- คำของผู้รวบรวม
- คำนำของสำนักพิมพ์
- ๑. นะโปเลียนที่วอเตอร์ลู
- ๒. นางงามกับนะโปเลียน
- ๓. ภาษาอังกฤษ
- ๔. ลักพา
- ๕. กระจกใหม่ ๆ
- ๖. รู้ไว้ใช่ว่า....
- ๗. มันสมองดิกเตเตอร์
- ๘. โคลงด้นเสือโค
- ๙. นายตุ้ยนักสืบ
- ๑๐. อเมริกันเล่าถึงยุโรป
- ๑๑. เหตุไร หัวล้าน
- ๑๒. ปเกียรณการมภ์
- ๑๓. นิทานกลอนพาไป
- ๑๔. เรื่องทุกขฐานํ
- ๑๕. คุณเฉก
- ๑๖. นิทานเรื่องดาวพฤหัสเป็นมูล
- ๑๗. การลุอำนาจพระเจ้าจักรพรรดิ์
- ๑๘. ชมรมกลอน
- ๑๙. ไปดูลครโรงดึกดำบรรพ์
- ๒๐. ละครแมว
- ๒๑. เมื่ออหิวาตกโรคมา
- ๒๒. ข่ายลวดและข่ายปืน
- ๒๓. คำตัดสินของปารีส
นิทานกลอนพาไป
๑๏ ณ วันดีคืนดีวันนี้หนอ | ข้าจะขอกล่าวกลอนอักษรสาร |
บรรยายเล่น ๆ เป็นนิทาน | ใช่บุราณเรื่องตั้งแต่ดั้งเดิม |
ที่แท้เรื่องอะไรยังไม่รู้ | ถ้าบุญชูเคราะห์ช่วยคงสวยเสริม |
ธรรมเนียมโลกโชคมาปัญญาเติม | ลองเผดิมดูก่อนให้กลอนพา ฯ |
๏ ณ ปางหลังยังมีนารีหนึ่ง | อายุซึ้งแสนลิบหกสิบกว่า |
เป็นเหล่ากอผู้ดีมีหน้าตา | แต่ว่าหน้าสวยน้อยเหมือนหอยแครง |
แม้เมื่อคราวสาวอร่ามควรงามนัก | ก็ไม่ยักเฉิดฉายสยายแสง |
รูปไม่สวยรวยทรัพย์นับพอแรง | เหมือนข้าวแดงดูงามในชามทอง ฯ |
๏ อันพ่อเศรษฐีมีลูกหญิง | ถ้าเพริดพริ้งเพราศรีไม่มีสอง |
ชายจะกลุ้มรุมรักสมัครครอง | ทุกคนปองนางสวยสำรวยทรัพย์ |
รักแม่สาวหรือหนักข้างรักสิน | เดาก็สิ้นฤทธิ์เดาเผาตำหรับ |
อะไรแน่แม้ถามเป็นความลับ | กลัวจะกลับโกรธเอาไม่เข้าที |
ถ้าขี้ริ้วคิ้วคางเหมือนนางแทตย์ | สาวสิบแปดจ้ำม่ำดำมิดหมี |
แต่รวยทรัพย์นับแสนคะแนนดี | คงจะมีหนุ่ม ๆ มารุมรัก |
คราวนี้เขารักอะไรรู้ได้แน่ | อันพ่อแม่เศรษฐีมีน้ำหนัก |
สมุดเช็คเล่มใหญ่วิไลนัก | เครื่องสลักหฤทัยมิใช่เท็จ ฯ |
๏ จะกลับกล่าวนิยายคุณนายซึ่ง | อายุซึ้งแสนลิบหกสิบเอ็ด |
เมื่อรุ่นสาวพราวแพรวด้วยแววเพชร | แต่ละเมล็ดมีค่าเกือบห้าพัน |
หน้าไม่งามงามเฟื่องเครื่องประดับ | งามเพราะทรัพย์อันเอนกเหมือนเศกสรรค์ |
ชื่อแม่ถินกลิ่นระรื่นทุกคืนวัน | ดอกสวรรค์ไม่ระบือเหมือนชื่อนาง |
พวกผู้ชายหมายอยู่เป็นคู่เคล้า | เหยียบกันเข้าแย่งสวาดิ์ไม่ขาดข้าง |
ส่งหนังสือสื่อสู่มิรู้ร้าง | ไม่อำพรางความรักหนักยิ่งฟ้า |
รักจริง ๆ เพียงไขออกให้สิ้น | แล้วเล่นลิ้นพอกพูนคูณด้วยห้า |
ขี้ริ้วคือความงามตามวาจา | ถึงตาเหล่คว้างอ้างอาคม |
๏ อันความสวยนั้นหนอขอเฉลย | เป็นพั้งเพยสืบส่อให้พอสม |
เขาว่าความงามเลิศเจิดอารมย์ | ลึกไม่จบพ้นหนังกั้งลามก๒ |
เหมือนใบตองปรากฏสีสดใส | ซึ่งเราใช้ปิดคลุมหุ้มห่อหมก |
ดาวแดง ๆ แฝงหน้าเหมือนสาธก | สกปรกกลิ่นอู้อยู่ข้างใน |
ที่เขาว่าฉนี้ ข้าไม่ว่าด้วย | อันความสวยเพียงหนังมีครั้งไหน |
หัวกระโหลกบู้บี้ดีอย่างไร | ถ้าหน้าไม่บี้บู้ก็ดูเอา |
แม้ว่าร่างไม่ดีเป็นที่ตั้ง | ลำพังหนังฤจะก่อให้หล่อเหลา |
ภาษิตเซอะเลอะล้นเหมือนคนเมา | มิควรเราคิดเห็นว่าเป็นจริง |
๏ อันการอ้างภาษิตติดจะง่าย | มีแยบคายกว้างแคบแทบทุกสิ่ง |
ว่าช้าดีก็ได้ไม่ประวิง๓ | ว่าไม่ดีก็ยิ่งจะง่ายดาย๔ ฯ |
๏ ส่วนความสวยนั้นไซร้ใครจะเห็น | ก็ย่อมเป็นความเคราะห์ที่เหมาะหมาย |
ชายคนหนึ่งเห็นแม่ฉลวยสวยจะตาย | ส่วนอีกชายหนึ่งเห็นว่าม้าหมากรุก |
เห็นไฉนเป็นปัญหาซึ่งน่าถาม | ถ้าเห็นงามก็คือตาให้ผาสุก |
เห็นไม่งามก็คือตาต้องฝ่าทุกข์ | ตาได้สุขได้เศร้าคลุกเคล้ากัน ฯ |
๏ อนึ่งนั้นนางงามทรามสงวน | จะยิ้มยวนเยี่ยงอย่างนางสวรรค์ |
ฤๅเล่นตาขวับ ๆ จับไม่ทัน | อย่าสำคัญว่าจิตจะติดตัง |
อันความยวนนัยนาดักตาติด | แต่ดักจิตไม่ได้ดังใจหวัง |
คุณความดีดอกไซร้ไกรกำลัง | ทำจังงังให้จิตติดจำนอง๕ ฯ |
๏ อีกประการหนึ่งนั้นขันมาก ๆ | ตาปลูตากปราชกล้าปัญญาคล่อง |
กล่าวความจริงด้วยคำอันลำพอง | พูดผยองเหลือยั้งความดังนี้ |
เมื่อสิ้นแสงเทียนส่องห้องสว่าง | นางทุกนางสวยสมอุดมศรี |
เพราะความมืดอำนวยความสวยดี | ทุกนารีงามสัพพ์เมื่อดับเทียน๖ ฯ |
๏ กล่าวพลั้งเพยเลยออกไปนอกเรื่อง | พูดจนเฟื่องพรรณาความพาเหียร |
จำจะกลับย้อนต้นอันวนเวียน | ดูจวนเจียนหมดข้อจะต่อเติม |
นิทานกลอนพาไปมิได้เรื่อง | กลอนไม่เฟื่องนำก้าวอย่างห้าวเหิม |
ขยับขย้อนเยื้องย่างอยู่อย่างเดิม | มิส่งเสริมเนื้อเรื่องให้เฟื่องฟ้า |
๏ จะกลับกล่าวนิยายคุณนายซึ่ง | อายุซึ้งแสนลิบหกสิบกว่า |
แม้เมื่อสาวไม่สวยซวยลูกตา | ไม่ต้องหาสามีก็มีเอง |
ได้แต่งงานการใหญ่ในแลวก | เมื่อเชิญแขกเลี้ยงข้าวเมากันเขลง |
มีละครต้อนร้างนางเลวง | สำเนียงปี่เป่าเร้าหทัย |
งิ้วเมื่อตอนโจโฉโมโหฉุน | จะจับซุ่นกวนเชือดให้เลือดไหล |
แล้วเปลี่ยนซุ่นกวนอูบู๊กระไร | เที่ยวลุยไล่หักด่านหาญพอแรง |
แฮหัวตุ้นรบทวนขบวนรบ | ทั้งหลีกหลบดูทีท่าดูกล้าแข็ง |
หาญต่อหาญทานทัพเข้าฟันแทง | เสือกำแหงสู้เสือจนเหื่อโซม |
พวกผู้หญิงยืนดูอยู่ข้างนอก | พลอยเหื่อออกอกละเหี่ยแทบเสียโฉม |
ทั้งร้อนเบียดร้อนแดดแผดโพยม | ยังถูกโลมถูกล้วงทรวงระบม |
สมน้ำหน้าสาใจเข้าไปเบียด | เพียงถูกเบียดถูกสียังดีถม |
จะเอ็ดอึงขึ้งโกรธโทษระทม | ก็ไม่สมหน้าสาวฉาวชุมนุม |
งิ้วตุง ๆ ตุ้งแช่ตระแม่เสียง | กลบสำเนียงคำแสลงแช่งอ้ายหนุ่ม |
มันได้แตะได้ต้องของในคลุม | เห็นว่าคุ้มถูกด่าไม่ว่าไร ฯ |
๏ อันตำนานสามก๊กยกขึ้นขาน | เป็นนิทานเพรื่อพร่ำดังน้ำไหล |
เนื้อในพงศาวดารบานออกไป | ความเท็จใส่เกลื่อนกล่นปนความจริง |
แต่งตำนานล้วน ๆ ไม่ชวนอ่าน | เปรียบเหมือนท่านผัดไก่ไม่ใส่ขิง |
เรื่องเก่า ๆ เฉาจืดชืดเหมือนปลิง | ต้องพะพิงความเท็จอันเผ็ดร้อน |
เค้าในพงศาวดารนานมาแล้ว | กล่าวตามแนวตำนานในกาลก่อน |
ว่าสามแคว้นแดนงามสามนคร | เกียรติ์ขจรไปสิ้นแผ่นดินเจ๊ก |
ก๊กที่หนึ่งอยู่กลางคือข้างเหนือ | เจ้าเป็นเชื้อเล่าปั้งแต่ยังเด็ก |
ผู้สำเร็จราชการหาใช่เล็ก | ใจเหมือนเหล็กทื่อตื้อเพราะถือโต |
ชื่อเรียกตามฝรั่งดังเฉ่าเฉ่า | แต่ไทยเราสมญาว่าโจโฉ |
งานทุกส่วนป่วนหันเหมือนปั่นโป | แกอวดโม้บ้า ๆ สง่าแดน |
กรุงลกเอี๋ยงเสียงคำจงสำเหนียก | ฝรั่งเรียกโคยังฟังให้แม่น |
มันแปร่งเปลี่ยนเพี้ยนบ้านึกน่าแค้น | เราไม่แค่นเรียกหนาภาษานั้น ฯ |
๏ ก๊กที่สองมีขุนชื่อซุนจ๋วน | ฤๅซุ่นกวนเกียรติ์เกิดประเสริฐสวรรค์ |
กรุงนานกิง (นำเอี๋ยงเสียงประชัน) | อันตั้งมั่นโตใหญ่ใกล้ทะเล ฯ |
๏ ก๊กที่สามเล่าปี่มียศเจ้า | เป็นเทือกเถาธำรงวงศ์ฮ่องเต้ |
หนวดสามแหยมแกมฉลาดปราศเสเพล | ถ้าเขว ๆ ไปบ้างก็บางเบา |
แคว้นเสฉวนที่ทางก็กว้างใหญ่ | แต่ว่าไกลเต็มทนอยู่บนเขา |
ครั้งบุรมบุราณคือบ้านเรา | ชาวเมืองเก่าคือใครไทยนี้เอง |
จีนเข้ามาเสฉวนรวนหนักเข้า | ฝ่ายพวกเราขื่นขมเขาข่มเหง |
เบ่งอำนาศบาศใหญ่ไทยยำเกรง | ในกาลเพรงกล่าวย้อนก่อนสามก๊ก |
แพ้พวกเขาเราอยู่สู้ไม่ไหว | ซ่านสู่ใต้เสรีไม่มีตก |
เที่ยวถากร้างถางพงในดงรก | บ้างก็ยกเดินทางห่างออกมา |
เดี๋ยวนี้ไทยเสฉวนเป็นส่วนเล็ก | ยังเรียกเจ๊กว่าแขกแปลกภาษา |
(แขกคือคนต่างด้าวซึ่งเข้ามา) | ไม่แปลว่า อินเดียน เปอร์เซียน ฯลฯ |
ไทยแตกสานซ่านเซ็นเป็นเหล่า ๆ | แล้วก็เข้าคุมกันมั่นอิสระ |
จีนมาตีพวกเราเข้าปะทะ | บ้างชนะบ้างแพ้ปรวนแปรไป |
ยุคสามก๊กขงเบ้งเพ่งมาปราบ | พวกเราเสียรู้สู้ไม่ไหว |
อันเม้งเฮ็กนั้นฤๅก็คือไทย | มิใช่ใครอื่นดอกบอกให้รู้ ฯ |
๏ เขียนอักษรกลอนพาว่าไถล | มันพาไปเพียงนี้ก็ดีอยู่ |
อันจะคิดเดินเรื่องให้เฟื่องฟู | ต้องคอยดูเพื่อให้กลอนไปเอง ฯ |
๏ จะกลับกล่าวนิยายคุณนายเฒ่า | กายนั้นเก่าแต่ว่าทรัพย์กระฉับกระเฉง |
เป็นเจ้าสาวแต่งงานในกาลเพรง | ทั้งม่านเมงกลิงเกรี่ยงพร้อมเพรียงมา |
ยังแขกครัวแขกเทศประเภทแขก | มีแปลก ๆ หลายอย่างต่างภาษา |
โปรตุเกศ เยียระมัน วิลันดา | บ้างก็หน้ามีหนวดบวชเป็นชี |
เรียกว่าชีหน้าหนวดเศกสวดคล่อง | ดูทำนองคนผู้ไม่สูสี |
แกถือศีลวางตนเป็นคนดี | ชวดจนปีกุญไม่ใช้มีดโกน |
ได้รับเชิญในวิวาห์มาเป็นแขก | คนแปลก ๆ เหลือประหลาดดูผาดโผน |
บ้างหน้าตาท่าทางอย่างทโมน | บ้างเหมือนโจรบ้าระห่ำน่ายำเยง |
บ้างก็ดูเฉิดฉายคล้ายพระสังข์ | บ้างก็ดังรูปเงาะงามเหมาะเหมง |
เสียงดนตรีเสียงคนอลเวง | ความครื้นเครงลือทึ่งไปถึงดาว |
นางสาวถินประทีนทรัพย์นับไม่ถ้วน | พวกชายล้วนอยากเข้าเป็นเจ้าบ่าว |
ลูกเศรษฐีแต่งงานนาน ๆ คราว | ถึงเจ้าสาวไม่งามก็ตามที |
๏ ฉันลืมบอกชื่อเขาผู้เจ้าบ่าว | ว่าชื่อขาวลูกหลวงไกรเมืองไชยศรี |
บรรดาศักดิ์เป็นขุนมีคุณดี | แต่เป็นที่ขุนอะไรลืมไปแล้ว |
ชื่อขุนนางนั้นไซร้มิใช่น้อย | ที่ยินบ่อยลืมถี่มีเป็นแถว |
อันความลำบากมากเหมือนลากแนว | เป็นเส้นแล้วลบเลือนลอยเลื่อนไป ฯ |
๏ วันแต่งงานนายขาวนางสาวถิน | ลือระบินหึ่งหึ่งถึงไหนไหน |
ว่าแขกคนหนึ่งนั้นขันกระไร | สนุกใหญ่คนห้อมนั่งล้อมฟัง |
เล่านิทานยาวยืดไม่จืดเรื่อง | ล้วนเป็นเครื่องคมขำถ้อยคำขลัง |
เราลองเล่าอีกทีดีกระมัง | เล่าเหมือนดังเขาบ้างช่างเป็นไร ฯ |
๏ ยังมียายกะตาประสายาก | แสนลำบากงึมงำทำนาไร่ |
แกมีหลานผุดผ่องนวลยองใย | ผิวดังไข่รูปทรงคือองค์อินทร์ |
โอ้ลำบากมากมายยายกะตา | ต้องปลูกถั่วปลูกงาเพื่อหาสิน |
อันผลพืชฝืดเคืองเครื่องหากิน | พะเอินสิ้นสงครามยามฝนแล้ง |
ฝรั่งรบกันใหญ่เราไปช่วย | ริปูม้วยเปลืองไปน้ำใจแหยง |
สิ้นอาวุธสุดเสบียงเอียงตะแคง | ทำหน้าแห้งงอนง้อขอไมตรี ฯ |
๏ ทางฝ่ายเราหลักมั่นสัมพันธมิตฯ | อภิชิตรบสู้ไม่รู้หนี |
ณ คราวเมื่อมีชัยเราใจดี | ขอไมตรีก็ขอให้ดังใจจอง |
เขียนสัญญาข้อกล่าวยาวใจหาย | ไม่เสียดายกระดาษหมึกมีตรึกถอง |
เล่นสัญญาหนาอะโขโตเป็นกอง | ข้าเจ้าลองอ่านดูไม่รู้ความ |
มาตรานี่อ้างโน่น ๆ อ้างนี่ | ถึงหมวดสี่อ้างเก้าเล่นเอาขาม |
ภาคผนวกหลายแผนกแยกเขตคาม | ไม่ได้ความว่ากระไรเลยไม่รู้ ฯ |
๏ ครั้นเสร็จศึกนึกสบายหายใจโล่ง | เห็นโต้ง ๆ หมดร้ายระคายหู |
อันเกียรติ์ไทยใหญ่เลิศชาติเชิดชู | แน่นเหมือนภูผาใหญ่ฟักในดิน ฯ |
๏ แต่สมคราวฝนแล้งดินแห้งผาก | เพาะพืชน์ยากเหมือนไร่ทำในหิน |
ยากที่ยายกะตาจะหากิน | จะออมสินออมไว้ไม่ไหวแล้ว |
หากว่าพระราชาเมตตาดูร | การุณะพระทูลกระหม่อมแก้ว |
แม้นไร้เจ้าเราไซร้เห็นไม่แคล้ว | จักเหมือนแมวอดผอมกรมกรอมแค้น |
ข้าวก็แพงมิหนำทำนาไร่ | มิใคร่ได้เพราะแล้งแห้งเหลือแสน |
ต้องปิดข้าวเอาไว้มิให้แคลน๗ | ทำดังแผนปวงเทศเขตอัษฎงค์ |
ไม่อดข้าวตายายค่อยคลายเศร้า | แกก็เฝ้าทำไร่โดยใจประสงค์ |
จะออมสิน๘กินน้อยค่อยบรรจง | หวังสนองคุณองค์พระราชา |
เพราะรู้ว่าการทำให้ทรัพย์เกิด | ย่อมชูเชิดบ้านเมืองเรืองหนักหนา |
ถึงจะน้อยจะนิดจิตเจตนา | แต่พอแรงยายกะตาก็ควรทำ ฯ |
๏ อนึ่ง ยายกะตาทำนาไร่ | สะสมทรัพย์นับได้หลายฉนำ |
จะส่งหลานเมื่อใหญ่ไปประจำ | ณ โรงเรียนเพียรร่ำพร่ำวิชา |
หวังสนองคุณองค์พระทรงราชย์ | ทั้งเอื้อเฟื้อเกื้อชาติศาสนา |
อุส่าห์คิดมากมายยายกะตา | แกเห็นว่าพลเมืองเรืองความรู้ |
ย่อมเป็นที่เชิดหน้าพากันขลัง | เสริมกำลังเมืองไทยเดินในผลู |
ฝึกปัญญาเป็นเครื่องให้เฟื่องฟู | ให้พอถูกับเขาได้ในมรรคา |
อันประดาพลเมืองเรืองความรู้ | แต่ละคนช่วยชูพระศาสนา |
เป็นเกียรติ์แก่ชาติเกิดเชิดราชา | ยิ่งมากหน้ายิ่งดีมีมงคล |
จะสาธกยกตัวอย่างอ้างให้เห็น | สุครีพเป็นนายลิงวิ่งสับสน |
ไม่ทรงเกียรติ์มากมายเหมือนนายตน | คือพระรามผู้ถกลเถกิงคุณ |
อันบุรุษหัวหน้าชาวป่าเถิน | ถึงมากเกินร้อยล้านพลุกพล่านวุ่น |
ไม่เกริกเกียรติ์เลื่องลือระบือคุณ | ศักดาดุลย์เด่นไปที่ในภพ |
เท่าบุรุษหัวหน้าประชาหาญ | วิชาชาญเชี่ยวชื่อเลื่องฤๅจบ |
ถึงจำนวนน้อยล้านแม้นชาญครบ | เกียรติ์ย่อมลบชาวป่าห้าร้อยล้าน |
เหตุฉนั้นทุกคนคนควรขวนขวาย | หาวิชาทั้งหลายอันวิตถาร |
เพื่อได้ช่วยให้ชาติอาจกิจการ | และสมเป็นบริวารพระราชา |
๏ จะกล่าวฝ่ายยายกะตาปลูกงาถั่ว | หลานยังตัวเตี้ยเล็กเด็กหนักหนา |
ยังไม่ฟูไม่เฟื่องเรืองปัญญา | เพราะอ่อนอายุนักเหลือจักเรียน |
ยายกะตาไปไร่เอาไปด้วย | เวลาช่วยเฝ้าไร่ให้ขีดเขียน |
ทั้งสองเฒ่าเหนื่อยยากเพราะพากเพียร | แกวิงเวียนนอนระงับเลยหลับไป ฯ |
๏ ยังเป็นกาตัวดำอำมหิต | ดำสนิทเหมือนกลางคืนฝืนไม่ไหว |
มันรีบบินตามตามาแต่ไกล | พอถึงถั่วงาของตายาย |
เห็นอาหารในไร่น่าใคร่กิน | เพราะมันบินไกลลิ่วหัวใจหาย |
มีแต่เด็กเฝ้าอยู่ดูสบาย | อันตรายไม่มีจะบิฑา |
จึงบินลงตรงไร่เกาะใกล้เด็ก | เด็กตัวเล็กไร้กำลังชังน้ำหน้า |
อีกาไม่เกรงกลัวกินถั่วงา | ยายกะตาหลับอยู่ไม่รู้เลย ฯ |
๏ ฝ่ายเด็กหลานเห็นกากินงาถั่ว | ไม่เกรงกลัวยายกะตาทำหน้าเฉย |
จึงเพรียกพร้องร้องว่าอีกาเอย | ข้าไม่เคยรู้เห็นใยเช่นนี้ |
เจ้าขะโมยถั่วงาของตายาย | แสนสบายเกาะกินแล้วบินหนี |
โจรกรรมเชิงฮั่นนั้นไม่ดี | บอกฉนี้แล้วเจ้าจงเข้าใจ ฯ |
๏ กาตอบว่า ข้าบินมาเหนื่อยนัก | จากเกาะหลักหิวล้นทนไม่ไหว |
อันเกาะหลักย่านห่างเป็นทางไกล | มีพงไพรยืดกว้างบ้างเป็นละเมาะ |
ทางมันไกลไม่บินตลอดได้ | พอรถไฟแล่นมาข้าเข้าเกาะ |
ประเดี๋ยวสิมีฉาวเป็นคราวเคราะห์ | เป็นเหตุเพราะในกรมอุดมยศ |
ผู้บัญชาการใหญ่รถไฟหลวง | คนทั้งปวงกล่าวว่าแม้นปรากฏ |
ว่าข้าแอบเกาะไปที่ในรถ | ไม่ซื้อตั๋วตามกฎแห่งรถไฟ |
ดังจะกริ้วเป็นแน่เกิดแซ่ซ้อง | ข้าจึงต้องบินมาตามนาไร่ |
ขอถั่วงากินบ้างช่างเป็นไร | จะเล่าให้ฟังเรื่องแห่งเมืองโน้น ฯ |
๏ เด็กตอบว่าเล่าอะไรเล่าไปเถิด | เล่าให้เกิดสนุกเช่นเขาเล่นโขน |
จะรางวัลถั่วงาให้ห้าร้อยโทณ | เรื่องราวโพ้นเป็นไฉนข้าใคร่ฟัง ฯ |
๏ กาชื่นชอบตอบว่าข้าจะเล่า | เรื่องตาเฒ่า ม่องล่าย อยู่ชายฝั่ง |
นางรำพึง ภริยา (ชื่อน่าชัง | แกถูกตั้งชื่อฉนั้นเหตุฉันใด) |
มีบุตรีฉวีวรรณ์สวรรค์แต่ง | รูปน้อยแน่งน่าสนิทพิศมัย |
ชื่อ ยมโดย ยอดดีศรียองใย | เจ้าลาย ใจจอดนางอกพังทลาย |
มาสู่ขอพ่อแม่แกยกให้ | เพราะหมายใจเฒ่าเขือสืบเชื้อสาย |
เขาจัดสรรขันหมากอันมากมาย | ทั้งสองฝ่ายบอกกล่าวข่าวมงคล ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้าเมือง กงจีน เมียตีนเล็ก | เบื่อเมียเจ๊กเต็มทีหนีเสือกสน |
ลงสำเภาห้าร้อยแล่นลอยชล | มิช้าดลอ่าวสยามยินความลือ |
ว่าลูกสาวม่องล่ายเจ้าลายขอ | แกว่าอ้อจะเษกกันกระนั้นหรือ |
เราชำนาญการศึกเคยฝึกปรือ | จะเข้าถือเอานางกลางสงคราม |
บุพกิจคิดจะจู่ไปสู่ขอ | แม้นแม่พ่อขืนจิตไม่คิดขาม |
จะขับเคี่ยวขันแข่งแย่งนางงาม | คงสมตามใจแท้ไม่แปรปรวน |
แรกตรึกไตรใจบึกๆ นั่งนึกยิ้ม | คิดกรุ้มกริ่มหานุชสุดสงวน |
จึงแต่งทูตพูดความตามขบวน | ขอนางนวลแม้นให้จะไปรับ |
เพื่อเษกเป็นฮูหยินปิ่นพธู | ตามลัทธิขงจู๊ครูตำหรับ |
แม้นมิให้ระวังตั้งกองทัพ | ไว้คอยรับพลเจ๊กใช่เล็กน้อย ฯ |
๏ ตาม่องล่ายยินความให้คร้ามครั่น | กงจีนมันเทียบพหลคนใช้สรอย |
วิชายุทธสุดประเสริฐเคยเลิศลอย | พวกเราน้อยปรวนแปรอ่อนแอนัก |
จะสู้มันสู้ไปไม่ไหวแล้ว | เหมือนเอาแก้วทุบหินคงสิ้นศักดิ์ |
โอ้ยมโดยดวงตาบิดารัก | เสียดายนักนึกไปยิ่งใจตรอม |
แม้นให้เจ้ากงจีนเสียศีลสัตย์ | ให้อึดอัดอกใจจนไผ่ผอม |
จะยอมให้ลูกเมื้อก็เหลือยอม | เราจะงอมเสียเพราะไม่ตามใจมัน |
ยิ่งแค้นเข้าแค้นเข้าเกิดเคราดก | เคราในอกชุลมุนลุกผลุนผลัน |
เรียกยมโดยลูกดีมานี่พลัน | พ่อคิดปัญหาตกในยกนี้ |
ไม่ยกให้เจ้าลายก็ขายหน้า | แม้นยกให้ก็จะพากันป่นปี้ |
เจ้าจงตัดปัญหาอย่าช้าที | สละชีวิตหนออย่ารอรั้ง |
เกิดเป็นชาติเสือป่ากล้าในสัตย์ | คราววิบัติย่อมวิบัติรักสัตย์ขลัง |
รบรักษาลูกเผือเหลือกำ | จะพาทั้งชาติดับย่อมยับลง ฯ |
๏ นางยมโดยเดี่ยวเด็ดคือเพชรกล้า | ยินบิดายลความตามประสงค์ |
อันนางงามทรามสงวนนวลบรรจง | เป็นเหตุก่อการณรงค์เสมอมา |
ครั้งพระรามรบราพณ์ปราบยักษร้าย | พหลลิงมากมายเป็นหนักหนา |
จองสมุทรรณรงค์ถึงลงกา | ราพณาสุรราชเศียรขาดกระเด็น |
เป็นการเศิกเกริกไกรใหญ่อย่างเอก | ยักษ์เอนกลิงอนันต์เคี่ยวขันเข็ญ |
อสูรสิ้นดิ้นเดือกดูเยือกเย็น | เพราะนงเพ็ญพรรณีนางสีดา |
อนึ่ง เมื่อกรุงตรอยต้องย่อยยับ | เพราะรบรับข้าศึกดึกนักหนา |
ทั้งสองตายเบือเหลือพรรณา | เหตุเฮเล็นโสภาชวาวรรณ |
ปารีสลอบร่วมรักลักนางไป | เกิดศึกใหญ่ข้ามสมุทรสุดมหันต์ |
เทพดานางฟ้ามาช่วยกัน | ต้องแข่งขนรบเร้าถึงเก้าปี |
ครั้งนี้เจ้ากงจีนทุศีลกล้า | จะเข่นฆ่าพวกเราเอาเป็นผี |
ก็เหตุเพราะตัวเราเพราพรรณี | เป็นนารีรูปเลิศจึงเกิดความ |
สัตรีโตเป็นเหตุวิเภทผ่าว | ก่อการร้าวรานเรื่องเครื่องเข็ดขาม |
ให้กำเนิดแก่ณรงค์การสงคราม | ย่อมขึ้นชื่อลือนามน่าคร้ามนัก ฯ |
๏ นางยมโดยหญิงดีฉนี้นึก | อกทึก ๆ เคืองคายเหนื่อยหน่ายหนัก |
ประนมหัตต์บอกบิดาว่าลูกรัก | เห็นประจักษ์ในเรื่องที่เคืองแค้น |
ชีพมลายมิเสียดายยอมวายชีพ | บิดารีบทำเถิดประเสริฐแสน |
จะเสียชีพไว้ชื่อให้ลือแดน | ทั่วเขตแคว้นอ่าวสยามจำนามตู ฯ |
๏ ตาม่องล่ายยินลูกถูกใจเหลือ | หญิงลูกเสือกล่าวกล้าไม่ปร่าหู |
แม้สงวนชีวิตพึงคิดดู | ชาติจะอยู่เป็นชาติหรือปราศไป ฯ |
๏ พลางแกจับสองขาธิดาฉีก | เป็นสองซีกโยนไปในน้ำไหล |
หนึ่งให้เจ้ากงจีนผู้บีฬไทย | ตกอยู่ใกล้ปากน้ำจันทบุรี |
เกิดเป็นเกาะกลมตั้งรูปดังเดาะ๙ | ชื่อว่าเกาะนมสาวเรื่องราวศรี |
หนึ่งโยนให้เจ้าลายชายนที | ตกอยู่หน้าสีขรียอดสามร้อย |
เรียกว่าเกาะนมสาวคราวเดียวกัน | ยังตั้งมั่นอยู่เงื้อมมิเสื่อมถอย |
เกาะนมสาวสองเกาะเดาะสองดอย | คือสาวน้อยสองซีกฉีกออกไป ฯ |
๏ ฝ่ายตาเฒ่าม่องล่ายเสียดายลูก | ใจแกผูกรักธิดาน้ำตาไหล |
ไปอยู่แอบแทบท่าชลาลัย | กลายเป็นไศละถนัดน่าอัศจรรย์ |
เรียกว่าเขาม่องล่ายใกล้เกาะหลัก | เห็นประจักษ์จากประจวบคีรีขันธ์ |
ตามตำนานบรรยายหมายสำคัญ | ชนแถบนั้นบอกเบื้องเรื่องนิทาน ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้าลายกลายเห็นเป็นหินยื่น | นอนทนคลื่นในสมุทรสุดสงสาร |
เรียกว่าเขาเจ้าลายหมายตำนาน | ชนย่อมขานนามนั้นจนวันนี้ ฯ |
๏ นางรำพึงชนิกาอาลัยลูก | แกพันผูกใจโศกโรคเสียดสี |
กำสรดเศร้าเฝ้านั่งฝั่งนที | ณ อ่าวมีตำนานโบราณมา |
ระบุกล่าวเรียกอ่าวแม่รำพึง | เพราะเหตุนางนั่งคนึงลห้อยหา |
ชนยังขานชื่ออ่าวกล่าวความปรา | กฏสมยานางนั้นจนวันนี้ ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้าเมืองกงจีนปิ่นสมุทร | แกเศร้าสุดโศกหามารศรี |
ให้แค้นคั่งคลั่งไคล้ใจไม่ดี | หน้ายู่ยี่มิได้คลายเสียดายนาง |
ได้จัดสรรขันหมากไว้มากยิ่ง | แกให้ทิ้งลงสมุทรสุดหมองหมาง |
ถอนสมอชักใบแล่นไปพลาง | ให้อ้างว้างมุ่นหมกเหมือนอกพัง |
อันข้าวของขันหมากหลายหลากอยู่ | กลายเป็นปูกุ้งฝอยและหอยสังข์ |
บ้างก็เป็นปลาปการัง | ทุกอย่างยังอยู่นั่นจนวันนี้ |
๏ เด็กกล่าวว่าเกาะหลักที่พักผ่อน | กรุงเทพร้อนชนหลายย่อมหน่ายหนี |
อันชาวกรุงมุ่งหมายสบายมี | ไป ณ ที่นั้นใครข้าใครรู้ ฯ |
๏ กาตอบว่าปีนี้ที่เกาะหลัก | พวกไปพักผ่อนกายมีหลายหมู่ |
ทั้งแก่หนุ่มนงเยาว์เพราพธู | ลมพัดอู้สบายใจเหื่อไคงด |
สกุลสกุลเจ๊กเด็กผู้ใหญ่ | สกุลใต้สกุลเหนือเมื้อกันหมด |
ทั้งเสนาบดีผู้มียศ | อันปรากฏเกียรติ์อดุลย์คุณนานา |
เจ้าพระยาบาเรียญเพียรบาลี | ทั้งท่านยมราชินีมีสง่า |
เจ้าพระยาครูใหญ่ไวปัญญา | ในตำแหน่งศึกษาธิการี |
อนึ่งพวกเฒ่าวิทูครูกฎหมาย | ไปอยู่หลายทั้งเสมียนเพียรถึงที่๑๐ |
ขนตำราตู้เขื่องเฟื่องเต็มที | เครื่องเขียนมีมากล้นแกขนไป |
ช่วยกันทำกฎหมายไม่หน่ายเหนื่อย | ดูน่าเมื่อยน่าเหน็บน่าเจ็บไข้ |
ประชุมแล้วประชุมเล่าทุกเช้าไป | เอออะไรน่าเบื่อเหลือจะคิด |
เขากลับกรุงเทพ ฯ ข้าก็มาบ้าง | มากลางทางหิวหนักประจักษ์จิต |
ของาถั่วกลั้วลิ้นกินสักนิด | เจ้าอย่าคิดหวงแหนเด็กแสนดี ฯ |
๏ เด็กว่าอย่าเพ่อด่วนไม่ควรดอก | เจ้าจงบอกให้ตระหนักเถิดปักษี |
กาทุกตัวเป็นผู้ความรู้ดี | อย่างเจ้านี้หรือไรข้าใครฟัง ฯ |
๏ กาตอบว่าข้าไซร้โง่ใช่เล่น | ไม่เหมือนกาผู้ความรู้ขลัง |
จะเล่าเรื่องพญากากล้ากำลัง | และกล้าทั้งปัญญาปรีชาญาณ ฯ |
๏ แต่ปางหลังยังมีกรุงกษัตร | พรหมทัตราชามหาศาล |
เจ้าพาราณสีมีศฤงคาร | บริวารโภคทรัพย์นับอนันต์ |
มีมหาปุโรหิตบัณฑิตเอก | เกกมเหรกอย่างอุกฤษฏ์จิตโมหัน |
ใจแกข้องในสัตย์ขัดในธรรม์ | นิสัยนั้นเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้เลย |
ยอดมายาอุปนาหะอาฆาต | ใจขี้ขลาดขี้อิจฉาและสาเฐย |
มิสมชาติเป็นพราหมณ์อันงามเงย | กล่าวมุสาหน้าเฉยสบายดี ฯ |
๏ วันหนึ่งนั้นพราหมณ์ใหญ่ไปสนาน | แสนสำราญไล่หมัดขัดฉวี |
ทั้งสะเศียรเบียฬเหาเกล้าโมฬี | จากนทีสู่ฝั่งนั่งแต่งกาย |
แกลูบไล้แจะจันทน์สุคันธิน | จนกลบกลิ่นประติกูลให้สูญหาย |
สวมประคำทำดีด้วยดีควาย | ดูเฉิดฉายเครื่องแต่งสำแดงตัว |
ผ้าอำไพใช่เล่นไม่เหม็นสาบ | สมสภาพแห่งพราหมณ์งามใช่ชั่ว |
ดูไฉไลใช่เล็กจนเด็กกลัว | แล้วเดินยัวระยาตร์มาจากท่าน้ำ ฯ |
๏ พะเอิญสบเวลากาตลก | มีสองนกเห็นพราหมณ์ผู้งามขำ |
มันนึกว่าตานั่นขันยิ่งล้ำ | อุส่าห์ทำท่าทางเหมือนอย่างลิง |
กาตลกตัวหนึ่งจึงกล่าวว่า | ดูอีตาคนนี้เหมือนผีสิง |
แกแต่งตัวทำท่าม้าจริง ๆ | ช่างเพริศพริ้งโพลงพลามงามเป็นกัย๑๑ |
กาตลกอีกตัวมันหัวเราะ | ตาพราหมณ์เงาะแสนขันน่าหมั่นใส้ |
จะขี่รถหัวบ้าให้สาใจ | พอพราหมณ์ใกล้มันก็ทำกรรมอันนั้น ฯ |
๏ ผ่านตาเฒ่าปุโรหิตจิตเกกมเหรก | เดินโขลกเขลกปราศขวยสวยน่าขัน |
ได้ยินกายิ้มเยาะหัวเราะกัน | เกิดสงกาว่ามันขันสิ่งใด |
ขณะนั้นมีอะไรตกใส่เศียร | เปียกอุ่น ๆ เอียน ๆ กลิ่นเบียฬใส้ |
เอามือลูบลองดมฉมกระไร | |
แหงนดูมันมันเมินเหินหัวเราะ | ถ้าแม้นเหาะไล่ได้จะไล่ฆ่า |
แกฉุนเฉียวเกรียวโกรธโทษอีกา | ฉวยอิฐทำรำมก้าจนผ้าปลิว |
กามันร้องกากาเหมือนท้าสู้ | ตาขรัวครูเต้นผางขว้างอิฐฉิว |
พวกเด็ก ๆ เห็นงามพราหมณ์ออกงิ้ว | ก็วิ่งลิ่วเร็วกลุ้มรุมกันดู |
แกหมายฆ่าหมายเข่นเต้นหรับ ๆ | ทำตุบตับตามท้าตีท่าขู่ |
ดรุณหลายไล่หลามตามตาครู | ช่างน่าดูน่าหัวน่ากลัวแก |
จนกาเบื่อดูงิ้วบินลิ่วหนี | เพราะปักษีหมั่นใส้ไม่แยแส |
พราหมณ์ยิ่งใคร่กินเลือดยิ่งเดือดแด | แต่นั้นแก่มุ่งมาตร์อาฆาตกา ฯ |
๏ ณ กาลนั้นยังมีทาสีน้อย | ชำนาญม่อยกลางวันขันนักหนา |
เขาให้เฝ้าข้าวเปลือกเกลือกนกกา | มันจะมาโมยกินให้สิ้นไป |
เด็กนั่งเฝ้านอนเฝ้าให้เหงาหงอย | ประเดี๋ยวม่อยตามเคยเลยหลับไหล |
สำเนียงแพะแบ๊ะลั่นสนั่นไกล | เด็กไม่ยักฟื้นตื่นสำนึก |
แพะมันเห็นได้ทีตรงรี่ใส่ | ปากเบี้ยว ๆ เคี้ยวไบ้ ๆ ใจบึก ๆ |
เด็กฝันว่ายักษ์ทมิฬกินมฤค | อกตึก ๆ ตื่นเขม้นแลเห็นแพะ |
ฉวยได้อิฐก้อนใหญ่วิ่งไล่ขว้าง | ถูกสีข้างดังอารมณ์แพะล้มแผละ |
มันกลัวอิฐะฤทธิ์จริงวิ่งแบ๊ะ ๆ | ไปและเล็มติณกินต่อไป |
อีกครู่หนึ่งเด็กหญิงก็นิ่งม่อย | แพะมันคอยเห็นหลับกลับมาใหม่ |
ประเดี๋ยวถูกไล่ตีวิ่งหนีไป | ดังนั้นไซร้หลายหนมันทนทาน |
เด็กโกรธแพะรังแกจะแก้เผ็ด | เอาให้เข็ดจนได้อ้ายใจหาญ |
สัตว์อุบาทว์ชาติต่ำเครื่องรำคาญ | จะหลับนานไม่ถนัดน่าขัดใจ |
จึงค้นคว้าหาได้จุดไฟติด | ทำสนิทนอนระงับเหมือนหลับไหล |
อ้ายแพะเห็นได้ทีวิ่งรี่ไป | กรากเข้าใส่กองข้าวเขลาพอแรง |
เด็กถลันฉวยได้ไล่ตำแพะ | วิ่งแม๊ะ ๆ ตัวสั่นขวัญแสยง |
ขนมันยาวเหลือใจไฟไหม้แดง | วิ่งตะแคงตัวเลือกเข้าเกลือกฟาง |
ไฟก็ลุกโพลงพลามกตะกลามเชื้อ | มันร้อนเหลือแรงเริงเพลิงฉวาง |
ประเดี๋ยวใจไหม้โพลงถึงโรงช้าง | พญาด่างพญาเผือกเสือกสนกัน |
ต่างก็ปอกก็เปือกเถลือกถลน | ต่างดิ้นรนหลีกภัยไฟมหันต์ |
กว่าไฟดับช้างดับนับอนันต์ | ที่เหลือนั้นเจ็บป่วยจะม้วยมรณ์ ฯ |
๏ พระราชาอาดูรภูลเทวศ | ทรงสังเกตพิษไฟใดจะถอน |
เสียดายช้างเต็มประดาทรงอาวรณ์ | พระภูธรเศร้าส้อยละห้อยมาน |
รับสั่งเรียกเหล่าแพทย์มาแวดล้อม | ทนุถนอมช้างทรงน่าสงสาร |
พวกตาหมอวิ่งแล่นแป้นร่าอาการ | บริวารทั้งหมดช่วยบดยา |
บ้างก็โบกก็ปัดพัดวี | บ้างก็มีมนต์ขลังตั้งรักษา |
ช้างไม่รับโอสถหมดปัญญา | ย่อมเห็นว่าไม่หายตายแน่แล้ว |
พระมหากษัตริย์ตรัสเรียกพราหมณ์ | อ้าท่านงามปรีชาค่ายิ่งแก้ว |
จะแปรปลิดพิษไฟให้คลาดแคล้ว | ได้โดยแนวใดบ้างทางปัญญา ฯ |
๏ ตาพราหมณ์เฒ่าเจ้าเล่ห์เพทุบาย | ว่าเหลือร้ายแรงไฟใหญ่นักหนา |
ยาจะแก้พิษนั้นคิอมันกา | อาจรักษาช้างได้มิให้ตาย ฯ |
๏ พระราชาทรงฟังกำลังเศร้า | ตรัสให้เขาจัดหากาให้หลาย |
เหล่าเสนาพากันหมั่นไม่วาย | รีบทำลายชีพกาไม่อาทร |
ครั้นจะเอามันกาหามิพบ | ดูซากศพแสนเบื่อเป็นเหยื่อหนอน |
กลิ่นตระหลบจำรุงฟุ้งนคร | กาก็มรณ์ม้วยกว่าร้อยห้าพัน |
ฝ่ายฝูงกาในนครข่อน ๆ จิต | เหลือจะปลิดปลดภัยใหญ่มหันต์ |
บ้างก็ขึ้นเวหาบินพากัน | รีบผายผันจากกรุงมุ่งเร็วไป |
ถึงที่อยู่แห่งพญากาประเสริฐ | แจ้งเหตุเกิดลุกลามเป็นความใหญ่ |
เมื่อนั้นจึงพญาการีบคลาไคล | สู่วังในเข้าเฝ้าเจ้าแผ่นดิน |
แล้วทูลว่าข้าแต่พระราชา | พระองค์อย่าเชื่อพราหมณ์เบิกความฉิน |
เขากล่าวเท็จทูลหลอกดอกนรินทร์ | ถึงฆ่าสิ้นกาไซร้มิได้มัน |
พราหมณ์มีเหตุโกรธกาพยาบาท | โดยอาฆาตหมายฆ่าให้อาสัญ |
เอาอำนาจพระองค์ผู้ทรงธรรม์ | มาตีพันธุ์ตัดเผ่าล้างเหล่ากา ฯ |
๏ พระราชานิ่งขึงคนึงคิด | เชื่อสนิทนึกเห็นเหมือนเช่นว่า |
จึงตรัสห้ามปรามเขาเหล่าเสนา | แล้วทรงถือศีลห้ากล้าในบุญ |
อำนวยทานแก่กาเวลาเช้า | ให้หุงข้าวหลายพ้อมรสหอมฉุน |
กาก็มีความสุขทุกสกุณ | พระราชาการุณเพราะคุณพญา ฯ |
๏ เด็กถามว่าอันพญากากล่าวเทศน์ | แสนวิเศษจับใจอย่างไรหนา |
จึงอาจตัดโมหะพระราชา | เกิดเมตตาตามเรื่องปราศเคืองแค้น ฯ |
๏ กาตอบว่าพญากาปรีชามาก | จะจำมาก็ยากลำบากแสน |
ข้าเทศน์บ้างคิดคาดคงขาดแคลน | เพราะไม่แกว่นปัญญาปรีชาญาณ |
ในชาดกมีอยู่อาจรู้ได้ | เจ้าจงไปอ่านเถิดประเสริฐสาร |
เรื่องคล้าย ๆ อย่างนี้มีนิทาน | แต่บุราณดูเล่าตามเลาเดิม |
ผิดกันบ้างแต่ฝ่ายนิดหน่อยดอก | ข้าเล่าบอกเนื้อเรื่องมีเครื่องเสริม |
กลอนพาไปไม่คล่องจึงต้องเติม | เพื่อเฉลิมสำราญท่านผู้ฟัง ฯ |
----------------------------
-
๑. ประมวญมารค ฉบับที่ ๓๙ หน้า ๒๒ ปีที่ ๒ ศุกร์ที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ↩
-
๒. “Beauty is skin-deep” ↩
-
๓. “ช้า ๆ ได้พร้าสองเล่ม”
“ช้าเป็นการนานเป็นคุณ”
“Slow and steady wins the race”
“More haste less speed”
“Everythig Comes to him who waits” ↩ -
๔. “Never put off till tomorrow what you can do today”
“Procrastination is the thief of time” ↩ -
๕. “Beauties in vain their pretty eyes may roll”
“Charms strike the eye but merit wins the soul” Pope ↩ -
๖. “When the candles are out, all women are fair” Plutarch ↩
-
๗. เมื่อสิ้นมหาสงครามใหม่ ๆ ในสยามเกิดฝนแล้งทำนาได้ข้าวน้อย ถ้าขายออกไปต่างประเทศมากเกินไป ก็เกรงจะเกิดอดอยากในเมืองเราเอง จึงต้องมีกฎหมายกำกับการส่งข้าวไปนอกประเทศ ↩
-
๘. ในสมัยนั้นเพิ่งตั้งคลังออมสินใหม่ ๆ ↩
-
๙. เดาะแปลว่า นม ↩
-
๑๐. ในปีนั้นกรรมการร่างกฎหมายขนงานไปทำที่เกาะหลักระหว่างพัก ไปอยู่ด้วยกันที่นั่นพร้อม ↩
-
๑๑. Guy ↩