ละครแมว

สิงห์โตและเสือชนิดต่าง ๆ เป็นสัตว์ประเภทเดียวกับแมว และที่เรียกว่า “ละครแมว” ใหญ่ที่สุดในโลก ก็คือลครสิงห์โตกับเสือ

ที่เรียกว่า “ลคร” นี้ก็เรียกตามที่ไทยเราใช้ เรียกเซอร์คัสว่า ลครม้าหรือลครสัตว์ จะเทียบกับลครก็ไม่ได้ เพราะใครจะหัดสี่เท้าให้เป็นลครได้เหมือนมนุษย์ ก็ผิดสภาพของมัน

นายโรง “ลครแมว” โรงใหญ่ที่สุดเป็นชายชื่อ ไบตี่ (Beatty) ชื่อนี้คนอังกฤษมักจะออกเสียงว่า บีตตี่ แต่นายโรงลครแมวคนนั้นมาจากท้องที่ในอเมริกา ซึ่งออกเสียงแปลกกับสำเนียงที่เรามักจะได้ยินในกรุงเทพฯ เป็นต้นว่าคำอังกฤษที่แปลว่าเสือ ซึ่งเรามักออกเสียงว่าไทเกอร์ ชาวท้องที่นั้น ก็มักออกเสียงว่าแทกเกอร์

ไบตีผู้นี้แต่ก่อนรับค่าจ้างอยู่ในบริษัทลครสัตว์โรงหนึ่ง ซึ่งแต่ก่อนใหญ่มากในอเมริกา แต่ภายหลังไบตีแตกออกมาร่วมทุนและกำลังกับเพื่อนบางคนตั้งลครของตนเอง อ้างว่าเมื่อรับจ้างอยู่นั้น นายจ้างมิได้ให้ค่าจ้างสมกับประโยชน์ที่ได้ทำให้ ในเวลานี้ลครของไบตีเป็นลครโรง ซึ่งคนแตกตื่นกันไปดูมาก แต่ชุดสำคัญของถคร ก็คือ “ชุดแมว” คือชุดสิงห์โตและเสือ

ในชุดนั้น เมื่อเปิดฉากก็เห็นกรงเหล็กกลมวัดขวางจากข้างในไปถึงข้างโน้น ๓๒ ฟุต ข้างบนมีตาข่ายเหล็กคลุมหมด พอเปิดฉากไฟก็หรี่ลงบ้าง แล้วได้ยินเสียงฟ้าร้องและฟ้าแลบ ครู่หนึ่งมีสิงห์โตตัวผู้ตัวหนึ่ง ขนคอหนา เดินเข้ามาในกรง ในกรงนั้นมีม้าที่นั่งวางไว้หลายสิบตัว ตั้งแต่ต่ำจนสูงเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป สิงห์โตตัวนั้นเมื่อออกมาแล้วก็ขึ้นบนม้าตัวเตี้ย แล้วขึ้นตัวสูงเป็นลำดับไปจนถึงตัวสูงสุด ซึ่งตั้งอยู่กลาง ก็ขึ้นนั่งอยู่บนนั้น

คราวนี้เสือใหญ่ออกมา ๒ ตัว ขึ้นม้าเตี้ยเป็นลำดับขึ้นไป จนถึงม้าสูงรองตัวกลาง ที่สิงห์โตตัวใหญ่อยู่แล้ว เสือ ๒ ตัวนี้ขึ้นอยู่บนม้าสูง ซึ่งรองลงมาจากม้ากลาง ขึ้นอยู่บนม้าตัวละม้า ๒ ข้างสิงห์โต

ต่อนี้มีเสือและสิงห์โตอีก ๑๐ ตัวหรือ ๑๒ ตัวออกพร้อมกัน บางตัวก็ขึ้นที่โดยเร็ว บางตัวก็ยังเที่ยวเดินแกว่งอยู่ในกรง ทีนี้ถึงคราวเจ้าของออก เมื่อออกแล้วก็ปิดประตูกรงเสีย

เจ้าของถือปืนพกบรรจุปัสตัน ไม่มีกระสุน ในมือซ้ายมือเดียวกันนั้น ถือเก้าอี้ทำด้วยเหล็กกล้าอีกอย่างหนึ่ง เก้าอี้นั้นแข็งแรงแต่ไม่หนักเพราะกลวง ส่วนในมือขวาของเจ้าของถือแซ่ยาวอย่างแซ่ขับรถม้า ซึ่งฟาดตวัดปลายดังมาก

เมื่อเจ้าของออกมาในกรงแล้ว ก็เดิน ๆ โดด ๆ และบางทีก็ย่อ มือขวาก็ฟาดแซ่ดังเปรี๊ยะ ๆ สิงห์โตตัวหนึ่งตรงเข้าตบ เจ้าของยิงปืนแล้วเอาเก้าอี้รับไว้ สิงห์โตตัวนั้นกลัว ก็ไปขึ้นที่ของมันบนม้า

คราวนี้สิงห์โตเข้ามาในกรงอีกหมู่หนึ่ง แล้วเสือออกมาอีกหมู่หนึ่ง แล้วสิงห์โตออกมาอีก ต่างตัวก้มหัวลงจนเกือบถึงพื้นกรง เพราะระวังกลัวตัวอื่นจะตบ เจ้าของก็ฟาดดังเหมือนประทักทั้งพวง จนสิงห์โตและเสือไปขึ้นที่หมด รวมเป็นสิงห์โตตัวผู้และตัวเมีย ๒๕ ตัว เสื้อตัวผู้และตัวเมีย ๑๕ ตัว

เมื่อสัตว์ทั้ง ๔๐ ตัวขึ้นที่หมดแล้ว เจ้าของยืนอยู่ข้างหน้า เสือตัวหนึ่งโดดลงมาจากที่นั่ง หางแกว่งตรงเข้าจะใส่เอาคน ผู้อ่านคงจะทราบแล้วว่า หมาแกว่งหางเวลาชอบใจ แมวแกว่งหางเวลาโกรธหรือจะทำร้าย ส่วนเจ้าของเมื่อเสือแกว่งหางย่องเข้าไป เจ้าของก็คุกก้มลงจนคางเกือบจะถึงพื้นกรง ตาจ้องดูตาเสือเหมือนว่าจะให้เสือกลัวตา แต่เขาว่ากิริยาที่ทำเช่นนั้น เป็นกิริยาที่สอนเสือไว้ เป็นสัญญาว่าให้ถอย ฝ่ายเสือเมื่อคนทำเช่นนั้น ก็ลงคลานแทบจะอกถึงพื้นแล้วถอยหลังออกไปขึ้นที่ เมื่อสัตว์ขึ้นที่หมดแล้ว เจ้าของก็โดดไปทางโน้นทางนี้ หรือทำท่านี้ท่าโน้น ยิงปืนบ้างตีแซ่บ้าง บังคับให้สัตว์เปลี่ยนที่กัน สิงห์โตตัวหนึ่ง กรากเข้าใส่เจ้าของ จนเจ้าของเข้าไปติดอยู่ข้างกรง แต่ก็ใช้เก้าอี้และปืนในมือป้องกันไว้ได้ ประเดี๋ยวสิงห์โตก็ตบเอาเสือ ประเดี๋ยวเสือก็ตบเอาสิงห์โต แต่เจ้าของฟาดแซ่ห้ามไม่ให้วิวาทกัน

เจ้าของเดินเข้าไปหาเสือตัวหนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนม้า เสือแยกเขี้ยว เจ้าของเอาเก้าอี้เสือกเข้าไปที่หน้าเสือ มันตบเก้าอี้เหไป แต่อีกประเดี๋ยวเสือตัวเดียวกัน ก็ลงมาจากม้า ขึ้นยืนบนถังกลมกลิ้งดังไปตามพื้น

สิงห์โตตัวหนึ่ง เจ้าของบังคับให้นั่งยกสองเท้าหน้า เหมือนหมานั่งขอของกิน

เสือตัวหนึ่งเจ้าของทำให้หมุนรอบเหมือนเป็นม้า

ตอนที่จะจบชุด เจ้าของเปิดประตูให้สัญญาให้สัตว์ออกจากกรงไปเกือบจะหมด แต่ไม่หมด เจ้าของหันหลังวิ่งออกประตู สิงห์โตตัวหนึ่งโจนตามเกือบจะทันที่ประตู แต่เจ้าของออกประตูไปทัน และปิดประตูไว้ได้

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่สัตว์ได้รับฝึกหัดให้ทำทั้งนั้น ผู้ที่ไม่รู้ว่า การที่สัตว์พยายามจะทำร้ายเจ้าของก็เพราะเจ้าของหัดให้ทำตามสัญญาที่ทำให้รู้โดยกิริยา ไม่ใช่โดยคำพูด ก็คงจะอกสั่นขวัญแขวน แต่ผู้ที่รู้ว่าสัตว์ทำเช่นนั้น เพราะเจ้าของฝึกหัดให้มันทำ ก็นั่งดูอย่างใจเย็น ไม่นึกว่าจะเกิดเหตุอะไรได้

แต่อันที่จริง ถึงสัตว์จะได้รับฝึกหัดจนทำท่าจะทำร้ายเจ้าของก็ไม่ทำจริงเช่นนี้ อันตรายก็ยังมีอยู่เสมอ เจ้าของไม่มีเวลาจะวางใจได้เลย

สิ่งที่เจ้าของกลัวที่สุดนั้น ไม่ใช่กลัวสัตว์จะทำร้ายตนเอง ที่กลัวที่สุดก็คือ กลัวสัตว์ต่อสัตว์จะวิวาทกันขึ้น ถ้าสิงห์โตและเสือ ๔๐ ตัวกัดกันขึ้น ในกรงซึ่งมีรัศมี ๓๒ ฟุต ก็จะเป็นเหตุเสียหายแก่เจ้าของและบริษัท ส่วนชายผู้ที่อยู่ในกรง จะหนีออกจากกรงได้ทันหรือไม่นั้นส่วนหนึ่ง แต่ส่วนที่สัตว์ซึ่งมีราคาตัวละ ๕,๐๐๐ เหรียญ จะทำร้ายกันเป็นจุณลงไปนั้นเป็นความเสียหายใหญ่ ถ้าเกิดเหตุชุลมุนทั่วกรงเช่นนั้น แม้สัตว์ที่ไม่ตาย หรือไม่บุบสลายเกินไป ก็คงจะลืมการเล่นลครหมด

เหตุที่ทำให้วางใจไม่ได้เลยนั้น ก็เพราะสิงห์โตเกลียดเสือนัก และเสือก็เกลียดสิงห์โตที่สุด ถ้าสิงห์โตและเสือในกรงนั้นเป็นตัวผู้ล้วน หรือตัวเมียล้วนก็ค่อยยังชั่ว แต่ที่ปล่อยทั้งตัวผู้และตัวเมียเข้าไปรวมกันนี้ ต้องฝึกหัดมานานที่สุด และถึงแม้ได้ฝึกหัดเต็มที่แล้วก็ย่อมต้องระวังแทบจะไม่กระพริบตาเลย การปล่อยทั้งตัวผู้และตัวเมีย เข้ารวมกันนี้ แต่ก่อนก็ไม่เคยทำ ที่ทำก็เพราะได้ความว่าถ้าตัวผู้ล้วน หรือตัวเมียล้วน คนดูก็ชักเบื่อ

การที่จะห้ามมิให้สัตว์กัดกันเลยนั้น ห้ามไม่ได้ เจ้าของได้เสียเสือไปแล้วเพราะเหตุนี้ ถึง ๑๘ ตัว สิงห์โต อีก ๖ ตัว สัตว์ที่จะซื้อมาใหม่ราคาตั้งแต่ ๕๐๐ เหรียญขึ้นไป เมื่อฝึกหัดใช้ได้แล้ว ตีราคาถึง ๕,๐๐๐ เหรียญ

การฝึกหัดนั้นข้อต้นต้องให้สัตว์รู้ว่าคนเป็นใหญ่กว่าสัตว์ จะหักให้มันเข้ากรงแล้วเลี้ยวไปทางขวา หรือทางซ้าย ก็ต้องหักอยู่หลายสัปดาห์ เมื่อมันเลี้ยวถูกแล้ว จะให้มันขึ้นม้า และให้ขึ้นม้าตัวไหนก็นานนัก การหักเหล่านี้ต้องหัดให้รู้สัญญาโดยกิริยาของผู้หัด ไม่ใช้คำพูดเลย และสิงห์โตและเสือนั้นจะผลักไสให้มันทำอะไรเหมือนสัตว์อื่นก็ไม่ได้

เจ้าของลครแมวนี้ เมื่อต้องการสัตว์ใหม่ก็หาสัตว์ที่มาจากป่าจริง ๆ ไม่ต้องการสัตว์ที่เกิดในที่เลี้ยง เขาว่าสัตว์เกิดในบ้านเมืองคนมันฉลาดเกินไป หัดยาก

 

  1. ๑. หน้า ๕ ประมวญสาร วันจันทร์ ที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ ทรงใช้ชื่อหน้า ๕ นี้ว่า “ปเกียร ณ กะ” ปเกียร ณ กะ วันนี้ คือ “ลครแมว” ซึ่งเป็นเรื่องยาวพอควร หน้านี้เป็นที่รวมเรื่องหลายรสทั้งสั้นและยาว

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ