ปลายแผ่นดินขุนหลวงสุริยามรินทร์

กลอน ๘ แถลงปางกรุงเก่าเข้าตาร้าย ม่านขยายทางขยับทัพขยัน
ทั้งไพร่นายฝ่ายเราไม่เท่าทัน มิอาจยันยืนสู้พบูเงย
ใกล้อยุธยาวสานกาลวิโยค ถึงโฉลกจักล่มปากหล่มเผย
อาธิปัตย์ขัติยวงษ์จะลงเอย ใครไม่เคยคิดเห็นถึงเช่นนั้น ฯ
๏ เมื่อพระยาตากสินผินหน้าสู้ ฝ่ายศัตรูคักคึกศึกคับขัน
ข้างฝ่ายกรุงยุ่งเหยิงเชิงโรมรัน มัวแต่บัญชาเลอะแฉะเฉอะชี้
จะรบสู้อยู่ด้วยก็ม้วยเปล่า คงต้องเต้าตามเนื่องไปเมืองผี
ถ้าพร้อมกันบรรลัยใครจะมี สืบเสรีนำน่าประชาไทย
จำจะหลีกปลีกลี้หาที่หลบ คอยเมื่อพบโชคน่าจึ่งมาใหม่
มีความรู้คู่ตัวจะกลัวไย คงจะได้โอกาสในชาตินี้ ฯ

ผละจากกรุง

ร่ายยาว แถลงสมัยใกล้อวสาน รัชกาลพระเจ้าเอกทัศ ฉัตรบดินทร์ปิ่นอยุธยา คราววาศนาชนมายุ จักบรรลุขัยด้วยภัยไพริน พระยาตากสินสิ้นหวัง ที่จะช่วยประทังราชาธิปัตย์ แห่งปัจฉิมกษัตร์ราชวงศ์บ้านพลูหลวง จำปลดบ่วงห่วงใย มุ่งภักตร์ไปตามยถากรรม ถ้าบุญอุปถัมภ์ก็จะได้เชิดหน้า ณ คราหลัง สะสมกำลังเชื้อแถวทแกล้วทหาร กู้แก้แผ่ตำนารสยามราชอาณาจักร คืนสู่อิศรศักดิ์ประสิทธิผล ยื่นยงคงทนไปชั่วกาลนาน เทพเจ้าจงบันดาลให้สมหวัง ดังหฤทัยนี้เทอญ ฯ

๏ เมื่อได้ปลงใจโดยนัยฉนั้น ครั้น ณ วันเสาร์ขึ้นสี่ค่ำเดือนยี่ปีจออัฐศก พระยาตากยกบริวาร จำนวนประมาณกึ่งพัน หมดด้วยกันมีปืนกระบอกเดียว แต่เชี่ยวเชิงยุทธ์ด้วยอาวุธสั้น โจนจ้วงทลวงฟันผ่าวงริปู ฝ่ายศัตรูติดตามประจัญ ไปทันกันเมื่อเวลารุ่ง ได้รบพุ่งเป็นสามารถ ไทยองอาจต่อต้าน ฆ่าฟันม่านย่อยยับ พม่าแตกกลับเตลิดไป ฯ

๏ พระยาตากคระไลณไพรพนานต์ ถึงตำบลบ้านพรานนก ฟกกำลังพลไพร่ จึงสั่งให้หยุดพัก มิช้าก็ประจักษ์ปัจจามิตร เดินสวนทิศทางป่า จำนวนกว่าสองพันคน มีพลม้าสามสิบอัศว์ ก้าวสกัดทางกลางไพร พลไทยลาดเสบียงเลี้ยงกัน พม่าเข้าประจัญจักจับ ไทยหนีกลับบอกนาย ว่าริปูมากมายมาใกล้จะถึง จึงพระยาตากบัญชาสั่ง ให้แยกกำลังเป็นสองปีก หลีกเข้าสองข้างทาง ตัวท่านอยู่กลางโจนขึ้นม้า ออกประทะน่าไพรี เพื่อให้โยธีสองซีก แยกเข้าตีปีกพม่าณครานั้น ฯ

โคลง ๒ พระยาตากออกต้าน ไป่สทกอกสท้าน
สี่ม้าตามหลัง ท่านนา ฯ  
๏ ห้าไทยใจกาจกล้า หกต่อหนึ่งหนักหน้า
มากน้อยไม่หนี มันนอ ฯ  
๏ บุญเด่นเห็นถนัดแท้ สามสิบม้าพม่าแพ้
แก่ห้าม้าไทย ฯ  
๏ ม้าม่านพลุกพล่านทิ้ง หัวขาดตัวขาดกลิ้ง
เกลื่อนข้างทางดง ฯ  
๏ เหลือตายแตกพ่ายเข้า ประทะพวกพลเดินเท้า
ยิ่งซ้ำระส่ำระสาย ฯ  

ร่าย ขณะนั้นไทยเดินเท้า แยกกันเข้าสองผีก ตีสองปีกปฏิปักษ์ ซึ่งราวสักสองพัน ม่านมิทันรู้ตัว มัวพะวงด้านน่า มิรู้ว่าไทยมวญ มีจำนวนมากน้อย อลหม่านปมม่านด้อย แตกลี้หนีกจัด กจายแฮ ฯ

๏ ปางปวงไทยในลแวก แปลกหฤทัยที่ไทย มีชัยแก่ปฏิปักษ์ หักพม่ารามัญ ฆ่าฟันตายก่ายกอง ได้เข้าของมากมาย นายเป็นบุรุษอัศจรรย์ อันวาศนาบารมี ข่มไพรีม่านมอญ บรไม่ต้านทานศักดิ์ เห็นประจักษ์ว่าผู้ จักก่อกู้อิศระ แห่งสยามะมณฑล จึ่งปวงชนสามิภักดิ์ สมัคเข้าร่วมรับใช้ คชอัศว์จัดมาให้ ต่อสู้ดัสกร ฯ

กาพย์ธนัญชยางค์ ๓๒ เดินพลในพน ผ่านตามตำบล สะสมผู้คน ฝึกปรนสั่งสอน อาวุธยุทธการ อาหารหาบคอน เลียบป่าฝ่าดอน ไปยังฝั่งชล ฯ

๏ ข้ามฟากนที ปราจิณบุรี ดำเนินโยธี จรลีตามหน ชายศรีมหาโพธ โปรดให้พักพล ไม่ช้ามีคน รีบไปรายงานฯ

๏ ว่าพม่าข้าศึก โยธาคณาณึก ทางบกทางทึก คักคึกแถวธาร เสียงคนโห่ร้อง เสียงฆ้องหม่องขาน คาดได้ไม่นาน คงข้ามตามทัน ฯ

๏ เวลามีน้อย กำลังยังด้อย แต่ใจใช่จ้อย ไม่ถอยหนีมัน ท่านใส่หาบคอน รีบจรอารัญ พลรบครบครัน ซุ่มสองข้างทาง ฯ

๏ ท่านเองนำพล ประมาณร้อยคน ไม่ยอมจำนน ต่อสู้อยู่กลาง ม่านบุกรุกรบ ไทยตลบกีดกาง สู้พลางหนีพลาง ล่อให้ไล่ตาม ฯ

โคลง ๒ ทัพพม่าเสียท่าด้วย นึกว่าไทยใจย้วย
จักย้ำทำลาย ฯ  
๏ ท่ามทางหว่างป่าหญ้า ม่านรุกไล่บุกบ้า
บุ่มเก้กังตาม ฯ  
๏ ไทยซุ่มรุมขนาบข้าง สูจุ่งรู้รศบ้าง
ว่าแพ้เป็นไฉน ฯ  
๏ ริปูลู่ฤทธิ์ร้าย อลหม่านม่านแตกพ่าย
ตเพิดแพ้แก่ไทย ฯ  
๏ อุดตลุดอาวุธทิ้ง ทางเถื่อนเกลื่อนศพกลิ้ง
กล่นพื้นพงพนานต์ ฯ  
๏ แก้เผ็ดเด็จเดี่ยวแท้ ฝ่ายจมูผู้แพ้
ไม่กล้ามากวน อีกเลย ฯ  
๏ สลัดม่านหลุดผ่านได้ ท่านรีบรวมไทยให้
พรักพร้อมในครา น่านา ฯ  

ผู้นำ

โคลง ๔ ใคร ๆ ใคร่ซอกข้อ ซอนคำ บ้างเอย
เค้าเคล็ดเท็จจริงอำ อัตถ์อ้าง
สมญาว่า “ผู้นำ” คนชนิด ไหนนอ
ชี้เช่นเป็นนายห้าง แห่งบ้านเมืองตน ฯ
๏ ในเมื่อประเทศพ้อง ภัยพาล
บ้านแตกสาแหรกลาญ หลุดด้วน
ยุบยับอัปปมาณมาน มัวมืด
ว้าวุ่นชุลมุนม้วน มอดม้วยซวยโซม ฯ
๏ ในเมื่ออริกล้า มากลืน
ยึดประเทศเขตยืน อยู่ยั้ง
ขู่ตคอกหอกปลายปืน เป็นปตัก
อำนาจบาศใหญ่กั้ง เกียจก้าวร้าวฉาน ฯ
๏ ในเมื่อแร้นแค้นคับ ใจคน
แทบมิธำรงตน อยู่ได้
จักเกลือกจะเสือกสน แสนขัด
การอยู่การกินใกล้ กับเหี้ยเดียรฉาน ฯ
๏ ในเมื่อถูกเบื่อน้ำ ใจไทย
ในเมื่อเหื่อไหลไคล หยดย้อย
ในเมื่อถูกเถือไถ ทุกขณะ
ในเมื่อเหลือที่ถ้อย ถ่วงถ้วนทวนแถลง ฯ
๏ ยุคเข็ญเห็นแน่แท้ มรไทย
จำจะต้องมีใคร สักผู้
ซึ่งปวงประชาใจ จงรัก
ยอมเชื่อยอมฟังรู้ ว่าไร้ใจโกง ฯ
๏ ผู้นำจำต้องเฟื่อง ฟูบปัญ ญาแฮ
ใครชั่วใครดีทัน เท่ารู้
บำบัดอัตตเหตุอัน เอือมจิต
รู้รมัดตัดโลภผู้ พวกพ้องของตน ฯ
๏ บุรุษดุจกล่าวนี้ นามนิน นาทนา
คือพระยาตากสิน สุดกล้า
เที่ยงตรงธจงจินต์ จักก่อ
กู้สยามยามว้า เหว่คว้างกลางหน ฯ

สร้างกำลัง

กลอน ๘ ปางพระยาตากสินโยธินทร์เลิศ วิชัยเชิดชื่อเนื่องแต่เบื้องต้น
เมื่อตีฝ่าที่ล้อมพรักพร้อมพล จำนวนคนห้าร้อยน้อยอาวุธ
นิกายไทยใจป้ำอำมหิต แม้ถูกติดตามอยู่ไม่รู้หยุด
ก็เหิ่มหาญร่านเริงเชิงประยุทธ์ พม่ารุดมาอีกก็ฉีกยับ
ในที่สุดศัตรูไม่สู้หน้า ไม่กลับมาเสี่ยงโชคให้โขกสับ
เมื่อมารุกทุกทีถูกตีพับ ต้องระงับคิดตามด้วยขามฤทธิ์ ฯ
๏ ท่านเกลี้ยกล่อมตะล่อมไทยให้คิดสู้ กว่าศัตรูทั้งหมดจะปลดปลิด
ปลูกจำนงปลงใจในความคิด จะกู้อิศรภาพในคาบนี้
ถ้าใช้หวานไม่ได้ท่านใช้ขม ข่มอารมณ์ลู่ลีบดังบีบบี้
ใครร่วมจิตคิดสู้กู้ธานี ไม่อวดดีพองขนเพื่อตนเอง
ท่านก็ส่งเสริมใจมิให้ออก ไปนอกคอกคิดการพาลโฉงเฉง
เมื่อเห็นความเที่ยงธรรมก็ยำเยง ไม่ครื้นเครงบ่ายเบี่ยงให้เพลี่ยงพล้ำ
ชนที่ท่านผ่านไปในแลวก เหมือนหญ้าแพรกชื่นชลด้วยฝนฉ่ำ
ปลื้มกมลล้นเหลือเชื่อผู้นำ ทวีกำลังทรัพย์สัพพาวุธ
ถ้าเนเมียวเดี่ยวเด็จไม่เข็ดขาม มาติดตามทั้งทัพคงรับหยุด
เพราะเราร่วมใจกันไม่หวั่นยุทธ์ มีบุรุษกาจกล้าเป็นนายก ฯ
๏ ท่านบำรุงบำรามตามท้องถิ่น เรืองระบิลผู้นำทั้งน้ำบก
จำพวกพาลพากันสั่นสทก ต่างระหกระเหินลี้หลบหนีเร้น
เหลือแต่พวกร่วมจิตคิดก่อกู้ ปราบศัตรูกองกรรมกระทำเข็ญ
แม้ในคราวแตกฉานซ่านกระเซ็น ไม่ยอมเป็นคนไทยไร้เสรี
ประชาชาวอยุธยาถูกพร่าพล่าน เที่ยวหลบม่านซุกซ่อนซอกซอนหนี
ได้ทราบข่าวผู้นำส่ำเสนี บารมีมากมุ่งจะจุงไทย
ก็เกิดมีความหวังฉมังคิด ว่าเห็นทิศเที่ยงแท้จะแก้ไข
ร่วมจำนงจงรักรู้จักใจ ถึงถิ่นฐานบ้านไกลก็ไปรวม
ต้องเดินทางหว่างป่าฝ่าดงรก เจ็บหัวอกกรมเกรียมเที่ยวเตี้ยมต้วม
บ้างโซเซเตร่เต้าจนเท้าบวม ถึงกายน่วมก็หทัยไม่จำนน
จะยากแค้นแสนเข็ญเห็นแต่ทุกข์ ก็บั่นบุกแถวเถินเนินสถล
จำนงทุ่งมุ่งธารผ่านเมืองชล มั่นกมลหมายสู่ท่านผู้นำ ฯ
๏ ท่านใช้เมืองระยองเป็นท้องที่ ชุมโยธีหมวดกองให้ชองช่ำ
ม้าทหารสารศึกฝึกประจำ จัดกระทำทุกนัยมิไว้วาง ฯ
๏ แต่เมืองจันทบุรียังมีอยู่ ซึ่งอวดรู้นอกรีดทำกีดขวาง
หัวหรือก้อยถ้อยคำก็อำพราง จะร่วมทางหรือไฉนไม่จำแนง
พระยาจันทบุรีไม่ดีแน่ พูดผันแปรกลับกลายน่าหน่ายแหนง
ดูท่วงทีกิริยาน่าระแวง ว่าแก่งแย่งถือดีมีอาวุธ
ออกอุบายถ่ายเททำเล่ห์ล่อ เปรียบดังตอปักไว้ให้สดุด
อัตตเหตุทำให้ใจชำรุด ไม่เข้าชุดคิดช่วยเป็นหน่วยเดียว
จึ่งเกิดเหตุกันเองจนเครงครื้น ต้องใช้ปืนปรามปราบน่าหลาบเสียว
พื้นพยศหมดท่าจะยาเยียว ให้กลมเกลียวต่อสู้ศัตรูไทย ฯ
ปัญญาเดินตรอก เดินตรอกคือคอกกั้น ปัญญา
จำกัดสายตาคน แค่ใกล้
ขวาซ้ายส่ายนัยนา นึกแคบ
เหตุบ่เห็นกว้างได้ ดั่งแด ฯ
ปัญญาออกถนน จากตรอกออกไกว่กว้าง ทางถนน
ย่อมเห็นหนแล ห่างสล้าง
ปัญญาจะพาดล แดนสว่าง
เหตุที่เห็นได้กว้าง แกว่งตา ฯ

ผู้ว่าราชการจันทบุรี

กลอน ๗ มาจะกล่าวบทถึง พระยาจันทบุรีเป็นใหญ่
ทราบข่าวเจ้าตากจากกรุงไกร มีชัยแก่พม่ารามัญ
กำลังสั่งสมบ่มกำลัง จักตั้งเป็นใหญ่ในเขตขัณฑ์
อันเขากับเราพอเท่าทัน ควรน้อมยอมกันด้วยอันใด
เขาทำโอหังตั้งแว่นแคว้น เราแค่นเข้าหาหาได้ไม่
มักใหญ่ใฝ่สูงจูงตนไป เหตุไฉนจึงด่วนมากวนเรา
เมืองใครใครอยู่อู่ใครนอน เที่ยวทำรานรอนทำไมเล่า
ควรคิดควรทำตามลำเนา ถ้าเข้าข่มเหงไม่เกรงกัน
เวรคงลงทัณฑ์ในวันน่า บารมีใครกล้าปัญญามั่น
ในคราวยุคเข็ญเห็นสำคัญ เดินมรรคาไหนตามใจตน ฯ
๏ พระยาจันทบุรีเช่นนี้นึก ไม่ระลึกความร้ายอาจบ้ายผล
ในส่วนควรมุ่งบำรุงพล ต้านต่อปรชนผู้หยาบช้า
อันสามัคคีก็ดีอยู่ ถ้ามีตัวกูเป็นหัวน่า
อัตตหิตคิดไว้แต่ไหนมา ใคร่หาช่องทางสร้างฐานะ
เป็นใหญ่ในสยามยามยงยศ ปรากฏเปรื่องกิตติ์อิศระ
กู้ไทยให้คืนยืนภาวะ ดังพระนเรศวรม้วนแผ่นดิน
คือองค์อวตารผลาญไพรี หงษาวดีแด่ว ๆ ดิ้น
งามสมสมญาสยามินทร์ ชนยินย่อมพรั่นหวาดหวั่นฤทธิ์ ฯ
๏ ฝันเห็นเป็นเค้าเบาแผ่วแผ่ว นัยแนวเลือน ๆ ฟั่นเฟือนจิต
ลืมนึกล่วงน่าว่าความคิด อาจผิดอาจพลาดปราศปัญญา
ความจริงกับฝันแปลกกันนัก ชอบจักคิดทั้งหลังแลน่า
แง่เสียแง่ได้ใฝ่จินดา เทียบเคียงดูว่าเป็นฉันใด
ปัญญามาเพิ่มเติมสติ ตรองตริรอบคอบในกรอบใหญ่
พังเพยภาษิตสกิดไว้ ว่าใครรู้ตัวไม่มัวงม
เดินดุ่มงุ่มง่ามด้วยความเหม่อ เผอเรอนัยนามองหน้าก้ม
คนนั้นครรไลคงไม่ล้ม เหตุเพราะอารมณ์ไม่งมงาย
จันทบุรินทร์หมิ่นเหม่อเผลอไผล ฝันใฝ่งงงวยด้วยกระหาย
ใคร่มีบุญเลิศประเสริฐชาย เป็นนายบ้านเมืองรุ่งเรืองตน ฯ
๏ แต่เราพึงตรึกระลึกไว้ ว่าจันทบูรไกลในทางถล
มีทเลอยู่ขวางในทางชล ไม่มีเรือยนต์กลนาวา
ทางบกไม่มีรถเร็วรี่ ทางฟ้าไม่มีเรือเวหา
ยากนักจักคล่องครองปัญญา เชิงชั้นบรรดาความเป็นไป
สิ่งใดใกล้ตัวจึ่งรั่วรู้ สิ่งไกลไม่สู้จะรู้ได้
ยิ่งเมื่อตสิณาพาครรไล ด้วยความมักใหญ่จูงใจนำ
ก็ดังคางคกกระลาวน ชื่นชลเปี่ยมปริ่มเอิบอิ่มหนำ
ทนงบ้าว่าเราเป็นเจ้าน้ำ ใหญ่ล้ำชลาลัยในโลกนี้
ไม่รู้สู่รู้ดังปู่ปราชญ์ ไม่ฉลาดทำชล่าดังบ้าจี้
อันความรู้น้อยถ่อยวาที ย่อมมีอันตรายมากมายนัก ฯ
โคลง ๒ สยามตวันออกใต้ สองพยัคฆ์ไม่ได้
จักต้องลดลง หนึ่งนา ฯ  
๏ เสือจะต้องอยู่ถ้ำ คงจะกัดฟัดขย้ำ
ยุทธ์ยื้อแย่งคู หาเฮย ฯ  

ตีจันทบุรี

โคลง ๒ เจ้าตากตั้งทัพใกล้ มีประสาทสั่งให้
เรียกพร้อมปฤกษา ฯ  

ร่าย พระเชียงเงินยอดทหาร หลวงชำนาญไพรสณฑ์ อีกคนชายชาตรี นายบุญมีมหาดเล็ก หนึ่งชายเหล็กแรงยอด นายบุญรอดแขนอ่อน ชายกระฉ่อนนามไกร ขุนอภัยภักดี พิพิธวาทีอีกขุน คนคู่บุญภูวนัย หลวงพิชัยอาสา พรหมเสนาอีกหลวง แรงทลวงเริงฉกาจ ราชเสนหาหลวงหนึ่ง ซึ่งศัตรูเกรงขาม นักองค์รามเชี่ยวชาย นายทองดีนายแสง ล้วนเข้มแข็งรณรงค์ ทรงปรึกษากลศึก อันคักคึกคาบนี้ เห็นไฉนให้ชี้ ช่องเข้าเอาชัย ฯ

คำตรัศ จันทบุรีนี้ใช่ ชำฉา
ทีท่าปราการปรา กฎกร้าว
ค่ายคูประตูธา นีมั่น คงนอ
ฤาจะหลุบฟุบร้าว ฟาดล้มจมเลน ฯ
คำทูล กำแพงแขงเข้มค่าย คูเพ็ชร์ ก็ดี
เวียงทวารบานเก็จ กาจล้น
ข้าบาทมิคลาศเสด็จ แสดงเดช
นำจมูจู่ปล้น ป่ายเข้าเอาเมือง ฯ
คำตรัศ กำลังยังน้อยกว่า กำลัง เขาเนอ
เขามากฝากกายยัง ย่านป้อม
ไม่ออกนอกกำบัง มารบ เราเลย
เราจะบุกรุกล้อม รบเร้าเขาไฉน ฯ
คำทูล ฝ่ายมากหากไม่สู้ จำนวน น้อยนา
เราก็แผ่แหอวน ข่ายข้อง
ล้อมไว้เมื่อใดจวน จักอด
เห็นตระหนักจักต้อง ตกเตี้ยเพลียพลำ ฯ
คำตรัศ สมมติฝ่ายมากเมี้ยน มัวขลาด
น้อยทนงองอาจ อาจล้อม
แต่เราเสบียงขาด แคลนอยู่
เขาอิ่มเราอดอ้อม โอบได้ไฉนหนอ ฯ
คำทูล ลำเลียงเรายากด้วย ทางไกล
แต่ก็มีพอใน ขณะนี้
ข้าบาทคาดชิงชัย เชิงลอบ ทลวงแฮ
อยู่ ๆ จู่เข้าขยี้ ข่มขยุ้มรุนแรง ฯ
โคลง ๒ ถูกหฤทัยท่านแท้ ฟังมติตริแก้
คิดคั้นปัญหา ฯ  
คำตรัศ ความคิดชนิดนั้นสิ ตูแสวง
เที่ยงหทัยไป่แคลง เคลือบท้อ
เช่นนี้มิเสียแรง มาร่วม กันนอ
กลั่นฉกาจปราศข้อ ขยาดขยั้นสั่นแสยง ฯ
๏ เราน้อยเขามากด้วย กำลัง
เขาอยู่ในกำบัง เบี่ยงด้อม
เราเกลี้ยงเสบียงดัง เราคาด
เขาจะออกนอกป้อม ป่ายต้อนตีเรา ฯ
๏ เราใช่ไป่รู้เล่ห์ กลไพ รีเลย
ใช่จะโง่งมใน เงื่อนนี้
เชิงเขาจะเอาชัย เห็นชัด
เราก็แก่นใช่กพี้ แห่งไม้ไพศาล ฯ
๏ แม่ทัพตรับทราบซึ้ง กลศึก
ซึ่งอริตริลึก เลศแล้
ทุกนัยหทัยนึก ทางแน่
แท้ถ่องตรองกลแก้ กลับได้ชัยเฉลิม ฯ
๏ บ้านเมืองเมลืองรูปเค้า เราคิด
จักประสานศานติ์สฤษดิ์ เลิศแผ้ว
เราสุดสุจริตจิต ผจงเจตน์
น้อมประณามสานแก้ว สัตย์กล้าอาไศรย ฯ
๏ สุรเทพเสพย์สัตย์แจ้ง จริงนัย ฉนั้นแน
แจ่มประจักษ์ว่าใคร คาบนี้
เป็นผู้จะกู้ไอ ศวรส่วน สยามแฮ
ย่อมจะคุ้มครองชี้ ช่องเอื้อเอาภาร ฯ
๏ วางใจในส่วนนี้ จงสนิท เถิดนอ
ชัยโชคโยคเกณฑ์สถิต ที่แล้ว
เชื่อตนเชื่อผลผริต พลีสัตย์
มั่นหทัยไม่แคล้ว คลาศคล้อยลอยลม ฯ
๏ พิเคราะห์เฉพาะหน้า ในครา นี้นา
ถึงดิถีดีปรา กฎแจ้ง
ก่อนตรู่จะจู่รา วีป่าย
ปิ่นประยุทธ์กุฑย์แย้ง แย่งเข้าเผาผลาญ ฯ
๏ สั่งกันพลันทราบเค้า ในคืน นี้เทอญ
กองฉกรรจ์ยันยืน อยู่พร้อม
เหล่าราบดาบหอกปืน เป็นหมวด
คราฤกษ์เกริกเข้าห้อม โห่เร้าเอาชัย ฯ
๏ อาหารวารน่ามื้อ สายัณห์ นี้แน
เตรียมแต่ยังวันวัน เถิดน้อ
มื้อนี้จะกินกัน ที่นี่
อิ่มเสร็จสั่งต่อยหม้อ พรุ่งมื้อในเมือง ฯ

ร่าย เหล่านายทัพนายกอง ฟังทำนองกลยุทธ สุดยินดีทุกตน รีบสั่งพลบ่มิหึง จึ่งเหล่าทหารหาญศึก รู้ตื้นลึกหนาบาง ต่างคนวางหฤทัย ในบุรุษผู้นำ ต่างกระทำตามสั่ง คำดำรัศบ่มิแคล้ว โภชนกิจสำฤทธิ์แล้ว ต่อยหม้อรอเวลาแฮ ฯ

โคลง ๒ เพียบพยูห์อยู่พร้อม หมวดหมู่สู่ที่ด้อม
จิตจ้องจักโจม ฯ  
๏ ซุ่มสนิทมิดเม้น อกไขว่หฤทัยเต้น
มืดตื้อมือคัน ฯ  

ร่าย เวลานาฬิกาสาม ได้ฤกษ์งามยามดี นายโยธีพร้อมสรรพ ขับทหารไทยจีน เข้าป่ายปีนกำแพง ทั้งด้านแวงด้านฉวาง วางมณฑกนกสับ ชาวเมืองรับรบสู้ ผู้คนตายก่ายกอง แต่กระดองแห่งเมือง แม้หนุนเนืองเข้าตี ก็ไม่มีบุบฉลาย นายเร่งไพร่ไล่เข้า บั่นบุกรุกโรมเร้า ยิ่งล้มตายลง ฯ

โคลง ๔ ปิ่นทัพขับคชค้ำ คำแหง หาญเฮย
ชนทวารดาลแสดง เดชเจ้า
สัญจารบ่ทานแรง บุญท่าน
พลนิกายป่ายเข้า เข่นจ้วงทลวงโจม ฯ
๏ จันทบุรีตีได้เมื่อ ตอนสาง
โดยวิถีที่วาง เงื่อนไว้
ไม่ราบจะปราบทาง ไทยสงบ ได้ฤๅ
ใครมิทานท่านได้ เหตุด้วยบารมี ฯ

ร่ายยาว ฝ่ายพหลพลไพร่ในกองทัพ ดาบหอกกลอกกลับคะลิงชิงชัย ครั้นเข้าเมืองได้ก็มิรีรอ รีบหาหม้อหุงข้าว กินมื้อเช้าในเมือง เครื่องคาวมากสมมาน เครื่องหวานมากสมหมาย ณ มื้อนั้น ฯ

๏ ส่วนหญิงชายชาวเมือง ผู้มิได้เกี่ยวเนื่องในการศึก รู้สำนึกว่าจันทบุรี แม้มิได้มีม่านไปรานรอน แม้มิได้มีมอญไปรอนรบ ก็สยองสยบอยู่มิเว้นวาร เห็นว่าใกล้กาลที่อิศระ จะถึงมรณะลงไปด้วยกัน ประเทศเขตขัณฑ์ถึงคราวพินาศ เสรีแห่งชาติถึงคราวพิบัติ เว้นแต่จะเกิดกษัตร์ผู้นำส่ำประชา เปล่งประคุณบุญวาศนามหาเดช กลับนำประเทศสู่ราชาธิปตัย ให้ไทยเป็นไทยดังอภิธัยแห่งชาติ บำราศริปูอยู่ยงธำรงมั่นนิรันดร ฯ

๏ ฉนี้ชนนิกรชาวจันทบุรี แลท้องที่ทั่วไปในอาณาเขต สังเกตเดชาภินิหาร บุญญาธิการหลายหลาก แห่งเจ้าตากผู้นำพล บอกยุบลกันต่อ ๆ ไป เกิดเลื่อมใสในพระองค์ ปลงใจสมัคภักดี ต่อภูมีผู้นำ กำลังทรัพย์กำลังกาย ถวายแด่ผู้จมูบดี พลีต่อชาติซึ่งถูกบีฑา ต่อสาสนาซึ่งถูกพาธะ ต่อราชะผู้ทรงคุณวิเศษ อาจนำประเทศสู่สุขารมณ์ อุดมสวัสดิวัฒนาการ เป็นรมยสถานธำรงเสถียร ด้วยความเพ่งเพียรแห่งกษัตร์ ณ บัดนั้น ฯ

ชุมพล

โคลง ๒ ปิ่นณรงค์ทรงเดชได้ ที่มั่นคั่นหนึ่งไว้
คิดแก้เผ็ดไพ รีแฮ ฯ  
๏ ฝึกปรนพลเพียบพื้น จิตประจักษ์จักฟื้น
เกียรติ์แคว้นแดนสยาม ฯ  
๏ เดือน ๗ ถึง ๑๑ ได้ ดังประสาทสั่งให้
ซักซ้อมพร้อมเพรียง ฯ  
๏ มรสุมชุมทัพแกล้ว หมดฤดูคลื่นแล้ว
จึ่งย้ายยาตรา พลแฮ ฯ  
๏ ร้อยลำเรือรบล้วน อาวุธยุทธภัณฑ์ถ้วน
ถี่แท้ทุกลำ ฯ  
โคลง ๔ ออกจากปากอ่าวเลี้ยว แหลมสิงห์
หินดั่งรูปสิงห์จริง จัดตั้ง
(น่าชังฝรั่งเศษยิง หัวแตก
เมื่อยึดจันทบูรครั้ง ศกร้อยสิบสอง ฯ)
นมสาว จาวเจิดนั้น นามเกาะ
โผล่สมุทสุดเหมาะ มารคนี้
เต่งตั้งดุจดังเดาะ ดูเด่น
สืบเรื่องเนื่องนานกี้ เก่าล้ำตำนาร ฯ
๏ เรื่องราวชาวถิ่นนี้ นานนาม
ม่องล่าย นายอ่าวสยาม ย่านใกล้
ยมโดย ธิดางาม พะงารุ่น
สองบ่าวกล่าวขอให้ เลือกข้างทางไหน ฯ
กงจีน ศีลสัตย์น้อย นักหนา
หน้ามืดพืชเสน่หา เหิ่มห้าว
กลั่นพลกล่นเภตรา มาเกลื่อน
กั้นหยั่นเกาทัณฑ์ง้าว เงือดเงื้อเหลือหลาย ฯ
เจ้าลาย ชายหนุ่มผู้ พงษ์ไทย
สู่พ่อขอสายใจ เจิดแก้ว
ม่องล่ายบ่หน่ายใน เธอหนุ่ม นั้นนา
คำสัตย์มัดมั่นแล้ว เลิกย้อนถอนไฉน ฯ
๏ รักสัตย์ชัดว่าต้อง รบศึก
อันจะโหมโครมครึก ครั่นครื้น
ไทยล่มจักถล่มลึก เลนหล่ม
เมืองจะเป็นเมืองขึ้น บีบคั้นมันเคย ฯ
๏ ทางสัตย์ทางศึกทั้ง สองทาง
ดวจดังสองเขากวาง ไกว่ย้าย
เบี่ยงบ่ายอุบายวาง วาระ ไฉนนอ
จึงจะเลิกเศิกร้าย สัตย์ไซร้ไป่เสีย ฯ
๏ ยมโดยโบยอุระไห้ ราวหัก
สัตย์บ่มีมีศักดิ์ ไป่ได้
ไทยจิตทุจริตจัก จมดิ่ง
จำจะคิดปลิดให้ เหตุร้ายสลายไป ฯ
๏ โฉมฉายหมายม้วยเมื่อ มีเข็ญ ฉนี้นา
ชนกระลึกนึกเห็น ชอบด้วย
สองซีกฉีกนงเพ็ญ โยนสมุท
เกิดเกาะสองเดาะสร้อย ห่อห้มนมนาง ฯ
๏ มอดม้วยช่วยชาติได้ ยมโดย เจ้าเอย
ความชอบกอบกองโกย ก่อกว้าง
ปราณร้างแต่นางโปรย ประโยชน์
สองอนุสสรณ์สร้าง สืบเจ้าเยาวมาลย์ ฯ
๏ นารีมีมากหน้า เมืองไหน บ้างนอ
ที่จะเด็จเดี่ยวใจ ดั่งเจ้า
ชีพม้วยช่วยชนไทย ทั้งแหล่ง
เปี่ยมประถิติ์จิตเร้า เรื่องกี้กวีการ ฯ
๏ เรือแล่นแม่นทิศท้อง ชลธี
ผ่านเกาะเดาะดรุณี เนิ่นเศร้า
ดำนารบุราณมี มาเนื่อง
อ่าวแม่รำพึง เร้า เรื่องเครี้ยวเดียวกัน ฯ
นางรำพึง ผู้แม่ ยมโดย
รันทดพจนะโหย เหี่ยวไห้
น้ำตาพร่าพรายโรย ลงแอ่ง เล็กเอย
เปลี่ยนแอ่งเป็นอ่าวได้ ชื่อดั้งเดิมแสดง ฯ
๏ ลัดเกาะเลาะหลีกคุ้ง ชลาลัย
เห็นดั่งทำนายใน อดีตโน้น
“สมมุกจะเป็นไพร” พงพฤกษ์
เดิมว่าเป็นเกาะโล้น เลื่อมพร้อยพรายแสง ฯ
๏ โบราณท่านบอกไว้ เวลา โน้นนา
“ศรีมหาราชา ฝั่งน้ำ”
สีชังดั่งคำพยา กรณ์เก่า
“เป็นท่าเรือจอด” ง้ำ แง่กั้งบังลม ฯ
โคลง ๒ เรือทรงองค์อิศระไท ทอดสมอรอให้
พรักพร้อมลำกัน ฯ  
๏ ชุมทัพนับถี่ถ้วน ที่เกาะสีชังล้วน
เลิศแกล้วการรณ ฯ  
๏ นายไพร่ใจกาจกล้า คอยจะใคร่ไล่คว้า
จิกเกล้าเหล่าอสูร ฯ  
๏ ได้ฤกษ์เบิกทัพท้าว เพียบพหลพลห้าว
มุ่งหน้ามาเหนือ ฯ  
โคลงดั้น น้ำนิลดิ้นโดดเร้า วาริธิ์
ละลอกหัวขาวกราว เกลื่อนสล้าง
หลั่น ๆ กระชั้นชิด ฉานฉ่า
ลมระเบงเคว้งคว้าง คระวี ฯ
๏ ชลนิธิ์อิศระแท้ ถ่องถนัด
พระสมุทมีเสรี เรี่ยวล้ำ
ครั่นครืนคลื่นเครงซัด ซ่าซ่า
ใครปลิดฤทธิ์น้ำได้ ดั่งฤๅ ฯ
๏ พลพยูห์หมู่ใหญ่ครั้ง คราวไหน บ้างนอ
เกลื่อนชลาลัยลือ เลื่องถ้อย
ไวว่องล่องลมใน แนวน่าน นี้นา
เนาประนังตั้งร้อย แล่นดา ฯ
๏ เรือรบเรือไล่แกล้ว การรบ
สง่าสุดยุทธนาวา แหวกเต้า
ควณคิดทิศอรณพ แนวมุ่ง
ปากอ่าวแม่น้ำเจ้า พระยา ฯ

เจ้าทองอิน

กลอน ๖ มาจะกล่าวบทถึง ทองอินกายไทยใจพม่า
เป็นคนแคบสั้นปัญญา โอกาศวาศนาครานั้น
เห็นขี้ว่าดีกว่าไส้ น้ำใจเติบโตโมหันธ์
หมายกำอำนาจราชทัณฑ์ กำเริบเสิบสันแสนร้าย
เข้าช่วยศัตรูขู่ข่ม ได้สบอารมณ์สมหมาย
พะม่ามอบให้เป็นนาย รักษาป้อมค่ายเมืองธน
ช่วยม่านผลาญไทยให้ท้อ กอบก่อวาศนาหาผล
สมส่ำกำไรใส่ตน เป็นคนเกิดหมูนภูลนค
ท่านว่าถ้าเถรไม่ดี ทั้งปวงหลวงชีสกปรก
เหตุเพราะหัวหน้าลามก นายกนำแถวแนวโกง
ร่วมวงไพบูลย์ภูลสิน เปือกปนมลทินทั้งโขลง
สายใยเยื้องยักชักโยง ร่วมโขยงขยอกกินสินทรัพย์
รับมอบอาญาน่าที่ จู้จี้เหยกโหยกโขกสับ
เกะกะกระทำสำทับ ยุบยับราษฎรร้อนลาญ
เหลิงเจิ้งในใจไม่รู้ ว่าอาจมีผู้อาจหาญ
กำหราบพะม่าสามานย์ ไทยพาลพวกมันพลันมรณ์ ฯ
๏ เจ้าตากจากจันทบุรี ทองอินไม่มีสังหรณ์
ไม่มีเทพดาอาทร ไม่นึกอาวรณ์ร้อนใจ
ครั้นทราบข่าวศึกฮึกหาญ ดังหนึ่งพระกาลมาใกล้
รีบรัดจัดกันทันใด หวั่นไหวอกเต้นเขม่นตา
ได้เคยเชี่ยวชาญการรณ กับคนง่อยเปลี้ยเสียขา
ศึกมีกำลังวังชา ครั้งนี้เห็นน่าหวั่นนัก
เห็นลางข้างร้ายตายแน่ จงผีพ่อแม่แผ่ศักดิ์
เม็ตตาอารักข์ลูกรัก ไก่หมูตูจักสังเวย
ม้าใช้ไปแจ้งยุบล ค่ายโพธิ์สามต้นเร็วเหวย
คราวนี้ศึกกล้ากว่าเคย อย่าเฉยมาช่วยด้วยเทอญ
พวกเราเข้าใจให้แน่ ถ้าไม่คิดแก้แต่เนิ่น
ไพบูลย์จักพับยับเยิน รหกรเหินยากจนข้นแค้น
อุตส่าห์คิดคดทดโท่ จนได้ใหญ่โตหนาแน่น
คราวนี้อำนาจขาดแคลน ถ้าแล่นหนีเขาเข้าดง
ไพร่เมืองเคืองขุ่นฉุนโกรธ คงโลดไล่รีบถีบส่ง
จักตาย ๆ ไปใจปลง กอดวงไพบูลย์สูญปราณ ฯ
โคลง ๒ ทองอินแนวที่ห้า ใจบ่กล้าจำกล้า
รบสู้ซังตาย ฯ  
๏ พลไพร่ไล่เร่งต้อน เปรียบดั่งหญ้ามาป้อน
ปากห้าวแห่งปืน ฯ  

ร่าย ปางโยธินทร์ปิ่นทัพ สั่งสรรพพหลพลหาญ ทยานเร่งเร้าเอาชัย ฝ่ายมอญไทยในธน ต่างเถลือกถลนหลบหลีก ปลีกจากตรอกออกทุ่ง ไม่รบพุ่งต่อต้าน ด้านนี้ผันนั้นผิน ศพทองอินบ่มิหึง ก็ถึงแดนป่าช้า ฟ้าเป็นเฝือกเกลือกกลิ้ง หมาแย่งแร้งกาทึ้ง ปราศผู้สงสาร ฯ

โคลง ๔ ความเหม็นหมาเน่าแม้ เหม็นนัก
เอียนสอึกลึกกระอัก อกร้าว
ทิ่มถูกจมูกหมัก หมมกลิ่น
บูติ์กระหลบอบอ้าว อัดแสร้วนาสา ฯ
๏ หมาเหม็นไม่มากแม้น นามเหม็น
เน่ามนุศย์สุดเข็น โขดขั้น
ฉินชื่อระบือเห็น หนถ่อย
หน่ายเน่าเราพึงขยั้น ขยาดคร้ามนามเหม็น ฯ
โคลง ๒ ปัจจนึกศึกไก่แจ้ ครีพหักดักแด้
จักสู้อูไฉน ฯ  
โคลง ๔ ทองอินสิ้นชีพแล้ว ทรงรุด
รีบมุ่งกรุงอยุธยา ย่านใกล้
ด่วนไปมิได้หยุด พักพวก พลเลย
จู่จะโหมโจมให้ มรั่มม์ร้ายมลายลาญ ฯ

สมิงพ่าย

กลอน ๖ มาจะกล่าวบทไป ถึงพระนายกองของม่าน
ผู้นามสุกี้มีภาร เป็นจอมบงการอยุธยา
มอญขาวข่าวระบือมือหนัก อิ่มนักอำนาจวาศนา
ทราบศัพท์ทัพใหญ่ไทยมา ด่านน่าผิดคาดขาดแคลน
ตกใจนักหนาหน้าเสีย ลูกเมียเป็นบ่วงห่วงแหน
เมียดังมหิษีศรีแดน ลูกแม้นเจ้าฟ้าอ่ายศ
แม้เราพลาดพลั้งครั้งนี้ ป่นปี้โภคทรัพย์ยับหมด
เคยเคลียเมียน้อยช้อยชด สวยสดสาวๆพราวพรรณ
ใครเล่าเขาจักรักเลี้ยง ดังเยี่ยงกูเคยเชยขวัญ
เมียหลวงหึงบ้างช่างมัน รังเกียจเดียดฉันกันไย
ครั้งนี้ไทยกล้ามากวน ควรหรือลบหลู่กูได้
แม่นมั่นสัญชาติคนไทย กตัญญูที่ไหนไม่มี
กูช่วยให้เป็นเมืองขึ้น กลับมึนเมาสัตติ์บัดสี
ไม่มีน้ำใจไยดี ไมตรีพระเจ้าอังวะ
ร่วมวงไพบูลย์กับม่าน เป็นการแผ่ศักดิ์ทักษะ
สมบูรณ์พูลเกษมเปรมะ ทุกขณะเรียบราษฎ์ปราศเร้า
กูทำบุญคุณนักหนา กลับเป็นบูชาโทษเล่า
ดีไม่ว่าดีมีเดา เป็นเงาความคิดผิดพลั้ง ฯ
กลอน ๗ เสตเตลงเกรงกริ่งนิ่งรำลึก คักคึกข่าวทัพดูคับขัน
จักเตรียมค่ายใหญ่ก็ไม่ทัน จำกั้นกีดขวางหนทางยุทธิ์
ตั้งขัดตาทัพรับไว้ก่อน เพื่อผ่อนเวลาให้ช้าสุด
จวนตัวกลัวว่าศัตราวุธ หวุดหวิดหมดหวังในครั้งนี้ ฯ
๏ เรียกตัวมองญาบัญชาให้ คุมไทยอาศาม้าหัตถี
ส่งมอญไปด้วยช่วยราวี คอยตีให้ยับทัพริปู ฯ
๏ กล่าวฝ่ายมองญาออกน่าศึก ตอนดึกอกเสียวใจเหี่ยวหู่
พวกไทยอาศามากับกู ใจทู่ได้ทีรีบลี้ลับ
เล็ดลอดไปเข้ากับเจ้าตาก หน้ากากสวมใส่ใจสับปลับ
ฝ่ายพวกมอญเล่าเราบังคับ ให้คอยกำกับไพร่พลไทย
บัตซบหลบหน้าหาไม่เห็น ดังเต่าเน่าเหม็นอยู่ที่ไหน
กูอยู่คนเดียวเปลี่ยวหัวใจ หนีไปดีกว่าถูกฆ่าตาย ฯ
โคลง ๒ ปางองค์ทรงเดชผู้ จิตประจักษ์จักกู้
เกียรติ์ด้าวแดนไทย ฯ  
๏ สองวารท่านรุกร้น ตีค่ายโพธิสามต้น
เสร็จได้ดังจิน ตนานา ฯ  
๏ มอนขาวทะท่าวดิ้น เจ็ดลวิตร์ปลิดสิ้น
ชีพลี้หนีสูญ ฯ  
โคลง ๔ สมคเนเสนาคไท้ ภูธร
ปราบประมวญมอญมรณ์ ม่านม้วย
ปรากฏดุจปลดขอน ทับอก
เหวี่ยงวิปักษ์หักด้วย เดชกล้าบารมี ฯ
๏ เทศใดทัพต่างด้าว ดูแคลน
มาสู่อยู่ยึดแดน เดชกร้าว
เทศนั้นสบั้นแบน บั่นสิทธิ์
ดวจดั่งราหูห้าว ห่อห้มอมจันทร์ ฯ
โคลง ๔ สินทรัพย์ยับย่อยด้วย เดชะ
แห่งริปูผู้คละ คลุกเคล้า
ยุบยับอัปปมาณมะ โนเทวศ
สรรพโศกโรครึงเร้า รุ่มร้ายหลายเหลือ ฯ
๏ ตราบใดไป่ขับข้า ศึกคึก
ทิ้งถ่วงห้วงทเลลึก ลับลี้
ตราบนั้นจะบันทึก ความถ่อย ไว้แฮ
สู่สิทธิ์อิศระกี้ ก่อนได้ไฉนเหนอ ฯ
๏ ปิ่นณรงค์จงจิตตั้ง จักตอบ
โต้ริปูกู้ขอบ เขตกว้าง
ทรงฤทธิ์คิดรอบคอบ ครัดเคร่ง
ใช่หทัยไขว่คว้าง ขวักเคว้งเครงครืน ฯ
ทำแต่ในปีเดียว เสร็จได้
ม่านมาจะยาเยียว อำนาจ อีกนอ
แต่บ่ทานท่านได้ ถูกต้อนตีตาม ฯ

ร่าย เสร็จปราบพม่ารามัญ อันดุจโรคสึงทรวง ตรัสทราบปวงทุกข์เข็ญ อันเป็นไปในด้าว ซึ่งม่านห้าวเม็งเหี้ยม เสี้ยมให้รทมกรมกรอม ลอมปอมทั่วท้องถิ่น จึ่งปิ่นเผ้าเจ้าชีพ รีบจัดสรรบันเทา ให้เบาทุกข์ทกผู้ สืบส่อทางก่อกู้ สุดแท้แต่ควร ฯ

โคลง ๔ ทรงธรรมรำลึกไท้ ธรณินทร์
เอกทัศขัติยนรินทร์ เรื่องเศร้า
พระศพพระภูมินทร์ เชิญสู่
เมรุถวายเพลิงเจ้า ภพผู้บุญกษัย ฯ
๏ หลายองค์วงษ์ราชบ้าน พลูหลวง
ตกยากตรากตรำทรวง โศกสอื้น
ทรงธรรมอุปถัมภ์ปวง ประจักษ์
ทุกพระองค์ทรงฟื้น สุขบ้างทางควร ฯ
๏ ราษฎรข่อนแค้นขาด อาหาร
โหยเหี่ยวเที่ยวขอทาน ทุกข์กล้ำ
โซเซดุจเวตาล ตฤบเลือด
ภัยรบภัยโรคซ้ำ แสบไส้ภัยหิว ฯ
๏ ตรัศให้หาข้าวแจก กันกิน
ใช้ง่ายจ่ายทรัพย์สิน เที่ยวซื้อ
คนจนกล่นเกลื่อนเดิน ดูเทวศ
แต่ละมื้อละมื้อ มากหน้ามาเนือง ฯ
๏ วัดวาอาวาศบ้าน เรือนคน
แทบมิยั้งยังตน อยู่ได้
ป่นปรักหักพังจน จวนหมด
จักซ่อมจะแซมให้ ค่อยฟื้นคืนไฉน ฯ
๏ เจ็บหนักจักหน่วงน้ำ เนตรไฉน ได้นอ
ภัยพาธยิ่งพยาธิ์ใน น่าไข้
สังเวชประเทศไทย เทียมทาส
ข่ายเขทเหตุให้ไห้ เหือดแห้งแรงโรย ฯ
โคลง ๒ ปิ่นณรงค์ทรงขับช้าง ทอดพระเนตรเวียงร้าง
อีกทั้งวังโรย ฯ  
๏ ทรากตึกนึกน่าแค้น อิฐห์หักกากปูนแม้น
ป่าช้าแห่งความ งามแฮ ฯ  
๏ ปราสาทเคยผงาดฟ้า ยอดเยี่ยมเอี่ยมโอ่อ้า
ฟุบเฟี้ยมเทียมธุลี ฯ  
๏ พระสถูปพุทธรูปล้วน หล่นสลายปลายด้วน
แม่นแม้นมารทำ ฯ  
โคลง ๔ เอือมจิตอิดอกอ้า อึดอัด นักเอย
เจตน์จะทำจำจัด จุ่งได้
ความคิดจะผิดพลัด พลาดมุ่ง หมายฤา
ฤๅกุศลดลให้ เฟื่องฟื้นคืนคง ฯ
๏ วังเวียงเพียงป่าหญ้า เยิงยล
แทบบ่มีที่พล พักได้
ควบคุมประชุมคน คับแคบ
เมื่อศัตรูสู่ใกล้ เศิกกล้ามากวน ฯ
๏ ปราภพรบพ่ายแพ้ เพียงไหน
จึ่งจะพอแก้ไข คิดสร้าง
อิฐปูนก็สูญไป เป็นฝุ่น
คนก็ยับทรัพย์ร้าง สุดรั้งดังถวิล ฯ
๏ ความจนกล่นเกลื่อนทั้ง ธานี
หากจะโอบอารี หล่อเลี้ยง
จักฟื้นจะคืนดี โดยเลศ ใดฤๅ
คนก็ยับทรัพย์เกลี้ยง กลับกู้ชูไฉน ฯ
๏ สมบัติขัติยผู้ ผดุงขัณฑ์
เครื่องราชกกุธภัณฑ์ คู่แคว้น
ฉัตรตั้งตั่งไอศวรรย์ เสวยราชย์
คนก็ยับทรัพย์แร้น สุดหล้าหาไหน ฯ
๏ จักซ่อมจะสร้างราช ธานี นี้นา
ให้สู่คู่คืนดี ดั่งโน้น
ค่ายคูประตูตี ต่อรบ ได้ฤๅ
คนก็ยับทรัพย์โล้น ยากแล้แลเห็น ฯ
๏ ธุรภารการก่อสร้าง อุตสาห์
เพียงจะมีมากมา นะนั้น
แรงขาดปราศจากทุนกา ระสฤษดิ์ ได้ฤๅ
คนก็ยับทรัพย์อั้น สุดเอื้อมเอือมกมล ฯ
โคลง ๒ ภูธรอ่อนอุรไท้ ตรัสทราบภาพตกใต้
ต่ำต้อยร้อยปการ ฯ  
๏ หน่วงหนักหักจิตท้อ จักหย่อนยอมอ่อนข้อ
ที่ข้องหมองใจ ไยแล ฯ  
๏ ผู้ยอมแพ้ย่อมแพ้ ผู้กระป้อกระแป้
ไป่รู้สัมฤทธิ์ ได้เลย ฯ  
โคลง ๔ กูเอยเคยคิดกู้ กรุงไกร
สืบสิทธิ์อิศรไทย เทียบฟ้า
ในฉนำกระทำไป สำเร็จ
สร้างทัพขับพม่าข้า ศึกให้ไปหาย ฯ
๏ ส่ำกุศลผลที่ได้ บำเพ็ญ มานา
ชี้ช่วยอวยอรรถเห็น เหตุตั้ง
ใช่คิดอัตตหิตเป็น ประโยชน์ ตนเลย
ทวยเทพเสพย์สัตย์ทั้ง ถิ่นนี้มีพยาน ฯ
๏ บุพกรรมนำเนื่องได้ โดยหวัง
จนประสบผลดัง นี่แล้ว
บุพกรรมจะนำยัง ที่มุ่ง .หมายนอ
รังสฤษดิ์อิศรแพร้ว เพริศเพี้ยงเวียงอินทร์ ฯ
๏ เกียรติ์ไทยไปปราศแล้ว ในขณะ นี้นา
คงจะมีวีระ เริ่มกู้
ชายใดจะไกรกระ เดื่องเดช
อาจจะเป็นตูผู้ เทพเจ้าเอาภาร ฯ
๏ ทำมาก็มากแม้น มโนหวัง
ท้อหทัยไยยัง อยู่น้อย
รบสู้ริปูพัง แพ้เพิด แล้วแฮ
ทุกข์ระทมปมด้อย ปุ่มด้วนควรไฉน ฯ
โคลง ๒ ภูวนัยใฝ่จิตแก้ หทัยที่ท้อที่แท้
ที่ท้นจนมุม ฯ  
๏ รุมอุระจะสร้าง เวียงซึ่งรกซึ่งร้าง
ซึ่งไร้ไอศวรรย์ ฯ  
๏ ตวันหับดับเดชแล้ว พระเสด็จสู่แท่นแก้ว
ที่กั้งบังบรร ทมแฮ ฯ  

พระสุบิน

โคลง ๔ เทวัญสรรเสกให้ ฝันเห็น
ปราสาทราชฐานเย็น อยู่ยั้ง
ภาพกรุงรุ่งเรืองเป็น ปรกติ
ทุกสิ่งยิ่งกว่าครั้ง เมื่อบ้านเมืองดี ฯ
๏ งวยงงทรงหยุดยั้ง ยืนยล
พิศยิ่งพิศวงจน จิตไท้
เวียงล่มถล่มทน ทุกข์ทับ
ไฉนจึ่งดีฉนี้ได้ เนื่องด้วยอันใด ฯ
๏ ดูเพลินเดินพิศพร้อม เพรียงไพ บูลยแฮ
แปลกบ่มีคนใน ที่นั้น
จักไถ่จะถามใคร บ่หอน เห็นเลย
ทรงสกดอดอั้น อัดไว้ในทรวงฯ
๏ ขณะนั้นอดีตราชเจ้า จอมไทย
ผู้ผดุงกรุงไกร ก่อนกี้
เสด็จแสดงพระองค์ใน นิมิต นั้นนา
เปล่งประวัจน์ชัดชี้ ช่องเชื้อชัยเฉลย ฯ
๏ อ้าองค์ทรงเดชด้วย เดชะ
แห่งสยามเทวะ แว่นฟ้า
สัจวัจน์ประศัสติ์ประ เสริฐสุด
จุ่งสฤษดิ์กฤตย์กล้า เกริกด้าวดาวดึงษ์ ฯ
๏ ทรงฤทธิ์คิดสืบเส้น ไอศวรรย์
สร้างนครอมรอัน อมิตรคร้าม
ที่นี่บ่ดีทัน เทียมที่ อื่นเลย
จงอย่าอยู่ตูห้าม เหตุเอื้ออารี ฯ
๏ อดีตราชประสาทสิ้น สุรศัพท์
พลันพระกายหายวับ แวบฟื้น
หลากสุดประดุจลับ แลปิด
หมดนิมิตนิทร์ฟื้น ใฝ่ข้อความฝัน ฯ
โคลง ๒ ภูธรนอนนึกเน้น แนวคิดอันมิดเม้น
ที่ไท้ใฝ่ฝัน ฯ  
๏ หาที่ที่อื่นสร้าง ดีกว่าซ่อมกรุงร้าง
ซึ่งไร้ชัยเฉลิม ฯ  

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ