บ้านหมาหอน

----------------------------

“มันเป็นเรื่องเกี่ยวแก่ชีวิตหรือ บอกฉันเร็ว บอกฉันเดี๋ยวนี้แหละ” มนุษย์ชราผู้มีรูปกายอันน่าเกลียดคุกเข่าลงพนมมือ แหงนหน้าขึ้นมองขอความกรุณาจากข้าพเจ้า “ผม-เจ้าพระคุณ-ผมมาช้าไปเสียแล้ว อ้ายด้องมันสังหารเสียอีกศพหนึ่งแล้ว-คุณ-คุณ-ได้ยินไหมครับ หมามันหอนอีกแล้ว...”

----------------------------

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นอย่างรัวถี่ ตะเกียงน้ำมันที่แขวนจากเพดานห้อยลงมาตรงเก้าอี้นอนโอนเอนไปมา เหมือนมีคนจับแกว่งแล้วกระชากอย่างแรง เปลวเพลิงที่ไส้ตะเกียงวับๆ แวม ๆ จวนจะดับแล้วกลับลุกโพลงขึ้นอีก แผงหน้าต่างก็ใช้ไม้ยันเพื่อเปิดออกรับแสงสว่างอันขมุกขมัวหลุดกระแทกลงมาดังโครม ถ้วยแก้วสองใบในถาดกระดอนขึ้นแล้วเหวี่ยงตัวเองไปกระแทกข้างฝาแตกดังเปรื่อง--ย่อยยับไปอย่างไม่มีชิ้นดี

ข้าพเจ้าเหวี่ยง “สงครามและสันติภาพ” ของตอลสตอย ท่านเคานต์เหาะไปตกหงายแผ่อยู่ทางมุมห้อง โดดพรวดพราดลงมาจากเก้าอี้นอนแล้วพุ่งตัวเองไปที่ประตู ที่นั่น เงียบไปแล้วเสียงเคาะประตูละลายไปกับเสียงลมพายุ ซึ่งดังหวิว ๆ และบางคราวมันก็ส่งเสียงเหมือนหมูที่ถูกจับตัวยัดเข้าไปในกระสอบ ฟ้าแลบถี่และขู่คำรามมิได้ขาดเสียง ฝนกำลังตกห่าใหญ่ เทลงมาอย่างแรงเหมือนจะแทงหลังคาสังกะสีให้เป็นรอยทะลุปรุพรุนไปหมด

ในเวลาอันวิกาลเช่นนี้ ข้าพเจ้าควรจะดึงกลอนประตูเปิดออกรับผู้มาเคาะเรียกโดยเร็วหรือ ข้าพเจ้าคิด ได้ด้วยจิตใต้สำนึกว่า ไม่ควรจะทำเช่นนั้น เพราะมันอาจจะเป็นอันตราย--อันตราย!

“ใคร?” ข้าพเจ้าตะโกนถามออกไป

เงียบ! ไม่มีเสียงตอบ ได้ยินแต่เสียงฟ้าผ่าเท่านั้น ลมยังพัดแรงเหมือนจะพังเรือนทั้งหลังให้นั่งคุกเข่าลงไป

“ใคร?” ข้าพเจ้าถามอีก เสียงตะโกนดังก้องขึ้นจนแสบคอหอย “ใครเรียก มาจากไหน?”

ไม่มีเสียงตอบ!

“ใคร บอกเร็ว?”

ไม่มีเสียงตอบ!

ข้าพเจ้าหันหลังกลับ แต่พร้อม ๆ กันนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก ไม่ตึงตังโครมครามและรัวถี่เหมือนครั้งแรก มันเป็นเสียงที่แผ่วเบา ทิ้งระยะห่าง ๆ แล้วมีเสียงคนไอแหบ ๆ คล้ายจะเอามือปิดปากไว้

“ใคร บอกเร็ว?” ข้าพเจ้าร้องถาม “มีธุระอะไร?”

“โปรดเปิดประตูรับผมเร็วเถอะครับ ผมมีธุระสำคัญจะมาปรึกษาคุณ” เสียงนั้นสั่นสะท้าน ฟังแหบโหยคล้ายคนเจ็บใกล้จะตาย

“นี่มันเป็นเวลาค่ำคืนมากแล้วนี่” ข้าพเจ้าตะโกนตอบออกไป “มีธุระอะไรเอาไว้พูดกันพรุ่งนี้ไม่ได้หรือ?”

“โปรดเปิดประตูให้ผมเข้าไปพูดกับคุณเร็ว ๆ เถิด ผมอยู่ที่ปากทางจะเข้าไปวัดตราสังข์นี่เอง วัดตราสังข์ใกล้บ้านเขมรนี่แหละครับ ผมขอรับรองกับคุณว่ามาตัวคนเดียว ไม่มีอาวุธผมเป็นคนพิการและอายุมากแล้ว เดินก็ไม่ค่อยจะไหว”

ข้าพเจ้าควรจะเปิดประตูรับคนแปลกหน้าซึ่งไม่เคยรู้จักและไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาก่อน ในเวลาอันวิกาลเช่นนี้หรือ?

“โปรดเปิดประตูเร็ว ๆ เถิดครับ ถ้าคุณทิ้งให้ผมยืนโหนอยู่ที่นี่ พวกอ้ายด้องมันจะเห็น และถ้ามันรู้ว่าผมมาติดต่อกับคุณ มันคงเชือดคอผมเป็นแน่”

ข้าพเจ้าได้ยินเสียงแหบโหยดังเข้ามาอีก เสียงนั้นบอกถึงความหวาดกลัว ร้อนรน และขอความกรุณา แต่ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ยังไม่ไว้ใจ

“พรุ่งนี้มาพูดกันไม่ได้หรือ อ้ายด้องมันเป็นใครที่ไหนกันล่ะ?”

“เปิดประตูรับผมเข้าไปข้างในเสียก่อนเถอะครับ จวนได้เวลาของมันแล้ว มันคงจะต้องฆ่าอ้ายเด็กหนุ่มคนนั้นในคืนวันนี้อย่างแน่นอน อ้ายสัตว์ร้าย อ้ายผีปอบใจทมิฬหินชาติ--”

ข้าพเจ้าตัดสินใจดึงกลอนประตูแล้วจับลูกบิดกระชากเข้ามาข้างในทันที ปืนออโตเมติกคอลต์อยู่กับตัว ถึงเวลาจำเป็นจะต้องห่ำหั่นกันอย่างไรก็จะลองกับมันดูทั้งนั้น พอบานประตูเปิดร่างมนุษย์ตัวดำๆ ก็เสียหลัก ม้วนตัวกลิ้งถลาเข้ามาล้มฮวบอยู่กลางห้อง ด้วยความรวดเร็วอันเป็นสัญชาติญาณตามวิสัย ข้าพเจ้ากระแทกบานประตูปิดโดยแรง จัดการลงกลอนอย่างเรียบร้อย แล้วโดดเข้าไปนั่งที่เก้าอี้หวายพาดปืนนั้นไว้บนแขนท่อนซ้ายในท่าเตรียมพร้อม แต่ไม่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์วิสามัญฆาตกรรมเกิดขึ้นเลย ชายแปลกหน้าคนนี้มาตัวคนเดียว ไม่มีพรรคพวกติดตามมาด้วยเลย

เขาค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ไม้เท้าอันใหญ่กระเด็นไปกลิ้งอยู่ห่างจากตัวตั้งวากว่า ข้าพเจ้าสาบานได้ว่าดวงตาของเขาอันอยู่ลึกเข้าไปในกระบอกตาที่ปกคลุมด้วยเนื้อหนังอันเหี่ยวย่นนั้น มีประกายแจ่มใสเหมือนตาเด็ก แต่ขนคิ้วทั้งสองหนาเป็นปีกด้วยขนเส้นใหญ่ มันห่อย่นและติดอยู่เป็นแผงคล้ายกับขนหยาบๆ สีดำที่มีคนดึงเอามาจากเก้าอี้นวมเก่าๆ ผมสีขาวตามวัยปรกคอและกระจายอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง เพราะแน่ทีเดียว หวีคงจะไม่มีโอกาสได้พบกับผมที่เกรอะกรังของเขานับเป็นเวลาตั้งหลายขวบปีมาแล้ว

เมื่อชายแปลกหน้าคิ้วหนายืนทรงตัวได้แล้ว สีหน้าของเขาที่จ้องตรงมายังข้าพเจ้า แสดงว่าความวิตกกังวลอย่างใดอย่างหนึ่งที่ฝังอยู่ในความรู้สึกเมื่อครู่นี้ได้ค่อย ๆ จางหายไป เขายืนปัดน้ำฝนตามเสื้อกางเกงสีดำด้วยกิริยาเป็นปกติและสงบเสงี่ยม แต่เพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น เขาก็หัวเราะด้วยเสียงกึกก้องและมีกังวานอย่างประหลาด

“ผมได้พบคุณแล้ว ถึงอ้ายด้องมันรู้มันจะฆ่าผมเสีย ผมก็ไม่เสียดายชีวิต เพราะผมได้แก้แค้นมันแล้ว อ้ายสัตว์นรก อ้ายปีศาจตาเหลือง อ้ายหอยทากที่คอยจะสูดกินแม้แต่เลือดหมา”

คำพูดของเขาแม้จะเปล่งออกมาด้วยเสียงอันแหบแห้งและสั่นเครือ แต่มันก็รุนแรงยิ่งกว่าลูกระเบิด มันเหมือนกับคำพิพากษาประหารชีวิตสำหรับผู้ได้ยินได้ฟัง ที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องประสบต่อเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน

“ลุงคงจะหนาว” ข้าพเจ้าพูดขึ้น และเมื่อเห็นว่าเป็นที่ไว้วางใจได้ โดยที่จะไม่ต้องระแวดระวังภัยอะไรอีกแล้ว ก็เดินตรงไปที่โต๊ะเล็กมุมห้อง จัดการริน “แม่โขง” ใส่แก้วส่งให้ดื่มเป็นการ “อุ่นตัว” ไปพลางก่อน “ฉันมีแต่เหล้าชนิดนี้ เหล้าโรงหรือค่างไม่มี”

“ผมรีบออกเดินทางมาตั้งแต่ก่อนฝนตก” เขาพูด เสียงค่อยหายสั่นลงบ้าง “อีกราว ๆ สามเส้นจะถึงบ้านพักของคุณฝนมันก็เทลงมา”

ข้าพเจ้าเลื่อนเก้าอี้หวายอีกตัวหนึ่งไปให้เขานั่ง “มีเรื่องอะไรก็เล่าไปซี ฉันจะคอยฟัง”

“คุณคงไม่นึกว่าผมเป็นคนร้าย เป็นพวกปล้นหรือคิดกลอุบายล่อลวง”

“เอ้อ--แต่มันเป็นความจำเป็นนี่ลุงเอ๋ย ที่นี่มันดงหัวโขด มันเป็นที่กลางป่ากลางดง ไม่ใช่สามแยกหรือถนนเจริญกรุง ความปลอดภัยของทุกคนอยู่ที่การเตรียมพร้อม ดีไม่ดีจะเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่า ๆ”

ชายคิ้วดกเหลือกตาขึ้นแล้วยิ้ม เป็นรอยยิ้มครั้งแรกที่ปรากฏบนใบหน้าสีคล้ำอันเต็มไปด้วยรอยย่นของเขา จริงอยู่สหายใหม่ในเวลาวิกาลของข้าพเจ้าเป็นคนมีชีวิต แต่ดวงหน้าของเขา-ให้ข้าพเจ้าล้มหงายหลังเป็นลมตายไปเดี๋ยวนี้เถิด มันเป็นดวงหน้าของภูตผีปีศาจอย่างชัด ๆ ปากของเขาเป็นรูปสามเหลี่ยม มันเปิดกว้างอยู่ข้างหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งตีบแฟบแล้วยานย้อยออกมาเหมือน ปากแพะ เมื่อเบะปากยิ้ม ฟันสีดำที่มีอยู่สองสามซี่เช่นเดียวกับเสารั้วบ้านเก่า ๆ ที่ล้มลงนอนกับดิน โผล่ออกมาเกะกะอยู่นอกปาก

“ผมไม่ใช่ชาวบ้านตำบลวัดตราสังข์นี้หร็อก” เขาเริ่มเปิดฉากสนทนา “ผมชื่อหอก เกิดที่ตรอกวัดตองปุ กรุงเทพฯ มาได้เมียที่นี่ก็เลยอยู่ที่นี่เรื่อย ๆ มา ไม่ได้ย้ายไปอื่น เดี๋ยวนี้เมียผมตายแล้ว แต่มีที่ทำกินอยู่แถววัดตราสังข์ก็เลยไปไหนไม่รอด”

“อ้อ เป็นชาวกรุงเทพฯ เหมือนกันหรือนี่?” ข้าพเจ้าปรารภ

“ครับ ผมเป็นชาวกรุงเทพฯ พ่อแม่ก็เป็นคนกรุงเทพฯ”

“เอาละ ช่วยย่นเรื่องราวให้มันสั้นเข้าสักหน่อยเถอะ เรื่องมันไปยังไงมายังไงกันล่ะ?”

“คุณมาพักที่บ้านนี้เคยได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ผิดธรรมดาบ้างไหมครับ?”

ข้าพเจ้านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่เคยได้ยินเสียงอะไรที่นึกว่ามันจะผิดธรรมดา”

“เสียงหมาหอนเคยได้ยินไหมครับ?”

“อยู่ที่ไหนมันก็มีเสียงหมาหอนทั้งนั้น”

“จริงอย่างคุณว่า อยู่ที่ไหนมันก็มีเสียงหมาหอนทั้งนั้น” มนุษย์หน้าผีซึ่งประกาศตนเองว่าชื่อนายหอกขัดขึ้น “แต่เสียงหมาหอนที่ได้ยินมาทางทิศตะวันตกมันผิดธรรมดาจริง ๆ คุณเคยได้ยินมันหอนติด ๆ กันราวครึ่งชั่วโมง แล้วก็เว้นไปราวสิบนาทีแล้วก็หอนขึ้นอีก ดังเรื่อยๆ ไปจนตลอดคืน อย่างที่ผมว่านี่คุณได้ยินบ้างหรือเปล่า?”

ข้าพเจ้าเริ่มระลึกได้ เมื่อ ๔ วันที่ผ่านไปแล้วนี่เอง เคยมีเสียงหมาหอนดังวิเวกขึ้นตลอดคืน ทางทิศที่ต้นกร่างใหญ่สามต้นขึ้นอยู่ คือทิศตะวันตกนั่นเอง ข้าพเจ้าเคยถามตัวเองว่า ทำไมหมาที่ดงหัวโขดตำบลบ้านพระนี่จึงหอนกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเสียเลย คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืดไม่ใช่เดือนหงาย จะว่าเป็นฤดูติดสัตว์ก็ไม่สมเหตุผลนัก อย่างไรก็ตามคำกล่าวของนายหอกเพื่อนใหม่ผู้ชราภาพ ได้ก่อความฉงนสนเท่ห์ให้แก่ความรู้สึกของข้าพเจ้าไม่น้อยเหมือนกัน

“ฉันเคยได้ยินเสียงหมาหอนอย่างลุงว่า” ข้าพเจ้ายอมรับเพราะมันเป็นความจริง “แต่เมื่อได้ยินแล้วก็เพียงแต่นึกสงสัยเท่านั้น ไม่เคยคิดว่ามันจะมาเกี่ยวข้องกับเราได้อย่างไร”

“มันเกี่ยวซีครับ ผมว่ามันเกี่ยวมากทีเดียว” เขาพูด พร้อมกับแสยะปาก นิ้วมือทั้งสองข้างกางออกและเกร็งแน่นเหมือนเล็บเสือ “ชีวิตมนุษย์ทีเดียวแหละคุณ มันฆ่ากันอย่างทารุณที่สุด”

“ชีวิตมนุษย์--ฆ่ากัน--อย่างทารุณที่สุด! ก็มันมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องหมาหอนเล่า?”

“เกี่ยวซีครับ ปีศาจมันวนเวียนอยู่ วิญญาณของผู้ตายยังไม่สงบ” เขาตอบเร็ว มือทั้งสองข้างยกขึ้นชูเหมือนกำลังแบกของหนัก “คนที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรเลยแต่ถูกฆ่าตาย วิญญาณจึงมาท่องเที่ยวอยู่แถวบ้านหมู่บ้านตราสังข์ คุณไม่เคยทราบหรือว่า หมามันเห็นสิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็น มันได้กลิ่นสดับวี่แววจึงได้ส่งเสียงหอนคล้ายจะบอกเล่าให้พวกมันรู้”

“เรื่องที่ลุงเล่าให้ฉันฟังนี่ยังกะเรื่องนิทานชั้นเอกเทียวนะ” ข้าพเจ้าพูด นึกสนุกครึกครื้นใจขึ้นมาทุกที

“มันไม่สนุกหร็อกคุณ มันเป็นเรื่องของความตาย” เขายกมือขึ้นโบกเป็นเชิงห้ามไม่ให้ข้าพเจ้าหัวเราะ

เสียงลมพายุโจมตียอดไม้จนหักโครมครามลงมาค่อยสงบลงบ้างแล้ว ฟ้ายังแลบแปลบปลาบอยู่

ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหมาหอนดังขึ้น--เสียงนั้นดังแผ่ว ๆ เยือกเย็นและยาว--นายหอกสะดุ้งเฮือกสุดตัว เขาผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้โดดมาจับขาข้าพเจ้าไว้แน่น มือสั่นระริกนัยน์ตาเหลือกลาน

“เอาอีกแล้ว รวดเร็วเหลือเกิน ผมมาช้าไป!”

“มันเป็นเรื่องเกี่ยวแก่ชีวิตหรือ บอกฉันเร็ว บอกฉันเดี๋ยวนี้แหละ!”

ชายชราผู้มีรูปกายอันน่าเกลียดคุกเข่าลงพนมมือ แหงนหน้าขึ้นมองขอความกรุณาจากข้าพเจ้า “ผม-เจ้าประคุณ--ผมช้าไปเสียแล้ว อ้ายด้องมันสังหารเสียอีกศพหนึ่งแล้ว--คุณ--คุณได้ยินไหมครับ หมามันหอนอีกแล้ว?”

ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทันกล่าวตอบ เขาลุกพรวดพราดไปเปิดหน้าต่างเอาไม้ยันไว้ “โน่น-คุณเห็นไหม มันกำลังหามโลงผี มีคนชูคบนำหน้ามานั่น มันไปทางต้นกร่างสามต้น พุทโธ่เอ๋ย-!”

เสียงหมาหอนดังวิเวกทวีขึ้น ข้าพเจ้ายืนจ้องมองไปที่เขาชี้ให้ดู ขาทั้งสองข้างแข็งเหมือนถูกตรึงไว้กับพื้นกระดาน!

คนสองคนกำลังหาบโลงผีเดินมาตามทางข้างต้นกร่าง เชือกผูกโลงเป็นเชือกเส้นใหญ่ มัดเป็นสองเปลาะ แล้วสอดลำไม้ไผ่จากหัวไปท้าย มีคนหามทั้งข้างหน้าข้างหลัง คนหามข้างหน้านุ่งผ้าเที่ยวไม่สวมเสื้อชั้นใน เป็นคนร่างใหญ่ ศีรษะล้าน คนหามข้างหลังผอมสูง หน้าเป็นกระดูก และมีหนวดเครารุงรัง ส่วนคนนำหน้าถือคบสองมือนั้น เป็นคนมีอายุผ่านวัยกลางคนไปแล้ว หลังงองุ้ม และผมเป็นกระเซิงเหมือนเอาหม้อตาลขนาดใหญ่ขึ้นไปทูนไว้ เมื่อลมพัดแรง คบเพลิงในมือเล่มหนึ่งดับ เขาก็หยุดเคาะกับโคนกร่าง พอขี้ไต้หล่นแล้ว เขาก็ลนจ่อกับคบอีกดวงหนึ่ง ผลัดกันติดผลัดกันดับหลายครั้งหลายหน

“ลุงคิดว่ามันเป็นเรื่องฆ่ากันหรือ”

“ฆ่าซีครับ ฆ่ากันอย่างทารุณทีเดียว!” สหายใหม่ในเวลาวิกาลของข้าพเจ้ายื่นหน้าเข้ามากระซิบ นัยน์ตายังไม่หายเหลือกลาน มือข้างขวาของเขาจับต้นแขนข้าพเจ้าไว้แน่น มันสั่นและบางครั้งก็กระตุกอย่างแรง

“นั่นมันจะหามโลงผีไปไหนกันล่ะ?” ข้าพเจ้าถาม

เขาพูดไม่ออก ทำท่ามึนงงเหมือนเห็นปีศาจผีดิบมายืนตรงหน้า ข้าพเจ้าตบที่บ่าเขาสองทีซ้อนอย่างแรงเพื่อดึงสติกลับมา “ทำใจให้ดีๆ ไว้ แล้วเล่าให้ฉันฟังอย่างละเอียดทีเดียว”

เขายังพนมมืออยู่ ทำปากขมุบขมิบเหมือนพระสวดมนต์ “เจ้าประคุณเอ๊ย เมื่อตะกี้-ก่อนที่ผมจะออกจากบ้านเดินทางมาหาคุณ ผมยังเห็นมันเป็นคนอยู่ เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง ครึ่งชั่วโมงจริง ๆ มันก็ถูกหั่นคอจับตัวยัดลงโลง--อ้ายสัตว์ร้ายตัวนี้ มันเชือดมาหลายศพแล้ว แต่มันยังไม่หยุดหรอกครับ มันจะต้องเชือดต่อไปอีก”

“ฉันอยากรู้ว่านั่นมันหามโลงผีไปไหนกัน?”

“มันหามเข้าไปที่ป่าช้าคนเขมรครับ ป่าช้าในวัดตราสังข์นั่นแหละ”

เสียงหมาหอนดังวิเวกขึ้นอีก

เสียงนั้นทอดยาวเป็นระยะๆ แล้วก็หยุดไป ข้าพเจ้าเองอดคิดไม่ได้ว่า ทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น เสียงหมาหอนในคืนวันเดือนมืดท่ามกลางพายุฝน ในขณะที่คนหามโลงผีออกมาตามทางเพื่อนำไปสู่ป่าช้า

“เล่าให้ฉันฟังเร็วทีเดียว ลุงเชื่อหรือว่านั้นเป็นการฆ่ากัน” ข้าพเจ้าดึงตัวนายหอกกลับเข้ามานั่งที่เก่า แม้ตัวของเขาจะสั่นเหมือนปลาที่ถูกจับขอดเกล็ดทั้งเป็น ก็ยังพยายามยืนยันถึงการฆาตกรรม “การที่ผมเสี่ยงภัยออกจากบ้านมาในขณะที่อ้ายด้องมันกำลังจะฆ่าคน ก็เพราะมันเล่นงานเสียหลายศพแล้ว ผมอดสงสารเพื่อนมนุษย์ไม่ได้ คนเหล่านั้นไม่ได้ทำความผิดอะไร เป็นคนโง่ ๆ อ้ายต้องมันจะจับเชือดคอเสียเมื่อไหร่ก็ได้”

“อ้ายด้องคนนี้มันเป็นใคร?” ข้าพเจ้าถามเร็ว

“มันเป็นแพทย์แผนโบราณครับคุณ” เขาตอบเสียงสั่นและฟันกระทบกัน เหมือนเด็กที่ออกไปเล่นน้ำฝนตั้งครึ่งวันค่อนวันแล้วกลับเข้ามา “บ้านอ้ายด้องอยู่ห่างจากผมเพียง ๕ หลังคาเรือนเท่านั้น มันอยู่ลึกเข้าไปปลายทาง ผมอยู่ริมทางตรงหัวเลี้ยวที่จะออกไปวัดตราสังข์ เวลามันประกอบกรรมร้ายผมและชาวบ้านทุกคนต้องทราบ เพราะเคยได้ยินเสียงคนร้องเรียกให้ช่วยบ่อย ๆ บางครั้งก็เป็นเสียงผู้ใหญ่ โธ่...คุณครับ ใครจะอยู่ได้อย่างเป็นสุข เมื่อได้ยินเสียงเช่นนี้”

“ไม่มีใครยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นบ้างหรือ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความรู้สึกสยดสยอง

“ไม่มีหร็อกครับ” นายหอกตอบเร็ว ข้าพเจ้ารีบรินแม่โขงส่งให้ดื่มระงับประสาทเสียอีกกร๊อบหนึ่ง พอรู้สึกอุ่น เขาจึงเริ่มบรรยายเหตุการณ์ต่อไป “ไม่มีใครกล้าไปยุ่งกับมันเลย คนในตำบลบ้านพระทั้งหมดคิดว่ามันเป็นหมอผี บางคนว่าอ้ายด้องเป็นปีศาจ มันอาจจะควักหัวใจ ควักปอดหรือควักตับใครเสียเมื่อไรก็ได้ มันเป็นพวกเขมรที่มาจากเมืองศรีโสภณ ตั้งยี่สิบปีกว่ามาแล้ว”

“มันจะเป็นอะไรตามความเข้าใจของใครก็ตาม แต่มันจะฆ่าคนเล่นไม่ได้ ถ้ามันทำเช่นนั้น มันจะต้องได้รับโทษ”

“แต่คนในหมู่บ้านตราสังข์รู้ดีว่ามันฆ่าคนมาแล้วนับสิบทีเดียว” เขาพูดปากคอเริ่มสั่น และนัยน์ตาที่สงบไปครู่หนึ่งกลับเหลือกลานขึ้นอีก “พอได้ยินเสียงหมาหอน ชาวบ้านทุกคนจะสะดุ้ง แล้วรีบปิดหน้าต่างเสียทันที เพราะรู้ว่าไม่ใช่ก็ใครคนหนึ่งจะต้องตาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดแอบมองตามรูข้างฝาไม่ได้ เมื่อรู้ว่ามีผีถูกหามออกมา”

“ทางบ้านเมืองไม่เคยรู้เรื่องราวเหล่านี้บ้างเลยหรือ?”

“ที่นี่เป็นที่ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองมาก เป็นชนบทในป่าดง” เขาตอบ “ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นหมู่บ้านของชาวเขมรโดยเฉพาะ คนไทยแท้ ๆ อย่างผมมีอยู่เพียงไม่กี่คน พวกเขมรด้วยกันถึงรู้เรื่องก็ต้องทำเฉย ไม่กล้าพูดเพราะกลัวมัน เขาเชื่อกันว่าอ้ายด้องมียาสั่ง มันอาจจะทำให้คนดีๆ กลายเป็นคนบ้าหรือทำให้ลูกเมียคนอื่นกลายมาเป็นลูกเมียมันก็ได้ สำหรับผมความจริงรู้สึกคร้ามเดชมันไม่น้อยเหมือนกัน แต่ผมทนไม่ได้ครับคุณ ผมได้เห็นมนุษย์ที่ไม่ได้ทำความผิดถูกฆ่าตายโดยมือเจ้าหมอผีคนนี้ ผมอยากให้ทางการบ้านเมืองปราบปรามเสีย”

“แล้วลุงจะคิดอย่างไรต่อไป...”

“ผมก็มาหาคุณน่ะซีครับ” เขาตอบ ตาทั้งสองข้าง ภายใต้คิ้วกระจุกใหญ่จ้องตรงมาที่ข้าพเจ้าด้วยความหวัง “ผมคอยโอกาสนี้มานาน ผมลงไปซื้อยาที่ตลาดในเมืองเมื่อวันเสาร์ต้นเดือน ขุนเถลิงฯ เจ้าของร้านขายยาไทยชี้ให้ผมดูคุณที่ร้านขายเนื้อของเทศบาล แล้วบอกว่าคุณมาซื้อที่ดินไว้ที่ดงหัวโขด เวลานี้พักอยู่ที่กระท่อมหลังเขียว คือบ้านหลังนี้”

ข้าพเจ้าฟื้นความจำตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก็นึกออกว่า เมื่อวันเสาร์ต้นเดือนได้ไปเยี่ยมนายร้อยตำรวจโทนิกร ศักดิ์ธำรงเพื่อนรัก สารวัตรคนใหม่ประจำสถานีตำรวจบ้านพระ นิกรเพิ่งถูกย้ายมาจากสถานีตำรวจบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทราเมื่อสองเดือนก่อน วันนั้นเราได้ชวนกันออกมาเที่ยวตลาด และยืนอยู่หน้าร้านขายเนื้อของเทศบาล

“หมายความว่าลุงรู้จักฉันก่อนแล้วใช่ไหม?”

ใบหน้าอันยู่ย่นของเขาปรากฏรอยยิ้มอย่างหวาดๆ “ผมเห็นคุณเดินอยู่กับสารวัตรคนใหม่” เขาตอบ “คุณไม่ใช่คนถิ่นนี้ และเป็นเพื่อนของนายตำรวจ ผมจึงต้องมาหาคุณ”

“ตั้งใจจะบอกเรื่องอ้ายด้องใช่ไหมเล่า?”

“ครับ ผมต้องการเช่นนั้น ผมไม่อยากเห็นเพื่อนมนุษย์ถูกฆ่าตายอีกต่อไป ผมต้องการให้อ้ายด้องหมอผี ถูกจับตัวไปลงโทษตามกฎหมายของบ้านเมือง”

“ความคิดของลุงเป็นความคิดที่ดี และสมควรที่จะเกิดมาเป็นคนไทย” ข้าพเจ้าว่า “แต่ลุงรู้ได้อย่างไรว่า อ้ายด้องเป็นผู้ร้ายฆ่าคน มีหลักฐานอะไรจะนำมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่บ้างไหมเล่า?”

เขานิ่งอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง มองตรงมายังข้าพเจ้าด้วย สายตาที่บอกถึงความมั่นใจ “ผมอยากให้คุณและท่านสารวัตรไปเห็นด้วยตาตนเอง”

“ดีมาก” ข้าพเจ้าว่า “ลุงรับจะเป็นผู้นำไปหรือ?”

“ครับ ผมจะเป็นผู้นำคุณไป”

“ลุงไม่กลัวมันหรือ?”

“โธ่ ทำไมจะไม่กลัวครับ ผมเป็นคนไม่เชื่อไสยศาสตร์ แต่ก็อดนึกถึงยาสั่งของมันไม่ได้ พลาดท่าพลาดทางคุณอาจจะได้ยินเสียงหมาหอน... และผมต้องถูกเชือดคอจับตัวยัดลงโลงต่อจากอ้ายเปรมก็ได้”

“อ้ายเปรมเป็นใคร?”

“คนที่คุณเห็นเขาหามมันไปป่าช้าเมื่อสักครู่นี่แหละ”

“ทุกครั้งที่มันหามศพไปป่าช้า อ้ายด้องแจ้งกำนันผู้ใหญ่บ้านหรือเปล่า?”

“แจ้งครับ มันบอกว่าเป็นคนไข้ที่มารักษาตัวที่บ้านมันแล้วตาย เมื่อตายก็ต้องจัดการนำไปฝัง”

“กำนันผู้ใหญ่บ้านไม่สงสัยในการกระทำของมันเสียเลยเทียวหรือ?”

“ผมคิดว่าสงสัยเหมือนกัน แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพราะกลัวยาสั่งของอ้ายด้อง”

“ลุงต้องบอกฉันว่าอ้ายด้องฆ่าคนบ่อย ๆ เพื่ออะไร มันต้องการน้ำมันผี หรือต้องการแสดงให้ชาวบ้านเห็นว่าขลัง?”

“ครั้งแรกผมก็คิดอย่างที่คุณถามนี่แหละ แต่มันไม่ใช่ยังงั้นหรอกครับ อ้ายด้องมันฆ่าคนเพราะความหึงหวง”

“มันฆ่าเพราะความหึงหวง” ข้าพเจ้าทวนคำ “ไหนลุงว่ามันเป็นคนสูงอายุแล้วไม่ใช่หรือ?”

“ครับ อ้ายด้องเป็นคนสูงอายุ” เขาตอบ “ตามปกติมันก็ไม่น่าจะยุ่งกับผู้หญิง แต่เขาว่ามันเป็นโรคตัณหากลับ มันหึงทุกคนที่เข้าใกล้หลานสาวของมัน”

“อ้ายด้องรักหลานสาวยังงั้นรึ?”

“แต่แรกเมื่อเมียมันยังมีชีวิตอยู่ อ้ายด้องไม่เคยประพฤติตนอย่างนี้ มันเป็นผู้ใหญ่ที่ดี เป็นแพทย์แผนโบราณที่มีคนนับหน้าถือตามาก แต่พอเมียตายไม่ถึงสองปี มันเปลี่ยนไปเป็นคนละคนทีเดียว”

“อ้ายด้องไม่เคยมีลูกมีเต้ากับเมียที่ตายบ้างหรือ?”

“ไม่เห็นมีนี่ครับคุณ คนใดคนหนึ่งถ้าไม่ใช่ตัวอ้ายด้องก็ต้องเมียมันเป็นหมัน”

เราต่างนิ่งอึ้งตะลึงตะไลต่อเสียงอันสะท้านที่ดังมาแต่ป่าช้าวัดตราสังข์นั้นอีก หมามันหอนเหมือนคนสะอึกสะอื้นไห้เหมือนคำรำพันของภูตผีปีศาจที่เวียนว่ายทรมาน ข้าพเจ้าตะลึงงันอยู่กับที่ เช่นเดียวกับตะปูที่ช่างไม้ตอกโป้งลงไปฝังจมอยู่ในกระดาน ขณะนั้นได้ยินเสียงนายหอกมนุษย์หน้าผีใจพระพร่ำพูดต่อไปว่า “อ้ายเปรมมันสารภาพกับผมครับ มันว่ามันรักกับสะตองหลานสาวอ้ายด้อง ผมก็เตือนมันว่าชีวิตจะหาไม่ ‘เปรมเอ๋ย กูอยู่ดงหัวโขดมานานวันแล้ว โลงผีผ่านหน้าบ้านกูตรงไปป่าช้าวัดตราสังข์บ่อย ๆ กูแสนจะเศร้าใจนัก เพียงเด็กเล็กอายุไม่เกินพานขึ้น เข้าใกล้อีสะตอง อ้ายด้องก็ยังสังหารเสียได้ ตัวจึงเป็นหนุ่มฉกรรจ์หลงรักอีเขมร อีกไม่กี่โมงยามถึงกับกูก็จะไม่เห็นหน้ากัน...’ ผมพูดเตือนสติอ้ายเปรม เพราะรักมันเหมือนลูก อ้ายเปรมตัดไม้ไผ่กองฟืนไว้ให้ทุกเย็น แล้วบางวันมันก็แวะมากินข้าวด้วย มันขอให้ผมช่วยเรื่องจะพาสะตองหนี ผมว่ามึงคิดให้ดี อีสะตองจะรักมึงหรือ มันว่าขึ้น ๑๒ ค่ำจะพากันไป ถ้าพ้น มันจะอยู่ศรีมหาโพธิ์ เมื่อไปไม่รอดก็ขอตายอยู่ใกล้อีสะตอง กับขอให้ผมนำความแจ้งต่อทางการบ้านเมืองด้วย”

“แล้วลุงก็รับคำมันไว้”

“ครับ ผมรับคำอ้ายเปรมไว้จึงได้มาหาคุณ” เขาตอบ “เดี๋ยวนี้อ้ายเปรมมันก็ถูกฝังแล้ว และอ้ายด้องคงนำความแจ้งอำเภอว่าเป็นคนป่วยมาตายที่บ้านมันตามเคย”

“ลุงรู้ได้อย่างไรว่านายเปรมถูกฆ่าตาย” ข้าพเจ้าซัก

“ความลับที่มันนัดหมายกับอีสะตองรู้ถึงหูอ้ายด้องครับคุณ แต่อ้ายด้องมันทำเป็นไม่รู้ ถึงเวลาก็เรียกเจ้าเปรมไปกินข้าวด้วยกัน แล้วต่อจากนั้นก็ไม่มีใครเห็นมันออกมาตัดฟืนอีกเลย ผมถามเด็กในบ้านอ้ายด้องที่มันออกมาวิ่งเล่น ว่าเจ้าเปรมมันหายไปไหน มันว่าทั้งลงทั้งราก กำลังจะตาย อ้ายด้องเฝ้าพยาบาลอยู่ ผมได้ฟังก็นึกถึงคำของมันแต่เดิม รู้ว่ามันคงไม่รอดอ้ายด้องคงใส่ว่านส่านตุลงในถ้วยแกง ทำให้เป็นง่อยไปเสียแล้ว”

“ว่านส่านตุมันอะไรกัน ยาพิษหรือ?”

“ครับ ยาพิษ ร้ายยิ่งกว่าว่านหุยง่อที่มาจากเชียงตุงเสียอีก เมื่อกินเข้าไปเพียงเท่าเม็ดงาเท่านั้น ตัวจะตายไปครึ่งท่อน อ้ายด้องมันได้มาจากศรีโสภณถ้ำเขาเงียบ เปรมมันบอกผม ว่ารู้มาจากอีสะตอง”

“หวาดเสียวและทารุณ จนฟังแทบไม่ไหวทีเดียว” ข้าพเจ้าพึมพำออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว

“มันไม่เพียงแต่จะให้กินว่านส่านตุเท่านั้นหร็อกครับ” นายหอกบรรยายต่ออย่างรวดเร็ว “พวกที่อยู่แถวบ้านวัดตราสังข์รู้ดีทุกคนว่า มันถูกเชือดคอเสียแล้ว อ้ายด้องไม่เคยเว้นให้ใครเลย พอผมทราบข่าวว่ามันนอนเป็นง่อยเมื่อตอนเย็นจวนโพล้เพล้ก็รีบเดินตากฝนฝ่าพายุมาหาคุณเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ไม่ทันเสียแล้ว---อ้ายเปรมเอ๋ย--อ้ายเปรมเพื่อนน้ำมิตรของข้า”

เขานั่งลงแล้วกลับลุกพรวดพราดขึ้นอีก “ผมจะเป็นคนนำจับอ้ายด้องเอง ผมยอมตายถ้าหากมันจะมีของดีและคิดสังหารผม” เขาพูดเสียงกร้าว หยิบไม้เท้าฟาดโครมลงบนพนักเก้าอี้ “เพื่อความยุติธรรมและเพื่อชีวิตมนุษย์ คุณโปรดช่วยด้วยเถิด--”

นายร้อยตำรวจโทนิกร ศักดิ์ธำรง จากสถานีตำรวจบ้านพระถูกตามตัวมาพบกับข้าพเจ้าในวันรุ่งขึ้น ตอนเย็น เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวแก่ฆาตกรรมที่แสนสยดสยองผ่านจากปากข้าพเจ้าไปสู่ความรู้เห็นของเขาอย่างครบถ้วน

ข้างหลังนิกรมีตำรวจติดตามมาด้วยสามนาย คือ สิบตรีภักตร์ สิบโทผ่อง และพลประหยัด

และในเวลาใกล้ ๆ กัน นายหอกมนุษย์หน้าผีใจพระ ก็ย่องมาพบกับเราอย่างเงียบ ๆ ผู้ใหญ่แช่มแห่งบ้านดงหัวโขดและปลัดขวา นายพิชาญ ศักดิ์สุเดช ได้ถูกเชิญมาสมทบกันที่บ้านพักชั่วคราวของข้าพเจ้า ตามความปรารถนาของนายร้อยตำรวจโทนิกร แล้วเราทั้งหมดก็เริ่มออกเดินทางไปสู่ที่หมายอย่างเร่งรีบ

“จับทันที จับแบบจี้เส้นสะดุ้งไม่ให้มันรู้ตัวเลย” นิกรพูดกับข้าพเจ้า เขาชอบติดตลกในขณะที่ความเป็นความตายกำลังคอยอยู่ข้างหน้าเสมอ “อ้ายเสือด้องนี่มันสู้คนไหม พี่ชาย?” เขาหันไปถามนายหอกคนนำจับ

“มันไม่ยอมให้จับง่าย ๆ หร็อกครับ ถ้ารู้ตัว อ้ายด้องมันแก่ก็จริง แต่มันเคยเชือดคอคนเล่นมาแล้ว”

มิตรรักผู้เป็นนายตำรวจหัวเราะอยู่ในลำคอ จากนั้นราวอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเราทั้งหมดก็เข้าล้อมบริเวณบ้านของอ้ายด้องไว้ สิบตรีภักตร์เข้าไปทางประตู แต่ไม่ขึ้นเรือน นิกรสั่งให้เขา ‘สู้เผาขน’ อยู่ที่นั่น ถ้าบังเอิญอ้ายด้องหนีลงมา สิบโทผ่องคอยเชิงอยู่ที่สะพานไม้ข้างรั้วใต้ต้นมะขาม พลประหยัดซุ่มอยู่ปากทางที่จะตรงไปวัดตราสังข์

ข้าพเจ้ากับนิกรคอยอยู่ตรงบันไดหลังเยื้องกันคนละฟากทาง ส่วนผู้ใหญ่แช่มพร้อมด้วยนายพิชาญตรงเข้าประตูบ้านเพื่อขอพบอ้ายด้องนายแพทย์แผนโบราณตามหน้าที่ พร้อมด้วยหมายค้น... ครั้นแล้ววินาทีแห่งความตื่นเต้นอย่างขนพองสยองเกล้าก็ผ่านมาถึง

เสียงปืนดังขึ้นสองนัดซ้อน ๆ อ้ายด้องเป็นผู้กระชากไกปืนยิงก่อน เจ้าหน้าที่เข้าถึงห้องนอนของมัน พอดีกับที่ได้ยินเสียงของผู้หญิง แม่งามชาวเขมร ชื่อสะตองกำลังถูกอ้ายด้องมัดมือจับตัวนอนหงายลงกับพื้น พยายามจะกระทำชำเรา พอเห็นหน้าปลัดขวา แทนที่จะพูดจาด้วยมันกลับวิ่งเข้ากระชากพาลาเบลั่มออกมาจากใต้หมอนแล้วเปิดการยิงขึ้นต้อนรับในทันทีแต่ผิดที่หมาย คือเป้าหัวใจ กระสุนถากหน้าผากพิชาญไปเหมือนถูกไม้ครูด พิชาญตอกโป้งเข้าให้บ้าง... ผิดที่หมายเช่นเดียวกัน จริงดังที่นิกรคาดไว้ แผล็วเดียวเท่านั้น.... รวดเร็วราวกับหนูท้องขาว อ้ายด้องโดดลงมายืนอยู่ที่ดินในบริเวณที่เราเป็นผู้รับผิดชอบ นิกรโดดเข้ารวบตัวมันทางข้างหลังใช้มือไขว้จับคอกดลงแล้วตีเข่า ฉาดเดียวเท่านั้น ปืนหลุดจากมือ ข้าพเจ้าเห็นมันพุ่งตัวเข้าตะครุบปืน พยายามจะแก้มืออีก แต่มันช้าเกินไปเสียแล้ว แข้งขวาของข้าพเจ้ากระดกขึ้นป่ายลูกคางอ้ายเสือเฒ่าดังกร๊วบสนั่น มันหงายหลังผลึ่งชักตากลับไปทันที ครู่เดียวเราก็มัดอกแอ่นเอาเข้าไปผูกไว้ในบ้าน

ในห้องนอน เลือดสด ๆ กำลังสาดกระเซ็นอยู่ทั่วไป เพราะล้างกันยังไม่หมด แน่นอน...มันเป็นเลือดทะลักออกมาเมื่ออ้ายด้องลงมือเชือดคอเจ้าเปรม มีดปังตอหั่นหมูขนาดโตเท่าสองฝ่ามือกางเสียบอยู่ข้างฝา เลือดติดอยู่เกรอะกรังเช่นเดียวกัน อ้ายด้องพยายามปฏิเสธและแก้ตัวว่า มันเชือดคอหมู แต่หญิงสาวชาวเขมรผู้เป็นผู้รักของเปรมกลับเป็นพยานยืนยันว่าอ้ายด้องให้คนรักของหล่อนกินว่านส่านตุ พอเป็นง่อยเดินไม่ได้ก็เอามีดปังตอเชือดคอ เขาทำเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว คนที่เข้าใกล้หล่อน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหนุ่มหรือคนสูงอายุ จะต้องถูกอ้ายด้องเชือดคอทุกคน

อ้ายด้องถูกจับตัวส่งฟ้องศาลเพื่อรับโทษทัณฑ์จากผลที่มันได้กระทำไว้ แต่ข้าพเจ้ามิได้ชื่นชมต่อกรรมอันสยดสยองเช่นนี้เลย ดงหัวโขดยังอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้า มนุษย์หน้าผีใจพระที่เคยพบกันในครั้งนั้น ก็ยังได้กลับมาพบข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่งที่ร้านขายข้าวต้มปลาราชวงศ์ แต่เสียงหมาหอนอันวิเวกโหยหวนเหมือนคนพร่ำบ่นถึงความทรมานดังกล่าวแล้ว ไม่เคยผ่านมาสู่โสดประสาทของข้าพเจ้าอีกเลย--!”

อ้ายด้อง-ชื่อนี้มันหมายถึงว่านส่านตุ และความตาย!

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ