- นิคมคนเก็บก้นยา
- “ผู้บังคับการห้อย” คนรับจ้างแคะเรือดในโรงแรม
- ชาวโลกผู้เกลียดกลางวัน ชอบกินทุเรียน ร้องไห้ดังๆ
- ความรู้สึกของหญิงสาวที่เป็นกามโรค
- ที่นอนผีตายโหง
- นายทะเบียนย้อยผู้ไม่สนใจเรื่องคนเกิดคนตาย
- ตำรวจแขกผู้ผจญนักเลงบ้านอู่และพวกดงพญาไฟ
- สิวก่ำ......ดาราโคมเขียว
- อั๊วต้งขบจายพูหญิงหาเงิง...
- ชีวิตคนตะรางครั้งสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
- คนตัวเหม็นเห็นน้ำสั่น
- มนุษย์หน้าผีใจพระ หรือ “ศพเดินได้” คนที่หน้าไม่เหมือนคน
- คนใต้ถุนบ้าน
- “เสี่ยขาว” นักต้มญี่ปุ่น
- นิคมอาบแดด...พิสดารแห่งทุ่งบางกะปิ
- ไม้กระดานโลงผีกลายเป็นโต๊ะเครื่องแป้ง
- ผัวหน้าเหมือนเมีย เมียหน้าเหมือนผัว
- ครอบครัวขี้เกียจ ในจุฬาฯ ซอย ๒
- ดงตุ๊กแก
- คนไทยผู้ยักคิ้วให้เฮนรีฟอร์ด
- เสียงคราง...เมื่อตอนตี ๔
- บ้านหมาหอน
- ครอบครัวประหลาดอายุยืนเหมือนต้นโอ๊ก
- นิคมของ...คนหัวล้าน
นายทะเบียนย้อยผู้ไม่สนใจเรื่องคนเกิดคนตาย
๑
----------------------------
เขาสนใจแต่เรื่องยาแก้โรคเมื่อย กับโอเลี้ยงสองถ้วย หมอนวดมีหลายราคาเหมือนบะหมี่แป้งสาลีแท้หรือไม่แท้ นักเซ็งลี้ไม่ต่อราคาหมอนวด แต่ข้าราชการต้องคิดหน้าคิดหลัง เรื่องผดโรงแรมและอาการของปรีดาวานร...
----------------------------
ในขณะที่เรื่องทะเบียนสำมะโนครัวกำลังเป็นเรื่องยุ่งยากอยู่นั้น ‘นายทะเบียน’ คนที่ข้าพเจ้ากำลังจะกล่าวถึง มิได้มีเรื่องยุ่งยากแต่ประการใดเลย เขาไม่ต้องหวั่นระแวงถึง ‘นักโดดร่ม’ ซึ่งมักจะมาโดดร่มลงคะแนนเถื่อนในวันเลือกตั้ง อันที่จริงเขาเป็น ‘นายทะเบียน’ ผู้สามารถคนหนึ่งแต่ไม่สนใจเรื่องคนเกิดคนตาย เขาสนใจแต่เรื่องที่จะทำให้มีสตางค์ใช้หรือร้องสั่งอ้ายเนี้ยวให้ส่งถ้วยโอเลี้ยงมาถึงปากไว ๆ เท่านั้น
ข้าพเจ้ากำลังเล่าเรื่อง ‘นายทะเบียน’ ประจำโรงแรมให้ท่านฟัง และเมื่อท่านได้ฟังแล้วจะต้องไม่นึกว่าเขาเป็นเสมียน ซึ่งทางโรงแรมจ้างไว้สำหรับเขียนรายนามผู้มาเช่าพักลงในสมุดประจำวัน ความจริงเขามีทะเบียนอยู่ในใจ และมีความจำแน่นอนเป็นพิเศษ เป็นต้นว่า ‘อีหวัง’ อยู่ที่ไหน ‘อีนุช’ ป่วยหนักต้องนอนพักฉีดยา เป็น ‘ผดโรงแรม’ ไปเสียแล้ว อีคนนี้คนต้องการตัวบ่อยเสียด้วย ใคร ๆ ก็ชอบแต่ ‘อีวี’ มันดุ๊กดิ๊กเด็ดขาดนัก ทั้งช่างพูดทั้งโป๊อย่างหาตัวจับไม่ได้ ในบรรดาพวกผู้หญิงนักเที่ยวหรือนักดนตรีผู้บรรเลงเพลงของชีวิตตามที่เขาลงทะเบียนในใจไว้นี้ เขาเรียกอีทุกคน เรียกได้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็วไม่มีขัดเขิน คล้ายกับว่าตลอดชีวิตของเขาดูเหมือนจะไม่เคยเรียกผู้หญิงชนิดนั้นด้วยสรรพนามอย่างอื่น
ข้าพเจ้าถามว่า “ผดโรงแรมน่ะ หมายความว่าเป็นโรคอะไร?”
เขาตอบทันทีว่า “หมายความว่าออกดอกซีครับ คุณทำเป็นไม่รู้จัก ‘ผดโรงแรม’ ไปได้”
นายทะเบียนสหายใหม่ของข้าพเจ้าคนนี้เป็นคนประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง คือไม่เคยหวีผมเลย ปล่อยให้ยุ่งเป็นกระเซิงอยู่เหมือนเพิ่งถูกเมียจับละเลงมาใหม่ ๆ เป็นคนกลางคน มีอายุอยู่ในปูน ๔๐ เศษเท่านั้น แต่ดูสังขารร่างกายรกรุงรังเหมือนคนแก่ที่นั่งอยู่โคนต้นไทร เขาแก่เกินอายุไปมากทีเดียว เพราะปล่อยปละละเลยในเรื่องการทะนุบำรุงตัวมาก สิ่งที่ทำให้ดูแก่ราวกับคนอายุตั้งร้อยปีก็เพราะผมหงอกขาวเต็มไปหมดทั้งหัว กิริยาที่นั่งอยู่หากจะพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ก็ต้องว่าเหมือนลิงที่เพิ่งกลับมาจากการแสดงของคณะ ‘ปรีดาวานร’ ใหม่ ๆ คือทั้งซึมทั้งเชื่องเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต แต่ท่านจะต้องประหลาดใจในการกินของเขา นายทะเบียนคนนี้สั่งก๋วยเตี๋ยวไก่ชามละหกสลึงมากินได้รวดเดียวถึงสี่ชามซ้อน พอเสร็จจากกินก๋วยเตี๋ยวไก่ วางตะเกียบ เฉ่งสตางค์แล้ว แทนที่จะสั่งน้ำแข็งเปล่าใส่น้ำชา เขาจะร้องบอกอ้ายเนี้ยวที่ร้านกาแฟด้วยเสียงที่ก้องกังวานและเฉียบขาดประดุจเสียงของท่านนายพลว่า “เฮ้ย! โอเลี้ยงสองแก้ว!”
เขาสั่งโอเลี้ยงทีละสองแก้ว ดื่มพักเดียวหมดแทบจะคว่ำถ้วยหาหยดน้ำไม่ได้ เมื่อดื่มแล้วจะเดินกระปรี้กระเปร่าขึ้นเหมือนไก่ชนที่ส่งเข้าสังเวียนจนโชกโชน แล้วถูกจับตัวออกมาให้น้ำ เพื่อนฝูงหรือคนเคยรู้จักที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟจะพูดว่า “วันนี้ตาย้อยล่อกาแฟเข้าไปสองถ้วย เดินตัวปลิวยังกะชีประขาวหายตัว”
อีกคนหนึ่งจะพูดว่า “เมื่อวานรถด่วนเข้าตอนกลางคืน พวกเศรษฐีบ้านนอกเข้ากรุงคงจะ ‘เมื่อย’ กันใหญ่ เจ้าย้อยคงตบประตูได้ทรัพย์หนัก วันนี้ล่อโอเลี้ยงตั้งสองถ้วยซ้อน กูเห็นมันเฉ่งทรัพย์สดเสียด้วย”
‘รถด่วนเข้า’ คำพูดประโยคนี้มีความหมายมากสำหรับนายทะเบียน เขาบอกข้าพเจ้าว่า ถ้ารถด่วนไม่เข้า จะมีคนมาพักที่โรงแรมแถวหัวลำโพงคืนละไม่กี่คน ส่วนน้อยเป็นนักเลงเที่ยวกลางคืนหรือพวกนอกใจเมียที่พาผู้หญิงหากินหรือพวกสมัครเล่นมากอดเกี่ยวหาความสนุกในเชิงกามกรีฑากันเพียงชั่วครั้งชั่วคราว มักจะกลับกันเสียก่อนรุ่งเช้า พวกนี้เขามักจะมีคู่ของเขาเคลียคลอกันมาคอยนัดหมาย หรือตกลงปลงใจเรียบร้อยแล้ว นายทะเบียนจึงไม่ต้องนึกถึง “อิหวิง อีวี หรือ อีนุช” ใน สารบบของเขา แต่หากวันใดเป็นวันที่มีรถด่วนเข้า นายทะเบียนจะมีงานทำจนเกือบจะรับไม่ไหวทีเดียว
เขาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า พอรถด่วนพุ่งหัวปราดเข้าสู่ชานชาลาสถานีลำโพง พวก ‘หิ้วกระเป๋า’ จะกระโดดเข้าทำหน้าที่นำข้าราชการหรือพ่อค้ารวมทั้งนักเซ็งลี้ตลาดมืด ตรงไปสู่โรงแรมที่ตนได้รับประโยชน์อยู่นั้นโดยรีบด่วน เขาจะมองดูพวกเหล่านี้ด้วยสายตาที่นึกยิ้มเยาะอยู่ในใจ เพราะเป็นพวกที่ต้องทำงานหนักมาก ต้องเหนื่อยทั้งกายและใจ ถ้าแหวกพวกเข้าไป ‘แย่งกระเป๋า’ ออกนำไม่ได้ โฮเต็ลหรือโรงแรมที่สังกัดอยู่ก็ไม่ได้ลูกค้า และขาดรายได้ไปไม่น้อย ผู้จัดการโรงแรมจะพ่นภาษาที่ฟังไม่ออกให้ฟังจนทนไม่ไหว ส่วนตัวเขาเพียงแต่ยืนรออยู่เฉย ๆ รอให้ความชุลมุนวุ่นวายผ่านไปเสียก่อน แล้วก็จะเดินเข้าไปในประตูโรงแรม เลือกดูที่มีคนพักเป็นหลักฐานสักหน่อย หลักฐานตามความหมายของเขาคือ คนที่จ่ายสตางค์ให้คนนำอย่างคล่อง ๆ งัดธนบัตรออกมาจากซองหนังเป็นปึก ๆ หรือมิฉะนั้นก็มักจะแสดงความฟุ่มเฟือยโดยพูดว่า “ไม่ต้องทอนหรอกวะ! เหลือนั่นลื้อเอา”
เขายิ้มเมื่อได้ฟังถ้อยคำชนิดนี้ ในขณะที่ยืนสังเกตอยู่ใกล้ๆ แต่พร้อมกันนั้น ก็จะต้องพิจารณาด้วยว่า “เหยื่อของเขามีบุตรภรรยาและครอบครัวมาด้วยหรือเปล่า นายทะเบียนย้อยจะนึกบ่นในใจเมื่อเห็นข้าราชการหรือพ่อค้าคนใดห้อยลูกหอบเมียมาด้วย และถ้ารถด่วนเที่ยวใดมีขบวนลูกเล็กเด็กแดงมาก เขาจะส่ายหน้าและเบ้ปากอย่างเบื่อหน่ายสิ้นดี “จบแล้วเที่ยวนี้กูหมดท่า ไม่มีหมูโว้ย! มีแต่ก้าง---”
บางครั้งเขาจะพูดว่า “‘คนเมื่อย’ ไม่มีโว้ย-เที่ยวนี้” ‘คนเมื่อย’ คือคนที่ต้องการ ‘หมอนวด’ พวกข้าราชการหรือพ่อค้าจากต่างจังหวัด โดยมากมักคอยจะ ‘เมื่อย’ อยู่เสมอคล้ายกับว่าเมื่อเข้ากรุงเทพฯ ก็ต้องเมื่อยและต้องหาหมอนวดดี ๆ หมอนวดที่ไหนก็ไม่ดี ต้องหมอนวดบนโรงแรมจึงจะแก้เมื่อยได้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะต้องนั่งหลังขดหลังแข็งมาในรถไฟสมัยสงครามวันหนึ่งตั้งหลาย ๆ ชั่วโมงบางคนยังต้องยืนโหนหลับนกมาตลอดทางก็มี ความคิดที่คอยจะเมื่อยอยู่แล้วจึงช่วยให้เมื่อยหนักขึ้น จิตใจของเขาคอยมุ่งอยู่ที่จะให้ถึงโรงแรมเร็ว ๆ พ่อค้าและข้าราชการบางคนมีบ้านช่องของตนที่จะพักได้ มีลูกมีเมียคอยอยู่ทางบ้าน แต่เมื่อจะเข้ากรุงเทพฯ ก็ไม่บอกให้รู้อ้างว่ากลัวจดหมายจะไม่ถึง ความจริงเขายังไม่อยากจะกลับบ้าน เพราะต้องการหมอนวดมือใหม่-รสใหม่ คนชนิดนี้มักจะเป็นโรคเมื่อยทางใจก่อนที่จะเมื่อยทางกาย เขาคิดถึงโรงแรม คิดถึงหมอนวดปากแดง ๆ และชอบจูบผมที่ปล่อยไว้เป็นกระเซิงของพวกหมอนวดมือหนึ่ง--หรือ--แม่เทพธิดาแห่งโรงแรม!
๒
ต่อจากนี้ เก็งดูว่าเลยเวลารับประทานอาหารไปแล้วสัก ๒๐ นาที นายทะเบียนย้อยก็จะเริ่มทำงานของเขาโดยรีบด่วน เพราะเมื่อผู้พักโรงแรมเริ่มเอนหลังลงพักผ่อนบนเตียง เขาจะเอ่ยปากถามจีนผู้เข้าไปรับสตางค์ค่าอาหารว่า “เฮ้ย ผู้หญิงมีไหม?”
คำตอบคือการผงกหัว คนจีนจะไม่พูดอะไรมาก และดูเหมือนว่าเขาจะรู้ความประสงค์ของผู้มาพักดีอยู่แล้ว เช่นเดียวกับคนสูบบุหรี่ที่จะออกปากขอไม้ขีดไฟก่อนสิ่งอื่น เขาจะสูบไม้ขีดไฟก่อนแล้วเอาบุหรี่มาจุดไม่ได้
“เดี๋ยวนี้ราคาเท่าไหร่ ลื้อรู้ไหม?”
“ยี่สิบบากมี สามสิบมี ห้าสิบบากมี”
นอกจากนี้ เขาไม่พยายามที่จะพูดอะไรอีก บางทีก็ดูคล้ายกับว่าจะพูดภาษาไทยไม่ค่อยเป็น แต่จีนคนเดียวกันนี้เองเมื่อลงไปข้างล่างแล้วก็จะเดินไปพบกับนายทะเบียนซึ่งกำลังยืนรอคำสั่งอยู่ที่ปากประตูโรงแรม
“อาโย้ย!” อาเฮียคนนั้นว่า “ข้างบงอีเจียเอาพูหญิน!”
“เออ! อั๊วขึ้นไปตกลงเอง” นายทะเบียนพูดกระซิบกระซาบ ท่าทางว่องไวกระฉับกระเฉงขึ้นทันที แล้วร่างอันรกรุงรังของเขาก็เคลื่อนขึ้นบันไดไปชั้นบนอย่างช้า ๆ พร้อมกับเสียงส้นรองเท้ากระแทกขั้นบันไดดังกึก ๆ เป็นจังหวะก้องกังวานไปตลอดทาง
เมื่อเปิดประตูห้องพักเข้าไป หรือบางทีประตูนั้นอาจจะเปิดรออยู่ก่อนแล้ว นายทะเบียนก็ได้พบกับลูกค้าเก่าของเขา “อ้อ! ย้อยหร็อกรึ! นึกว่าใคร ดูแก่ไปมากนี่ อั๊วเกือบจำลื้อไม่ได้ ให้ตายวะ! ว่าแต่หาผู้หญิงให้สักคนได้ไหมล่ะ? เลือกเอาที่ใหม่ ๆ หน่อย เมื่อยหลังเหลือเกิน โหนมาในรถไฟเกือบจะตายห่าอยู่แล้ว”
“ผู้หญิงน่ะมีหร็อกครับ คุณ” นายทะเบียนจะตอบทันที “แต่อ้ายที่ว่าจะต้องการใหม่ ๆ นั้น ผมรับรองไม่ได้ บางทีมันเก่ามาจากที่อื่น มาใหม่เอาที่นี่ บางทีมันเก่าจากที่นี่ ไปใหม่เอาที่อื่น มันก็วนเวียนกันอยู่ยังงี้ละครับคุณ”
ในที่สุด ก็เป็นอันตกลงกัน เพราะไม่มีที่ให้เลือก นายทะเบียนย้อยรู้อยู่ดีแล้วว่า ไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ มันก็อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการทั้งนั้น “ราคาเดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนแต่ก่อนนะครับคุณ” เขาจะพูดเมื่อเห็นว่าผู้ต้องการ ‘หมอนวด’ เป็นข้าราชการจำเป็นจะต้องพูดราคาตกลงกันเสียให้แน่นอนก่อน เพราะข้าราชการกระเป๋ามักจะไม่ตั๋งเหมือนพ่อค้าหรือนักเซ็งลี้ การใช้จ่ายเงินมักจะต้องคิดถึงหน้าคิดถึงหลัง เงินเดือนอย่างเดียวมันไม่ค่อยจะพอสำหรับจะมาพร่าเล่นอย่างฟุ่มเฟือยในโรงแรม
“อย่าให้มันแพงนักก็แล้วกัน ไปตามตัวมาเถอะ”
“ไม่แพงหร็อกครับ ตามธรรมดาก็ยี่สิบบาท พิเศษหน่อยก็สามสิบ อย่างเลวผมนึกว่าคุณคงไม่ต้องการเพียงสิบห้าแผ่นก็มี”
ถ้าเป็นข้าราชการสามัญมักจะตกลงราคา ๑๕ บาท แล้วนักเซ็งลี้หรือพ่อค้าก้ามใหญ่จะตอบเสียงดังว่า สามสิบก็สามสิบซีวะเพือก! ไปตามมาเร็วๆ ก็แล้วกัน”
แต่ความจริง เท่าที่นายทะเบียนรู้อยู่แก่ใจนั้น ราคาสิบห้าบาทหรือสามสิบบาท มันก็ไม่ผิดอะไรกันเลย สิบห้าบาทก็ ‘อีหวิง’ สามสิบบาทก็ ‘อีหวิง’ อีก สุดแต่ว่าอีหวิงจะอยู่หรือไม่อยู่ ถ้าอีหวิงไม่อยู่ก็เดินเลยไปบ้านอีนุชและอีวี หมายความว่าราคาเดียวกัน ขึ้นลงได้ตามสถานการณ์
รายได้ประจำของนายทะเบียนย้อยที่ทำให้เขาสั่งโอเลี้ยงได้อย่างไม่อั้นนั้น เขาร้องเรียกเอาจากโรงแรมส่วนหนึ่งเรียกว่า ‘ค่าติดตาม’ อีกส่วนหนึ่งจะได้จาก ‘อี’ ต่าง ๆ ตามที่ได้ตกลงกันไว้ อีคนไหนใจป้ำเขาก็จะไปตบประตูเรียกอีคนนั้นก่อน เมื่อไม่อยู่จึงจะเปิดทะเบียนในใจ แล้วเดินเลยไปตามคนอื่น สุดแต่ว่าใครจะเป็นผู้หยิบยื่นให้มาก หากหญิงโสเภณีคนใดแสดงกิริยาดูถูกเขา ส่งค่าโอเลี้ยงให้น้อย เขาก็ติดต่อด้วยเหมือนกันแต่เลือกติดต่อเฉพาะในเวลาที่คนอื่นไม่อยู่ หรือมีกิจไปร่วมรสกับชายใดเสียก่อนแล้ว
“อีคนไหนจองหอง มีเหยื่อดี ๆ มาผมก็ไม่ไปตบประตูเรียกมัน” เขาบอกข้าพเจ้า “อีนุชใจมันป้ำ ผมก็เรียกมันก่อน เมื่อมันไม่อยู่จึงจะไปเรียกคนอื่น เสียอย่างเดียว แต่รูปร่างมันเก๋าเจ๊งสิ้นดี ถ้ามันไม่อ้วนจนพุงยื่นเป็นกระเปาะ หรือหน้าไม่ทะเล้นชอบยิงฟันบ่อยๆ แล้ว ใครๆ ก็ต้องฉุดมือมัน นี่มันเหลือรับจริงๆ เชียวครับคุณ ถ้าไม่ใช่คนที่ตั้งห้าปีจะโผล่หน้าเข้ากรุงเทพฯ สักทีหนึ่งแล้ว ใครจะไปรับประทานลง อีนุชชื่อมันเพราะดี แต่ปุ้งกี๋เก่าๆ ยังดูออกว่า อีคนนี้ผมชอบหาคู่ให้มันเพราะมันเหวี่ยงค่าโอเลี้ยงให้ผมครั้งละตั้งสี่ห้าบาท”
“บางคนมันถือว่ารูปมันหล่อ” เขาพูดต่อไปอีก พูดพลางขากเสลดไปพลาง คล้ายกับว่ามีตัวพยาธิโผล่ออกมาเขี่ยอยู่ในลำคอ “มันเห็นผมเป็นคนเลว ๆ ที่ต้องพึ่งมัน พอไปตามตัวมันร้องผัดว่า กำลังคุยอยู่กับผัวบ้างละ เมื่อยหลังนอนกำลังสบายบ้างละ ลูกค้าพระเอกบ้านนอกกำลังคอยอยู่ ผมต้องรีบกลับมาบอก บางท่านใจร้อนเพราะอดกินแกงบ๊ะช่อมานาน เร่งให้ผมกลับไปขึ้นราคาให้มันอีกก็มี พอได้ข่าว ‘ขึ้นราคา’ อีทีนี้มันวิ่งฉิวเชียวคุณเอ๊ย! ส่วนตัวผมนะหรือ-?” เขาหัวเราะแค่นพร้อมกับถ่มน้ำลาย “เมื่อเสร็จธุระของมันแล้ว มันไม่เห็นหัวคนอย่างผมหร็อก มันโยนให้อย่างมากก็เพียงสองแผ่นเท่านั้นเอง”
นายทะเบียนย้อย-คนตบประตูตามตัวผู้หญิงหากิน เป็นคนช่างคุยและคุยสนุก มีกลเม็ดน่ารู้น่าศึกษามากมาย เขาเล่าถึงการแก้แค้นหรือการแก้มือพวกผู้หญิงชนิดนี้ให้ข้าพเจ้าฟังอย่างเป็นที่เพลิดเพลิน หญิงหากินคนใดก็ตาม ถ้าแสดงกิริยาดูถูกเขาต่อหน้าเขาจะทำยิ้มแย้มแจ่มใสดี ดูเป็นคนอารมณ์เยือกเย็นราวกับว่า ถึงจะถูกตบหน้าสักสองฉาดก็ไม่โกรธ แต่เมื่อใครโยนค่าโอเลี้ยงให้เขาเพียงหนึ่งหรือสองแผ่น เขาจะดำเนินการแก้เผ็ดในเมื่อมีช่องทางจะทำได้ทันที!
วิธีแก้เผ็ดอย่างตื้น ๆ ของเขา ประการหนึ่งคือ เมื่อมีลูกค้าของโรงแรมคนใดที่หน้าตาเหยเกจนเกือบจะไม่ใช่หน้ามนุษย์สั่งให้เขาไปตบประตูตามผู้หญิงนักเที่ยว เขาเห็นว่า กว่าจะได้ทรัพย์ก็คงสะบักสะบอมเหมือนกับนั่งรถไฟชั้นสามที่ต้องตากแสงอาทิตย์ในยามฤดูร้อนมาตลอดวัน--- คราวนี้คงจะได้เห็นดีกันแน่ละ แล้วเขาก็จะรีบไปตามตัวแม่นกน้อยตัวที่เขาต้องการจะให้ ‘รู้รสเสียบ้าง’ นั้นมาทันที การณ์ก็เป็นจริงดังคาด บางทีพอนางนกน้อยแลเห็นหน้าเจ้าบ่าวเพียงแวบเดียวก็ใจหายวาบ รีบบินปร๋อโผกลับออกมาทันที เป็นอันว่าย่ำกลับห้องเหนื่อยเปล่า
๓
----------------------------
“อีคนไหนจองหอง มีเหยื่อดีๆ มา ผมก็ไม่ไปตบประตูเรียกมัน อีนุชใจมันป้ำผมก็เรียกมันก่อน เมื่อมันไม่อยู่จึงจะไปเรียกคนอื่น เสียอย่างเดียวแต่รูปมันเก๋าเจ๊งสิ้นดี ถ้ามันไม่อ้วนจนพุงยืนเป็นกระเปาะ หรือหน้าไม่ทะเล้นชอบยิงฟันบ่อย ๆ แล้ว ใครๆ ก็ต้องฉุดมือมัน”
----------------------------
“อ้ายหงอกทำพิษกูอีกแล้ว” นางนกเค้าแมวแห่งตรอกมืดบ่นพึมพำ แต่นายทะเบียนจะไม่ปรากฏออกมาให้เห็นเลย เขาก็เป็นเหมือนปีศาจที่ชอบกลมกลืนอยู่กับเงามืดหลัว ๆ โคนเสาโทรเลข
“มันรู้เท่าเราโว้ย” เขาจะพูดกับคนถีบสามล้อเพื่อนเกลอที่จอดนอนพาดตีนทั้งสองข้างแหงนหน้าไว้บนอาน “อ้ายนักเลงหน้าสังขยานั้นมันอืดเหลือเกิน เสียแรงเกิดมาเป็นนักเที่ยวเสียเปล่าๆ มือไม่ไวเลย รถบดถนนกูยังว่าจะแล่นเร็วเสียกว่า”
แต่นั่นเป็นเรื่องของการแก้เผ็ดที่ยิงผิดที่หมายถึง ทีที่ปีศาจในตรอกมืดเล็งตรงแล้วปล่อยพิษถูกที่หมายก็มี “อ้ายหน้าสังขยา” เกิดเป็นโรคมือไวใจเร็วขึ้น ยังไม่ทันจะได้สาธยายเรื่องดินฟ้าอากาศโอ้โลมกัน พอเห็นหน้าก็ยึดข้อมือรวบตัวเอาไว้ เสียงประตูห้องพักลั่นกลอนดังแกร๊ก คราวนี้นายทะเบียนของเราจะส่งเสียงหัวเราะเอิ้ก ๆ ด้วยอาการแสนจะชอบอกชอบใจ เพราะเขารู้ดีว่า ในไม่ช้าคงต้องเกิดเอะอะกันขึ้นอย่างแน่นอน มันเป็นเรื่องของนายหน้าสังขยาคนนั้น ที่จะต้องใช้สิทธิอันรุนแรงของเขาให้สมกับค่าของเงินบาทที่จะต้องจ่ายปลิวออกไปจากกระเป๋าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ส่วนนางนกน้อยผู้หยิ่งลำพองในรูปโฉมของตนนั้นเล่า? หล่อนย่อมจะพยายามดิ้นให้หลุดจากวงแขนของชายทมิฬ และไม่ออกรสในความหื่นห่ามอันหยาบคายร้ายกาจของเขาเลย
แล้วการด่าทออันรุนแรงด้วยความไม่พอใจก็จะเกิดขึ้น นางนกที่งามทั้งพิศและงามทั้งผาดอยู่ภายใต้แสงสลัว จะเผ่นพรวดพราดถอดกลอนกระโดดเหยงออกมาด้วยความโกรธอย่างถึงขนาด เสื้อชั้นนอกหายไป ผมเป็นกระเซิงเหมือนต้นหญ้าหน้าตึกใหญ่ที่เจ้าของทอดทิ้งไว้ในระหว่างสงคราม
หล่อนยอมทิ้งรายได้อันได้ลงมือทำงานไปบ้างแล้วนั้น โดยไม่หวังที่จะกลับมาทวงถามอีกเลย เจ้านายทะเบียนหรือปีศาจแห่งตรอกมืดทำพิษเอาเสียแล้ว
วิธีแก้เผ็ดประการที่สอง ตามที่นายทะเบียนเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง จนเกือบจะดูเป็นว่าข้าพเจ้าเล่าเองนั้น เป็นวิธีที่แยบคายไม่น้อยเหมือนกัน คราวหนึ่งเขาไปตามตัวผู้หญิงหากินเถื่อนคนหนึ่งชื่อสมศรี บ้านอยู่โรงแรมหัวลำโพง เวลานั้นเป็นคืนวันเดียวกับที่รถด่วนเข้า ผู้คนเอะอะอึงคะนึงแน่นไปทุกโรงแรม ไม่ว่าข้าราชการหรือพ่อค้า ทุกคนดูเหมือนจะนัดกันมา ‘เมื่อย’ พออาบน้ำรับประทานอาหารเสร็จก็สั่งเจ๊กให้ไปตามหมอ แต่เจ๊กจะไปตบประตูในตรอกมืดด้วยตนเองไม่ได้ เพราะมีงานต้องประจำตามหน้าที่อยู่เหมือนกัน เรื่องจึงไม่พ้นนายทะเบียน เขาเดินโขยกเข้าโรงแรมนี้-ย่ำเข้าตรอกตบประตู-กลับออกมาแล้วก็เผ่นขึ้นบันไดโรงแรมโน้นต่อไปอีก นางนกทุกตัว ไม่ว่าจะมีขนงามหรือไม่งาม หากว่าหล่อนได้ถูกบันทึกรายนามไว้ในทะเบียนในใจของเขาแล้ว จะต้องจับคู่ได้หมด ประตูห้องพักในโรงแรมลั่นกลอนแกร๊กติดต่อกันไปเรื่อยๆ แต่จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเมื่อยหรือตั้งใจคอยจะหาเหตุเมื่อยอยู่แล้วนั้นมีมากกว่า ‘หมอ’ นายทะเบียนตามจนหมดหาอีกไม่ได้ เหลือแต่ที่บ้านแม่นกตัวงามสมศรี เขายังไม่ได้ไปตบประตูเรียกเพราะเกลียดหน้าไม่ชอบกันอยู่ สมศรีเป็นเมียของนักจิกมีชื่อคนหนึ่ง เจ้านักจิกคนนั้นอายุยังหนุ่มแน่น เพิ่งจะพ้นวัยเด็กขึ้นมา แต่คุมเมียงามของเขาประชิดตัวทีเดียว ไปไหนไปด้วยกัน อย่างที่เขาเรียกว่าผู้ชายแมงดานั้น ดูเป็นคำที่เหมาะสมเสียจริงๆ ทั้งเมื่อมีผู้ต้องการตัวก็ยังโก่งราคาเรียกเอาแพง ๆ เสียด้วย ถือตัวว่ายังสาวและมีรูปร่างอวบท้วมเต่งตั่งต้องตาชายอยู่ นายทะเบียนจำได้ว่าเคยไปตบประตูเรียกตัวสมศรีเพียงสองครั้ง นักเซ็งลี้คนหนึ่งเลียมลองติดอกติดใจ กำลังรวยก็ยื่นเงินให้เป็นการตบรางวัลคราวเดียวแปดร้อยบาท แล้วให้อีกในวันรุ่งขึ้นเมื่ออ้อนวอนให้แม่โฉมงามกลับมาคุยด้วย เพียงคุยเท่านั้นเขายังใจป้ำส่งให้ง่ายๆ เหมือนส่งเงินค่าโดยสารให้สามล้อ--สมศรีเฉี่ยวไปได้อีกพันสอง เจ้าตัวหนุ่มมาเตร่อยู่หน้าโรงแรมคอยจิกต่อไปจากเมียของมัน เห็นกลับลงมาช้านักไม่ทันใจ เพราะเศรษฐีนักเซ็งลี้ฉุดข้อมือเอาไว้ เจ้าผัวก็ปราดขึ้นไปตาม พอสบหน้าผัวรูปหล่อ นางนกตัวงามก็สะบัดมือก้าวสวบ ๆ เดินตามผัวลงมาทันที นายทะเบียนปราดเข้าไปทักทายว่า “หนูสมลงมาแต่เช้าเทียวนะ”
แทนที่จะยิ้มแย้มแจ่มใสหรือทักทายด้วยเหมือนหญิงนักเลงคนอื่นที่ร่ำรวยมาในทำนองเดียวกัน สมศรีกลับยื่นให้เพียง ๕ บาท
“ลุงเห็นว่าหนูรวยมาก” นายทะเบียนว่า “หนูให้ลุงเพียง ๕ บาทเท่านั้นเองหรือ?”
“จะเอาเท่าไหร่กันล่ะ” แม่นกรูปงามพูดด้วยเสียงกระชากๆ “เพียงแต่เดินไปเคาะประตูห้องเท่านั้นได้ตั้ง ๕ บาทยังไม่พออีกหรือ มันจะมากไปเสียละกระมังตาหงอกเอ๊ย”
นึกอยากระโดดเข้าตบหน้าเอาให้ปากแดงบวมทะเล้นจู๋ออกมา แล้วยันกลับออกไปให้หงายผลึ่ง ไม่เคยมีใครพูดกับนายทะเบียนหรือปีศาจแห่งตรอกมืดด้วยถ้อยคำอันแสดงความจองหองพองขนถึงขนาดนี้ เขาโกรธจนตาลุกวาว มือไม้สั่นไปหมด แต่ไม่กล้า เจ้าหนุ่มนักจิกคนคุมมันยืนอยู่ข้างหลัง เขาลือกันว่ามีดชายธงปลายแหลมราวกับเดือยเหล็ก มีพร้อมอยู่ในกระเป๋ากางเกงของมันทุกขณะ
นายทะเบียนย้อยเดินกลับไปนั่งในร้านกาแฟด้วยความรู้สึกเดือดดาลเป็นที่สุด เจ๊กถามว่า “โอเลี้ยงหรืออาย้อย”
“โอเลี้ยงกะห่าอะไรกัน” เขาร้องตอบ พร้อมกับทำหน้าย่น “อีสมศรีรวยหลายร้อย กูรู้ แต่มันฟาดหัวให้กู ๕ บาทเท่านั้น ถุย! อีคนฉิบหาย!”
วันนั้นนายทะเบียนย้อยสั่งโอเลี้ยงเพียงถ้วยเดียว เขาดื่มช้าเหลือเกิน กว่าจะหมดถ้วยตะวันก็โผล่เลยหลังคาตึกขึ้นมาแล้ว
พอถึงกำหนดเวลาของมัน รถด่วนอีกขบวนหนึ่งก็พุ่งหันปราดเข้าสู่ชานชาลาสถานีหัวลำโพง
ช่างฟิตคนหนึ่งที่มาพักอยู่ในโรงแรมก็ยังต้องการหมอนวด เขาดื่มค่างโหนเข้าไปตั้งขวดครึ่ง ในขณะที่สั่งให้ไปตามผู้หญิง เขายังดื่มอยู่เรื่อยๆ ช่างฟิตคนนี้รูปร่างเหมือนแขก แต่เป็นคนไทย หน้าตาปุ่มป่ำเหมือนต้นกระบอกเพชร พูดคำสาบานคำอยู่ตลอดเวลา นายทะเบียนย้อยจำได้ว่า เมื่อก่อนสงครามเขาเคยมาพักและมีเรื่องกับผู้หญิงบ่อย ๆ แต่หายหน้าไปเสียนาน ในชั้นแรกเขารู้สึกว่าไม่อยากจะไปตามผู้หญิงมาให้ เพราะกลัวจะมีเหตุตบตีผู้หญิงเกิดขึ้นอีก แต่เมื่อเขานึกถึงนางนกที่หยิ่งลำพอง--สมศรี-- เขาก็หัวเราะอยู่ในใจ โอกาสที่จะแก้เผ็ดมาถึงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แล้วเขาก็ไปตบประตูเรียก
“มาเรียกทำไมตาหงอก” เสียงร้องถามออกมาจากในห้อง เป็นเสียงที่ไม่น่าฟังเลยสำหรับนายทะเบียนย้อย “กำลังมีธุระ ฉันไม่ไปหรอก”
“เสี่ยใหญ่มา รีบแต่งตัวเร็ว ๆ เข้าซี” นายทะเบียนร้องกรอกเข้าไปทางบานประตูที่แง้มอยู่ “เปย์งาม ข่าวว่าเป็นเจ้าของโรงน้ำแข็งมาจากหัวเมือง”
พอได้ยินคำว่า ‘เปย์งาม’ เจ้าคนคุมหรือตัวแมงดาที่เกาะอยู่ใกล้ ๆ ก็ร้องสวนขึ้นมาด้วยเสียงเฉียบขาด
“ไปเถอะสมศรี รีบไปเร็ว ๆ อย่าทำดัดจริตอยู่เลยน่า!”
เมื่อหล่อนไปถึงห้องพักของเสี่ยใหญ่ หล่อนก็พบช่างฟิต เขาโดดเข้ากระชากตัวรวดเร็วเหมือนแมวเห็นจิ้งจก ประตูห้องปิดดังปังพร้อม ๆ กับเสียงลั่นกลอนแล้วคนที่อยู่ข้างนอกจะได้ยินเสียง “อ้ายคนระยำ-อ้ายคนฉิบหาย อ้ายบ้าอ้ายขี้เมา” และ ฯลฯ ดังลั่นออกมา พร้อมกับเสียงถ่มหรือขากน้ำลายประสานกันมิได้ว่างเว้น
ตกตอนดึก นายทะเบียนจะได้เห็นสมศรีเดินลงบันไดโรงแรมมาอย่างคนใกล้จะตาย ผมที่ม้วนไว้เป็นหลอดหลุดลุ่ยคิ้วขมวดและด่าพึมพำอยู่ตลอดทาง หล่อนคงจะไม่ได้เงินแม้สักบาทเดียวจากคนเมา และเป็นเรื่องที่เชื่อแน่ได้ว่า หล่อนคงจะไม่เดินกลับไปทวงถามอีก เพราะว่ามันไม่ผิดอะไรกับเดินไปสู่กระทะทองแดง
นี่คือการแก้เผ็ดของปีศาจแห่งตรอกมืดหัวลำโพง!
“ผมเล่าเรื่องเลว ๆ ให้คุณฟังมากแล้ว” เขาบอกข้าพเจ้า “ผมจะต้องกลับเสียที นี่ก็ชักจะสายมากแล้ว อ้ายลูกชายผมมันจะต้องไปโรงเรียน”
“พี่ชายนี่ดีจริง ให้ลูกเรียนหนังสือ ฉันชอบใจมาก”
“ต้องให้เรียนซีครับ” เขาตอบ “ผมไม่อยากให้มันต้องไปตบประตูบ้านเป็นนายทะเบียนอย่างผม”
----------------------------