นิทานกลอนพาไป

๏ ณ วันดีคืนดีวันนี้หนอ ข้าจะขอกล่าวกลอนอักษรสาร
บรรยายเล่น ๆ เป็นนิทาน ใช่บุราณเรื่องตั้งแต่ดั้งเดิม
ที่แท้เรื่องอะไรยังไม่รู้ ถ้าบุญชูเคราะห์ช่วยคงสวยเสริม
ธรรมเนียมโลกโชคมาปัญญาเติม ลองเผดิมดูก่อนให้กลอนพา ฯ
๏ ณ ปางหลังยังมีนารีหนึ่ง อายุซึ้งแสนลิบหกสิบกว่า
เป็นเหล่ากอผู้ดีมีหน้าตา แต่ว่าหน้าสวยน้อยเหมือนหอยแครง
แม้เมื่อคราวสาวอร่ามควรงามนัก ก็ไม่ยักเฉิดฉายสยายแสง
รูปไม่สวยรวยทรัพย์นับพอแรง เหมือนข้าวแดงดูงามในชามทอง ฯ
๏ อันพ่อเศรษฐีมีลูกหญิง ถ้าเพริดพริ้งเพราศรีไม่มีสอง
ชายจะกลุ้มรุมรักสมัครครอง ทุกคนปองนางสวยสำรวยทรัพย์
รักแม่สาวหรือหนักข้างรักสิน เดาก็สิ้นฤทธิ์เดาเผาตำหรับ
อะไรแน่แม้ถามเป็นความลับ กลัวจะกลับโกรธเอาไม่เข้าที
ถ้าขี้ริ้วคิ้วคางเหมือนนางแทตย์ สาวสิบแปดจ้ำม่ำดำมิดหมี
แต่รวยทรัพย์นับแสนคะแนนดี คงจะมีหนุ่ม ๆ มารุมรัก
คราวนี้เขารักอะไรรู้ได้แน่ อันพ่อแม่เศรษฐีมีน้ำหนัก
สมุดเช็คเล่มใหญ่วิไลนัก เครื่องสลักหฤทัยมิใช่เท็จ ฯ
๏ จะกลับกล่าวนิยายคุณนายซึ่ง อายุซึ้งแสนลิบหกสิบเอ็ด
เมื่อรุ่นสาวพราวแพรวด้วยแววเพชร แต่ละเมล็ดมีค่าเกือบห้าพัน
หน้าไม่งามงามเฟื่องเครื่องประดับ งามเพราะทรัพย์อันเอนกเหมือนเศกสรรค์
ชื่อแม่ถินกลิ่นระรื่นทุกคืนวัน ดอกสวรรค์ไม่ระบือเหมือนชื่อนาง
พวกผู้ชายหมายอยู่เป็นคู่เคล้า เหยียบกันเข้าแย่งสวาดิ์ไม่ขาดข้าง
ส่งหนังสือสื่อสู่มิรู้ร้าง ไม่อำพรางความรักหนักยิ่งฟ้า
รักจริง ๆ เพียงไขออกให้สิ้น แล้วเล่นลิ้นพอกพูนคูณด้วยห้า
ขี้ริ้วคือความงามตามวาจา ถึงตาเหล่คว้างอ้างอาคม
๏ อันความสวยนั้นหนอขอเฉลย เป็นพั้งเพยสืบส่อให้พอสม
เขาว่าความงามเลิศเจิดอารมย์ ลึกไม่จบพ้นหนังกั้งลามก
เหมือนใบตองปรากฏสีสดใส ซึ่งเราใช้ปิดคลุมหุ้มห่อหมก
ดาวแดง ๆ แฝงหน้าเหมือนสาธก สกปรกกลิ่นอู้อยู่ข้างใน
ที่เขาว่าฉนี้ ข้าไม่ว่าด้วย อันความสวยเพียงหนังมีครั้งไหน
หัวกระโหลกบู้บี้ดีอย่างไร ถ้าหน้าไม่บี้บู้ก็ดูเอา
แม้ว่าร่างไม่ดีเป็นที่ตั้ง ลำพังหนังฤจะก่อให้หล่อเหลา
ภาษิตเซอะเลอะล้นเหมือนคนเมา มิควรเราคิดเห็นว่าเป็นจริง
๏ อันการอ้างภาษิตติดจะง่าย มีแยบคายกว้างแคบแทบทุกสิ่ง
ว่าช้าดีก็ได้ไม่ประวิง ว่าไม่ดีก็ยิ่งจะง่ายดาย
๏ ส่วนความสวยนั้นไซร้ใครจะเห็น ก็ย่อมเป็นความเคราะห์ที่เหมาะหมาย
ชายคนหนึ่งเห็นแม่ฉลวยสวยจะตาย ส่วนอีกชายหนึ่งเห็นว่าม้าหมากรุก
เห็นไฉนเป็นปัญหาซึ่งน่าถาม ถ้าเห็นงามก็คือตาให้ผาสุก
เห็นไม่งามก็คือตาต้องฝ่าทุกข์ ตาได้สุขได้เศร้าคลุกเคล้ากัน ฯ
๏ อนึ่งนั้นนางงามทรามสงวน จะยิ้มยวนเยี่ยงอย่างนางสวรรค์
ฤๅเล่นตาขวับ ๆ จับไม่ทัน อย่าสำคัญว่าจิตจะติดตัง
อันความยวนนัยนาดักตาติด แต่ดักจิตไม่ได้ดังใจหวัง
คุณความดีดอกไซร้ไกรกำลัง ทำจังงังให้จิตติดจำนอง
๏ อีกประการหนึ่งนั้นขันมาก ๆ ตาปลูตากปราชกล้าปัญญาคล่อง
กล่าวความจริงด้วยคำอันลำพอง พูดผยองเหลือยั้งความดังนี้
เมื่อสิ้นแสงเทียนส่องห้องสว่าง นางทุกนางสวยสมอุดมศรี
เพราะความมืดอำนวยความสวยดี ทุกนารีงามสัพพ์เมื่อดับเทียน
๏ กล่าวพลั้งเพยเลยออกไปนอกเรื่อง พูดจนเฟื่องพรรณาความพาเหียร
จำจะกลับย้อนต้นอันวนเวียน ดูจวนเจียนหมดข้อจะต่อเติม
นิทานกลอนพาไปมิได้เรื่อง กลอนไม่เฟื่องนำก้าวอย่างห้าวเหิม
ขยับขย้อนเยื้องย่างอยู่อย่างเดิม มิส่งเสริมเนื้อเรื่องให้เฟื่องฟ้า
๏ จะกลับกล่าวนิยายคุณนายซึ่ง อายุซึ้งแสนลิบหกสิบกว่า
แม้เมื่อสาวไม่สวยซวยลูกตา ไม่ต้องหาสามีก็มีเอง
ได้แต่งงานการใหญ่ในแลวก เมื่อเชิญแขกเลี้ยงข้าวเมากันเขลง
มีละครต้อนร้างนางเลวง สำเนียงปี่เป่าเร้าหทัย
งิ้วเมื่อตอนโจโฉโมโหฉุน จะจับซุ่นกวนเชือดให้เลือดไหล
แล้วเปลี่ยนซุ่นกวนอูบู๊กระไร เที่ยวลุยไล่หักด่านหาญพอแรง
แฮหัวตุ้นรบทวนขบวนรบ ทั้งหลีกหลบดูทีท่าดูกล้าแข็ง
หาญต่อหาญทานทัพเข้าฟันแทง เสือกำแหงสู้เสือจนเหื่อโซม
พวกผู้หญิงยืนดูอยู่ข้างนอก พลอยเหื่อออกอกละเหี่ยแทบเสียโฉม
ทั้งร้อนเบียดร้อนแดดแผดโพยม ยังถูกโลมถูกล้วงทรวงระบม
สมน้ำหน้าสาใจเข้าไปเบียด เพียงถูกเบียดถูกสียังดีถม
จะเอ็ดอึงขึ้งโกรธโทษระทม ก็ไม่สมหน้าสาวฉาวชุมนุม
งิ้วตุง ๆ ตุ้งแช่ตระแม่เสียง กลบสำเนียงคำแสลงแช่งอ้ายหนุ่ม
มันได้แตะได้ต้องของในคลุม เห็นว่าคุ้มถูกด่าไม่ว่าไร ฯ
๏ อันตำนานสามก๊กยกขึ้นขาน เป็นนิทานเพรื่อพร่ำดังน้ำไหล
เนื้อในพงศาวดารบานออกไป ความเท็จใส่เกลื่อนกล่นปนความจริง
แต่งตำนานล้วน ๆ ไม่ชวนอ่าน เปรียบเหมือนท่านผัดไก่ไม่ใส่ขิง
เรื่องเก่า ๆ เฉาจืดชืดเหมือนปลิง ต้องพะพิงความเท็จอันเผ็ดร้อน
เค้าในพงศาวดารนานมาแล้ว กล่าวตามแนวตำนานในกาลก่อน
ว่าสามแคว้นแดนงามสามนคร เกียรติ์ขจรไปสิ้นแผ่นดินเจ๊ก
ก๊กที่หนึ่งอยู่กลางคือข้างเหนือ เจ้าเป็นเชื้อเล่าปั้งแต่ยังเด็ก
ผู้สำเร็จราชการหาใช่เล็ก ใจเหมือนเหล็กทื่อตื้อเพราะถือโต
ชื่อเรียกตามฝรั่งดังเฉ่าเฉ่า แต่ไทยเราสมญาว่าโจโฉ
งานทุกส่วนป่วนหันเหมือนปั่นโป แกอวดโม้บ้า ๆ สง่าแดน
กรุงลกเอี๋ยงเสียงคำจงสำเหนียก ฝรั่งเรียกโคยังฟังให้แม่น
มันแปร่งเปลี่ยนเพี้ยนบ้านึกน่าแค้น เราไม่แค่นเรียกหนาภาษานั้น ฯ
๏ ก๊กที่สองมีขุนชื่อซุนจ๋วน ฤๅซุ่นกวนเกียรติ์เกิดประเสริฐสวรรค์
กรุงนานกิง (นำเอี๋ยงเสียงประชัน) อันตั้งมั่นโตใหญ่ใกล้ทะเล ฯ
๏ ก๊กที่สามเล่าปี่มียศเจ้า เป็นเทือกเถาธำรงวงศ์ฮ่องเต้
หนวดสามแหยมแกมฉลาดปราศเสเพล ถ้าเขว ๆ ไปบ้างก็บางเบา
แคว้นเสฉวนที่ทางก็กว้างใหญ่ แต่ว่าไกลเต็มทนอยู่บนเขา
ครั้งบุรมบุราณคือบ้านเรา ชาวเมืองเก่าคือใครไทยนี้เอง
จีนเข้ามาเสฉวนรวนหนักเข้า ฝ่ายพวกเราขื่นขมเขาข่มเหง
เบ่งอำนาศบาศใหญ่ไทยยำเกรง ในกาลเพรงกล่าวย้อนก่อนสามก๊ก
แพ้พวกเขาเราอยู่สู้ไม่ไหว ซ่านสู่ใต้เสรีไม่มีตก
เที่ยวถากร้างถางพงในดงรก บ้างก็ยกเดินทางห่างออกมา
เดี๋ยวนี้ไทยเสฉวนเป็นส่วนเล็ก ยังเรียกเจ๊กว่าแขกแปลกภาษา
(แขกคือคนต่างด้าวซึ่งเข้ามา) ไม่แปลว่า อินเดียน เปอร์เซียน ฯลฯ
ไทยแตกสานซ่านเซ็นเป็นเหล่า ๆ แล้วก็เข้าคุมกันมั่นอิสระ
จีนมาตีพวกเราเข้าปะทะ บ้างชนะบ้างแพ้ปรวนแปรไป
ยุคสามก๊กขงเบ้งเพ่งมาปราบ พวกเราเสียรู้สู้ไม่ไหว
อันเม้งเฮ็กนั้นฤๅก็คือไทย มิใช่ใครอื่นดอกบอกให้รู้ ฯ
๏ เขียนอักษรกลอนพาว่าไถล มันพาไปเพียงนี้ก็ดีอยู่
อันจะคิดเดินเรื่องให้เฟื่องฟู ต้องคอยดูเพื่อให้กลอนไปเอง ฯ
๏ จะกลับกล่าวนิยายคุณนายเฒ่า กายนั้นเก่าแต่ว่าทรัพย์กระฉับกระเฉง
เป็นเจ้าสาวแต่งงานในกาลเพรง ทั้งม่านเมงกลิงเกรี่ยงพร้อมเพรียงมา
ยังแขกครัวแขกเทศประเภทแขก มีแปลก ๆ หลายอย่างต่างภาษา
โปรตุเกศ เยียระมัน วิลันดา บ้างก็หน้ามีหนวดบวชเป็นชี
เรียกว่าชีหน้าหนวดเศกสวดคล่อง ดูทำนองคนผู้ไม่สูสี
แกถือศีลวางตนเป็นคนดี ชวดจนปีกุญไม่ใช้มีดโกน
ได้รับเชิญในวิวาห์มาเป็นแขก คนแปลก ๆ เหลือประหลาดดูผาดโผน
บ้างหน้าตาท่าทางอย่างทโมน บ้างเหมือนโจรบ้าระห่ำน่ายำเยง
บ้างก็ดูเฉิดฉายคล้ายพระสังข์ บ้างก็ดังรูปเงาะงามเหมาะเหมง
เสียงดนตรีเสียงคนอลเวง ความครื้นเครงลือทึ่งไปถึงดาว
นางสาวถินประทีนทรัพย์นับไม่ถ้วน พวกชายล้วนอยากเข้าเป็นเจ้าบ่าว
ลูกเศรษฐีแต่งงานนาน ๆ คราว ถึงเจ้าสาวไม่งามก็ตามที
๏ ฉันลืมบอกชื่อเขาผู้เจ้าบ่าว ว่าชื่อขาวลูกหลวงไกรเมืองไชยศรี
บรรดาศักดิ์เป็นขุนมีคุณดี แต่เป็นที่ขุนอะไรลืมไปแล้ว
ชื่อขุนนางนั้นไซร้มิใช่น้อย ที่ยินบ่อยลืมถี่มีเป็นแถว
อันความลำบากมากเหมือนลากแนว เป็นเส้นแล้วลบเลือนลอยเลื่อนไป ฯ
๏ วันแต่งงานนายขาวนางสาวถิน ลือระบินหึ่งหึ่งถึงไหนไหน
ว่าแขกคนหนึ่งนั้นขันกระไร สนุกใหญ่คนห้อมนั่งล้อมฟัง
เล่านิทานยาวยืดไม่จืดเรื่อง ล้วนเป็นเครื่องคมขำถ้อยคำขลัง
เราลองเล่าอีกทีดีกระมัง เล่าเหมือนดังเขาบ้างช่างเป็นไร ฯ
๏ ยังมียายกะตาประสายาก แสนลำบากงึมงำทำนาไร่
แกมีหลานผุดผ่องนวลยองใย ผิวดังไข่รูปทรงคือองค์อินทร์
โอ้ลำบากมากมายยายกะตา ต้องปลูกถั่วปลูกงาเพื่อหาสิน
อันผลพืชฝืดเคืองเครื่องหากิน พะเอินสิ้นสงครามยามฝนแล้ง
ฝรั่งรบกันใหญ่เราไปช่วย ริปูม้วยเปลืองไปน้ำใจแหยง
สิ้นอาวุธสุดเสบียงเอียงตะแคง ทำหน้าแห้งงอนง้อขอไมตรี ฯ
๏ ทางฝ่ายเราหลักมั่นสัมพันธมิตฯ อภิชิตรบสู้ไม่รู้หนี
ณ คราวเมื่อมีชัยเราใจดี ขอไมตรีก็ขอให้ดังใจจอง
เขียนสัญญาข้อกล่าวยาวใจหาย ไม่เสียดายกระดาษหมึกมีตรึกถอง
เล่นสัญญาหนาอะโขโตเป็นกอง ข้าเจ้าลองอ่านดูไม่รู้ความ
มาตรานี่อ้างโน่น ๆ อ้างนี่ ถึงหมวดสี่อ้างเก้าเล่นเอาขาม
ภาคผนวกหลายแผนกแยกเขตคาม ไม่ได้ความว่ากระไรเลยไม่รู้ ฯ
๏ ครั้นเสร็จศึกนึกสบายหายใจโล่ง เห็นโต้ง ๆ หมดร้ายระคายหู
อันเกียรติ์ไทยใหญ่เลิศชาติเชิดชู แน่นเหมือนภูผาใหญ่ฟักในดิน ฯ
๏ แต่สมคราวฝนแล้งดินแห้งผาก เพาะพืชน์ยากเหมือนไร่ทำในหิน
ยากที่ยายกะตาจะหากิน จะออมสินออมไว้ไม่ไหวแล้ว
หากว่าพระราชาเมตตาดูร การุณะพระทูลกระหม่อมแก้ว
แม้นไร้เจ้าเราไซร้เห็นไม่แคล้ว จักเหมือนแมวอดผอมกรมกรอมแค้น
ข้าวก็แพงมิหนำทำนาไร่ มิใคร่ได้เพราะแล้งแห้งเหลือแสน
ต้องปิดข้าวเอาไว้มิให้แคลน ทำดังแผนปวงเทศเขตอัษฎงค์
ไม่อดข้าวตายายค่อยคลายเศร้า แกก็เฝ้าทำไร่โดยใจประสงค์
จะออมสินกินน้อยค่อยบรรจง หวังสนองคุณองค์พระราชา
เพราะรู้ว่าการทำให้ทรัพย์เกิด ย่อมชูเชิดบ้านเมืองเรืองหนักหนา
ถึงจะน้อยจะนิดจิตเจตนา แต่พอแรงยายกะตาก็ควรทำ ฯ
๏ อนึ่ง ยายกะตาทำนาไร่ สะสมทรัพย์นับได้หลายฉนำ
จะส่งหลานเมื่อใหญ่ไปประจำ ณ โรงเรียนเพียรร่ำพร่ำวิชา
หวังสนองคุณองค์พระทรงราชย์ ทั้งเอื้อเฟื้อเกื้อชาติศาสนา
อุส่าห์คิดมากมายยายกะตา แกเห็นว่าพลเมืองเรืองความรู้
ย่อมเป็นที่เชิดหน้าพากันขลัง เสริมกำลังเมืองไทยเดินในผลู
ฝึกปัญญาเป็นเครื่องให้เฟื่องฟู ให้พอถูกับเขาได้ในมรรคา
อันประดาพลเมืองเรืองความรู้ แต่ละคนช่วยชูพระศาสนา
เป็นเกียรติ์แก่ชาติเกิดเชิดราชา ยิ่งมากหน้ายิ่งดีมีมงคล
จะสาธกยกตัวอย่างอ้างให้เห็น สุครีพเป็นนายลิงวิ่งสับสน
ไม่ทรงเกียรติ์มากมายเหมือนนายตน คือพระรามผู้ถกลเถกิงคุณ
อันบุรุษหัวหน้าชาวป่าเถิน ถึงมากเกินร้อยล้านพลุกพล่านวุ่น
ไม่เกริกเกียรติ์เลื่องลือระบือคุณ ศักดาดุลย์เด่นไปที่ในภพ
เท่าบุรุษหัวหน้าประชาหาญ วิชาชาญเชี่ยวชื่อเลื่องฤๅจบ
ถึงจำนวนน้อยล้านแม้นชาญครบ เกียรติ์ย่อมลบชาวป่าห้าร้อยล้าน
เหตุฉนั้นทุกคนคนควรขวนขวาย หาวิชาทั้งหลายอันวิตถาร
เพื่อได้ช่วยให้ชาติอาจกิจการ และสมเป็นบริวารพระราชา
๏ จะกล่าวฝ่ายยายกะตาปลูกงาถั่ว หลานยังตัวเตี้ยเล็กเด็กหนักหนา
ยังไม่ฟูไม่เฟื่องเรืองปัญญา เพราะอ่อนอายุนักเหลือจักเรียน
ยายกะตาไปไร่เอาไปด้วย เวลาช่วยเฝ้าไร่ให้ขีดเขียน
ทั้งสองเฒ่าเหนื่อยยากเพราะพากเพียร แกวิงเวียนนอนระงับเลยหลับไป ฯ
๏ ยังเป็นกาตัวดำอำมหิต ดำสนิทเหมือนกลางคืนฝืนไม่ไหว
มันรีบบินตามตามาแต่ไกล พอถึงถั่วงาของตายาย
เห็นอาหารในไร่น่าใคร่กิน เพราะมันบินไกลลิ่วหัวใจหาย
มีแต่เด็กเฝ้าอยู่ดูสบาย อันตรายไม่มีจะบิฑา
จึงบินลงตรงไร่เกาะใกล้เด็ก เด็กตัวเล็กไร้กำลังชังน้ำหน้า
อีกาไม่เกรงกลัวกินถั่วงา ยายกะตาหลับอยู่ไม่รู้เลย ฯ
๏ ฝ่ายเด็กหลานเห็นกากินงาถั่ว ไม่เกรงกลัวยายกะตาทำหน้าเฉย
จึงเพรียกพร้องร้องว่าอีกาเอย ข้าไม่เคยรู้เห็นใยเช่นนี้
เจ้าขะโมยถั่วงาของตายาย แสนสบายเกาะกินแล้วบินหนี
โจรกรรมเชิงฮั่นนั้นไม่ดี บอกฉนี้แล้วเจ้าจงเข้าใจ ฯ
๏ กาตอบว่า ข้าบินมาเหนื่อยนัก จากเกาะหลักหิวล้นทนไม่ไหว
อันเกาะหลักย่านห่างเป็นทางไกล มีพงไพรยืดกว้างบ้างเป็นละเมาะ
ทางมันไกลไม่บินตลอดได้ พอรถไฟแล่นมาข้าเข้าเกาะ
ประเดี๋ยวสิมีฉาวเป็นคราวเคราะห์ เป็นเหตุเพราะในกรมอุดมยศ
ผู้บัญชาการใหญ่รถไฟหลวง คนทั้งปวงกล่าวว่าแม้นปรากฏ
ว่าข้าแอบเกาะไปที่ในรถ ไม่ซื้อตั๋วตามกฎแห่งรถไฟ
ดังจะกริ้วเป็นแน่เกิดแซ่ซ้อง ข้าจึงต้องบินมาตามนาไร่
ขอถั่วงากินบ้างช่างเป็นไร จะเล่าให้ฟังเรื่องแห่งเมืองโน้น ฯ
๏ เด็กตอบว่าเล่าอะไรเล่าไปเถิด เล่าให้เกิดสนุกเช่นเขาเล่นโขน
จะรางวัลถั่วงาให้ห้าร้อยโทณ เรื่องราวโพ้นเป็นไฉนข้าใคร่ฟัง ฯ
๏ กาชื่นชอบตอบว่าข้าจะเล่า เรื่องตาเฒ่า ม่องล่าย อยู่ชายฝั่ง
นางรำพึง ภริยา (ชื่อน่าชัง แกถูกตั้งชื่อฉนั้นเหตุฉันใด)
มีบุตรีฉวีวรรณ์สวรรค์แต่ง รูปน้อยแน่งน่าสนิทพิศมัย
ชื่อ ยมโดย ยอดดีศรียองใย เจ้าลาย ใจจอดนางอกพังทลาย
มาสู่ขอพ่อแม่แกยกให้ เพราะหมายใจเฒ่าเขือสืบเชื้อสาย
เขาจัดสรรขันหมากอันมากมาย ทั้งสองฝ่ายบอกกล่าวข่าวมงคล ฯ
๏ ฝ่ายเจ้าเมือง กงจีน เมียตีนเล็ก เบื่อเมียเจ๊กเต็มทีหนีเสือกสน
ลงสำเภาห้าร้อยแล่นลอยชล มิช้าดลอ่าวสยามยินความลือ
ว่าลูกสาวม่องล่ายเจ้าลายขอ แกว่าอ้อจะเษกกันกระนั้นหรือ
เราชำนาญการศึกเคยฝึกปรือ จะเข้าถือเอานางกลางสงคราม
บุพกิจคิดจะจู่ไปสู่ขอ แม้นแม่พ่อขืนจิตไม่คิดขาม
จะขับเคี่ยวขันแข่งแย่งนางงาม คงสมตามใจแท้ไม่แปรปรวน
แรกตรึกไตรใจบึกๆ นั่งนึกยิ้ม คิดกรุ้มกริ่มหานุชสุดสงวน
จึงแต่งทูตพูดความตามขบวน ขอนางนวลแม้นให้จะไปรับ
เพื่อเษกเป็นฮูหยินปิ่นพธู ตามลัทธิขงจู๊ครูตำหรับ
แม้นมิให้ระวังตั้งกองทัพ ไว้คอยรับพลเจ๊กใช่เล็กน้อย ฯ
๏ ตาม่องล่ายยินความให้คร้ามครั่น กงจีนมันเทียบพหลคนใช้สรอย
วิชายุทธสุดประเสริฐเคยเลิศลอย พวกเราน้อยปรวนแปรอ่อนแอนัก
จะสู้มันสู้ไปไม่ไหวแล้ว เหมือนเอาแก้วทุบหินคงสิ้นศักดิ์
โอ้ยมโดยดวงตาบิดารัก เสียดายนักนึกไปยิ่งใจตรอม
แม้นให้เจ้ากงจีนเสียศีลสัตย์ ให้อึดอัดอกใจจนไผ่ผอม
จะยอมให้ลูกเมื้อก็เหลือยอม เราจะงอมเสียเพราะไม่ตามใจมัน
ยิ่งแค้นเข้าแค้นเข้าเกิดเคราดก เคราในอกชุลมุนลุกผลุนผลัน
เรียกยมโดยลูกดีมานี่พลัน พ่อคิดปัญหาตกในยกนี้
ไม่ยกให้เจ้าลายก็ขายหน้า แม้นยกให้ก็จะพากันป่นปี้
เจ้าจงตัดปัญหาอย่าช้าที สละชีวิตหนออย่ารอรั้ง
เกิดเป็นชาติเสือป่ากล้าในสัตย์ คราววิบัติย่อมวิบัติรักสัตย์ขลัง
รบรักษาลูกเผือเหลือกำ จะพาทั้งชาติดับย่อมยับลง ฯ
๏ นางยมโดยเดี่ยวเด็ดคือเพชรกล้า ยินบิดายลความตามประสงค์
อันนางงามทรามสงวนนวลบรรจง เป็นเหตุก่อการณรงค์เสมอมา
ครั้งพระรามรบราพณ์ปราบยักษร้าย พหลลิงมากมายเป็นหนักหนา
จองสมุทรรณรงค์ถึงลงกา ราพณาสุรราชเศียรขาดกระเด็น
เป็นการเศิกเกริกไกรใหญ่อย่างเอก ยักษ์เอนกลิงอนันต์เคี่ยวขันเข็ญ
อสูรสิ้นดิ้นเดือกดูเยือกเย็น เพราะนงเพ็ญพรรณีนางสีดา
อนึ่ง เมื่อกรุงตรอยต้องย่อยยับ เพราะรบรับข้าศึกดึกนักหนา
ทั้งสองตายเบือเหลือพรรณา เหตุเฮเล็นโสภาชวาวรรณ
ปารีสลอบร่วมรักลักนางไป เกิดศึกใหญ่ข้ามสมุทรสุดมหันต์
เทพดานางฟ้ามาช่วยกัน ต้องแข่งขนรบเร้าถึงเก้าปี
ครั้งนี้เจ้ากงจีนทุศีลกล้า จะเข่นฆ่าพวกเราเอาเป็นผี
ก็เหตุเพราะตัวเราเพราพรรณี เป็นนารีรูปเลิศจึงเกิดความ
สัตรีโตเป็นเหตุวิเภทผ่าว ก่อการร้าวรานเรื่องเครื่องเข็ดขาม
ให้กำเนิดแก่ณรงค์การสงคราม ย่อมขึ้นชื่อลือนามน่าคร้ามนัก ฯ
๏ นางยมโดยหญิงดีฉนี้นึก อกทึก ๆ เคืองคายเหนื่อยหน่ายหนัก
ประนมหัตต์บอกบิดาว่าลูกรัก เห็นประจักษ์ในเรื่องที่เคืองแค้น
ชีพมลายมิเสียดายยอมวายชีพ บิดารีบทำเถิดประเสริฐแสน
จะเสียชีพไว้ชื่อให้ลือแดน ทั่วเขตแคว้นอ่าวสยามจำนามตู ฯ
๏ ตาม่องล่ายยินลูกถูกใจเหลือ หญิงลูกเสือกล่าวกล้าไม่ปร่าหู
แม้สงวนชีวิตพึงคิดดู ชาติจะอยู่เป็นชาติหรือปราศไป ฯ
๏ พลางแกจับสองขาธิดาฉีก เป็นสองซีกโยนไปในน้ำไหล
หนึ่งให้เจ้ากงจีนผู้บีฬไทย ตกอยู่ใกล้ปากน้ำจันทบุรี
เกิดเป็นเกาะกลมตั้งรูปดังเดาะ ชื่อว่าเกาะนมสาวเรื่องราวศรี
หนึ่งโยนให้เจ้าลายชายนที ตกอยู่หน้าสีขรียอดสามร้อย
เรียกว่าเกาะนมสาวคราวเดียวกัน ยังตั้งมั่นอยู่เงื้อมมิเสื่อมถอย
เกาะนมสาวสองเกาะเดาะสองดอย คือสาวน้อยสองซีกฉีกออกไป ฯ
๏ ฝ่ายตาเฒ่าม่องล่ายเสียดายลูก ใจแกผูกรักธิดาน้ำตาไหล
ไปอยู่แอบแทบท่าชลาลัย กลายเป็นไศละถนัดน่าอัศจรรย์
เรียกว่าเขาม่องล่ายใกล้เกาะหลัก เห็นประจักษ์จากประจวบคีรีขันธ์
ตามตำนานบรรยายหมายสำคัญ ชนแถบนั้นบอกเบื้องเรื่องนิทาน ฯ
๏ ฝ่ายเจ้าลายกลายเห็นเป็นหินยื่น นอนทนคลื่นในสมุทรสุดสงสาร
เรียกว่าเขาเจ้าลายหมายตำนาน ชนย่อมขานนามนั้นจนวันนี้ ฯ
๏ นางรำพึงชนิกาอาลัยลูก แกพันผูกใจโศกโรคเสียดสี
กำสรดเศร้าเฝ้านั่งฝั่งนที ณ อ่าวมีตำนานโบราณมา
ระบุกล่าวเรียกอ่าวแม่รำพึง เพราะเหตุนางนั่งคนึงลห้อยหา
ชนยังขานชื่ออ่าวกล่าวความปรา กฏสมยานางนั้นจนวันนี้ ฯ
๏ ฝ่ายเจ้าเมืองกงจีนปิ่นสมุทร แกเศร้าสุดโศกหามารศรี
ให้แค้นคั่งคลั่งไคล้ใจไม่ดี หน้ายู่ยี่มิได้คลายเสียดายนาง
ได้จัดสรรขันหมากไว้มากยิ่ง แกให้ทิ้งลงสมุทรสุดหมองหมาง
ถอนสมอชักใบแล่นไปพลาง ให้อ้างว้างมุ่นหมกเหมือนอกพัง
อันข้าวของขันหมากหลายหลากอยู่ กลายเป็นปูกุ้งฝอยและหอยสังข์
บ้างก็เป็นปลาปการัง ทุกอย่างยังอยู่นั่นจนวันนี้
๏ เด็กกล่าวว่าเกาะหลักที่พักผ่อน กรุงเทพร้อนชนหลายย่อมหน่ายหนี
อันชาวกรุงมุ่งหมายสบายมี ไป ณ ที่นั้นใครข้าใครรู้ ฯ
๏ กาตอบว่าปีนี้ที่เกาะหลัก พวกไปพักผ่อนกายมีหลายหมู่
ทั้งแก่หนุ่มนงเยาว์เพราพธู ลมพัดอู้สบายใจเหื่อไคงด
สกุลสกุลเจ๊กเด็กผู้ใหญ่ สกุลใต้สกุลเหนือเมื้อกันหมด
ทั้งเสนาบดีผู้มียศ อันปรากฏเกียรติ์อดุลย์คุณนานา
เจ้าพระยาบาเรียญเพียรบาลี ทั้งท่านยมราชินีมีสง่า
เจ้าพระยาครูใหญ่ไวปัญญา ในตำแหน่งศึกษาธิการี
อนึ่งพวกเฒ่าวิทูครูกฎหมาย ไปอยู่หลายทั้งเสมียนเพียรถึงที่๑๐
ขนตำราตู้เขื่องเฟื่องเต็มที เครื่องเขียนมีมากล้นแกขนไป
ช่วยกันทำกฎหมายไม่หน่ายเหนื่อย ดูน่าเมื่อยน่าเหน็บน่าเจ็บไข้
ประชุมแล้วประชุมเล่าทุกเช้าไป เอออะไรน่าเบื่อเหลือจะคิด
เขากลับกรุงเทพ ฯ ข้าก็มาบ้าง มากลางทางหิวหนักประจักษ์จิต
ของาถั่วกลั้วลิ้นกินสักนิด เจ้าอย่าคิดหวงแหนเด็กแสนดี ฯ
๏ เด็กว่าอย่าเพ่อด่วนไม่ควรดอก เจ้าจงบอกให้ตระหนักเถิดปักษี
กาทุกตัวเป็นผู้ความรู้ดี อย่างเจ้านี้หรือไรข้าใครฟัง ฯ
๏ กาตอบว่าข้าไซร้โง่ใช่เล่น ไม่เหมือนกาผู้ความรู้ขลัง
จะเล่าเรื่องพญากากล้ากำลัง และกล้าทั้งปัญญาปรีชาญาณ ฯ
๏ แต่ปางหลังยังมีกรุงกษัตร พรหมทัตราชามหาศาล
เจ้าพาราณสีมีศฤงคาร บริวารโภคทรัพย์นับอนันต์
มีมหาปุโรหิตบัณฑิตเอก เกกมเหรกอย่างอุกฤษฏ์จิตโมหัน
ใจแกข้องในสัตย์ขัดในธรรม์ นิสัยนั้นเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้เลย
ยอดมายาอุปนาหะอาฆาต ใจขี้ขลาดขี้อิจฉาและสาเฐย
มิสมชาติเป็นพราหมณ์อันงามเงย กล่าวมุสาหน้าเฉยสบายดี ฯ
๏ วันหนึ่งนั้นพราหมณ์ใหญ่ไปสนาน แสนสำราญไล่หมัดขัดฉวี
ทั้งสะเศียรเบียฬเหาเกล้าโมฬี จากนทีสู่ฝั่งนั่งแต่งกาย
แกลูบไล้แจะจันทน์สุคันธิน จนกลบกลิ่นประติกูลให้สูญหาย
สวมประคำทำดีด้วยดีควาย ดูเฉิดฉายเครื่องแต่งสำแดงตัว
ผ้าอำไพใช่เล่นไม่เหม็นสาบ สมสภาพแห่งพราหมณ์งามใช่ชั่ว
ดูไฉไลใช่เล็กจนเด็กกลัว แล้วเดินยัวระยาตร์มาจากท่าน้ำ ฯ
๏ พะเอิญสบเวลากาตลก มีสองนกเห็นพราหมณ์ผู้งามขำ
มันนึกว่าตานั่นขันยิ่งล้ำ อุส่าห์ทำท่าทางเหมือนอย่างลิง
กาตลกตัวหนึ่งจึงกล่าวว่า ดูอีตาคนนี้เหมือนผีสิง
แกแต่งตัวทำท่าม้าจริง ๆ ช่างเพริศพริ้งโพลงพลามงามเป็นกัย๑๑
กาตลกอีกตัวมันหัวเราะ ตาพราหมณ์เงาะแสนขันน่าหมั่นใส้
จะขี่รถหัวบ้าให้สาใจ พอพราหมณ์ใกล้มันก็ทำกรรมอันนั้น ฯ
๏ ผ่านตาเฒ่าปุโรหิตจิตเกกมเหรก เดินโขลกเขลกปราศขวยสวยน่าขัน
ได้ยินกายิ้มเยาะหัวเราะกัน เกิดสงกาว่ามันขันสิ่งใด
ขณะนั้นมีอะไรตกใส่เศียร เปียกอุ่น ๆ เอียน ๆ กลิ่นเบียฬใส้
เอามือลูบลองดมฉมกระไร  
แหงนดูมันมันเมินเหินหัวเราะ ถ้าแม้นเหาะไล่ได้จะไล่ฆ่า
แกฉุนเฉียวเกรียวโกรธโทษอีกา ฉวยอิฐทำรำมก้าจนผ้าปลิว
กามันร้องกากาเหมือนท้าสู้ ตาขรัวครูเต้นผางขว้างอิฐฉิว
พวกเด็ก ๆ เห็นงามพราหมณ์ออกงิ้ว ก็วิ่งลิ่วเร็วกลุ้มรุมกันดู
แกหมายฆ่าหมายเข่นเต้นหรับ ๆ ทำตุบตับตามท้าตีท่าขู่
ดรุณหลายไล่หลามตามตาครู ช่างน่าดูน่าหัวน่ากลัวแก
จนกาเบื่อดูงิ้วบินลิ่วหนี เพราะปักษีหมั่นใส้ไม่แยแส
พราหมณ์ยิ่งใคร่กินเลือดยิ่งเดือดแด แต่นั้นแก่มุ่งมาตร์อาฆาตกา ฯ
๏ ณ กาลนั้นยังมีทาสีน้อย ชำนาญม่อยกลางวันขันนักหนา
เขาให้เฝ้าข้าวเปลือกเกลือกนกกา มันจะมาโมยกินให้สิ้นไป
เด็กนั่งเฝ้านอนเฝ้าให้เหงาหงอย ประเดี๋ยวม่อยตามเคยเลยหลับไหล
สำเนียงแพะแบ๊ะลั่นสนั่นไกล เด็กไม่ยักฟื้นตื่นสำนึก
แพะมันเห็นได้ทีตรงรี่ใส่ ปากเบี้ยว ๆ เคี้ยวไบ้ ๆ ใจบึก ๆ
เด็กฝันว่ายักษ์ทมิฬกินมฤค อกตึก ๆ ตื่นเขม้นแลเห็นแพะ
ฉวยได้อิฐก้อนใหญ่วิ่งไล่ขว้าง ถูกสีข้างดังอารมณ์แพะล้มแผละ
มันกลัวอิฐะฤทธิ์จริงวิ่งแบ๊ะ ๆ ไปและเล็มติณกินต่อไป
อีกครู่หนึ่งเด็กหญิงก็นิ่งม่อย แพะมันคอยเห็นหลับกลับมาใหม่
ประเดี๋ยวถูกไล่ตีวิ่งหนีไป ดังนั้นไซร้หลายหนมันทนทาน
เด็กโกรธแพะรังแกจะแก้เผ็ด เอาให้เข็ดจนได้อ้ายใจหาญ
สัตว์อุบาทว์ชาติต่ำเครื่องรำคาญ จะหลับนานไม่ถนัดน่าขัดใจ
จึงค้นคว้าหาได้จุดไฟติด ทำสนิทนอนระงับเหมือนหลับไหล
อ้ายแพะเห็นได้ทีวิ่งรี่ไป กรากเข้าใส่กองข้าวเขลาพอแรง
เด็กถลันฉวยได้ไล่ตำแพะ วิ่งแม๊ะ ๆ ตัวสั่นขวัญแสยง
ขนมันยาวเหลือใจไฟไหม้แดง วิ่งตะแคงตัวเลือกเข้าเกลือกฟาง
ไฟก็ลุกโพลงพลามกตะกลามเชื้อ มันร้อนเหลือแรงเริงเพลิงฉวาง
ประเดี๋ยวใจไหม้โพลงถึงโรงช้าง พญาด่างพญาเผือกเสือกสนกัน
ต่างก็ปอกก็เปือกเถลือกถลน ต่างดิ้นรนหลีกภัยไฟมหันต์
กว่าไฟดับช้างดับนับอนันต์ ที่เหลือนั้นเจ็บป่วยจะม้วยมรณ์ ฯ
๏ พระราชาอาดูรภูลเทวศ ทรงสังเกตพิษไฟใดจะถอน
เสียดายช้างเต็มประดาทรงอาวรณ์ พระภูธรเศร้าส้อยละห้อยมาน
รับสั่งเรียกเหล่าแพทย์มาแวดล้อม ทนุถนอมช้างทรงน่าสงสาร
พวกตาหมอวิ่งแล่นแป้นร่าอาการ บริวารทั้งหมดช่วยบดยา
บ้างก็โบกก็ปัดพัดวี บ้างก็มีมนต์ขลังตั้งรักษา
ช้างไม่รับโอสถหมดปัญญา ย่อมเห็นว่าไม่หายตายแน่แล้ว
พระมหากษัตริย์ตรัสเรียกพราหมณ์ อ้าท่านงามปรีชาค่ายิ่งแก้ว
จะแปรปลิดพิษไฟให้คลาดแคล้ว ได้โดยแนวใดบ้างทางปัญญา ฯ
๏ ตาพราหมณ์เฒ่าเจ้าเล่ห์เพทุบาย ว่าเหลือร้ายแรงไฟใหญ่นักหนา
ยาจะแก้พิษนั้นคิอมันกา อาจรักษาช้างได้มิให้ตาย ฯ
๏ พระราชาทรงฟังกำลังเศร้า ตรัสให้เขาจัดหากาให้หลาย
เหล่าเสนาพากันหมั่นไม่วาย รีบทำลายชีพกาไม่อาทร
ครั้นจะเอามันกาหามิพบ ดูซากศพแสนเบื่อเป็นเหยื่อหนอน
กลิ่นตระหลบจำรุงฟุ้งนคร กาก็มรณ์ม้วยกว่าร้อยห้าพัน
ฝ่ายฝูงกาในนครข่อน ๆ จิต เหลือจะปลิดปลดภัยใหญ่มหันต์
บ้างก็ขึ้นเวหาบินพากัน รีบผายผันจากกรุงมุ่งเร็วไป
ถึงที่อยู่แห่งพญากาประเสริฐ แจ้งเหตุเกิดลุกลามเป็นความใหญ่
เมื่อนั้นจึงพญาการีบคลาไคล สู่วังในเข้าเฝ้าเจ้าแผ่นดิน
แล้วทูลว่าข้าแต่พระราชา พระองค์อย่าเชื่อพราหมณ์เบิกความฉิน
เขากล่าวเท็จทูลหลอกดอกนรินทร์ ถึงฆ่าสิ้นกาไซร้มิได้มัน
พราหมณ์มีเหตุโกรธกาพยาบาท โดยอาฆาตหมายฆ่าให้อาสัญ
เอาอำนาจพระองค์ผู้ทรงธรรม์ มาตีพันธุ์ตัดเผ่าล้างเหล่ากา ฯ
๏ พระราชานิ่งขึงคนึงคิด เชื่อสนิทนึกเห็นเหมือนเช่นว่า
จึงตรัสห้ามปรามเขาเหล่าเสนา แล้วทรงถือศีลห้ากล้าในบุญ
อำนวยทานแก่กาเวลาเช้า ให้หุงข้าวหลายพ้อมรสหอมฉุน
กาก็มีความสุขทุกสกุณ พระราชาการุณเพราะคุณพญา ฯ
๏ เด็กถามว่าอันพญากากล่าวเทศน์ แสนวิเศษจับใจอย่างไรหนา
จึงอาจตัดโมหะพระราชา เกิดเมตตาตามเรื่องปราศเคืองแค้น ฯ
๏ กาตอบว่าพญากาปรีชามาก จะจำมาก็ยากลำบากแสน
ข้าเทศน์บ้างคิดคาดคงขาดแคลน เพราะไม่แกว่นปัญญาปรีชาญาณ
ในชาดกมีอยู่อาจรู้ได้ เจ้าจงไปอ่านเถิดประเสริฐสาร
เรื่องคล้าย ๆ อย่างนี้มีนิทาน แต่บุราณดูเล่าตามเลาเดิม
ผิดกันบ้างแต่ฝ่ายนิดหน่อยดอก ข้าเล่าบอกเนื้อเรื่องมีเครื่องเสริม
กลอนพาไปไม่คล่องจึงต้องเติม เพื่อเฉลิมสำราญท่านผู้ฟัง ฯ

----------------------------

  1. ๑. ประมวญมารค ฉบับที่ ๓๙ หน้า ๒๒ ปีที่ ๒ ศุกร์ที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘

  2. ๒. “Beauty is skin-deep”

  3. ๓. “ช้า ๆ ได้พร้าสองเล่ม”
    “ช้าเป็นการนานเป็นคุณ”
    “Slow and steady wins the race”
    “More haste less speed”
    “Everythig Comes to him who waits”

  4. ๔. “Never put off till tomorrow what you can do today”
    “Procrastination is the thief of time”

  5. ๕. “Beauties in vain their pretty eyes may roll”
    “Charms strike the eye but merit wins the soul” Pope

  6. ๖. “When the candles are out, all women are fair” Plutarch

  7. ๗. เมื่อสิ้นมหาสงครามใหม่ ๆ ในสยามเกิดฝนแล้งทำนาได้ข้าวน้อย ถ้าขายออกไปต่างประเทศมากเกินไป ก็เกรงจะเกิดอดอยากในเมืองเราเอง จึงต้องมีกฎหมายกำกับการส่งข้าวไปนอกประเทศ

  8. ๘. ในสมัยนั้นเพิ่งตั้งคลังออมสินใหม่ ๆ

  9. ๙. เดาะแปลว่า นม

  10. ๑๐. ในปีนั้นกรรมการร่างกฎหมายขนงานไปทำที่เกาะหลักระหว่างพัก ไปอยู่ด้วยกันที่นั่นพร้อม

  11. ๑๑. Guy

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ