สรรคที่ ๒๓

กมลฉันท์ ๑๒; ตนุมัชฌาฉันท์ ๖; สุรางคณางค์ ๒๘;

๑๒ วนิดาประภามัย อรไทยประไพพงศ์
อุระช้ำประจำจง จิตหาสวามี
๏ ทวิเศร้าสลายสุข ทวิทุกข์สลายศรี
นลราชนิราศปรี ดินิราศบ่คลาดคลาย
๏ ยุพยงธทรงสดับ วจศัพทะบรรยาย
นลแสร้งจะแปลงกาย นลแน่บ่แปรปรวน ๚

นางทัมยันตีตรัสว่า

๑๒ อรเกศินีเอย จิตเคยบ่ผันผวน
หฤทัยะใคร่ครวญ นฤเบศร์เสด็จมา
๏ รถหลายบ่คล้ายราช รถนาทอนันต์ปรา
กฏะเกริกกำเรียงพา ยุกระพือระบือหาว
๏ ชนอื่นจะหมื่นแสน บ่มิแม้นนรินทร์คราว
นลขับดุรงค์ราว ขคถาชล่าบน
๏ รถโฆษก็จำได้ รถใครบ่เหมือนนล
ดุจมาตลีดล ภพนี้บ่มีแหนง
๏ จิตตูก็รู้ชัด นลขัติยะฤๅแคลง
ขคไซร้ณะไพรแวง จรคาบอำพรพา
๏ เพราะสกาสกุณไซร้ จะมิให้พระนลนา
ยกรู้สราญปา ศกะแสร้งจำแลงบิน
๏ ขคเย้ยเฉลยเย้า นลเจ้าสวามินทร์
นิแหละหรือระบือดิน ภพเลื่องกระเดื่องเชาวน์
๏ บ่มิรู้สกาหลอก ขคหยอกก็มึนเมา
นลโมหะโง่เรา จรล่อก็หลงเมอ
๏ บ่มิใช่สกณดอก และจะบอกยุบลเธอ
ขคคือสกาเกลอ จรแสร้งจำแลงมา
๏ จะผจญพระนลขัติ ยะนิษัธะราชา
ผิวผ้าจะพันกา ยะธไซร้มิให้มี
๏ ขคพลางก็โผผัน จรหันระเห็จหนี
นลในพนาลี ก็ระทดระทวยทรง
๏ นลเดียวจะรู้เรื่อง ดุจเล่าณะราวดง
นรใดณะไพรพง ก็บ่อยู่บ่รู้กล
๏ เพราะฉนั้นชรอยวา หุกหรือก็คือนล
ชนแปลกบ่แปกปน จิตฃ้าบ่คลางแคลง
๏ อรเกศินีเจ้า จรเฝ้าระวังแฝง
ผิวปิ่นนรินทร์แปลง ก็จะทราบบ่สงกา
๏ จรรีบณะเรือนรถ วรพจน์บ่เจรจา
มนหวังจะฟังวา หุกฃานประการไหน
๏ กิจกรรมกระทำถ้วน ธุระล้วนบ่ลืมใด
จิตหมายบ่หน่ายใจ ธกระทำก็จำมา
๏ ผิวเธอจะใช้ให้ จรไปแสวงหา
ชลเพื่อประโยชน์กา ระประกิจกระยาหาร
๏ ผิวจักประสงค์ไฟ ธุระใช้ประกอบการ
อรเจ้าลำเภาพาล ก็มิเอื้ออำนวยเสนอ
๏ ชนอื่นก็ห้ามไว้ ชลไฟมิให้เธอ
หฤทัยมิให้เผลอ ธุระนั่งระวังหนา
๏ ธจะทำวิธีใด ชลไฟจะได้มา
ผิวแจ้งประจักษ์วา หุกกอบประการใด
๏ จรมาและเล่าแจ้ง บ่มิแพร่งมิพรายไป
อรเจ้าก็เฃ้าใจ ธุระนั้นสำคัญเจียว ๚
๑๒ ขณะเกศินีผู้ จิตรู้ฉลาดเฉลียว
จรเรือนดุรคเดียว ธุระไฝ่จะใคร่จำ
๏ นลพูดอะไรบ้าง อรนางบ่ลืมคำ
กิจสิ้นนรินทร์ทำ จิตแจ้งบ่แคลงใจ
๏ บทคืนนิเวศน์เฃ้า จรเฝ้าพระทรามไวย
ก็ทำนูลพระนางไป ดุจยลพระนลมา ๚

นางเกศินีทูลว่า

ฃ้าแต่กลยาณี ฃ้านี้ก็ประจักษ์ตา
แปลกนักอภิศักดิ์วา หุกจบภพฤๅทัน
๏ ใครใครบ่มิใกล้เธอ เลิศเลอสุรรังสรรค์
ไปเห็นก็และเปนขวัญ ตาดูบ่มิรู้ทาง
๏ เทียบเธอก็เสมอเทพ สังเขปจะทำนูลนาง
เลิศล้ำบ่มิอำพราง นั่งดูจิตตูเพลิน
๏ เห็นเองบ่มิเกรงผิด แน่จิตดุจทูลเทอญ
ใครดีก็บ่มีเกิน มานุษดุจเทวินทร์
๏ คราววาหุกมาใกล้ เดิรไปณะประตูหิน
ต่ำเตี้ยดุจเรี่ยดิน มานุษก็จะมุดไป
๏ เธอไซร้บ่มิได้มุด แปลกสุดธดำเนิรไคล
สัญจารพิสดารใจ ยืดตัวดุจกลัวเกรง
๏ วาหุกจรห่อนนาน สัญจารสิก็หดเอง
ลำพังดุจดังเพรง ต่ำเตี้ยกลเรี่ยดิน
๏ อนึ่งเพื่อพระกระยาหาร ภูบาลพระประวาสิน
นกเนื้อก็และเหลือกิน ส่งวาหุกกาหล
๏ ครั้นวาหุกมาล้าง เห็นอ่างก็บ่มีชล
ใครดูบ่มิรู้กล วารีสิก็มีเอง
๏ เรียกน้ำดุจเรียกม้า น้ำมากลกลัวเกรง
แปลกใจนรใดเพรง เคยเห็นดุจเช่นตู
๏ คราวเธอจะประสงค์เพลิง ร้อนเริงกลเผาภู
อยิบเชื้อธก็เชิดชู ไฟมาดุจอารมณ์
๏ เชื้อไฟสิก็ไหม้โชติ รุ่งโรจน์พิศพึงชม
ฮือฮือเพราะกระพือลม แต่ไฟก็บ่ไหม้มือ
๏ ถือไฟดุจไม่ร้อน ไฟฟอนบ่มิร้อนหรือ
ใครใครผิวไฟฮือ จับได้ฤไฉนนา
๏ เรียกน้ำธก็เรียกได้ เรียกไฟธก็เรียกมา
สิ้นกิจธุระสิทธิ์วา รีไซร้จรไปเอง
๏ ฃ้าคิดพิศวงใจ น้ำไฟฤจะยำเยง
ชายใดชลไฟเกรง ภพนี้ก็บ่มีเลย
๏ หนึ่งนั้นอศจรรย์ใจ ใครใครก็บ่ได้เคย
รู้เห็นดุจเช่นเฉลย ใครบอกดุจหลอกลวง
๏ บุบผาผิวเหี่ยวแห้ง ยามแล้งระพิเผาพวง
เธออยิบบุษบาปวง คลึงกลีบนขะบีบมาลย์
๏ ดอกไม้ผิวไหม้เหี่ยว บัดเดี๋ยวก็จะเบิกบาน
สดชื่นรสรื่นปาน บุบผาณะสุราลัย
๏ ข้าเห็นดุจเช่นเฉลย ทรามเชยพระประภามัย
จงทราบบทมาลย์ไภ มีผู้กลยาณี ๚
๒๘ เมื่อนั้นพระนาง
เอี่ยมองค์สำอาง โศภางค์เพ็ญศรี
ฉงนสนเท่ห์ ยินเกศินี
ทูลความตามมี สังเกตุเหตุการ
๒๘ เหมือนนลภูวไนย
เรียกน้ำเรียกไฟ เรียกได้ดังมาน
บุบผาเหี่ยวแห้ง เธอแสร้งบรรดาล
สดชื่นรื่นปาน มาลัยในสรวง
๒๘ แน่แล้วพระนล
เลิศล้ำดำกล จักค้นคนปวง
ฤๅห่อนมีใคร เหมือนไนษัธหลวง
วิโยคโศกทรวง ส้อยเศร้าเหงาใจ
๒๘ แปลกแต่ลักษณะ
พระนลไนษะ ธะลักษณ์เลิศไกร
ทรวดทรงส่งศรี ฉวีวิไลย
หาจบภพไตร จักเหมือนฤๅมี
๒๘ วาหุกตัวต่ำ
รูปร่างเตี้ยล่ำ จ้ำม่ำเต็มที
แขนสั้นขันมาก ปราศจากฉวี
จะว่าสามี มิกล้าว่าไป
๒๘ สงสัยสนเท่ห์
วาหุกแขนเก ไขว้เขวเหลือใจ
รูปร่างเหลือทน พระนลหรือใคร
เรียกไฟได้ไฟ เรียกน้ำน้ำมา
๒๘ จำจักทดลอง
กระทำทำนอง ตรึกตรองไตรตรา
เฝ้าใฝ่ใคร่ครวญ ทบทวนปัญญา
แม่นมั่นภรรดา ดังจิตจำนง
๒๘ ตรึกพลางไภมี
ผู้กัลยาณี แสงศรีสมทรง
ตรัสแก่เกศินี นารีระหง
สำคัญมั่นคง ห่อนจืดใจนาง
๒๘ ดูราโฉมศรี
นางเกศินี สิรีสำอาง
เจ้าจงตรงไป ไวไวในทาง
สู่เรือนรถพลาง ลอดรู้ดูการ
๒๘ แม้นพบวาหุก
กำลังอุกลุก ต้มหาอาหาร
ดูท่าทางเธอ แม้นเผลออย่านาน
นวลนางนงคราญ ลักโภชน์เอามา
๒๘ จำเพาะพอชิม
ให้ตูได้ลิ้ม รู้รสมังสา
ซึ่งวาหุกแต่ง สำแดงโอชา
ชิมแล้วจักปรา กฎแน่หฤทัย
๒๘ ว่าสารถี
นามวาหุกนี้ พระนลหรือใคร
วิชาเลิศล้ำ เรียกน้ำเรียกไฟ
สมหวังดังใจ โดยจิตจำนง
๒๘ ปางเกศินี
รับสั่งยุวดี เธอมีประสงค์
รีบร้อนห่อนหึง ก็ถึงดังจง
ได้ทีรี่ตรง ไปยังมังสา
๒๘ ซึ่งวาหุกแต่ง
จึ่งนางพลางแบ่ง แฝงลักเอามา
จำเพาะพอลิ้ม โอษฐ์ชิมโอชา
คืนสู่วนิดา ถวายยุวดี
๒๘ ปางพระธิดา
วิทรรภ์กันยา กานดายุพี
รับโภชน์มาเสวย ทรามเชยมารศรี
แม่นมั่นทันที ว่ารสมือนล
๒๘ นางดำรัสพลัน
ว่าสารถีนั้น ไนษัธสุรพล
รสมือจำได้ ดังใช่มือคน
รสทิพย์ถกล อันเทพประทาน
๒๘ องค์พระไภมี
ผู้พระมหิษี ยินดีเบิกบาน
พระนลแน่แล้ว ห่อนแคล้วพจมาน
อิ่มใจใดปาน ฤๅเปรียบเทียบทัน
๒๘ สร่างเศร้ากำสรด
นางส่งโอรส ธิดาลาวัณย์
เกศินีพา สองทารกพลัน
สู่วาหุกอัน แน่ว่าบิดา
๒๘ ปางนั้นวาหุก
หฤทัยไร้สุข เห็นสองเยาวภา
อินทรเสนโศภิน อีกอินทรเสนา
ยินดีปรีดา ลุกโลดโดดตรง
๒๘ เฃ้าส้วมเฃ้าสอด
สองกรทรงกอด ทารกสององค์
อุ้มทับกับหทัย ลูบไล้ยุพยง
จูบพลางพลางทรง เศร้าส้อยโศกี
๒๘ บัดเดี๋ยวรู้ศึก
ขุ่นข้องตรองตรึก เกรงเกศินี
แม้นเกิดสงสัย ในใจนารี
ไปทูลไภมี จักแจ้งใจนาง
๒๘ ตรึกพลางพระตรัส
จะเป่าจะปัด ความฃำอำพราง
แขงขืนกลืนอัส สุขัดระคาง
ระคายอายพลาง พระเผยพจมาน
๒๘ ดูรานางงาม
ทรวดทรงนงราม เลิศลักษณ์แลลาน
ฃ้าเห็นสองเด็ก เล็ก ๆ สำราญ
เหมือนสองสคราญ ทารกลูกตู
๒๘ บังเกิดคิดถึง
ลูกฃ้า ๆ จึง ประคองสองตรู
น้ำตกจากตา เหตุน่าเอ็นดู
พิศสองพบู น่ารักเหลือใจ
๒๘ อันเจ้าเยาวมาลย์
ผู้ทรงสคราญ ฉวีวิไลย
เหตุใดยุวดี มานี่ร่ำไป
น่าชังกระไร จะเกิดนินทา
๒๘ ตูอยู่คนเดียว
นางเวียนมาเที่ยว แทบทุกเวลา
เจ้าจงกลับไป อย่าได้คืนมา
คนเห็นจะพา กันกล่าวหยาวนาง
๒๘ อย่าขึ้งอย่าโกรธ
อย่าเฉาอย่าโฉด พิโรธระคาง
อย่าขุ่นอย่าข้อง จิตหมองใจหมาง
เชิญเจ้าเยาวภางค์ สู่เย่าเนาเรือน ๚

จบสรรคที่ ๒๓ ในนิทานเรื่องพระนล

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ