เหตุไร หัวล้าน

ข้าพเจ้าจะเล่าให้ท่านฟังเรื่องซึ่งข้าพเจ้าได้แต่เล่า จะชี้แจงว่าเป็นเพราะเหตุไร ก็ชี้แจงไม่ถูก เมื่อท่านได้อ่านตลอดแล้ว บางท่านอาจมีอธิบายอันสมเหตุสมผล แต่กว่าท่านจะคิดคำอธิบายได้ ท่านก็จะต้องทราบเรื่องให้ละเอียด อย่างน้อยทราบไม่น้อยกว่าที่ข้าพเจ้าทราบ เพราะฉะนั้น ถ้าข้าพเจ้าเล่ายาวสักหน่อย ก็เป็นเพราะให้ท่านทราบละเอียดนี้เองถ้าจับเค้าเงื่อนได้เหตุผล ก็อาจเป็นคุณประโยชน์ได้มากมาย (แต่อาจเป็นโทษใหญ่หลวงด้วย)

คราวหนึ่งข้าพเจ้าไปกับเพื่อนสองสามคน เที่ยวนอนค้างในที่ต่าง ๆ เพื่อจะยิงสัตว์ ไปไกลจากตำบลบ้านผู้เมืองคนเป็นทางเดินหลายวัน จนเข้าเขตป่าเปลี่ยว วันนั้นข้าพเจ้าทำราวกับเป็นพระราชาหนุ่มในนิทานแขก คือเมื่อยิงสัตว์บาดเจ็บแล้ว สัตว์หนีไปได้ ข้าพเจ้าก็รีบตามไปจนหลงพวกและหลงทาง ในที่สุดก็ได้พบฤษีตามเคยในนิทาน แต่ฤษีของข้าพเจ้าไม่มีลูกสาว ซึ่งนางอัจฉรามาคลอดทิ้งไว้ให้ และไม่ใช่ฤษีแท้ เป็นคนนุ่งผ้าเหลืองเปื้อน ๆ อยู่ถ้ำเชิงเขาในป่าเปลี่ยว ข้าพเจ้าผ่านไปหน้าถ้ำ เห็นมีผ้าแขวนก็รู้ได้ว่ามีคนอยู่ ปากถ้ำมีก้อนหินปิดกันไม่ให้สัตว์ใหญ่เข้าได้ ข้าพเจ้ามองข้ามก้อนหินเข้าไปดูไม่เห็นใคร แต่อีกประเดี๋ยวเดียวเจ้าของก็กลับมาถึงถ้ำ หิ้วห่อ ซึ่งควรจะเข้าใจว่า มูลผลาหารซึ่งเก็บจากป่า ข้าพเจ้าไม่รู้จะเรียกแกว่ากระไร ก็เรียกว่าฤษีไว้ที และเมื่อเรียกเช่นนั้นก็ดูท่าทางแกชอบ

ข้าพเจ้า “ท่านฤษีอยู่ในถ้ำนี้กอบกิจพิธีกูณท์เป็นสุขอยู่หรือ”

ข้าพเจ้าจำได้ตะหงิดๆว่า ตามนิทานแขกโบราณ ถ้ามหากษัตริย์หลงทางในป่าไปพบฤษอยู่อาศรม ก็เริ่มปราศรัยอย่างนั้น ฤษีของข้าพเจ้าตนนั้น จะเคยอ่านนิทานแขกโบราณหรือไม่ไม่ปรากฏ แกไม่ตอบตามแบบว่า “เดชะบารมีมหาบพิตร ฯลฯ ฯลฯ” แกตอบเพียงว่า “อยู่สงัด ๆ ก็เป็นสุข”

ข้าพเจ้า “สิงสาราสัตว์ไม่รบกวนหรือ”

ฤษี “เราไม่ทำไมเขา เขาก็ไม่ทำไมเรา”

ข้าพเจ้า “ถ้าสัตว์ร้ายไม่เบียดเบียนก็ค่อยยังชั่ว แถวนี้เสือก็ดูเหมือนจะชุม”

ฤษี “มีสองสามตัว เมื่อตะกี้ก็ถูกปืนไปล้มอยู่ตัวหนึ่ง ใกล้ ๆ นี่เอง”

ข้าพเจ้า “เสือฉันยิงเอง แต่ถูกไม่เหมาะโจนหนีได้ ท่านฤษีมีน้ำฝนไหม”

ฤษี “มีน้ำธาร ก็น้ำฝนนั่นเอง อยากรับประทานหรือ”

แกพูดดังนั้นแล้ว ก็ไปขยับหินปากถ้ำเข้าไป จะเอาน้ำออกมาให้ข้าพเจ้ากิน ข้าพเจ้าอยากดูในถ้ำก็ตามเข้าไปด้วย เห็นพุทธรูปหินองค์หนึ่งเป็นของโบราณ ถามฤษีได้ความว่า อยู่ในถ้ำนั้นมาแต่ครั้งไรก็ไม่ทราบ เมื่อฤษีไปอยู่ ก็พบพระพุทธรูปอยู่นั่นแล้ว หน้าพระพุทธรูปมีของหลายอย่างวางไว้เหมือนแต่งที่บูชา สิ่งนั้นบ้างสิ่งนี้บ้างไม่เป็นชิ้นเป็นอันอะไร สักแต่ว่าฤษีพบอะไรกะกะอยู่ในถ้ำ ก็เก็บไปวางไว้ด้วยกัน

แต่มีผอบใบหนึ่ง ซึ่งเมื่อข้าพเจ้าหยิบขึ้นดู ก็เห็นเป็นของเก่า ไม่มีชำรุดเลย เพราะเป็นของหนาตึกตัก ทั้งฝาทั้งตัวยังดีอยู่พร้อม แต่เปิดฝาไม่ออก ข้าพเจ้าเห็นท่าทางชอบกล ก็ถามว่า จะขอซื้อได้หรือไม่

ฤษี “ขายก็จะเอาเงินไปทำไม ถ้าเงินมากก็กลับจะเป็นภัยเสียอีก แต่ถ้านายอยากได้ก็ตามใจ แลกกับเสือตัวนั้นก็แล้วกัน

ข้าพเจ้า “เอ๊ะ ท่านฤษีจะเอาเสือไปทำไม”

ฤษี “จะทำไมก็ยังไม่ทราบ ถ้ามันยังไม่ตาย ก็จะช่วยรักษามันเอาบุญ ในป่านี้มียาดี ๆ อาจช่วยชีวิตมันไว้ได้ แต่ถ้ามันตายเสียแล้ว ก็จะแล่หนังมันไว้ใช้ ในป่ามียารักษาหนังและขนไม่ให้เน่าเปื่อย เมื่อแห้งแล้วก็นุ่ม ใช้ปูและห่มนอนหน้าหนาวได้”

ข้าพเจ้าพลัดพวกไปคนเดียว เสือนั้นเป็นเสือใหญ่ จะเอามาก็เอามาไม่ไหว จึงตกลงเป็นอันแลกกับผะอบ คราวนี้ถึงปัญหาจะกลับ ซึ่งเป็นปัญหายาก เพราะบ่ายลงไปมากแล้ว และข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะกลับทางไหน

ฤษี “นายกลับเองไม่ได้ดอก ทางที่นายจะเดินนั้นไกลมาก อย่าว่าแต่หลงเลย ถึงรู้จักทางก็ค่ำตามทาง นายจะไปอย่างไรได้ ฉันต้องพาไปส่งจึงจะถึงที่พักก่อนค่ำ

ข้าพเจ้า “ไหนเมื่อกี้ท่านฤษีว่า ถึงรู้จักทางก็ไปไม่ทันไม่ใช่หรือ”

ฤษี “ไปตามทางที่นายมาไปไม่ทันดอก ไปค่ำที่ดงเสือพอดี ฉันจะพานายเดินข้ามเขาไปลงทางโน้น”

เมื่อตกลงกันแล้ว ฤษีก็ออกนำข้าพเจ้าขึ้นเขา ซึ่งเป็นทางอันผู้ไม่ชำนาญไม่อาจไปได้ บางทีก็ต้องไต่ต้นไม้ ข้ามห้วย บางทีก็เข้าปล่องทะลไปข้างหน้าโน้น ไม่ทันค่ำถึงที่ข้าพเจ้าจำทางได้ ฤษีก็กลับ บอกแก่ข้าพเจ้าว่า จะไปค่ำบนเขา แต่จะรีบไปให้ถึงตอนที่เดินกลางคืนได้สบาย

ครั้นฤษีกลับไปแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินต่อมาจนถึงที่พักเวลาโพล้เพล้ พวกเพื่อนที่กำลังวิตกถึงข้าพเจ้าก็สิ้นวิตก และตาพรานที่ให้ออกตามข้าพเจ้านั้น ไม่ช้าก็กลับมาว่า หาไม่พบ ข้าพเจ้าเล่าถึงฤษีพาเดินข้ามเขา ตาพรานบอกว่า เขาลูกนั้นเคยมีคนลองไปเดินข้าม ก็หายสูญไปเลย ไม่มีใครกล้าลองอีก แกว่าเคยได้ยินว่า มีฤษีอยู่ฟากเขาข้างโน้น แต่แกเองไม่เคยพบ

เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพ ฯ แล้ว เรื่องฤษีชีไพร ก็ดูห่างเหินจากความคิด แต่ผะอบยังเป็นพยานอยู่ ข้าพเจ้าหยิบมาดูเห็นเป็นของเก่า แต่ฝีมือทำหยาบ ๆ ซึ่งทำให้เห็นว่าเก่าหนักขึ้น เอากล้องส่องเห็นมีรอยจารึก ตัวหนังสือลบเลือน จนไม่อาจอ่านเอาความได้ ซ้ำเป็นตัวหนังสือซึ่งอ่านไม่ออกด้วย

ข้าพเจ้าพยายามจะเปิดดูข้างใน นึกว่าคงจะมีกระดูกอยู่ในนั้น หรือจะมีพลุ่งออกมาเป็นควันอย่างในอาหรับราตรี หรืออะไรซึ่งได้อากาศ ก็ระเบิดโผงผาง แต่เมื่อในที่สุดเปิดออกได้ ก็มีแต่ฝุ่นสีขี้ริ้วประมาณครึ่งผะอบ เอาไม้เขี่ยดูข้างก้น ได้ผมตัดเป็นหางเปียขึ้นมาท่อนหนึ่ง สกปรกเหลือเกิน เอากล้องส่องดูเห็นเป็นผมเส้นละเอียดหลายร้อยเส้น จะดูว่าเป็นอย่างไรอีก ก็เห็นไม่ได้ เพราะความสกปรก ข้าพเจ้าจึงหยิบเครื่องยามาล้างให้สะอาด เพื่อจะได้ดูให้เห็นถนัด วิธีล้างผมเปียสกปรก ที่ข้าพเจ้าใช้คราวนั้น ถ้าท่านอยากจะทราบก็ได้ ขึ้นต้นเอากรดเกลือผสมน้ำ ล้างเอาน้ำมันออกเสียก่อน แล้วเอาผสมโซดาล้างเอากรดออก แล้วเอากอฮอบริสุทธิ์ล้างเอาน้ำออก แล้วเอาอีเท่อร์ล้างเป็นที่สุด

พอข้าพเจ้าเอาผมออกจากถ้วยอีเท่อร์ ก็มีผู้โทรศัพท์เรียก ข้าพเจ้าจึงวางผมลงบนกระดาษแข็งแผ่นเดียวที่อยู่ใกล้ ไม่ทันสังเกตว่ากระดาษอะไร แล้วก็ไปพูดโทรศัพท์

ครู่เดียวข้าพเจ้ากลับไปหยิบผมขึ้นดู ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกประหลาด นอกจากว่าเป็นผมผู้หญิงสีต่าง ๆ หมายความว่าผมสีต่าง ๆ ซึ่งอาจมาจากผู้หญิงต่างสีด้วย ผมบางเส้นก็ดำเส้นเล็ก บางเส้นก็ดำเส้นใหญ่ บางเส้นสีเหมือนผมบนหัวคน ในภูมิประเทศเชิงเขาหิมาลัยที่ข้าพเจ้าเคยเห็น บางเส้นที่สีอ่อนลงไปอีก จนอาจเป็นผมแหม่ม บางเส้นก็หยิกเหมือนผมเงาะ รู้ได้ว่าไม่ใช่ผมย้อมหรือหยิก “ถาวร” เลย เพราะเก่ากว่าสมัยที่แต่งผมช่วยสภาพ ข้อที่น่าพิศวงก็คือ ว่าเหตุใดจึงเอาผมจากหัวคนหลายคนไปถักเป็นเปียเดียวกัน ข้าพเจ้าเอาให้ภรรยาดูก็ไม่ตื่น เอาให้คนอื่น ๆ ดู ก็ไม่มีใครตื่นว่ากระไร ยิ่งกว่าว่า “ชอบกลจริง” แล้วย้ายไปพูดเรื่องอื่น การเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจึงเอาเปียผมใส่เข้าไว้ในลิ้นชัก แล้วลืมไปหลายวัน

ต่อมาวันล้างผมมาอีกสี่ห้าวัน ข้าพเจ้าไปที่สโมสร นั่งคยกันอยู่กับสมาชิกอื่น ๆ หลายคน ครู่หนึ่งนายกนกซึ่งหายหน้าไปหลายวันเดินเข้าไป มีผ้าพันแผลขวางหน้าผาก พวกเพื่อนเห็นก็ถามว่า เป็นอะไร กนกบอกว่า เป็นอะไรก็ไม่รู้ และหมอก็ไม่รู้เหมือนกัน กนกเล่าต่อไปว่า วันหนึ่งกำลังกินน้ำชาอยู่ในห้องรับแขกดี ๆ ก็ล้มลงแน่นิ่งเหมือนซุง เมียเอะอะตกใจวิ่งไปวิ่งมาอยู่ครู่หนึ่ง จึงโทรศัพท์ไปเรียกหมอ อีกประมาณ ๕ นาที กนกฟื้นลุกขึ้นนั่งถามว่าถูกอะไรตี เมียบอกว่า ไม่มีอะไรตีดอก อยู่ดี ๆ ก็ล้มลงไปเฉย ๆ กนกกลับบอกว่า ถูกตีจึงล้ม และยังเจ็บอยู่ที่หน้าผาก อีกประเดี๋ยวหมอไปถึง ตรวจตลอดก็ไม่เห็นเป็นอะไร นอกจากรอยแดงขวางหน้าผากที่ตรงเจ็บ รอยนั้นเหมือนรอยถูกตีแรง ๆ ด้วยไม้พลอง รุ่งขึ้นเห็นเขียวช้ำรอบรอย ต่อนั้นมาแผลก็ค่อยยังชั่ว แต่วันที่กนกไปสโมสรนั้นยังไม่หายดี กนกเปิดผ้าออกให้ข้าพเจ้าดูเห็นเป็นรอยช้ำยาวเหมือนถูกไม้ตีจริง ๆ พวกที่สโมสรลงมติว่า กนกคงเวียนหัวล้มฟาดลงไปถูกอะไรเข้า กนกบอกว่าเปล่า ก็ไม่มีใครเชื่อ

ต่อนั้นมาอีกหลายวัน ภรรยาของข้าพเจ้าบอกว่า “ห้องทำงานของคุณรกเต็มทีแล้ว ต้องปัดกวาดเสียที”

ข้าพเจ้า “ยังไม่ต้องไม่ได้หรือ”

ภรรยา “ไม่ได้แน่ รุงรังเหลือทนแล้ว”

เมื่อจำจะต้องทำ เราสองคนก็ต้องขึ้นไปทำเอง ปล่อยให้บ่าวทำไม่ได้ มันคงเก็บของทั้งหมด ที่จริงวิธีแก้รุงรังของภรรยาข้าพเจ้า ก็คือเก็บของทิ้งเหมือนกัน และมักเป็นของที่ข้าพเจ้าขอเอาไว้ก่อน เพราะยังมีที่ใช้อยู่ เหตุดังนี้ เราจึงต้องไปทำด้วยกันทั้ง ๒ คน

แทบจะสิ่งแรกที่เราหยิบขึ้นดูในการแก้รุงรังของห้อง ก็คือแผ่นกระดาษแข็งที่ข้าพเจ้าใช้รองผมเปีย เมื่อเอาขึ้นจากถ้วยอีเท่อร์ และเมื่อข้าพเจ้าต้องไปฟังโทรศัพท์ ข้าพเจ้าหยิบกระดาษแข็งแผ่นนั้นขึ้นพลิกดูอีกข้างหนึ่ง ก็เห็นเป็นรูปถ่ายที่โต๊ะดินเน่อร์ ซึ่งข้าพเจ้าไปเป็นแขก ท่านคงจะรู้แล้วว่า รูปชนิดนั้นถ่ายกันอย่างไร พอกินข้าวเสร็จ จวนจะถึงเวลาสปีช ก็มีพวกบ้า ๆ ยกกล้องถ่ายรูปเข้าไปตั้ง แล้วร้องว่า “ประธานโปรดยืนขึ้น” ประธานก็ยืนขึ้น หรือมีคนดึงให้ยืนขึ้น ทันใดนั้นมีไฟวูบ ทำให้ท่านต้องหลับตาแล้วลืมตาขึ้นดูควัน ซึ่งตระหลบไปทั้งห้อง แล้วเจ้าพวกบ้า ๆ ก็ยกกล้องออกจากห้องไป ต่อมาอีกวันสองวัน มีคนนำปรูฟมาให้ท่านดู ถ้าท่านเป็นคนใจดี หรือนั่งใกล้ประธาน ท่านก็ซื้อรูปหนึ่ง

ดินเนอร์คืนนั้นเป็นดินเน่อร์ของสมาคมสืบความรู้โบราณในดงจันทึก ข้าพเจ้าไม่ต้องการมีความรู้โบราณในดงจันทึก แต่เขาบอกว่า จะมีไข่ปลาสั่งตรงมาจากรัสเซีย และปลาซัลมอนรมสั่งมาจากเด็นมาร์ก ข้าพเจ้าชอบของกิน ๒ อย่างนั้น ก็ยอมไปเป็นแขกของนายกนก ซึ่งเล่าถึงเมื่อตะกี้ กนกเป็นผู้ใส่ใจในเรื่องความรู้ดงจันทึก (และชอบกินไข่ปลามาจากรัสเซียและซัลมอนรมมาจากเด็นมาร์กด้วย) เมื่อเสร็จการกินแล้ว ก็มีการถ่ายรูปวบวาบอย่างที่ข้าพเจ้าเล่า และเมื่อมีผู้นำปรูฟมาบอกขาย สบเวลาใจดี ข้าพเจ้าก็ซื้อแผ่นหนึ่ง ข้าพเจ้ากับกนกนั่งต่อกัน จึงมีรูปเราทั้ง ๒ คนอยู่ในหมู่

ภรรยาข้าพเจ้าหยิบรูปขึ้นดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “นั่นรอยอะไรที่หน้าผากคุณกนก”

ข้าพเจ้ารับรูปมาดู เป็นมีรอยขวางหน้าผากกนก เหมือนรอยแผลที่ข้าพเจ้าเห็นที่หน้าผากจริงๆ เมื่อสองสามวันนั้นเอง ดูรอยในรูปราวกับถ่ายเมื่อมีแผลแล้ว แต่รูปถ่ายก่อนเป็นหลายเดือน

ข้าพเจ้าพลิกดูข้างหลังกระดาษแข็งที่ผนึกรูป เห็นมีรอยอย่างเดียวกันเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ นึกดูก็นึกได้ว่า คือรอยผมเปียที่ข้าพเจ้าวางไว้ให้แห้งเมื่อไปฟังโทรศัพท์นั่นเอง ข้าพเจ้าเอาเข็มแทงตามรอยข้างหลังจนทะลุข้างหน้า แต่ทำไมรอยในรูปจึงเหมือนกับรอยที่หน้าผากกนก เมื่อถูกเจ็บกายหลังถ่ายรูปช้านาน

ข้าพเจ้าสอบดูวันและเวลาที่ข้าพเจ้าล้างผมเปียและที่กนกรู้สึกเหมือนถูกตีล้มลง ก็น่าประหลาดที่ได้เวลาตรงกัน ข้าพเจ้าจำได้แน่ว่า เมื่อข้าพเจ้าไปฟังโทรศัพท์นั้น ระหว่างบ่าย ๔ โมงกับ ๔ โมง ๑๕ นาที (ที่จำได้ก็เพราะได้นัดกับผู้พูดโทรศัพท์และได้ดูนาฬิกาในเวลานั้น) ครั้นถามกนกถึงเวลาที่ล้มก็ได้ความว่าเป็นเวลาระหว่าง ๔ โมงกับ ๔ โมง ๑๕ นาทีเหมือนกัน การเป็นดังนี้ จึงทำให้ข้าพเจ้าพิศวงมาก

ข้าพเจ้านึกในใจ แต่ไม่ได้บอกภรรยาว่าควรจะลองดูอีก ไม่ใช่ลองกนก เพราะกนกเจ็บพอแล้ว และเป็นเพื่อนของข้าพเจ้าด้วย การที่จะคอยทำร้ายใคร แม้คนที่เป็นอริกัน ก็ย่อมเป็นของไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แต่ถ้าจะทดลองอะไรที่อาจเป็นภัยแก่ผู้ถูกทดลอง เราก็ย่อมจะต้องทดลองกับอริ ไม่ทดลองกับมิตร เพราะฉะนั้นกนกเป็นอันออกเวรได้

คนที่ข้าพเจ้าเลือกให้เป็นผู้ถูกทดลองนั้น คือ หญิงพี่เลี้ยงเด็กที่อยู่บ้านติดกับเรา บางคนนั้นนายจ้างไม่ควรจะจ้างเป็นพี่เลี้ยง มันข่มขู่เด็กจนน่าสงสาร และขู่จะทำแก่เด็กจนเด็กไม่กล้าฟ้องพ่อแม่ เราเห็นมันทำร้ายบ่อย ๆ มิหนำซ้ำมันเคยทำจองหองกับเราด้วย ข้าพเจ้าจึงเลือกมันเป็นผู้ถูกทดลอง

การที่จะหารูปนางพี่เลี้ยงคนนั้นมาทดลอง ย่อมจะยากหน่อย แต่วันหนึ่งข้าพเจ้าวางกล้องไว้พอดีที่หน้าต่าง พอนางคนนั้นผ่านมา ข้าพเจ้าอยู่บนหน้าต่าง ก็ทำเสียงกึกก้องราวกับเรือเหาะ นางนั้นเงยหน้าขึ้นมาดู ก็เป็นอันได้รูปเต็มหน้า คืนนั้นเป็นเวลาประมาณ ๕ ทุ่ม ข้าพเจ้าเอาเปียผมกลัดกับรูปนางพี่เลี้ยงตรงหน้าผาก แล้วเอาใส่ลิ้นชักไว้

เช้าขึ้นข้าพเจ้าไปจากบ้านตลอดวัน เวลาเย็นกลับถึงบ้าน ภรรยาบอกว่า “คุณทราบแล้วหรือยัง อีนางพี่เลี้ยงที่อยู่บ้านตรงข้ามนั้นตายเสียแล้ว เช้าวันนี้คนในบ้านเดียวกันไปพบนอนตายอยู่ในที่นอน ได้ยินว่ายุ่งกันใหญ่ และจะต้องมีการไต่สวนชัณสูตรศพ”

ข้าพเจ้าตกใจจนสะดุ้ง แต่สะกดใจทำหน้าเฉย ถามว่า “อะไรอยู่ดี ๆ ก็ตาย เป็นอะไรตาย”

ภรรยา “ยังไม่มีใครรู้”

ภรรยาข้าพเจ้าเป็นคนใจบุญ ถ้าทราบว่าข้าพเจ้าจะทดลอง ก็คงจะไม่ยอมเป็นแน่ ความสงสัยของข้าพเจ้าในเรื่องกนกถูกตีหน้าผากนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้บอกให้ภรรยาทราบ และการทดลองคราวนี้ ข้าพเจ้าก็ทำคนเดียว ข้าพเจ้าขึ้นไปห้องทำงานลั่นกลอนแล้ว หยิบรูปในลิ้นชักออกมาดู ปลดเปียผมออกก็เห็นรูปในลิ้นชักเห็นรอยสีน้ำตาลอ่อน เหมือนรอยที่รูปนกนั้นเอง ท่านคงจะไม่เชื่อ แต่ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เรื่องก็เป็นไปแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนว่าได้ฆ่าคนตาย นึกดูก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่รู้สึกอย่างนั้น

ต่อนั้นมาก็มีการชัณสูตรศพ ข้าพเจ้าได้ไปฟัง เพราะอยากทราบว่า นางนั่นมันตายด้วยอะไรแน่ หมอตรวจศพได้ความว่า เส้นเลือดในสมองแตกหลายเส้น แต่หมอคิดไม่เห็นว่า อะไรทำให้เส้นเลือดแตก รอยที่หน้าผากคนตายนั้น ก็เหมือนรอยที่หน้าผากกนก คือเหมือนรอยถูกตี หรือล้มฟาดถูกอะไร แต่นั่นมันไม่ใช่เหตุที่ทำให้เส้นเลือดแตก บางคนก็สงสัยเอกซเรซ์ แต่สอบสวนได้ความแน่นอนว่า ผู้ตายไม่ได้เข้าไปใกล้เอกซเรซ์ที่ไหนเลย ตกลงเป็นอันรู้เพียงว่า ไม่รู้เท่านั้นเอง

การเป็นเช่นนี้ ทำให้ข้าพเจ้ากระวนกระวายใจยิ่งนัก จะปล่อยให้ในเรื่องอยู่เพียงนั้นก็ไม่ควร เพราะมีอะไรที่ให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น ถ้าไม่ทดลองต่อไป เหตุไฉนจะได้ความรู้ต่อไปอีก ข้าพเจ้านึกหาคนที่ควรจะทดลอง เผอิญมีเพื่อนบ้านคนหนึ่งอยู่เรือนตรงข้ามกับเรา ข้าพเจ้าแน่ใจว่า ถ้าให้แกเป็นเครื่องทดลองจะได้บุญมาก ผู้นั้นมีเครื่องรับวิทยุหนวกหูไปตั้งโยชน์ คงจะได้ทำให้เพื่อนบ้านคลั่งไปหลายคนแล้ว และถ้าคำแช่งของเพื่อนบ้านเป็นไปได้จริง ผู้นั้นก็คงจะอยู่ใต้ถุนเทวทัต มาตั้งแต่มีเครื่องวิทยุใหม่ ๆ ผู้นั้นเองที่ควรจะเป็นผู้ถูกทดลองคนหน้า ถ้าทดลองสำเร็จ ผู้ทดลองก็ย่อมจะได้บุญ เพราะทำให้เพื่อนบ้านได้ความสุขทั่วไป การที่จะหารูปผู้นั้นมาทดลองนั้น ยากหน่อย เพราะแกไม่ใคร่ไปไหน ครั้นจะเข้าไปขอชักรูปเอาซึ่ง ๆ หน้า ก็ดูกระไรอยู่ แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก็คอยแอบถ่ายรูปแกจนได้ คืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้านั่งเตรียมคอยอยู่ พอแกเปิดเครื่องวิทยุ ก็ลองเอาเปียผมเช็ดไปที่หน้าผากของแกในรูป แกปิดเครื่องวิทยุทันที แล้วเงียบไปสักครึ่งชั่วโมงจึงเปิดใหม่ พอแกเปิดข้าพเจ้าก็เอาผมวางทับลงไปบนรูป แกปิดทันทีอีก ข้าพเจ้าก็ริบผมขึ้นเสีย คราวนี้แกคลุมหัวออกมายืนที่หน้าต่าง ดูราวกับต้องการอากาศหายใจ ข้าพเจ้าเองก็พลอยแทบจะหายใจไม่ออกด้วย คืนนั้นแกไม่กล้าเปิดเครื่องวิทยุอีก ก็นับว่าผมเปียนั้นใช้ประโยชน์ได้อย่างหนึ่งแล้ว

ข้าพเจ้าตรึกตรองหาทางที่จะใช้ของวิเศษของข้าพเจ้าให้เป็นประโยชน์ต่อไปอีก ได้ทดลองอยู่หลายเดือน ได้ความรู้หลายอย่าง แต่ชีวิตที่เสียไปนั้นน้อย ถ้ารวมยอดเข้าก็หญิงคนหนึ่ง หมาเห่าเอ็ดสองตัว อ้ายเสือที่หนีคุกไปเที่ยวทำทารุณ ตำรวจจับไม่ได้หนึ่ง รวมเป็น ๔ เท่านั้น

เมื่อได้ความชำนาญมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ติดต่อไปว่า การมีของวิเศษเช่นนี้ควรจะต้องใช้ให้เกิดทรัพย์ มิฉนั้นจะมีของดีไว้ทำไม อะไรจะทำให้หมูนพูนเขาง่าย ๆ นึกไปนึกมา ก็เห็นว่าการแข่งม้าแหละดี วิธีทำก็ง่าย ๆ คือเลือกม้าที่ไม่มีใครแทง เราแทงคนเดียว ต่างว่า ๑๐๐ เอา ๑ แล้วทำให้มันชนะ

คั่นต้นต้องมีรูปม้าทุกตัวที่จะเข้าแข่ง เว้นแต่ตัวที่เราจะให้ชนะเท่านั้น คั่นที่ ๒ เอารูปนั้น ๆ ติดบนกระดาษแข็งแผ่นเดียวกัน แล้วไปคอยดอยู่ในที่ซึ่งเห็นได้รอบสนามแข่ง ข้าพเจ้าไม่คิดจะฆ่าม้าทั้งฝูง จะทำแต่เพียงว่า พอมาออกแข่งก็เอาผมเปียเช็ดแผ่ว ๆ บนรูปม้าทุกตัว ทำให้มันเหนื่อยเสียแต่แรกออกแล้วคอยดูต่อไป ถ้าม้าของข้าพเจ้าไม่ออกหน้าเมื่อไปใกล้ที่ชนะ มีม้าตัวอื่นทำท่าจะไม่แพ้ ข้าพเจ้าก็เอาผมเช็ดจำเพาะตัวนั้นตัวเดียว

ข้าพเจ้าต้องทำอย่างระวัง มิฉะนั้นจะดูเป็นไม่แข่งกันจริง เป็นต้นว่า ถ้าม้าก้มหมดทุกตัว หรือแม้แต่หยุดกินหญ้าเสียตามทาง มีที่วิ่งอยู่แต่ตัวของข้าพเจ้าตัวเดียวฉนี้ กรรมการอาจตัดสินเอาเป็นว่าไม่ได้แข่งก็ได้

ข้าพเจ้ากำหนดการเสร็จแล้ว ก็ไปทดลองที่สนามแข่งม้าสองสามครั้ง ครั้งหลังจะว่าทดลองเปล่า ๆ ก็ไม่เชิง เพราะข้าพเจ้าได้แทงม้าตัวที่ไม่มีใครคิดว่าจะชนะ แทง ๒๐ บาท ได้ ๖๖๐ บาท

ครั้นเสร็จการแข่งม้าแล้ว ขากลับจากสนามม้า ข้าพเจ้ากำลังจะออกประตู ถูกคนสองสามคนรุมกันเบียด ข้าพเจ้าสังเกตอ้ายพวกนั้นมันเบียดเฉพาะแต่ข้าพเจ้า คนอื่นถมไปมันก็ไม่เบียด พอข้าพเจ้าเริ่มจะโกรธ ก็รู้สึกมือล้วงกระเป๋า ข้าพเจ้าจึงจับมือ ๆ นั้นยัดให้ลึกลงไปในกระเป๋า แล้วเอาแขนหนีบไว้แน่น ไม่ให้ชักออกได้ มันกระชากแขนและผลักข้าพเจ้า พวกของมันก็รุมกันต่อยตี ข้าพเจ้าทนเจ็บ ยิ่งหนีบแขนแน่นไม่ให้มันชักมือออกได้ พวกของมันทำแก่ข้าพเจ้าเพลิน จนตำรวจมาจับได้หมด ในกระเป๋าที่อ้ายพวกนั้นล้วง มีหลอดแก้วใส่ผมเปียไว้ พอข้าพเจ้าหนีบแขนแน่นหลอดแก้วก็แตก เมื่อตำรวจจับได้แล้ว ชักมือมันออกจากกระป่า มือเลือดโซม เศษแก้วยังตำอยู่ก็มีเลือดไหลมาก และข้าพเจ้าเอง ก็มีบาดเจ็บซึ่งควรให้หมอล้าง ครั้นผ่านหน้าบ้านหมอที่อยู่ใกล้สนามม้า ข้าพเจ้าจึงแจ้งแก่ตำรวจให้แวะให้หมอชำระแผลที่มืออ้ายคนนั้น และทำให้เลือดหยุดเสียก่อน และเพื่อจะได้ล้างแผลที่หัวข้าพเจ้าด้วย

หมอคนนั้นคล่องแคล่วดี แต่หัวล้านราวกับไข่ ข้าพเจ้าแทบจะไม่เคยเห็นใครหัวล้านถึงเท่านั้น

เมื่อหมอทำแผลเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็เทเศษแก้วออกจากกระเป๋า และหยิบผมเปียออก แล้วบอกหมอว่า ถ้ามีขวดเปล่าขอสักใบหนึ่ง หมอว่าได้ แล้วไปหยิบขวดมาให้จากห้องนอน ข้าพเจ้าเอาผมใส่ลงในขวด แล้วหมอก็หยิบก๊อกมาช่วยอุดให้ ข้าพเจ้าขอบใจหมอแล้วกรับขวดใส่กระเป๋า ลาออกจากบ้านหมอไป

ข้าพเจ้าต้องไปโรงตำรวจ กว่าจะไปถึงบ้านก็ช้าหน่อย ครั้นไปถึงบ้านก็หยิบขวดออกจากกระเป๋า จะเก็บผมเปียเข้าลิ้นชัก แต่ผมเปียในขวดไม่มี เหลือแต่ผงป่นเล็กน้อย นอกนั้นระเหยไปในขวดหมด น่าสงสารนักว่า เหตุไฉนผมจึงละลายเป็นอากาศธาตุไปได้

ข้าพเจ้าประหลาดใจเต็มที่ จึงดูป้ายว่า ขวดเคยใส่อะไร ป้ายบอกว่า ขวดยาปลูกผม อ้อ มิน่าตาหมอนั่นหัวล้านราวกับไข่

----------------------------

 

  1. ๑. ประมวญมารค ฉบับที่ ๔๐ หน้า ๕ ปีที่ ๒ ศุกร์ที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ