สิวก่ำ......ดาราโคมเขียว

----------------------------

ผัวของหล่อนว่า สิวก่ำไม่ใช่คนที่มีกิริยาเป็นม้าเตะโรงเหมือนพวกผู้หญิงหากินประเภทเดียวกัน ส่วนมากจะว่าโป๊แบบ “ผึ่งอก” หรือรัดเอว ปล่อยให้รูปกายท่อนล่างผายแป้นจนเป็นที่กระหายน้ำลายหกก็ใช่ที่ หญิงกวางตุ้งสมัยนั้นชอบเอาผ้ารัดอกเสียจนแบน พวกนักเที่ยวว่าเห็นผิดเป็นชอบ ของดีๆ น่าดู ตูมเต่งขาวสะอาด ควรเอาไว้อวดตามธรรมชาติกลับเอาผ้าไปรัดไว้เสียจนแบนดูไม่เป็นท่าเลย...

----------------------------

ผัวของสิวก่ำเป็นคนไทย ชื่อนายผดุง จิตสว่าง เป็นชายชาติไทย อายุ ๔๕ ปี กำลังจะพ้นวัยกลางคนอยู่แล้ว “เรื่องของผมเป็นเรื่องของชีวิตจริงๆ ผมเล่าให้คุณฟังตามความสัตย์จริง และถ้าคุณจะนำไปเขียน ผมก็ไม่เห็นแปลก!” เขาบอกข้าพเจ้าด้วยเสียงอันก้องกังวาน ส่วนดวงตาที่แข็งกร้าวจ้องตรงออกไปทางถนน ซึ่งทั้งผู้คนและยวดยานต่างชนิดกำลังวิ่งสวนกันไปมาอย่างสับสนอลหม่าน

“สิวก่ำเป็นผู้หญิงโคมเขียว แต่ไม่ใช่คนเลวทรามต่ำช้าอย่างที่ใคร ๆ คิดกัน” เขาพูดต่อไป “คุณคงแปลกใจมากที่ผมมีเมียเป็นหญิงจีน”

ข้าพเจ้าบอกเขาว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้สึกประหลาดใจอย่างใดเลย ความรักเป็นเรื่องของมนุษยชาติ ไม่ใช่เรื่องที่ควรกีดกั้นขัดขวาง”

“แต่สิวก่ำเป็นหญิงโสเภณีนะครับ หล่อนรับจ้างขายประเวณีเพียงครั้งละหกสลึงเท่านั้นเอง ผมพบหล่อนที่ตรอกเต๊าและปลงใจร่วมใจร่วมประเวณีกับหล่อนเป็นครั้งแรก และก็เพียงในครั้งแรกนั่นเองที่ผมรู้สึกว่าได้ตกเป็นทาสความงามของสิวก่ำเสียแล้ว”

เขาเล่าอย่างเปิดเผย นัยน์ตาลอย ส่วนมือก็ทำหน้าที่เช็ดล้างเครื่องอุปกรณ์รถจักรยานยนต์อยู่เรื่อย ๆ นายผดุง จิตสว่างตั้งร้านรับจ้างซ่อมรถจักรยานอยู่ที่บ้านหม้อหลายปีมาแล้ว เพื่อนข้างห้องของเขารู้ดีว่า เขาเป็นนักเที่ยวอย่างฉกาจฉกรรจ์ประเภท “เสือร้าย” มาแต่ก่อน เวลาทำงานซ่อมจักรยานเขาชอบถอดเสื้อชั้นในออกเหวี่ยงทิ้งไว้ตามพนักเก้าอี้ ปล่อยตัวล่อนจ้อนเหลือแต่หนังกำพร้าซึ่งมีรอยสักปรากฏอยู่เต็มหน้าอก เมื่อข้าพเจ้าพบเขา เป็นเวลาที่ “อ้ายเสือร้าย” อ้วนเสียแล้ว ร่างกายมิได้เพรียวลมอยู่เหมือนในยุคของเขาเมื่อยี่สิบปีก่อนโน้น แต่ยุคนี้ มันได้เปลี่ยนมาตกอยู่ในอุ้งมือของนักเที่ยวรุ่นน้อง ซึ่งไม่ค่อยจะมีอะไรมากนัก นอกจากหวีผมเรียบ ๆ ลงน้ำมันไว้ให้เยิ้ม แล้วก็จีบผู้หญิง เวลาไปบ้านคู่รักไม่ต้องพกมีดปลายธงหรือสนับมือ ขวานสำหรับเฉาะหน้าคนก็ไม่ต้องเอาติดตัวซุกไว้ในชายพกเหมือนแต่ก่อน เวลามันแตกต่างกันมาก สมัยของดอนคิวหรือพระเอกไทยต้องสักอกสักหลังแสดงความเป็นนักเลง คล้ายจะร้องประกาศท้าทายให้มา “เถือ” กันนั้นมันหมด ไปตามความหมุนเวียนของวันเวลา สมัยของผดุง จิตสว่างเป็นสมัยที่แผ่นดินต้องการคนเก่งนักเลงโต คนไม่เก่งและไม่เป็นนักเลงโต จะเป็นผู้ที่เปรียบเสมือนไก่ตัวผู้ที่ไร้เดือยแม้ไก่ตัวเมียรูปงามจะยอมให้กรีดแสดงพฤติกรรมเว้าวอน แต่อ้ายตัวผู้มีเดือยมันก็ไม่เลวเหมือนกัน มันมี “เดือย” ที่จะทำให้เจ้าตัวผู้คู่แข่งขันเผ่นหนี และตัวเมียก็ไม่อาจที่จะพ้นความคึกคะนองของมันไปได้ในเมื่อมันมีความต้องการ

เมื่อผดุง จิตสว่าง ยังเป็นรถเพรียวลมหรือไก่มีเดือยอยู่นั้น เวลากลางคืนของคนอื่นคือกลางวันของเขา พอกลางวันของเขามาถึงก็เป็นกลางคืนของคนอื่น เขานอนกลางวัน และเที่ยวกลางคืน ซอกแซกไปตามตรอกโรงคราม ตรอกหมาเน่า ตรอกข้างวัดใหม่ยายแฟง ตรอกเต๊าและตรอกถั่วงอก

“ผมพบสิวก่ำที่ห้องโคมเขียวของยายม้าเพียวชาติกวางตุ้ง เขาบอกข้าพเจ้า “ใคร ๆ เรียกแกว่ายายม้าเพียว ผมก็เรียกเขาว่ายายม้าเพียวบ้าง ซุ่มเสียงจะชัดหรือไม่ชัดก็บอกไม่ถูก ยายม้าเพียวคนนี้เป็นเอเยนต์ใหญ่ เลี้ย ผู้หญิงหากินชาติกวางตุ้งไว้ในสำนักของแกรวม ๖ คนด้วยกัน อายุตั้งแต่ ๑๖ ถึง ๓๕ พวกรุ่นสาวมีอยู่เพียงสองคนคือสิวก่ำกับกำสุย นักเที่ยวคนไทยชอบมาแวะที่โรงโคมเขียวของยายม้าเพียวในตรอกเต๊าแห่งนี้มาก เพราะติดใจสิวก่ำ

ผดุง จิตสว่าง เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า สิวก่ำไม่ใช่คนที่มีกิริยาเป็นม้าเตะโรงเหมือนพวกผู้หญิงหากินประเภทเดียวกันส่วนมาก จะว่าโป๊แบบผึ่งอกหรือรัดเอว ปล่อยให้รูปกายท่อนล่างผายแป้นจนเป็นที่กระหายถึงน้ำลายหกก็ใช่ที่ หล่อนไม่เคยมีลักษณะเช่นที่ว่านี้เลย และเป็นธรรมดาที่หญิงกวางตุ้งในสมัยนั้นทุกคนมักจะชอบเอาผ้ารัดอกเสียจนแบน ซึ่งพ่อหนุ่มไทยปากคะนองมักจะค่อนแคะเอาว่า “อกแบนแป็ดแป๋เหมือนกล้วยปิ้ง” พวกท่องเที่ยวแสวงกามรสยามค่ำคืนมักจะบ่นถึงเรื่องการรัดอกของหญิงโสเภณีชาติกวางตุ้งว่า เห็นผิดเป็นชอบ ของดีๆ น่าดู ตูมเต่งขาวสะอาด น่าจะเอาไว้อวดตามธรรมชาติ กลับเอาผ้าไปรัดเสียจนแบนดูไม่เป็นท่าเสียเลย

แต่เบื้องหลังสิ่งที่คนไทยทั้งหลายตำหนิดังกล่าวแล้วนั้น ผดุง จิตสว่าง ยืนยันว่า ยังมีสิ่งที่น่ารักน่าใคร่ซ่อนอยู่อีกไม่น้อยเลย หญิงกวางตุ้งอย่างสิวก่ำ แม้จะคาดนมไว้จนแบนลีบไม่เต่งตึง แต่ในตัวผู้หญิงส่วนมากก็ใช่ว่าจะทำให้ผู้ชายคลั่งไคล้ตนได้ด้วยสิ่งนั้นก็หาไม่ สิวก่ำมีความเสงี่ยมเจียมตัว ไม่ทะนงตนว่าเป็นหญิงรูปสวย ทั้งจริตมารยาทก็อ่อนโยนละมุนละไมอย่างเดยีวกับหญิงไทยพื้นบ้าน จึงเป็นที่เรียกร้องความต้องการของชายนักเที่ยวทั่วไป

“แต่ทั้ง ๆ ที่หล่อนไม่พยายามจะยั่วยวนใครด้วยสิ่งต้องตาหล่อนก็ยังสวยอยู่นั่นเอง” เขาพูดต่อไปอีก “สิวก่ำมีคิ้วที่โก่งอย่างพอดี หล่อนไม่ได้ตกแต่งหรือกันคิ้ว แต่เป็นคิ้วที่โค้งและเงียบ งามอย่างประหลาด รูปร่างสันทัดไม่สูงและไม่ใช่คนอ้วนเตี้ย”

เมื่อผดุงพบหล่อนครั้งแรกนั้น เขายอมเสียค่า “หยำฉ่า” หรือค่าน้ำชากับเม็ดกวยจี๊ตามธรรมเนียมอีก ๕ บาท ซึ่งสิวก่ำได้มาปรนนิบัติขบเม็ดกวยจี๊ใส่ปาก และพัดให้ด้วยความเต็มอกเต็มใจ เขาถามว่า หล่อนเคยทำเช่นนี้ให้แก่ทุกๆ คนที่มาเที่ยวหยำฉ่าหรือ หล่อนตอบด้วยภาษาไทยที่ฟังแล้วจะต้องนึกขำในใจว่า เคยปรนนิบัติผู้ชายที่มาหยำฉ่าเหมือนๆ กัน แต่ถ้าคนเมาหล่อนจะไม่ออกมา ยายม้าเพียวจะออกรับหน้า และบอกว่าหล่อนไม่อยู่หรือไม่สบาย ในบางโอกาสยายม้าเพียวจะแสดงลูกไม้ โดยปล่อยหญิงแม่ร้าคนทำครัวประจำโรงโคมเขียวออกมารับแขก พอนักเที่ยวที่มึนเมามองเห็นหน้าก็ชักจะหายเมาทันที

“ผีหลอกกูแน่” เขาร้องขึ้น

“ไม่ใช่ผีโว้ย เป็นคน แต่หน้าเหมือนอีขี้เรื้อน” เพื่อนที่ไปด้วยกันแต่เมาน้อยกว่ากระซิบบอกด้วยภาษาของคนข้างถนน

แล้วเขาก็จะรีบเผ่นหนี ซึ่งในสมัยนั้นเรียกกันว่า “แหวก” ไม้ตะเกียบแทบไม่ทัน ไม้ตะเกียบคือประตูชั้นในชนิดโปร่งสำหรับโรงโคมเขียวเกือบทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่ตรอกเต๊า ตรอกโรงคราม ตรอกหมาเน่า หรือตรอกอะไร ๆ ก็เหมือนกันทั้งนั้น ไม้ตะเกียบจะเข้าประจำหน้าถังทันทีในเมื่อมีคนเมา หรือทหารเรือชนิดที่พึ่งกลับจากฝึกภาคทำท่าจะแวะเข้าไปรวน พวกผู้หญิงจะหลบเข้าข้างในเหลือแต่เจ้าสำนัก นั่งดูอยู่นิ่ง ๆ ข้าง ๆ เจ้าสำนัก บางวันก็จะเห็นจีนแก่ศีรษะล้านนั่งดูดยาแดงเสียงดังครอก ๆ อย่างสงบ ดูเป็นคนใจเย็นเสียเหลือเกิน แต่ก็นั่นแหละ เสียงพวกจีนเอาไม้ตะเกียบยัดเข้าที่จะดังลั่นต่อๆ กันไปทุกห้องฟังราวกับปี่พาทย์ไม้นวมอย่างไพเราะเลิศทีเดียว

แต่ลูกไม้ของยายม้าเพียวที่เปลี่ยนเอาตัวหญิงคนครัวออกมาแทนสิวก่ำคนสวยนั้น จะใช้บ่อยนักไม่ได้ เพราะถ้าขืนใช้บ่อย คนเมาที่แวะมารวนจะเลยเข้าใจเตลิดไปว่า โรงโคมเขียวแห่งนี้มีแต่คนหน้าผีออกมารับแขก คราวหน้าคราวหลังเมื่อหายเมาแล้วอาจจะไม่มาอีกเลยก็ได้ ซึ่งเป็นการทำให้ยายม้าเพียวต้องเสียประโยชน์ไปไม่น้อย เพราะเคยมีคนพูดกันว่า “อย่าว่าแต่หกสลึง เพียงสลึงเดียวกูก็กลืนไม่ลง”

การอาชีพชนิดนี้ ไม่มีวิธีใดจะดีไปกว่าปิดประตู หรือคอยหยิบตะเกียบยัดเข้าที่เร็ว ๆ จะต้องรีบทำให้ทันท่วงที อย่าปล่อยให้คนพาลหลุดเข้ามาในประตูได้ แม้ว่า เขาจะเรียกให้เปิดหรือทำเสียงเอะอะเป็นคนบ้าบออย่างไร ก็จะต้องเฉยเสีย คนสูบยาแดงก็สูบต่อไปอย่างสบาย คล้ายกับว่า ถึงฟ้าจะผ่าลงมาตรงหน้าในขณะนั้น เขาก็ไม่ยอมสะดุ้ง อย่าว่าแต่เพียงนักเลงโตหรือคนเมาจะมายืนด่ายืนถ่มน้ำลาย หรือเอามือล่วงล้ำเข้ามาควาน-- ยายม้าเพียวจะนั่งพิงเก้าอี้ไม้ไผ่ มองดูราวกับว่าเป็นเพียงจิ้งจกตัวหนึ่งที่กำลังไต่ขึ้นไต่ลงอยู่ตามฝาผนังเท่านั้น

“ผมรักสิวก่ำครับคุณ” เขาเน้นเสียงพูดกับข้าพเจ้า “สิวก่ำเป็นหญิงโคมเขียว แต่ผมก็ตั้งเนื้อตั้งตัวได้เพราะหล่อน เราต่างมีความสัตย์ซื่อต่อกัน คอยฟังซีครับ ผมจะเล่าเรื่องสิวก่ำเมียผมให้คุณฟัง”

แล้วเขาก็เริ่มเล่าไปเรื่อยๆ ว่า สิวก่ำได้ปรนนิบัติให้ความสุขสำราญแก่เขาอย่างถึงขนาดในคืนแรก หล่อนนำเขาเข้าไปสู่ห้องพิเศษชั้นในซึ่งเขารู้ภายหลังว่า ห้องพิเศษที่กล่าวนี้ ยายม้าเพียวไม่ค่อยจะยอมเปิดประตูออกต้อนรับผู้ใด นอกจากพวกเถ้าแก่โรงเลื่อยโรงสีหรือพ่อค้าสำเพ็งกระเป๋าตุ่ยๆ ยายม้าเพียวแปลกใจเหมือนกันที่เห็นสิวก่ำพาหนุ่มไทยเข้าไปร่วมประเวณีในห้องพิเศษ แต่ถึงจะรู้สึกแปลกใจก็ไม่กล้าว่า เพราะสิวล่ำเป็นดาราโคมเขียวประจำสำนักของแก ไม่เพียงแต่จะเป็นดาราโคมเขียวประจำสำนักยายม้าเพียวเท่านั้น แต่เป็นดาราโคมเขียวที่มีชื่อโบกสะพัดไปไกลเหมือนแพรต่วนอย่างดี เมื่อคลี่ออกก็ย่อมจะกระจุยกระจายขยายกลิ่น เป็นที่สบใจนักเที่ยวที่ได้พากันมาสำราญเริงรมย์อยู่ ณ ตรอกเต๊าอันลือชื่อแห่งนี้

ตามคำที่นายผดุง จิตสว่าง เล่านั้นว่า สิวก่ำได้เอาใจปรนนิบัติเขาด้วยความรู้สึกจริงใจ ไม่ใช่ทำเพราะถือเป็นหน้าที่และเขาก็ชอบคิ้วงามคู่นั้นเป็นอันมาก ตาหล่อนแวววาวเหมือนดวงเทียน แม้หล่อนจะเป็นหญิงโคมเขียวในตรอกเต๊า ที่คนบริสุทธิ์เชื่อกันว่าชั่วช้าสามานย์อย่างร้ายกาจ แต่ดวงตาของหล่อนก็แวววาวดุจดวงเทียนที่จุดตั้งไว้หน้าแท่นบูชา

“เป็นความจริงที่หล่อนเป็นคนมีจิตใจบริสุทธิ์เหลือเกิน” เขาบอกข้าพเจ้า “แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า สิ่งอุบาทว์ชาติชั่วอันใดหนอที่ชักนำหล่อนมาสู่ตรอกนรกอเวจีเช่นตรอกเต๊าที่แสนจะอัปรีย์จัญไรเช่นนี้ สิวก่ำแบบบางเหมือนเส้นไหม แต่เส้นไหมที่แวววาวสวยระยับเป็นเงาละเลื่อมก็ไม่ควรที่จะนำไปใช้รัดรึงสิ่งโสโครก เพราะมันจะไม่สามารถทนทานได้เลย สิวก่ำต้องขยำตัวเองไว้ในอ่างสกปรกที่มีแต่ของบูดเน่า หล่อนจมดิ่งในนรกบนพื้นดิน ซึ่งผมอยากจะเรียกว่าป่าช้าคนเป็นในตรอกมืดมากกว่าอย่างอื่น ชีวิตหล่อนต้องละลายไปกับความโสมม ค่อย ๆ หมดไปทีละน้อยๆ

นายผดุงบอกข้าพเจ้าว่า หญิงจีนรูปงามดาราโคมเขียวผู้แบบบางนี้ ในชั้นแรกเป็นคนที่ไม่มีอนาคต หล่อนตื่นขึ้นมาแล้วก็รอดูดวงตะวันว่าเมื่อไหร่หนอมันจะลับหลังคาตึกไป ครั้นพอมืดค่ำลง หล่อนก็ต้องทำงานอันหนัก รูปหล่อนสวยจึงมีงานอย่างเหลือกำลัง ทหาร ตำรวจ พวกนักเที่ยวและนักเลง ไม่ว่าข้าราชการหรือพ่อค้า บรรดาคนเหล่านี้จะต้องวนเวียนมาหาหล่อนเขาจะต้องมาหาหล่อนเหมือนคนเข้าคิวเดินตามกันไปซื้อตั๋วขึ้นรถไฟทีละคน ๆ ไม่ใช่มาตามอารมณ์ ในสมัยนั้น นักเที่ยวที่นิยมรสประเวณีของหญิงกวางตุ้ง จะต้อง ‘ติดใจ’ รสของสิวก่ำทุกคน นอกจากพวกที่ตั้งใจมารอแล้ว พวกที่ดื่มเหล้าจนเมาเดินโซเซ มองเห็นท้องร่องเป็นถนนหลวงก็ยังซมซานมาหาหล่อน พวกนักเที่ยวถามกันว่า “คืนนี้ลื้อจะไปหาก่ำไหม?” คำตอบจะเป็นดังนี้ “ไปซี ถ้าไม่ไปหาก่ำจะไปหาใครกันล่ะ?”

คนที่อยู่ในสภาพอันรู้ได้ว่า ความเรียบร้อยคืออะไรนั้นเขาจะเรียกก่ำเฉย ๆ แต่พวกที่มาจากโลกของความมืดมนจะเรียกดาราโคมเขียวผู้น่าสงสารคนนี้ว่า “อีก่ำ” เขาลือกันทั่วไปว่าอีก่ำมันเด็ดดวงนัก ใครไปนอนกับมันไม่เพียงแต่จะเสียหกสลึงเท่านั้น มีจะล่อให้เสียค่าหยำฉ่านั่งคุยกับมันเสียอีก วันนี้หกสลึง พรุ่งนี้หกสลึง หกสลึงเรื่อย ๆ ไป แล้วมันจะกลายเป็นเดือนละเท่าไหร่กันแน่?

ในที่สุด หกสลึงมันจะต้องกลายเป็นหกสิบ แล้วเลื่อนไปเป็นหกร้อยอย่างไม่ต้องสงสัย

มีนักเลงเที่ยวกลางคืนเคยพูดกันว่า “ผู้หญิงกวางตุ้งที่เป็นพวกโคมเขียวนั้น ทำเสน่ห์เพื่อให้ผู้ชายลุ่มหลงด้วยวิธีการต่าง ๆ” ผดุง จิตสว่างบอกข้าพเจ้า “บางคนเมื่อได้ค้าประเวณีหลับนอนกับผู้ชายแล้ว จะลงไปชำระร่างกายในอ่างใหญ่ เป็นอ่างที่มีขนาดใหญ่และกว้างเท่า ๆ กับอ่างใส่ข้าวเหนียวมะม่วงของแม่ค้าที่ตลาดยอดบางลำภู เมื่อลงไปนั่งชำระล้างอยู่ในอ่างแล้ว หล่อนจะใช้ผ้าเช็ดตัวขนาดเล็กเช็ดจนทั่ว ส่วนก้นตะกอนที่เหลือติดอยู่เมื่อค่อย ๆ เทน้ำออกทิ้งจนหมด พวกผู้หญิงโคมเขียวจะเก็บเอาไว้ทำเสน่ห์ เรื่องเช่นนี้ผมเคยได้เห็นมากับตาทีเดียวว่าเป็นความจริง แต่สิวก่ำไม่เคยทำเลย สิวก่ำไม่ต้องทำเสน่ห์ด้วยวิธีเสนียดจัญไรเช่นนั้น หล่อนมีเสน่ห์อยู่ในตัวแล้ว ความเรียบร้อยและจริตกิริยาที่อ่อนโยนเหมือนหญิงไทยทำให้หล่อนเป็นดาราตรอกเต๊าชั้นหนึ่ง”

----------------------------

เขาชอบคิ้วงามคู่นั้นเป็นอันมาก ตาหล่อนแวววาวเหมือนดวงเทียน แม้จะเป็นหญิงโคมเขียวในตรอกเต๊าที่คนบริสุทธิ์เชื่อกันว่าชั่วช้าสามานย์อย่างร้ายกาจ แต่ดวงตาของหล่อนก็แวววาวดุจดวงเทียนที่จุดไว้หน้าแท่นบูชา-- สิวก่ำแบบบางเหมือนเส้นไหม แต่เส้นไหมที่สวยระยับเป็นเงาละเลื่อมก็ไม่ควรจะนำไปใช้รัดรึงสิ่งโสโครก หล่อนจมดิ่งอยู่แล้วในนรกบนพื้นดินหรือป่าช้าคนเป็นในตรอกมืด...

----------------------------

แต่ชีวิตของสิวก่ำตามที่สามีของหล่อนบรรยายนั้น เป็นชีวิตที่เศร้าและน่ากลัวเหมือนกับเราได้ฟังนิยายของภูตผีปีศาจที่มากระซิบกระซาบอยู่ที่หู สิวก่ำมีค่าตัวถึง ๒,๕๐๐ บาท เงิน ๒,๕๐๐ บาทในสมัยนั้น เป็นเงินที่มีค่าสูงพอที่จะปลูกตึกขนาดย่อม ๆ ได้หลังหนึ่ง แต่ถ้าจะปลูกบ้านเล็ก ๆ เป็นที่พักอาศัย ก็จะปลูกได้ถึง ๕ หลัง พ่อแม่ของสิวก่ำเป็นชาวนาผู้ยากจน หาได้ไม่พอจ่าย เพราะมีลูกชายหญิงรวมด้วยกันถึง ๖ คน ต่อมามีจีนจากประเทศไทยแสดงตัวเป็นคนมีเงินปรากฏตัวขึ้นในหมู่บ้านของหล่อน เขาได้เห็นสิวก่ำก็พึงใจในรูปโฉมที่พอจะทำให้เกิดความหวังในทางทุจริตได้ จึงติดต่อชักชวนมารดาของหล่อนว่า หญิงสาวที่มีรูปร่างเย้ายวนอย่างสิวก่ำนี้ ไม่ควรจะมาเก็บตัวฝังจมไว้ในความยากจน ที่เมืองไทยเพื่อนของเขาเป็นเจ้าของร้านขายน้ำชากำลังต้องการผู้หญิงไปเพิ่มเติม ถ้าสิวก่ำได้ไปกับเขา ก็คงจะได้รับเงินเดือนพอใช้และมีเงินส่งมาให้พ่อแม่ใช้สอยที่เมืองจีนบ้าง

มารดาของสิวก่ำเป็นหญิงชาวนาผู้โง่เขลา ได้ฟังคำชักชวนก็นึกว่าเป็นความจริง อยากจะให้ลูกสาวได้ไปเมืองไทย หาเงินมาเลี้ยงน้องๆ แต่ติดขัดด้วยไม่มีเงินจะซื้อเครื่องแต่งกายและหาเงินค่ารถค่าเรือให้สิวก่ำเดินทางไปเมืองไทยได้ จึงบอกความจำเป็นให้ชายผู้มาชักชวนทราบ ชายนั้นก็รีบรับรองว่า ในเรื่องค่ารถค่าเรือและค่าเดินทางไปเมืองไทยเขาจะออกให้ก่อน นอกจากนั้นยังจะมอบเงินไว้ใช้อีก ๕๐ เหรียญด้วย แต่เงินจำนวนนี้จะต้องคิดเอากับสิวก่ำ ในเมื่อหล่อนได้ทำงานที่ร้านขายน้ำชาแล้ว

สิวก่ำมาอยู่เมืองไทยเพียงไม่กี่วัน จึงรู้ตัวว่าถูกหลอกลวง ที่ท่าเรือในวันแรกเมื่อหล่อนเหยียบย่างขึ้นสู่พื้นแผ่นดินไทย มีเอเย่นต์จากโรงแรมแห่งหนึ่งมาพูดซุบซิบกับคนที่ชักนำหล่อนแล้วเขาก็ยอมเสียเงินค่าเข้าเมืองให้ตามระเบียบ ส่วนชายนั้นหล่อนทราบภายหลังว่า เมื่อเขา ‘จิก’ เงินจำนวนหนึ่งไปจากเจ้าของโรงแรมแล้ว ก็ไม่ได้โผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลย เป็นอันว่าหล่อนผู้ไม่มีญาติพี่น้องอยู่ในกรุงเทพฯ แม้แต่คนเดียว ได้ถูกขายให้แก่เจ้าของโรงแรมที่แสนจะสกปรกแห่งนั้นแล้ว

อีกสองวันต่อจากนั้น สิวก่ำก็ถูกส่งมาอยู่ที่สำนักยายม้าเพียว หรือห้องโคมเขียวในตรอกเต๊า หล่อนมีค่าตัวชั้นแรกเพียง ๔๐๐ บาท ได้มาเสียความบริสุทธิ์เป็นครั้งแรกกับจีนนักเที่ยวคนหนึ่งด้วยความจำใจและถูกบังคับ ในระหว่างนี้หล่อนจึงรู้สึกตัวว่า หล่อนไม่เป็นแต่เพียงหญิงขายน้ำชา แต่เป็นหญิงโคมเขียวผู้ขายประเวณีให้แก่ชายด้วย ส่วนค่าตัวก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในเมื่อหล่อนได้ขอเงินจากยายม้าเพียวส่งไปให้บิดามารดาใช้สอยที่เมืองจีน ญาติพี่น้องของหล่อนไม่รู้ว่าหล่อนได้กลายเป็นโสเภณีไปแล้ว โสเภณีที่มีค่าตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึง๒,๕๐๐ บาท

“สองปีให้หลัง สิวก่ำจึงได้พบกับผม” ชายไทยผัวของสิวก่ำเล่าเรื่องของเขาต่อไปอีก “หล่อนปักผ้าเช็ดหน้าเป็นรูปนกเซี่ยวฮู้สองตัวเกาะคู่กันบนกิ่งไม้ นำมาส่งให้ผม ในคืนวันหนึ่งเป็นวันที่สิวก่ำไม่สบาย และผมได้ไปเยี่ยมหล่อน สิวก่ำว่าวันนี้เป็นวันที่ผมมาเยี่ยมหล่อนด้วยความกรุณา ไม่ใช่มา ‘หกสลึง’ หล่อนจึงขอมอบผ้าเช็ดหน้าที่ปักด้วยฝีมือของหล่อนให้

“สิวก่ำชอบให้ผมล้างหน้า หล่อนใช้น้ำหอมเหยาะลงบนผ้าเช็ดตัวแช่ในน้ำอุ่น ๆ แล้วนำมาเช็ดหน้าให้ผม กำลังชื่นอกชื่นใจกันอยู่ ยายม้าเพียวก็ตบประตูเร่งให้ออกไปรับแขก แต่สิวก่ำปฏิเสธ เพราะกำลังเป็นไข้ตัวร้อนและปวดศีรษะ ยายม้าเพียวโกรธมาก ถึงกับกระแทกประตูดังโครมคราม เหตุการณ์ครั้งนั้นแหละที่ทำให้ผมเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและสงสารสิวก่ำมาก ด้วยดูมันเป็นการทารุณเสียเหลือเกิน ผมรักสิวก่ำชอบความสัตย์ซื่อและจริตกิริยาที่สุภาพเรียบร้อยของหล่อนจึงได้เริ่มวางแผนการทันที

“ผมชวนให้หล่อนหนีไปกับผม ไปเป็นเมียผม ช่วยกันทำมาหากิน ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง สิวก่ำอยู่เมืองไทยสองปีแล้ว พอจะพูดภาษาไทยรู้เรื่อง และเข้าใจความหมายของผมดี หล่อนว่าหล่อนก็รักผม แต่เราเป็นคนต่างชาติ หล่อนเป็นจีน ผมเป็นไทย เมื่อไปอยู่กินด้วยกันแล้ว ญาติของผมอาจแสดงความรังเกียจ แต่ผมได้บอกให้หล่อนทราบว่า ผมเป็นคนไม่มีญาติ เป็นนักเที่ยวเสเพล ไม่ใช่คนดิบคนดีอะไร หยิบฉวยอะไรได้ก็เอาทั้งนั้น จึงมีชีวิตอยู่ได้ อีกประการหนึ่ง ผมเลี้ยงตัวเองได้ด้วยการพนัน เป็นคนหลักลอย ที่ชวนหล่อนหนีก็ด้วยความรักและสงสาร ต่อไปภายหน้าจะเป็นอย่างไรก็ยังรู้ไม่ได้ สุดแต่บุญแต่กรรม

“สิวก่ำกอดผมซบอยู่ที่ตัก ปล่อยให้ผมดึงปิ่นปักผมเล่นตามสบายใจ หล่อนกระซิบว่า เวลานี้หล่อนมีเงินอยู่แล้ว ๑,๐๐๐ บาท หล่อนจะมอบให้ผมเอาไปทำทุนค้าขาย หล่อนเชื่อถือในความรักความซื่อสัตย์ และความเป็นลูกผู้ชายของผม เมื่อตั้งตัวมีร้านค้าแล้วหล่อนจะไปอยู่กินกับผม แต่จะต้องรอเก็บเงินเป็นค่าถ่ายตัวเสียก่อนด้วย

“ผมตั้งร้านได้ด้วยเงินของสิวก่ำ ผมตั้งร้านซ่อมจักรยาน ลงมือพ่นสีทาสีรถจักรยานด้วยตนเอง ทำงานตัวเป็นเกลียววันยังค่ำ จนตั้งตัวได้ พอย่างเข้าปีที่สองก็มีเงินเหลือเก็บเหลือใช้พันกว่าบาท สิวก่ำเองก็หาได้ไม่น้อยเหมือนกัน แล้วยังได้เงินจากร้านของผมไปสมทบทุนด้วย ในไม่ช้าก็ชำระค่าตัวให้ยายม้าเพียวและมาอยู่กับผมได้ที่ร้านโดยอิสระ

“พวกอั้งยี่ลูกน้องยายม้าเพียวคอยตามเล่นงานผมอยู่เหมือนกัน เพราะผมทำให้ตรอกเต๊าเงียบเหงาไปพักหนึ่ง อาจจะกล่าวได้ว่า เกือบไม่มีนักเที่ยวเข้าไปเที่ยวกันเลย แต่ผมก็เป็นนักเลงเตะคนเป็นเหมือนกัน ถ้ามันขืนตามมาเล่นงานผม ผมจะฟันหัวยายม้าเพียวให้กบาลแบะทีเดียว”

ข้าพเจ้าถามว่า “สิวก่ำมาอยู่กับคุณ มีความสุขสบายดีอยู่หรือ?”

เขามองไปทางเด็กชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังช่วยกันขัดบังโคลนรถจักรยาน แล้วบอกข้าพเจ้าว่า “นั่นไงล่ะครับ ลูกของสิวก่ำ เรามีลูกด้วยกันสองคน”

เขาไม่ยอมบอกข้าพเจ้าว่าสิวก่ำไปไหน แต่นัยน์ตาที่คลออยู่ด้วยน้ำตานั้นบอกอยู่ในตัวว่าสิวไม่ได้อยู่กับเขา

“แม่ของหนูไปไหนเสียเล่า?” ข้าพเจ้าถามเด็กหญิงอายุราว ๑๒ ขวบ ลูกสาวช่างแก้รถจักรยานหรือนักเที่ยวมือเก่าซึ่งกำลังทำงานอยู่ตรงหน้า

“ไปเมืองจีนค่ะ” เด็กรุ่นสาวคนนั้นตอบด้วยเสียงเศร้าๆ “ไปเยี่ยมยาย พอดีเกิดรบกันคราวที่แล้วมานี้ หนูไม่ได้ข่าวแม่อีกเลย”

ผดุง จิตสว่าง หัวเราะอย่างแค่นๆ และโดยบังเอิญ เขาทำกระดิ่งจักรยานหลุดจากมือกระทบพื้นซีเมนต์ดังเปรื่องใหญ่!

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ