของเรามีนิสัยแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือเมื่อรู้สึกเหนื่อยก็ดวด ๔๐ ดีกรีเข้าไป น้ำเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกลจากชีวิตคนๆ นี้ ราวกับว่าอยู่ห่างกันคนละฝั่งแม่น้ำ

“อีกสองชั่วโมง เมื่อเลยบ้านเพลี้ยไปแล้วก็จะถึงหัวโค้ง” ปลัดอำเภอพูดด้วยเสียงแหบๆ พร้อมกับชี้ให้เราดูหมู่ไม้ซึ่งเขียวสด แต่ต้องยืนหยัดต่อสู้แสงแดดอันร้อนจนแสบผิวหนังอยู่เบื้องหน้าไกลออกไปจนเกือบจะแหงนหน้าขึ้นจูบขอบฟ้าสีครามเข้ม “ถัดหัวโค้งไปราว ๔ กิโลเมตร ก็จะถึงดงตุ๊กแก”

“ไม่ใช่ถึงบ้านขุนนรินทร์หรือ?” ศักดิ์ซึ่งเดินอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยถาม

“บ้านขุนนรินทร์แกอยู่ในดงตุ๊กแก” นายผูกคนนำทางหันหน้ามาคุยกับเรา แต่เท้าทั้งสองยังคงก้าวไปข้างหน้าอยู่เรื่อยๆ “ผมว่าบ้านแกก็เป็นดงใหญ่เหมือนกัน อีคราวผมแบกหนังควายมาส่งเมื่อสามปีก่อน กำลังนอนหลับอยู่ใต้ถุนเพลิน ๆ ตกใจตื่นขึ้น รู้สึกเหมือนมีคนขี้เต่าเหม็นมานอนอยู่ข้างๆ ให้ห่ากินผมตายไปซีครับ มันเหม็นฉิบหายวายร้ายอะไรยังงั้นไม่ทราบ แร้งก็สู้ไม่ได้ ควายวัวหรือหมาขี้เรื้อนอ้ายที่สกปรกก็ยังเทียบกับกลิ่นที่วิ่งเข้ามาในรูจมูกผมไม่ได้อยู่นั่นเอง”

“มันกลิ่นอะไรของแกล่ะ พี่ชาย?” ประโยชน์ร้องถาม

“ทีแรกผมก็คิดไม่ออกว่ามันเป็นกลิ่นอะไร” คนนำทางตอบพร้อมกับทำหน้าเบ้ ราวกับว่ากลิ่นที่เหม็นอย่างจัญไรวายร้ายนั้นกำลังมาอยู่ใกล้รูจมูก “แต่นึกว่าต้องเป็นกลิ่นขี้แน่ละ ไม่ขี้อะไรก็เป็นขี้อะไรสักอย่างเรื่อง ที่ไม่ใช่ขี้นั้นไม่ต้องพูดกัน แล้วผมก็ลองเอามือคลำดูทั้งมืด ๆ ควานไปข้างขวาบ้างข้างซ้ายบ้าง รู้สึกอึดอัดแทบจะเป็นลมเสียให้ได้ในที่สุดมือเจ้ากรรมก็ป่ายไปพบอ้ายกองเปียก ๆ เข้า และคล้ายตะโก้ที่เขาซื้อให้เด็กกินนั่นแหละคุณ ผมกระตุกมือกลับทันที อ้ายกองนั่นมันเย็น ๆ หยุ่น ๆ ยังไงพูดไม่ถูก พอผมหดมือมาดมดู แม่เจ้าโว้ย มันเหม็นอุบาทว์ชาติชั่วส้นตีนส้นมืออะไรไม่รู้ ผม ต้องขอประทานโทษนะครับที่กล่าววาจาของคนแจวเรือจ้าง แต่จะทำยังไงได้ มันยิ่งกว่าขี้คนตั้งร้อยเท่า มันไม่ใช่อื่นหรอกครับ ขี้ตุ๊กแกของตาขุนนรินทร์นั่นแหละ!”

“ทำไมแกจึงรู้ว่ามันเป็นขี้ตุ๊กแกล่ะ?” ข้าพเจ้าถาม

“รู้ซีครับ” คนนำทางของเราตอบเร็วยังกะเณรท่องหนังสือ “ผมรีบลุกขึ้นจุดตะเกียงน้ำมันมะพร้าวชูขึ้นส่องดู ในห้องไม่มีสัตว์อื่นเลย เห็นตุ๊กแกไต่กันยั้วเยี้ยทีเดียว ผมไม่ได้พูดโกหกหรอกครับ ผมเคยไหว้พระทำบุญตักบาตรอยู่แทบทุกวัน ถ้าจะเปรียบอ้ายตุ๊กแกเหล่านั้นกับแมลงเม่าที่มาเล่นไฟก็เห็นจะเครือ ๆ กัน ตุ๊กแกที่ท่าตูมมันแปลกกว่าที่อื่น ตัวยังกะปลาช่อน ถ้ามองไม่ดีจะดูคล้ายมีคนจับผูกไว้ตามฝาผนังห้อง มันอยู่กันอิโนงโตงเนงเชียวครับ ตัวย่อมกว่าเหี้ยที่วิ่งอยู่ตามกอจากแถวแม่น้ำบางปะกงนิดเดียว หัวสั้นปุ้มปู้ ตาขุ่นยังกะทหารฝรั่ง แต่ผมเห็นว่าคล้ายหลอดไฟฟ้าชนิดฝ้าที่ตลาดปราจีนมากกว่า อ้ายตัวที่ขี้ลงมา พอเห็นแสงไฟแทนที่จะวิ่งมันกลับผงกหัวมองดูผม ทำท่าคล้ายโกรธกันมาตั้งแต่ชาติก่อน ดูซีครับ ตุ๊กแกแท้ ๆ จะกลายเป็นกิ้งก่าไปเสียอีกแล้ว!”

“อ้ายพวกตุ๊กแกที่ท่าตูมนี่เอาเรื่องมาก” ข้าพเจ้าปรารภ

พร้อม ๆ กันนั้น ศักดิ์ได้ถามขึ้นว่า “แกเห็นมันอยู่ในห้องนั่นราวสักกี่ตัว”

“ขนาดยังไม่ได้นับจริง ๆ เห็นจะราว ๒๐๐ ตัว” คนนำทางฟันหลอตอบ ยกไถใส่เหล้าขึ้นเทใส่ปากแล้วหัวเราะเสียงดัง “ล่อเหล้าเสียหน่อยใจผมค่อยชื้นขึ้น ความจริงถ้าจะลองนับกันจริง ๆ แล้ว ผมว่า ๕๐๐ ตัวจะยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ”

“โกหกวายร้ายเลย” ประโยชน์ซึ่งเงียบอยู่นานแล้วปล่อยโพล่งออกมา “อะไร แกว่ามีตุ๊กแกอยู่ในห้องตั้ง ๕๐๐ ตัวเชียวรึ มันไม่ใช่แมลงเม่าแน่หรือ?”

“ผมไม่ได้โกหกหร็อกครับ” นายผูกยืนยันด้วยสำนวนเดิมอีก ส่วนเท้าทั้งสองก็ย่ำไปคุยไป “คุณพูดยังกะว่าเหล้ามันพูดไม่ใช่ผม อีกไม่ช้าก็จะได้เห็นด้วยตาคุณเองแล้ว แมลงเม่าหรือตุ๊กแกจะได้รู้กัน”

เสียงหัวเราะของนายผูกดังขึ้น แล้วมันก็ค่อย ๆ จางไป เหมือนความซ่านของเหล้าที่เขาเทกรอกลงไปในคอ

เราทั้งหมดไปถึงบ้านขุนนรินทร์เมื่อตอน ๑๗.๐๐ น. พอเด็กวิ่งไปบอกก็เดินลงมาต้อนรับพร้อมด้วยภรรยา ทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังทรงผ้าขาวม้าซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นสีอะไร ภรรยาขุนนรินทร์ชื่อคุณแม่ปริก ท่าทางเป็นผู้ดีตรงข้ามกับผัว ซึ่งผมหงอกเหมือนกระจุกปุยฝ้าย พูดจาเอะอะเช่นเดียวกับนักดื่มคอทองแดงซึ่งประจำอยู่ตามร้านเหล้าทุกเช้าเย็น

“ยินดี คุณนิพนธ์ ยินดีมากที่ผมและแม่ปริกได้พบคุณ” ท่านขุนร้องทักตั้งแต่เรายังเดินอยู่นอกรั้วบ้าน แล้วหันไปคว้าก้อนดินขว้างหมาหมู่ ซึ่งกำลังจะแห่มาเลียะพะน่องพวกเรา พอหมาหมดฤทธิ์วิ่งหนีหางจุกตูดเข้าใต้ถุนบ้านไปหมดแล้ว แกก็เอ่ยขึ้นว่า “ผมจะต้อนรับคุณทั้งหมดที่เรือนเล็ก ความจริงอยากจะเลี้ยงดูกันบนเรือนใหญ่ เอาให้สนุกครึกครื้นทีเดียว แต่เกรงจะนอนไม่หลับ มันหนวกหูพิลึก เด็กเล็กกระจองอแงมากแล้วก้ออีกอย่างหนึ่ง ผม-วิตกเหลือเกิน”

“ท่านขุนไม่ต้องวิตกหรอกครับ” ปลัดอำเภอเพื่อนของเราซึ่งเงียบอยู่ตลอดเวลาเอ่ยขึ้นบ้าง “ผมเป็นคนหลับง่าย พอเอนกายยังไม่ทันจะรู้ว่าเป็นที่นอนหรือไม้กระดาน ก็หลับปุ๋ยไปเสียแล้ว”

“นั่นมันไม่ใช่ที่ดงตุ๊กแกนี่คุณ” ท่านขุนว่า ยิ้มจนเห็นฟันที่แลงกินจนกร่อนเป็นเสาเรือนสมัยรัชกาลที่ ๔ โผล่ออกมานอกปาก “ที่ดงตุ๊กแกนี่ถึงคนมีประสาทดีอย่างไรก็นอนไม่หลับ ถ้าคุ้นกับมันสักเดือนแล้วจึงจะค่อยหลับได้บ้าง”

“มันเป็นยังไงกันครับท่านขุน?” ประโยชน์ถาม

“มันเห่ากันเสียงขรมทีเดียว หน้านี้พอดีย่างเข้าเดือน ๔ ตุ๊กแกกำลังคะนอง มันเห่ารับกันเสียงเอิกเกริกยิ่งกว่าหมารุมเห่าอึ่งอ่าง” ท่านขุนตอบพลางเชื้อเชิญเราขึ้นไปบนเรือนเล็กซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเรือนใหญ่ บนเรือนหลังเล็กมีแต่ห้องกว้างๆ ไม่มีเครื่องตกแต่ง แต่ก็มีความรกรุงรังไม่แพ้บ้านสมัยเก่าที่อยู่ในตำบลชนบทห่างไกลจากพระนครทั่ว ๆ ไป ขุนนรินทร์สั่งให้จับไก่ใต้ถุนบ้านต้มข่าขึ้นทันที ได้ยินเสียงเด็กวิ่งไล่เอาไม้ขว้างร้องเปี๊ยก ๆ อยู่ใต้ถุน พอพวกเราลงอาบน้ำชำระกายที่ท่าน้ำขึ้นมาเอนหลัง ก็พอดีไก่ต้มข่าชามใหญ่มารออยู่ก่อนแล้ว พร้อมด้วยเหล้าโรงและปลาดุกย่างทอดกรอบและเต้าเจี้ยวหลน

“กินกันให้สนุกอย่างไม่ต้องอั้นประตูทีเดียว อะไรหมดเรียกเติมได้ทุกอย่าง” ขุนนรินทร์บอก “จะพักอยู่ที่นี่สักกี่วันล่ะ”

“ตั้งใจจะมาค้างชมดงตุ๊กแกสักสามคืนครับ” ประโยชน์ซึ่งบัดนี้ดูช่างพูดขึ้นบ้างกล่าวตอบ “แต่ถ้าสบายดี อาจจะอยู่ถึง ๕ คืน”

“ที่ท่าตูมนี่อะไรมันวิเศษทั้งนั้น” ท่านขุนตอบ “อาหารการกินหมูเห็ดเป็ดไก่มีบริบูรณ์ เสียอย่างเดียว ตุ๊กแกมันกวนเหลือเกิน ยิ่งหน้านี้ด้วยแล้วไล่กันไม่หวาดไหว ที่เรือนใหญ่ชุมกว่านี่มาก ขี้ทิ้งไว้เกลื่อนทีเดียว เหม็นยิ่งกว่าป่าช้าวัดดอน ผมต้องจ้างคนไว้ล้างขี้ตุ๊กแกถึงสามคน ถ้าไม่ล้างอยู่ไม่ได้”

“ทำไมท่านขุนไม่จัดการไล่หรือดักมันเอาไปปล่อยเสียให้หมด?” ข้าพเจ้าถาม

“ดักก็แล้ว จ้างเด็กทุบหัวเอาไปทิ้งก็แล้ว ไม่เห็นว่ามันจะหมดไปสักที” ขุนนรินทร์ว่าพลางชี้มือเข้าไปในดงข้างหน้า “โน่น-มันอยู่ในโน้นนับแสนทีเดียว ทุบตายวันละ ๒๐ ตัว พรุ่งนี้มันมากันอีกสองร้อย หนักเข้าก็เบื่อและชินไปเอง ปล่อยให้มันเพ่นพ่านของมันไปตามเรื่อง ระวังแต่อย่าไปเหยียบหรือหันหลังไปพิงทับมันเข้าก็แล้วกัน”

“มันจะกัดเอางั้นหรือครับ ท่านขุน” ประโยชน์ถาม

“อ๋อ กัดซีครับ กัดปวดยิ่งกว่าตะขาบ งูเขียวหางไหม้มีพิษก็สู้มันไม่ได้ ตามดินตามทรายที่อื่นมีแต่ไส้เดือนกิ้งกือ แต่ที่นี่ไส้เดือนกิ้งกือไม่มี พวกผมเคยพบตุ๊กแกเท่านั้น เวลาเดินสวนกันมันไม่หลีกคน แต่คนต้องหลีกมัน จนตัวลีบทีเดียว เพราะถ้าไปเหยียบมันเข้า จะต้องนอนปวดไปหลายวัน”

“อ้ายตุ๊กแกเหล่านี้มันมาจากไหนครับ ท่านขุน?” สหายของข้าพเจ้าถามต่อไปอีก

“ตามปรกติ หน้าหนาวผมไม่ค่อยจะได้พบมัน แต่พอย่างเข้าเขตเดือน ๔ เดือน ๕ มันจะเดินกันไขว่ทีเดียว ตามต้นไม้ก็มีตุ๊กแก ตามดินก็มีตุ๊กแก ยิ่งบนบ้านด้วยแล้วคุณจะต้องจ้างคนไว้คอยเช็ดขี้มันทีเดียว ผมเข้าใจว่าในระหว่างเดือน ๔ เดือน ๕ พายุพัดจัดและฝนเริ่มจะตก ตัวแมลงที่อยู่ตามดินแตกระแหง แมลงเม่าตามจอมปลวกมันแก่ตัวเข้าก็บินออกมา ท่าตูมเป็นตำบลชนบทที่มีทั้งไร่ สวนและนา ตัวสัตว์เช่นแมลงจึงมีอยู่ชุกชุมในที่ทั่ว ๆ ไป เมื่อฝนตั้งเค้าโปรยปรายลงมาและมีลมพายุ ตัวแมลงต่างๆ จึงปลิวมากับลมแล้วเข้าเล่นไฟตามบ้าน นี่คืออาหารที่จะให้ความสมบูรณ์พูนสุขแก่อ้ายพวกตุ๊กแก มันอ้วนทีเดียว เมื่อมันอ้วนมันก็คึกคะนองและแพร่พันธุ์ต่อไป”

“ตุ๊กแกที่นี่ร้องเหมือนตุ๊กแกในกรุงเทพฯ ไหม ครับ?”

“เหมือนกัน”

“ถ้าเช่นนั้นทำไมจึงว่ามันเห่า?”

“มันรับกันเรื่อย ๆ ไปเหมือนหมา ชาวท่าตูมจึงว่ามันเห่า” ท่านขุนอธิบาย “ลงอ้ายตัวหนึ่งตัวใดได้ร้องขึ้นแล้ว อ้ายตัวอื่น ๆ จะรับกันเรื่อย ๆ ไป เสียงขรมทุกบ้านทีเดียว กับต้องนับว่ามันแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือมันชอบอยู่ในที่มืดเช่นเดียวกับที่ที่มีคนจุดตะเกียงไว้”

คืนนั้น พวกเรากำลังเพลียก็หลับไหลไปคล้ายคนไม่ได้สติ ไม่มีใครนึกถึงเรื่องตุ๊กแกกันเลย ตกดึกตอนตีสาม ข้าพเจ้าต้องลุกพรวดพราดขึ้นนั่งด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ เพราะมีกลิ่นที่เหม็นอย่างร้ายแรงยิ่งกว่าเมื่อเราไปยืนดูเขาถ่ายผีออกจากโลง ผ่านจมูกเข้าไปแน่นอยู่เต็มปอด ทุกคนที่อยู่ในห้องก็ลุกขึ้นมานั่งเช่นเดียวกับข้าพเจ้า

ศักดิ์ร้องว่า “เหม็นอะไรโว้ย อั๊วแทบจะเป็นลมตายอยู่แล้ว”

“ขี้ตุ๊กแกท่าตูมครับ” ทิดผูกคนนำทางตอบเสียงอู้อี้ “ผมจำได้ กลิ่นเดียวกับอ้ายที่ผมเคยดมมาแล้ว”

ประโยชน์ดึงไส้ตะเกียงสูงขึ้น ไฟโพลงสว่างไสวราวกับไต้ เขาเที่ยวชูส่องดูตามที่ต่างๆ มันเป็นความจริง ข้าพเจ้าสาบานได้ ตุ๊กแกวายร้ายอะไรกันนี่ ตัวมันโตเท่าปลาช่อนหัวใหญ่ ปุ้มปู้ตาขุ่นเป็นหลอดไฟออสแร็มทีเดียว”

ข้าพเจ้าเห็นตุ๊กแกเข้ามารวมกันอยู่ในห้อง เกาะกันเป็นระย้าตามที่ต่าง ๆ เหมือนมดเดินเข้าแถว ต่อมาอีกเพียงครู่เดียว มันก็ผงกหัวเห่าอย่างครื้นเครง เป็นอันว่าคืนนั้นทั้งคืนไม่มีใครนอนหลับเลย

รุ่งเช้า ขุนนรินทร์รีบโผล่หน้ามาแต่เช้าถามว่า “พวกเรานอนหลับกันดีหรือ” ข้าพเจ้าว่า “ตุ๊กแกมันเอาเรื่องมาก เลยนอนไม่ใคร่หลับ แต่สิ่งที่ผมจะเรียนท่านขุนตอนเช้าวันนี้ คือใครอยากอยู่ที่นี่ก็อยู่ต่อไปเถิด แต่ผมต้องขอลากลับทันทีอย่างแน่ๆ”

พร้อมกันนั้น พรรคพวกของเราทุกคนก็เอ่ยขึ้นว่า “ผมก็เหมือนกันน่ะแหละครับ เมื่อคุณพี่นิพนธ์ใคร่ที่จะกลับ ผมก็ต้องลาท่านขุนกลับเหมือนกัน”

ท่านขุนว่า “พวกเราต้องกินข้าวกันเสียก่อน อุตส่าห์เดินทางมาเยี่ยมจากถิ่นไกล เมื่อจะต้องกลับเสียเร็วเช่นนี้ ก็เป็นที่น่าเสียดายนัก”

แต่เมื่อถึงตอนที่ศักดิ์เปิดฝาละมีหม้อข้าวออกนั้น อ้ายตุ๊กแกมันก็เผ่นแผล็วออกไปทันที

“ตุ๊กแกท่าตูมนี้มันกินข้าวสุกด้วยโว้ย!” ศักดิ์ว่า

“แกไม่เอาไปฝากเมียสักตัวหนึ่งหรือ?” ประโยชน์พูดพร้อมกับหัวเราะ

เมื่อเราลาท่านขุนเจ้าของบ้านออกมาแล้ว ระหว่างทางประโยชน์ควักกระเป๋าเสื้อล้วงหาซองบุหรี่ พอชักมือ ข้าพเจ้าเห็นตุ๊กแกกัดติดนิ้วหัวแม่มือออกมาด้วยหนึ่งตัว พอทิดผูกควานหายาใบจากในย่าม แกก็เจอเข้ากับไข่ตุ๊กแกอีกสามใบ ข้าพเจ้าหยิบผ้าเช็ดหน้าออกเช็ดเหงื่อ รู้สึกหนักเหมือนหินก็สะบัดไปข้างหลังสุดแรง ตุ๊กแกหล่นลงดินดังตุ้บ วิ่งปร๋อขึ้นไปบนต้นมะขามข้างทางรวดเร็วราวกับนก

ข้าพเจ้าเกลียดตุ๊กแกมาจนบัดนี้ ดังนั้นเมื่อข้าพเจ้าเห็นผู้หญิงเกลียดตุ๊กแก จึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจเธอมาก

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ