อั๊วต้งขบจายพูหญิงหาเงิง...

----------------------------

พวกคนจนกำลังแข่งกันเดินเข้าคิวไปโรงจำนำ ซิ่นสีบัวโรย และระบบเจี๊ยะแต๋ นั่งก่อน พูดกันก่อน..

----------------------------

ข้าพเจ้ามีโอกาสได้คุยกับเถ้าแก่โรงจำนำภายหลังสงคราม เขาบอกข้าพเจ้าว่าอาชีพโรงจำนำตกต่ำไปมาก ตลอดเวลาที่ลูกระเบิดกำลังหล่นอย่างชุกชุมอยู่กลางพระนคร ไม่มีคนเอาของมาจำนำ การส่งดอกเบี้ยก็ไม่ตรงต่อเวลาเหมือนแต่ก่อนบางรายก็ปล่อยขาดไม่มาส่งดอกเสียเลย ลูกค้าเก่าหายหน้าไปหมด ราคาของในตลาดขึ้นลงไม่คงที่ ทำให้ของที่รับจำนำไว้ด้วยราคาแพงขายไม่ได้ แต่ในสมัยก่อนที่เครื่องบินพันธมิตรจะมาทิ้งระเบิดอย่างรุนแรงนั้น เถ้าแก่โรงจำนำทุกคนนั่งซดน้ำชาเพลินทีเดียว เพราะของที่รับไว้ราคาถูก ๆ กลับขึ้นราคาไปเอง ถ้าผู้จำนำไม่รับไปส่งดอกตามกำหนด หรือต้อง ปล่อยให้หลุดก็นับว่าเป็นโชคดีมีกำไรเมื่อคราวนำของออกขาย

เถ้าแก่ถูกญี่ปุ่นจับตัวไปหลายคน

เถ้าแก่โรงรับจำนำหลายคนถูกหาว่าเป็นฝ่ายทำการต่อต้านญี่ปุ่น ปรากฏว่าโรงจำนำหลายแห่งถูกค้น และเถ้าแก่ถูกจับตัว โรงจำนำบางแห่งต้องปิดทำการ ไม่มีโอกาสจะรับจำนำต่อไป การปิดโรงรับจำนำนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม นับว่าทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้นำของมาจำนำเป็นอันมาก ความจริงของที่รับจำนำไว้ อาจจะเป็นของที่เช่าหรือยืมมาจากคนอื่นหรือไขว้เขวเพื่อจะหาทุนไปหมุนทำการค้าชั่วคราวก็ได้ แต่เมื่อบังเอิญโรงจำนำต้องถูกปิดลงเพราะลูกระเบิด แม้เจ้าของโรงจำนำจะยอมรับใช้ค่าเสียหายให้ ก็เพียงแต่คิดจากราคาที่ประเมินไว้ถูก ๆ ในตั๋วจำนำเท่านั้น ผู้ที่เอาของคนอื่นมาหมุนจึงหมดโอกาสที่จะถ่ายได้ บางคนถึงกับถูกฟ้องหาว่ายักยอก นำของส่งคืนเจ้าของไม่ได้ ต้องเข้าตะรางไปก็มี

โรงจำนำไม่เป็นแต่เพียงสถานที่ที่เปลี่ยนของให้เป็นเงินเท่านั้น แต่ได้เปลี่ยนฐานะของ “คนบ้าน” ให้ กลายเป็น “คนคุก” ไปด้วย ข้าพเจ้าเคยเห็นคนดี ๆ มีความสุจริตใจ ต้องเข้าคุกไปเพราะเหตุนี้หลายคนมาแล้ว

โรงจำนำอยู่ได้ เพราะผ้าซิ่นและสเกิร์ต

เถ้าแก่โรงจำนำเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า โรงจำนำไม่ได้ตั้งอยู่เพราะเพชรหรือทองซึ่งเป็นของมีค่า ความจริงอยู่ได้เพราะลูกค้าประจำ ลูกค้าประจำนี้ไม่มีทองหยองอะไรมาจำนำเลย เขามีแต่เสื้อผ้า เช่นซิ่นและสเกิร์ต แต่มาจำนำบ่อยและถ่ายกลับไปบ่อยที่สุด เมื่อจำนำบ่อยถ่ายบ่อย โรงจำนำก็ได้ดอกเบี้ยบ่อย

“มีโสหุ้ยมาก ได้เงินมาก ไม่ใช่อั๊วรับทอง” ซินแสประจำช่องบอกข้าพเจ้า “ผู้หญิงหาเงิง เราก็ต้องนับถือเขา คนถีบสามล้อเราก็ต้องนับถือเขา โรงจำนำมีโสหุ้ยมาก อั๊วต้งขบจายผู้หญิงหาเงิง”

ผู้หญิงหาเงินชนิดที่ “ซินแส” ว่านั้น เขาว่าหลายคนมีสเกิร์ตอยู่เพียงคนละสองชุดเท่านั้น พอขัดเงินเข้าก็นำมาจำนำเสียชุดหนึ่ง เหลือไว้นุ่งติดตัวชุดหนึ่ง บางทีในเดือนเดียวจำได้ว่าเอามาจำนำและถ่ายออกกลับไปกลับมาตั้ง ๗ ครั้ง เขามีลูกค้าชนิดนี้นับเป็นร้อย ๆ คน บางคนรู้ใจกัน พอยื่นห่อของก็หยิบเงินจ่ายได้ทันที ไม่จำเป็นต้องพูดถึงราคา ผู้หญิงบางคนนุ่งผ้ามาสองชั้น ชั้นนอกเป็นสเกิร์ตสีแดง ชั้นในเป็นผ้าถุงสีดำพอก้าวข้ามธรณีโรงจำนำเข้าไปก็ถอดสเกิร์ตออกจำนำ ขากลับคนที่ยืนอยู่หน้าโรงจำนำจะนึกถามตัวเองว่า ผู้หญิงคนที่กลับออกมาจะเป็นคนเดียวกับที่เดินเข้าไปหรือไม่ เพราะหน้าตาเหมือนกัน แต่นุ่งผ้ามอซอผิดกัน

ธรรมเนียมใหม่ คิดค่ารักษาของ

โรงรับจำนำสมัยหลังสงครามนี้ คิดดอกเบี้ยเอากับผู้นำของมาจำนำเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นร้อยละสี่ แต่บางแห่งคิดค่ารักษาเป็นพิเศษอีกร้อยละ ๑๐ บาท ค่ารักษานี้ไม่มีกล่าวไว้ในตั๋วแต่เป็นที่รู้กันเมื่อเวลาจำนำ และผู้มีของมาจำนำจะต้องตกลงสมยอมกันก่อน ทางโรงจำนำอ้างว่าเวลานี้โจรผู้ร้ายชุกชุม ของอาจจะมีอันเป็นไปได้ในทางที่ไม่ปลอดภัย และเมื่อเป็นเช่นนี้ โรงจำนำต้องรับใช้ ส่วนทางฝ่ายผู้มีของมาจำนำจะไม่มีทางโต้เถียงแต่อย่างใดเลย เพราะอยู่ในฐานะต้องการเงิน ดังนั้น ดอกเบี้ยที่โรงจำนำคิดอยู่ในปัจจุบัน จึงไม่ใช่ร้อยละ ๔ แต่เป็นร้อยละเท่าใดนั้น ท่านผู้อ่านก็น่าจะคำนวณได้เอง

ระบบ ‘เจี๊ยะแต๋’ นั่งก่อน พูดกันก่อน

ในสมัยก่อนสงคราม เมื่อเถ้าแก่โรงจำนำเห็นคุณหญิงคุณนายถือกระเป๋าหนังชนิดที่เรียกกันว่าหนังจระเข้ เดินเข้ามาก็จะเรียก ‘เจี๊ยะแต๋’ ทันที เขาจะเชิญให้เข้าไปนั่งในที่อันมิดชิดเป็นพิเศษข้างหลังบังตา แล้วเริ่มทักทายปราศรัยด้วยไมตรีจิตอันดี เพราะทราบอยู่แล้วว่าไม่ใช่คนชั้นสามัญ อย่างน้อยจะต้องเป็นคุณหญิงคุณนายที่มาจากในวัง เจ้านายองค์ใดองค์หนึ่งคงจะเกิดขัดเงินขึ้นอย่างไม่มีปัญหา ไม่เพชรหรือทองของเก่าจะต้องไหลเข้ามาสู่อุ้งมือของเขาเป็นแน่ละ ความคิดที่กล่าวจะไม่ห่างไกลจากความจริงไปได้เลย เพราะในไม่ช้าข้าวของอันมีราคาเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนเป็นเงินไปอย่างแน่นอน

เถ้าแก่โรงจำนำเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า มีผู้หญิงสูงอายุในวังเจ้านายหลายพระองค์เคยนำของมาจำนำติดต่อกันอยู่ ของเหล่านี้เป็นเพชรบ้างทองบ้าง เจ้านายท่านกลัวเสียพระเกียรติไม่มาเอง จึงมอบให้คนสนิทมาแทน แต่คนสนิทบางคนจำนำแล้วเลยเชิดเลย เคยปรากฏเรื่องไม่งามเช่นนี้บ่อยที่สุด แต่แล้วก็เงียบไปเฉย ๆ

เจ้านายท่านไม่แจ้งความและจัดการจับตัวคนร้ายส่งเข้าคุกเสียบ้างหรือ? ข้าพเจ้าถาม

“ท่านไม่เคยแจ้งความเลย?” เถ้าแก่โรงจำนำตอบ

“ทำไม?”

“ท่านกลัวความจะแตก และกลัวจะมีคนรู้ว่าท่านยากจนลงถึงกับต้องจำนำของ”

คนจนกำลังเดินแข่งกันเข้าโรงจำนำ

ในปัจจุบันนี้ โรงจำนำกำลังทำหน้าที่รับของประเภทเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มไว้มาก ผิดกว่าเมื่อสงครามยังขับเคี่ยวกันอยู่ในสมัยนั้น คนที่ไม่มีความรู้ความสามารถ มีแต่ความตลบแตลงก็หาเงินได้ ตกมาถึงสมัยนี้ คนจำพวกเลว ๆ นั่นหมดโอกาส จึงถอยหลังกรูดเข้าสู่สภาพเดิม และเมื่อหาเงินใช้ไม่ได้คล่องๆ อย่างแต่ก่อน ก็เริ่มหันเข้าจับมือกับโรงจำนำทีเดียว เสื้อผ้าชนิดดี ๆ เช่นชาร์กสกิน ก็หลุดไปจากตัวทีละชิ้น ๆ จนหมด ส่วนโรงจำนำเมื่อรับเสื้อผ้าไว้มาก และคนชนิดนี้กลับมาถ่ายน้อยก็จำต้องเปลี่ยนวิธีการใหม่ คือรับด้วยราคาอันถูกลง เผื่อว่าเมื่อมีผ้าเข้ามาจากต่างประเทศได้แล้ว เสื้อกางเกงที่รับไว้ในราคาต่ำก็อาจจะขายได้คล่อง ๆ ในท้องตลาด ไม่ถึงกับจะต้องขาดทุน

เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อคนเหล่านั้นจำนำเสื้อกางเกงเสียหมดแล้ว ต่อไปเขาจะมีอะไรไปจำนำอีกเล่า?

ข้าพเจ้าพบหญิงสาวรูปร่างหน้าตาส่อว่าเป็นผู้ดีมีสกุลคนหนึ่ง เดินเข้าไปในโรงจำนำด้วยท่าทางอันสงบเสงี่ยมเป็นปกติ เธอค่อย ๆ คลี่ห่อกระดาษออกวางไว้ตรงหน้า “ซินแส” ผู้ตีราคาของ ข้าพเจ้าเห็นว่ามันเป็นสเกิร์ตสีบัวโรยตัวหนึ่งยังใหม่ และอยู่ในสภาพอันเรียบร้อยดี

“๑๒ บาท” ซินแสว่า

“๑๕ บาทเถอะเถ้าแก่ ฉันมีธุระต้องการเงิน” เป็นเสียงตอบอย่างแผ่วเบา

“ไปพิมพ์มือได้” ซินแสตอบ เขาไม่ใช่คนโหดร้ายนัก เขาก็มีจิตใจของมนุษย์ที่รู้จักความเวทนาสงสารเหมือนกัน เขารู้ว่าสเกิร์ตตัวนั้นยังใหม่ และถ้าไม่มีความจำเป็นอันสุดวิสัยเกิดขึ้นแล้ว หญิงสาวผู้นั้นจะไม่ยอมจำนำสเกิร์ตอันเป็นสิ่งแสนสุดที่รักของเธอเลย

นี่คือเรื่องของซินแส หลายคนยังคงก้าวข้ามธรณีประตูโรงจำนำอยู่ต่อไปอีก ตั๋วจำนำได้หดสั้นลงแล้ว เพราะกระดาษราคาแพง แต่ดอกเบี้ยได้ถีบตัวของมันเองขึ้นสูง คนโดยมากมิได้มีฐานะดีขึ้น เขาอาจจะไม่ใช่คนจนอย่างถึงขนาด แต่เขาย่อมจะเดินใกล้ประตูโรงจำนำเข้าไปได้เสมอ

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ