สรรคที่ ๒๒

ฉบัง ๑๖; มาณวกฉันท์ ๘;
ตนุมัชฌาฉันท์ ๖; สุรางคณางค์ ๒๘; สัทธราฉันท์ ๒๑

นางทัมยันตีตรัสว่า

๑๖ ดูราเกศินีนงพา ละแผ้วปัญญา
สุภัททะผ่องอำไพ
๏ นางจงตรงรีบเร็วไป สู่เรือนรถใน
พระราชนิเวศน์ภูมี
๏ ไต่ถามนามนายสารถี แขนสั้นขันมี
วิรูปประหลาดเหลือใจ
๏ สืบสื่อชื่อเรียงเสียงไร พูดจาปราไสย
ประสงค์จะทราบสิ่งสรร
๏ ตีสนิทคิดความถามปัญ หาข้อสำคัญ
พระนลฤใช่ไนษัธ
๏ จิตตูรู้แท้แน่ชัด พระผู้จักรพรรดิ
ธกลับธแกล้งแปลงมา
๏ ใจจินต์ยินดีปรีดา ดังหนึ่งนิษธา
ธิเบศร์เสด็จมาเวียง
๏ สืบนามถามไถ่ไล่เลียง นานนั่งฟังเสียง
จะพูดจะจาว่าฃาน
๏ แล้วเจ้าจงขับศัพท์สาร เฉื่อยฉ่ำสำนาร
ประหนึ่งบรรณาทเคยขับ
๏ ขับจบจงยั้งนั่งตรับ เฃาไซร้ได้สดับ
จะกล่าวจะฃานฐานไหน
๏ ยินเฃาเจ้าจำเจนใจ กลับมาไวไว
และตูจะฟังดังมี ๚
๑๖ บัดนั้นนวลนางเกศินี รับสั่งมารศรี
ก็ลาพระราชกานดา
๏ ตรงไปในรถศาลา พบวาหุกสา
รถีก็ถามความไป

นางเกศินีกล่าวว่า

ดูกรท่าน ชาญชยะเชิด
อัศวะประเสริฐ เลิศดุจใจ
๏ ขับรถแล่น แกว่นหยะใคร
ในภพไตร เหมือนก็บ่มี
๏ อันพระธิดา ราชะนรินทร์
องค์อรพินท์ จินตะยุพี
๏ ใคร่จิตรู้ ผู้อศวี
มาณะบุรี โดยกิจใด
๏ เปนอิศเรศร์ เฃตปถพี
ขัติยะพลี นาครไหน
๏ ท่านจรมา สารถิใคร
นามะอะไร แจ้งกิจเทอญ ฯ

วาหุกตอบว่า

อ้าดูกรนารี ผู้มีจิตจำเริญ
มุ่งในหฤทัยเชิญ ตรับฟังดุจดังใจ
๏ อันโกศลราชา เปรื่องปรากฏะเกรียงไกร
ทรงนามฤตุบรรณ์ไอ สูรย์ศักดิประจักษ์แมน
๏ ศัตรูบ่มิรู้ขัน เศิกสรรพะก็เสียวแสน
เด่นเดชพระกระเดื่องแดน ดินใดบ่มิใกล้กราย
๏ มีพราหมะณะงามเชาวน์ ทูลเจ้าอวนินทร์ฉาย
ฃ่าวศรียุวดีสาย จิตภีมะพลีไกร
๏ จักมีสวยุมพร บังอรพระประภามัย
วันรุ่งผิวมุ่งใจ รีบเตร็จจะเสด็จทัน
๏ ฝ่ายองค์ฤตุบรรณ์งาม ยินพราหมณ์ก็เกษมสันต์
ทราบฃ่าวดุจกล่าวพลัน เธอรีบรถไคลคลา
๏ รถรุดดุจลมพัด สี่อัศวะระเห็จพา
ลิ่วลิ่วกลปลิวมา รุตพัดรถทัดลม
๏ ร้อยโยชน์นิรโฆษก้อง จิตจ้องจรไพรพนม
มาทันณะวิทรรภ์สม ใจหวังดุจดังจง
๏ ฃ้าสารถิขับม้า ขับมาณะพนมพง
เร็วล้ำกลจำนง มาถึงดุจพึงใจ ๚

นางเกศินีกล่าวว่า

อีกนรหนึ่ง ซึ่งจรมา
กับพระนรา ธิปพลไกร
๏ เฃากุลคาม นามกรใด
ท่านก็ไฉน จึงจรมา
๏ วงศะสกูล ทูลนุชนาง
จงบ่มิพราง สัตยะกถา
๏ เหตุไฉน ได้จรมา
ขับรถพา ราชจรดล ๚

วาหุกตอบว่า

ชายนั้นอภิปัญญา นามวาระษะเณย์พล
ชาญม้าวิทยารณ เลื่องชื่อและระบือนาม
๏ เดิมสารถิไนษัธ จอมฃัติยะริปูฃาม
นลร้างพระนครงาม วาร์ษเณยะก็เตร่ไป
๏ เฃ้าเฝ้าฤตุบรรณ์โศ ภนโกศลเกรียงไกร
ภางคาสุริมีใจ โปรดปรานเพราะชำนาญพล
๏ ตูไซร้หยะเชี่ยวชาญ รู้การรถเริงรณ
เปนสารถิโกศล ปิ่นรัฎฐะกษัตริย์โปรด
๏ หนึ่งฃ้าชำนาญการ อาหารรสเอมโอช
ตำแหน่งกิจแต่งโภชน์ เครื่องต้นกลรสสรวง ๚

นางเกศินีกล่าวว่า

วาระษะเณย์ เคจรไพร
แจ้งฤไฉน ไนษธหลวง
๏ อยู่ทิศใด ในบุรปวง
ไนษธทรวง โศกฤมิโศก
๏ มาตรผิวรู้ ผลูนลไป
พงพนใด ยามวิปโยค
๏ เฃาระบุแจ้ง แหล่งภพโลก
บุณยะโศลก เธอจรไป
๏ ฤๅบ่มิรู้ ผลูนลจร
วันะศิขร ดอนทิศใด
๏ วาหุกจุ่ง มุ่งหฤทัย
การุณใจ แจ้งกิจเทอญ ๚

วาหุกตอบว่า

อันวาระษะเณย์พา ราชทารกจำเริญ
เร่งร้อนรถจรเชิญ สององคะดำรงศรี
๏ สู่รัฎฐะวิทรรภ์พลัน คืนดั้นณะพนาลี
สู่โกศลธานี เฝ้าราชฤตุบรรณ์ยง
๏ ห่อนทราบนลไปไหน ใครใครก็บ่แจ้งจง
ไนษัธธวิบัติคง เช้าค่ำพระก็กำบัง
๏ แผกผิดพิปริตรูป ผอมซูบจรเซซัง
ทรวดทรงบ่มิคงดัง แต่ก่อนพระก็ซ่อนกาย
๏ ใครดูบ่มิรู้จัก นลศักดิประไพพราย
ตกต่ำจิตช้ำอาย หลีกลี้จรหนีคน ๚

นางเกศินีกล่าวว่า

พราหมะณะหนึ่ง ซึ่งจรผัน
สู่ฤตุบรรณ เกียรดิถกล
๏ ขับพจมาน ฃานอนุสนธิ์
นางและพระนล ไนษธเนือง
๒๘ โอ้โอ๋นักเลง
ลืมคำพร่ำเพรง เล่นเบี้ยเสียเมือง
เริศร้างกลางไพร ห่อนไฝ่ชำเลือง
ว้าวุ่นขุ่นเคือง คับแค้นแสนใจ
๒๘ ทิ้งเมียกลางป่า
ทรามไวยศัยยา ตัดผ้าพาไป
สงสารกานดา น้ำตาหลั่งไหล
อ้างว้างกลางไพร กลัวพิษนานา
๒๘ นุ่งผ้าครึ่งผืน
จาบัลย์วันคืน สะอื้นโศกา
เดิรเปลี่ยวเดียวปลง จิตม่งมองหา
ห่อนพบภรรดา เปือกฝุ่นขุ่นเคือง
๒๘ โอ้โอ๋นักเลง
ลืมค่ำพร่ำเพรง เล่นเบี้ยเสียเมือง
ทิ้งเมียเสียได้ ห่อนไฝ่ชำเลือง
เคยกล่าวเนืองเนือง ให้สัตย์แก่นาง
๒๘ ว่าตราบม้วยมรณ์
หมายออมสมร ฤๅห่อนอางขนาง
บัดนี้หนีไป อยู่ไหนอย่าพราง
น้องน้อยคอยกลาง ดงเดือดอาดูร
๒๘ เม็ตตานางน้อง
ชอกช้ำร่ำร้อง ราวในไฟกูณฑ์
หมองมัวผัวร้าง ทุกข์นางร้อยคูณ
คืนค้ำกำลูน ปลดทุกข์ประเทือง
๒๘ โอ้โอ๋นักเลง
ลืมคำพร่ำเพรง เล่นเบี้ยเสียเมือง
เมียอยู่กลางไพร เชิญไฝ่ชำเลือง
ปลดเศร้าเปล่าเปลือง อย่าปราศเม็ตตา
ยินพจมาน ท่านอธิบาย
บ่นบริยาย ศัพทะกถา
๏ กล่าวดุจไหน ได้กรุณา
องค์พระธิดา ใคร่จิตยิน ๚
๑๖ ปางนั้นพระนลนฤบดินทร์ ชลนัยน์ไหลริน
หทัยธตื้นเต็มตวง
๏ แขงขืนกลืนกลั้นตันทรวง ตัดเศร้าเผาดวง
ประดุจจะมอดชนม์มรณ์
๏ อวนินทร์ยินถ้อยทูลวอน รับสั่งบังอร
จะฟังพระราชพจมาน
๏ ซึ่งตอบบรรณาทโน้นนาน พระนลนรบาล
บ่กริ่งก็กล่าววาจา

คำพระนลกล่าว

๒๑ อันหญิงสิงทุกขะธรรมดา กุลสตริก็จะอา
รักขะอาตมา บ่หมิ่นมันท์
๏ ความสัตย์แห่งนางสอางวรรณ กุศลวิมลธรรม์
พาประสบสวรรค์ บ่แคล้วคลาด
๏ มาตรแม้นสามีจะหนีปราศ เพราะหทยะวิปลาส
เธอบ่กริ้วกราด สวามี
๏ จารีตนวลย่อมสงวนศรี ดุจสุรกวจี
ภัยบ่พึงมี จะมาพาน
๏ ผัวโซโง่เขลากำเดามาน ภยะพิษพิสดาร
แม้นจะเลี้ยงปราณ ก็ยากเย็น
๏ เสื้อผ้าหาไม่หทัยเข็ญ เพราะทวิชขคเปน
เหตุลำเค็ญ ก็คาบไป
๏ เสียเมืองเลื่องชื่อระบือไกล พลรถคชหัย
ทรัพยะสินไอ ศวรรย์หมด
๏ ต่ำตกอกช้ำก็กำศรด นิรอิศริยะยศ
เนตระน้ำหยด ลำยองไย
๏ ผัวเปนเช่นนี้ผิหนีไป กุลสตริอรไทย
ย่อมจะเห็นใจ บ่อางขนาง ๚
๑๖ ไนษัธอัสสุลุปราง เผยพจน์หมดพลาง
พระองค์สอื้นกลืนชล
๏ ปางนั้นเกศินีนิรมล ค่อยคล้อยถอยตน
และสู่นิเวศน์วังใน
๏ เข้าเฝ้าทูลความทรามไวย ถ้อยคำจำไป
ประดุจะดังฟังมา
๏ ทูลทั้งอากัปกิริยา วาหุกเห็นปรา
กฎโศกสอื้นฝืนองค์ ๚

จบสรรคที่ ๒๒ ในนิทานเรื่องพระนล

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ