ชีวิตคนตะรางครั้งสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์

----------------------------

มีก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นและซาลาเปาขายเหมือนราชวงศ์ ถามว่า กินขนมบัวลอยหวานหรือไม่หวาน ถ้าตอบ “ไม่หวาน” เป็นถูกเตะ นักหวายมือหนึ่งเฆี่ยนที่ก้น แต่ไปจุกข้างหน้า...

----------------------------

‘ขอบขาว’ หรือนายตะรางนั่งดวดเหล้าโรงอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า เขาเป็นนายตะรางในสมัยที่ประเทศสยามมีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นายตะรางหรือ ‘ขอบขาว’ ไม่ใช่ข้าราชการ แต่เป็นนักโทษชั้นเสือ ต้องคำพิพากษาของศาลในคดีปล้นและฆ่าคนตายมาแล้ว แต่ได้ประกอบคุณงามความดีตลอดมาในระหว่างที่รับโทษอยู่ จึงได้เลื่อนฐานะจากนักโทษธรรมดาขึ้นเป็น ‘ขอบแดง’ คือผู้ช่วยนายตะราง แล้วต่อมาก็ได้เป็นนายตะราง มีอำนาจควบคุมดูแลบรรดาผู้ที่ถูกส่งมาเก็บไว้ในตะราง ๑๑ ทั้งหมด

‘ขอบขาว’ หรือ ‘ขอบแดง’ นั้น เมื่อเดินผ่านมาบรรดานักโทษทั้งหลายจะสังเกตเห็นได้ที่ขากางเกงสีน้ำเงินทอด้วยด้ายดิบอย่างหยาบ ๆ ซึ่งเขาสวมอยู่ “ขอบขาว’ มีผ้าสีขาวทำเป็นขอบไว้ที่ขากางเกง และ ‘ขอบแดง’ ก็มีผ้าสีแดงติดอยู่ในที่แห่งเดียวกัน อำนาจของ ‘ขอบแดง’ มีน้อยกว่า ‘ขอบขาว’ คือเฆี่ยนนักโทษได้เพียงครั้งละสามทีด้วยหวาย ส่วน ‘ขอบขาว’ จะเป็นผู้บัญชาสั่งให้เฆี่ยนด้วยเสียงอันเกรี้ยวกราดกังวาน และมีอำนาจสั่งให้เฆี่ยนได้มากกว่าครั้งละ ๓ ที

“เฮ้ย! อ้ายง้วน ล่อมันเสีย ๑๐ ที” เขาร้องบอก ‘ขอบแดง’ แล้วเสียงเควี้ยว ๆ ก็ลั่นขึ้น เนื้อติดปลายหวายและเลือดกระฉูดออกมาทันที

‘ขอบแดง’ มีวิธีลงหวายพลิกแพลงประหลาดนัก!

เมื่อมีผู้ต้องหา หรือกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล แต่ประกันตัวไปไม่ได้หรือไม่มีผู้ประกัน ผู้ต้องหาก็จะถูกส่งตัวเข้าเก็บหรือฝากขังไว้ที่ตะราง ๑๑ แห่งกองลหุโทษ บุคคลเหล่านี้เป็นแต่เพียงผู้ต้องหาเท่านั้น ไม่ใช่นักโทษ อาจจะได้รับคำสั่งของศาลให้ปล่อยตัวไปวันหนึ่งวันใดก็ได้ จึงไม่ต้องถูกตีตรวน แต่คนที่ศาลพิพากษาโทษแล้วก็จะต้องเข้ามาพักอยู่ในตะราง ๑๑ ก่อนเช่นเดียวกัน เจ้าหน้าที่จะจัดการตีตรวนให้เขาแล้ว ส่งตัวเข้าโรงสีโดยเร็ว เขาจะต้องสีข้าว และย้ายไปจากตะราง ๑๑ ตะรางที่เขาย้ายไปนั้นคือตะรางที่เขาจะพึงถือเป็น ‘บ้าน’ ตลอดไปจนถึงเวลาพ้นโทษ

‘ขอบขาว’ หรือบุรุษผู้เคยเป็นนายตะรางมาก่อน เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ‘อ้ายง้วน’ ขอบแดงผู้เป็นลูกสมุนมือหนึ่งของเขานั้น ได้ชื่อว่าเป็นนักเฆี่ยนที่มีลวดลายในการเฆี่ยนนักโทษได้อย่างประหลาดนัก กล่าวคือ เฆี่ยนที่ก้น แต่ทำให้ผู้ถูกเฆี่ยนจุกข้างหน้าจนลุกไม่ขึ้น ต้องนอนบอบหมอบกระแตอยู่ในที่เดิมตั้งเกือบชั่วโมงทีเดียว อีกวิธีหนึ่ง เฆี่ยนแล้วแผลไม่รู้จักหายกลายเป็นหนองเฟอะอยู่ก็ทำได้ อ้ายง้วนเคยเฆี่ยนคนมาแล้วอย่างฉกาจฉกรรจ์ ถึงขนาดบางคนที่มันเฆี่ยนแล้ว ฟังเสียงดังผลุ ๆ คล้ายตีวัวตีควาย แต่ไม่มีแผลเลย ครั้งหนึ่ง ‘ขอบขาว’ สั่งให้เฆี่ยนนักโทษจีนที่ไปทำสกปรกเลอะเทอะไว้ในส้วม อ้ายง้วนตีดังจนสารวัตรที่เดินผ่านมาต้องถามว่า “เฮ้ย! นี่มันตีหมาหรือตีคนกันโว้ย?”

แต่เมื่อสำรวจตรวจดูแผล ไม่ปรากฏว่ามีรอยฟกช้ำผิดธรรมดาเลย เมื่อสารวัตรกลับไปแล้ว คนจีนผู้ไม่ระวังรักษาความสะอาด ปล่อยให้อุจจาระเลอะเทอะก็ลุกไม่ไหวเอาทีเดียว ด้วยรู้สึกขัดยอกไปด้วยฤทธิ์หวายทั่วทั้งเนื้อทั้งตัว

ถามว่าหวานไหม? ถ้าบอกไม่หวานเป็นถูกเตะ!

วันแรกที่ผู้ต้องหาเดินทางเข้ามารับการฝากขังในตะราง ๑๑ พอตกเวลาย่ำค่ำ เจ้าหน้าที่ก็มาใส่กุญแจร้อยโซ่ประตูตะรางไว้ ทุกวันจะมีผู้ต้องหารวมทั้งผู้ที่ศาลพิพากษาแล้ว เดินเข้าแถวเรียงกันผ่านประตูตะรางที่กล่าวเข้าไป น้อยบ้างมากบ้างตามแต่เหตุการณ์ แต่อย่างน้อยจะต้องไม่ต่ำกว่า ๒๐ คน อย่างมากบางคราวจะถึง ๘๐ คนพอกุญแจตะรางลั่นฉับ ‘ขอบขาว’ หรือนายตะรางก็ขึ้นไปนั่งบนเตียงตรงมุมห้องด้านขวามือ เตียงนอนของเขามีลักษณะเหมือนเตียงที่ตั้งไว้สำหรับเล่นลิเก แต่เตี้ยกว่าเล็กน้อย แล้วเขาก็ร้องสั่งนักโทษเสมือนประจำตะรางนั้นให้มาเรียกชื่อ ซึ่งความจริงไม่มีการเรียกชื่อเลยเรียกแต่เลขประจำตัว เช่น ๒๔๘๑ อยู่ไหม? ถ้าผู้ต้องหาหรือนักโทษคนใดมีเลขประจำตัวตรงกัน ก็ขานออกมาว่า “อยู่ดีเหลือเกิน” ถึงกระนั้นท่านก็อย่านึกว่าเขาจะรอดพ้นการถูกเตะไปได้โดยเด็ดขาด เพราะถ้านักโทษได้ทราบราคาขนมบัวลอยว่าเป็นถ้วยละ ๒๕ สตางค์ แทนที่จะเป็นถ้วยละ ๓ สตางค์ เขาจะสะดุ้ง และร้องออกมาทันทีว่า “แหม! แพงเหลือเกิน” เพียงเท่านั้น จะถูกเตะอีกเหมือนกัน หมายความว่า ถึงเขาจะพูดหรือไม่พูดก็ต้องถูกเตะอยู่แล้ว โชคชะตาของเขาต้องถูกเตะอยู่วันยังค่ำ เจ้า ‘ขอบแดง’ ต้องการจะให้กลัว เมื่อมันทำทารุณกรรมคนหนึ่งให้อีกหลาย ๆ คนเห็น ทางที่จะ ‘รีด’ จนเงินทะลักออกมาก็ยิ่งง่ายขึ้น

ในตะรางมีก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นและซาลาเปาขาย

นักโทษใหม่ที่ถูกส่งเข้าเก็บในตะราง ๑๑ สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ถ้าเป็นนักโทษชนิดฉ้อราษฎร์บังหลวง จะได้รับความลำบากมาก เพราะถูก ‘รีด’ เขาจะถูกทำทารุณกรรมต่าง ๆ จนเงินที่ยักยอกไว้ทะลักออกมา ‘ขอบขาว’ บอกข้าพเจ้าว่า คนในตะรางรู้ดีว่าเพื่อนนักโทษหน้าใหม่ของเขาต้องคำพิพากษาในคดีใด หากเป็นคนมีเหลี่ยมในการฉ้อโกงแล้ว จะทำ ‘ยักท่า’ ไม่ได้ มีเงินจะต้องเอามาเฉลี่ยกันใช้เฉลี่ยกันกินในตะรางบ้าง เมื่อถึงวัน ‘เยี่ยมญาติ’ หรือมีญาติมาเยี่ยม เขาจะต้องสั่งให้ส่งเงินและอาหารดีๆ เข้ามา บุหรี่กระป๋องเช่นการิก คนตะรางชั้น ‘ขอบขาว’ ถือเป็นเกียรติอันสูงทีเดียว ถ้าหากจะมีนักโทษนำไปส่งเป็นของกำนัล นักโทษใหม่บางคนที่มีความรู้พอเขียนหนังสือได้ จะได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษ เพราะอาจรับจ้างเขียนคำร้องหาเงินให้พรรคพวกได้

ในตะรางมีก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นและซาลาเปาขาย ที่ราชวงศ์เลิกขายสองยามแปดทุ่ม ในตะรางก็เลิกขายสองยามแปดทุ่มเหมือนกัน!

----------------------------

ตับคนตายถูกแหวะจากท้องเอาไปแกล้มเหล้า นักโทษผู้อัตคัดต่างชะเง้อคอยวันแกงเนื้อ คนตะรางเรียกกัญชาว่า “เป็ด” เรียกฝิ่น ว่า “หมู”

----------------------------

ชีวิตของคนตะรางสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นชีวิตที่คนนอกตะรางไม่อาจจะรู้เห็นได้ มันเป็นนรกสำหรับคนที่ไม่เข้าใจเหลี่ยมของชีวิต แต่เป็นสวรรค์สำหรับ ‘มือเก่า’ ผู้มีส่วนในการประกอบทารุณกรรมเพื่อประโยชน์ ผู้คุมส่วนมากมีเงินเดือนเพียงเดือนละ ๒๐-๒๕ บาทเท่านั้น แต่ความจริงพวกผู้คุมซึ่งเป็นข้าราชการ ไม่เคยรุนแรงกับนักโทษ พวกนักโทษต่อนักโทษได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ปกครองกันเอง นักโทษที่มีอิทธิพลและอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ในตะราง เช่นขอบขาวนั้น พอพวกผู้คุมเงินเดือนน้อยมองเห็นเข้าก็ยิ้มแฉ่งต้อนรับแต่ไกลทีเดียว

ผู้คุมส่งอาหารดีๆ ที่นักโทษแบ่งให้ไปเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียทางบ้าน

ผู้คุมบางคนในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็เหมือนกับคนใช้ของนักโทษ เพราะทำตัวรับใช้ซื่อสัตย์ดีนัก นักโทษใช้ให้นำจดหมายจากตะรางไปขอเงินเมียใช้ เขาก็ถือจดหมายไปให้เมื่อได้เงินมาแล้วก็คิดค่ารถไว้เสร็จ ส่วนค่าป่วยการที่ไปทำงานมาให้นั้น จะปันให้ใช้สอยบ้างเท่าใด ก็สุดแท้แต่จำนวนเงินที่ได้มามากหรือน้อย นักโทษบางคนต้องการยาฝิ่น ซึ่งภาษาตะรางเรียกว่า ‘หมู’ เขาก็หา ‘หมู’ มาให้ บางคนต้องการกัญชาเรียกว่า ‘เป็ด’ เขาก็ไปหา ‘เป็ด’ มาให้ ส่วนที่ไม่สูบฝิ่นสูบกัญชา อยากจะกินหูฉลามหรือปลาช่อนต้มยำที่ ‘ฮั่วเพ้ง’ แม้ดึกดื่นอย่างไร เขาก็จะไปซื้อมาส่ง ถึงหากว่าไม่ใช่เวรของตัวผู้คุมส่วนมากก็รู้ท่าทีของกันและกัน ยินดีจะรับฝากนำไปให้ถึงมือนักโทษเสมอ

กับข้าวดี ๆ ที่ญาติส่งมาให้นักโทษชั้นอาเสี่ยกิน เช่น ไก่ตอน คุนเชียง และเป็ดย่าง นักโทษจะปันให้ผู้คุมบ้าง เวลาเย็นพวกผู้คุมเงินเดือนน้อยเหล่านี้จะหิ้วเอาไปฝากลูกฝากเมียกินที่บ้าน โดยทางครอบครัวไม่จำเป็นจะต้องทำกับข้าวไว้รอก็ได้ ผัวกลับโดยไม่ต้องรอเมียทำกับข้าว แต่เมียกลับรอเวลาที่ผิวจะนำกับข้าวมาให้ ผู้คุมเงินเดือนน้อยมีชีวิตอยู่ได้เพราะนักโทษ มากกว่าที่จะอยู่ได้เพราะเงินเดือน

ติดบ่อนถั่วบ่อนโปกันตลอดวันตลอดคืน

นักโทษหน้าใหม่ ‘อวดดี’ เป็นถูกรุมถึงดิ้น

ความจริงได้มีกฏบังคับวางไว้ทุกสมัยว่านักโทษจะเล่นการพนันไม่ได้ แต่นักโทษก็ได้ฝ่าฝืนกฏอันนี้เล่นการพนันตลอดมาทุกสมัยทีเดียว ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในตะราง ๑ เล่นการพนันติดบ่อนถั่วบ่อนโปกันทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีว่างเว้น มีการเก็บค่าต๋งสำหรับ ‘ขอบขาว’ เจ้าของถิ่น และแทงกันอย่างไม่อั้น ผู้อ่านคงจะสงสัยว่า ในตะรางทำไมจึงมีเงินใช้จ่ายกันอย่างฟุ่มเฟือย ปัญหาข้อนี้ ความจริงก็ไม่น่าประหลาดใจอะไรเลย เมื่อนักโทษใช้ผู้คุมไปบ้านได้ เขาก็นำเงินมาเล่นการพนันกันได้ เงินในตะรางนั้น คนที่เฉียดบ่อนโปจะได้ยินเสียงใช้กันกราว ๆ เป็นเสียงที่แข่งกับเสียงโซ่ตรวนอย่างไม่ยอมให้ใครขึ้นหน้าใคร ผู้คุมบางคนมีเลือดนักพนันถึงกับฝากนักโทษแทง เขาไม่ได้ใช้เงินของเขา แต่ใช้ ‘อัฐยายซื้อขนมยาย’ ถึงจะเสียก็หาวิธีอื่นติดต่อกับนักโทษเอาคืนมาได้อีก

นักโทษที่ถูกส่งเข้าไปเก็บตัวในตะราง ถ้าหากเป็นนักโทษใหม่ จะมีนักโทษเก่าที่เป็นหน้าม้ามาชวนไปเล่นการพนัน ถ้าเกิดความโลภขึ้นคล้ายกับว่าเล่นได้แล้วเลิก ภาษาตะรางเรียกคนชนิดนี้ว่า ‘อ้ายเบิ้ง’ ถ้าอ้ายเบิ้ง ‘อวดดี’ จะต้องถูกรวมตีนในบ่อนทันที เงินที่เล่นไปได้ก็หมด เงินทุนก็หมด ทั้งจะเจ็บตัวด้วย รุมกันแต่ละครั้งถึงกับดิ้นหงายหน้าหงายหลังไปทีเดียว นักโทษใหม่บางคนไม่รู้จักเหลี่ยมชีวิตในตะราง ชอบอยู่โดดเดี่ยวกลัวจะเปลืองเพราะต้องเลี้ยงเพื่อนเลี้ยงฝูง แต่เมื่อเห็นเขาแทงถั่วแทงโปกันกราว ๆ ก็คิดโลภ กำเงินติดมือไปยืนคอยแทงกับเขาบ้าง ในไม่ช้าก็จะมีมือลับกระชากเอาธนบัตรที่กำไว้จากมือไปอย่างซึ่ง ๆ หน้า หากโดนเข้าทำนองนี้แล้วเฉยเสียได้ ก็ไม่เจ็บตัว แต่ถ้าร้องเอะอะโวยวายจะถูกถีบออกไปจากตะรางนั้นทันที เพราะตัวไม่มีหน้าที่จะเข้าไปเดินยุ่มย่ามอยู่ในตะรางอื่น

ถ้าเขาไม่ถูกถีบ ก็จะถูกนักโทษที่เป็นพรรคพวกของเจ้าตัวการกันไว้ แล้วเดินสวนสนามวนเวียนกันไปมา จนดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร เพราะล้วนแต่เสื้อกางเกงสีน้ำเงินทั้งนั้น หากเจ้าทุกข์เป็นคนสนิทของ ‘ขอบขาว’ ตามที่ภาษาตะรางเรียกกันว่าเป็นคน ‘มีดี’ ขอบขาว นายตะรางก็ต่างจะพูดจาปรึกษาหารือกัน มีการผ่อนปรนอนุโลมกันได้ในทางการทูต แล้วต่อจากนั้นเพียงเวลาไม่ถึง ๕ นาที เงินที่ถูกแย่งชิงไปก็จะกลับคืนถึงมือเจ้าของโดยครบถ้วน ตะรางเป็นที่สำหรับคุมขังจองจำคนร้าย แต่ในตะรางยังเว้นการฉกชิงวิ่งราวหาได้ไม่ นี่ก็เป็นปรัชญาของชีวิตประการหนึ่ง

ตับคนตายมักจะถูกขโมย

ว่ากินแล้วกล้าแข็งแกร่งกล้าสมลูกผู้ชาย

ในตะราง ๑๒ ซึ่งเป็นตะรางโรงพยาบาลนั้น มีนักโทษชนิดต่างๆ เข้าไปรักษาตัวเป็นจำนวนมาก และมักจะมีผู้ป่วยด้วยโรคผอมแห้งตายสัปดาห์ละหลาย ๆ คน นักโทษที่ถึงแก่ความตายเหล่านี้ หากมีประวัติว่าเคยเป็น “ชั้นอ้ายเสือ” มาก่อนก็มีคนคอยจ้องจะเอาตับอยู่ทีเดียว ศพที่นอนรอผู้นำไปฝังอยู่ในโรงพยาบาล มักจะถูกเอามีดแหวะท้อง แพทย์กลับมาชันสูตรจะพบว่าตับหายไปบ่อยๆ เพราะมีราคาขายได้แพง มีนักโทษที่ไม่คิดกลับเป็นคนดีชอบเอาไปกินกับเหล้าเลี้ยงกัน เพราะเชื่อว่าเมื่อกินตับผู้ร้ายชั้นอ้ายเสือเข้าไปแล้ว จิตใจจะกล้าแข็งมากเช่นเดียวกับเจ้าของตับ มีผู้พบเห็นนักโทษคนหนึ่งย่องเข้าไปในตะราง ๑๒ ถือมีดอันคมกริบจ้องจะผ่าท้องอ้ายเสือคนหนึ่งซึ่งเพิ่งสิ้นชีวิตลงด้วยโรคไข้อย่างแรง นักโทษพยาบาลมองเห็นก็ร้องเอะอะขึ้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองเข้าจับกุมตัวไว้ได้เมื่อลงมือสอบสวนก็ได้ความว่า เขาไม่มีเจตนาที่จะทำการทุจริตแต่ประการใดเลย เขาต้องการจะ ผ่าท้องอ้ายเสือเอาตับไปกินเท่านั้น เขาเชื่อว่าเมื่อกินแล้ว จะมีจิตใจกล้าตายและไม่กลัวคนอย่างอ้ายเสือ

อีกมุมหนึ่งของตะราง นักโทษยากจนชอบกินแกงเนื้อ

นักโทษที่ยากจนไร้ญาติขาดที่พึ่งโดยมากได้รับความอดอยากอย่างสิ้นดี ร่างกายของเขาซีดเซียวผอมเหลืองเพราะขาดธาตุอาหาร ทุกวันต้องกินข้าวแดง ไม่ได้พบเมล็ดข้าวขาวเลย ส่วนกับก็มีแต่ผักบุ้งมัดเป็นปั้นกลม ๆ แจกให้กินกับเต้าเจี้ยวหลน เต้าเจี้ยวที่ว่าหลนนั้น ความจริงไม่ได้หลนเลย เป็นเต้าเจี้ยวที่ต้มลงไปในกระทะเหล็กขนาดคนยืนถ่างขาเต็มเหยียด แล้วนักโทษกองหุงต้มก็เอาพริกชี้ฟ้าที่ผู้ประมูลไปเหมาซื้อเหลือ ๆ มาจากตลาดเป็นกระบุง ๆ เทพรวดลงไป ก้านพริกก็ไม่ได้เด็ด ล้างน้ำก็เพียงซาวๆ ให้ขี้ดินหลุดไปบ้างเท่านั้น แล้วนักโทษจีนพนักงานหุงต้มก็โดดขึ้นไปยืนอยู่บนปากกระทะโดยถ่างขาเต็มเหยียดแล้วใช้ใบพายโตเท่าพายเรือสำปั้นกวนเต้าเจี้ยวให้เข้ากัน เขาส่งเสียงเอะอะเรียกลูกน้องให้เอาเกลือมาเทลงไปตั้งครึ่งค่อนปีบ เมื่อกวนต่อไปจนเหนื่อยเหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าเต็มหลัง ก็ใช้มือปาดเหงื่อแล้วสลัดลงไปโดยไม่คำนึงว่ามันไปเพิ่มความเค็มให้แก่เต้าเจี้ยวในกระทะหรือไปตกอยู่ที่ไหน เต้าเจี้ยวหลนชนิดนี้นักโทษไม่หิวจริง ๆ แล้วก็ไม่ค่อยจะกิน เขาคอยถามกันแต่ว่าเมื่อไรจะถึงวันที่มีแกงเนื้อ พอทราบแน่ก็จะเตรียมตัวพร้อมอย่างทะมัดทะแมงทีเดียว เพราะนานๆ จะได้ลิ้มรสแทนเต้าเจี้ยวหลนสักครั้งหนึ่ง แต่แกงเนื้อที่กล่าวนี้ มันประหลาดอย่างพูดไม่ถูกทีเดียว ที่จริงมันเป็นเอ็นชนิดที่เหนียวจนสุนัขก็หันหน้าหนี เขาแกงรวมกันไปกับหัวผักกาด และใส่พริกกับน้ำปลาเพียงเท่านี้มนุษย์ก็กินกันได้ เมื่อไม่สามารถที่จะหลีกหนีความหิว นักโทษผู้อัตคัดขัดสนต่างใฝ่ฝันและชะเง้อคอยวันแกงเนื้อราวกับว่ามันเป็นวันที่พระมาโปรด แต่มันมักจะมีน้อยเหลือเกิน เขาได้ซดกันคนละช้อนเท่านั้นก็หมดเสียแล้ว

ตะรางสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น เรียกกันว่าลหุโทษฯ ตั้งอยู่เชิงสะพานช้างโรงสี ข้ามถนนเดินเลี้ยวไปทางขวามือ ได้กลายเป็นสนามมวยศาลเจ้าพ่อหลักเมืองไปครั้งหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว หากท่านผู้อ่านที่ยังไม่เคยเห็นตะรางลหุโทษ จะเดินผ่านไปทางนั้นโปรดวาดภาพเอาเองก็แล้วกัน ว่าตะรางสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะมีรูปร่างน่ารักน่าชังเพียงใด

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ