นายตุ้ยนักสืบ

“เขียนใน ร.ศ. ๑๒๖”

ถ้าท่านเอาใจใส่ในเรื่องความอาญาอยู่บ้าง หรือท่านได้อ่านเรื่องที่ ๑ ของข้าพเจ้าตลอดแล้วก็ดี ท่านคงทราบว่า มีนักสืบอย่างเอกอยู่นายหนึ่ง คือนายตุ้ย ตรอกเต๊า ตำบลสามเสน กรุงเทพ ฯ ถ้าท่านมีธุระอะไรที่ต้องการความสืบสวน ไม่ว่าจะมีผู้ริษยาเอาหนูเน่าซัดต้องตัวท่าน โดยประสงค์จะให้เกิดโรคร้ายแรงก็ดี หรือเอาลูกบอมม์ลอบซัดถูกท่าน ทำให้อาการ ๓๒ กระจัดกระจาย เป็นเหตุให้ท่านต้องไปสู่สุคติแต่เวลาที่ท่านยังไม่เต็มใจจะไปก็ดี ถ้าเกิดเหตุเป็นอันตรายร้ายแรงเช่นนั้น และเช่นอื่น ที่ต้องการความสืบสวน เพื่อเอาตัวผู้ผิดมาส่งให้เจ้าหน้าที่ลงโทษตามพระราชกำหนดกฎหมาย ท่านก็ย่อมทราบอยู่แล้วว่า ถ้ามีใครจะสืบสวนให้สำเร็จได้เร็วดังใจ ผู้นั้นคือนายตุ้ย ตรอกเต๊า ตำบลสามเสน กรุงเทพ ฯ

นายตุ้ยนั้นคือข้าพเจ้านี้เอง ถ้าข้าพเจ้าเป็นคนชอบโอ้อวด ก็คงมีเรื่องที่จะอวดท่านมาก แต่หากข้าพเจ้าเป็นคนไม่ชอบโอ้อวด จึงหาเรื่องที่จะนำมาอวดท่านมิได้ เรื่องที่ ๑ ของข้าพเจ้าก็ได้นำมาเล่าในตอนก่อนแล้ว ตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่มีใครมาหาให้ข้าพเจ้าสืบความอันใดมาหลายเดือน แต่มีข่าวตามหนังสือพิมพ์รายวันในกรุงเทพ ฯ ว่ามีฝิ่นเถื่อนหมู่นั้นชุกนัก ดูเหมือนจะมีข่าวจับได้แทบไม่เว้น ๗ วัน ข้าพเจ้าเห็นเป็นโอกาสที่จะทำความชอบต่อราชการ เพื่อบำรุงชื่อเสียงด้วย เพื่อรางวัลที่น่าจะได้รับด้วย จึงคิดการสืบสวนฝิ่นเถื่อนรายหนึ่ง มีผลไม่สู้จะสมกับความคาดหมาย เป็นเรื่องที่ ๒ ของข้าพเจ้าที่จะได้นำมาเล่าในบัดนี้

วันหนึ่งข้าพเจ้านอนนึกถึงเรื่องสืบความอาญาอย่างร้ายแรงต่าง ๆ ที่ยังไม่มีใครมาหาให้สืบ ด้วยยังไม่ได้เกิดขึ้นนั้นอยู่สักสองสามชั่วโมง พอนึกถึงเรื่องฝิ่นเถื่อนขึ้นมาได้ จึงกดกระดิ่งเรียกอ้ายเต้ แต่กริ๋งแล้วกริ๋งอีกอ้ายเต้ก็ไม่มา ต่อข้าพเจ้าลุกจากเก้าอี้นอนไปเยี่ยมดูที่หน้าต่าง จึงเห็นอ้ายเต้กำลังทอยกองอยู่ริมถนน ต้องเรียกจากหน้าต่างมันจึงได้ยิน

อ้ายเต้คนนี้เป็นเด็กอายุประมาณ ๑๔ ซึ่งข้าพเจ้าจ้างมาไว้เป็นเสมียน สำหรับทำหน้าที่เทกระโถน และปัดกวาดต่าง ๆ ในออฟฟิศ

ข้าพเจ้า “อ้ายเต้ กูจ้างถึงมาไว้เป็นเสมียน เวลานี้ออฟฟิศยังไม่เลิก มึงทิ้งงานหนีลงไปเล่นทอยกองได้รึว๊ะ”

อ้ายเต้ตอบว่า “กระโถนเทหมดแล้วครับ”

ข้าพเจ้า “เออน่า หนังสือทำไมไม่ทำละหว่า”

อ้ายเต้ “ปัดฝุ่นหมดแล้วทุกเล่มครับ”

ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะดุมันว่ากระไรอีกก็นิ่งอยู่ ด้วยถ้าจะเกณฑ์ให้มันเขียนหนังสือ ก็ไม่แน่ว่ามันเขียนเป็น ถึงมันจะเขียนเป็น ก็ไม่มีอะไรจะให้มันเขียน เรื่องดุด่าจึงเป็นอันต้องสงบเพียงนั้น

ข้าพเจ้า “อ้ายเต้ มึงไปเที่ยวสืบดูได้ไหมว๊ะ ว่าฝิ่นเถื่อนที่ไหนมีมั่ง”

อ้ายเต้ “ที่อ้ายเท่งครับ”

ข้าพเจ้า “อ้ายเท่งน่ะใคร”

อ้ายเต้ “ลูกเจ๊กทุยครับ”

เมื่อข้าพเจ้าถามต่อไป อ้ายเต้ก็จาระไนเครื่องญาติของเจ๊กทิม อ้ายเท่ง และเจ๊กทุยให้ฟัง ไม่ได้ความว่าเจ๊กทิมคือใครแน่ ซักมันหนักเข้า มันก็ตอบวนไปเวียนมา เป็นทำนองหลวงไหนหลวงพรหม พรหมไหนพรหมศร ศรไหนศรยิง จนกลับไปลงรอบหลวงพรหมอย่างเก่า คงได้ความแต่ว่า ที่แถบวัดสุทัศน์มีฝิ่นเถื่อนอยู่รายหนึ่ง เสียงว่าเกี่ยวข้องกับปากน้ำ ครั้นไล่เลียงจะเก็บความให้ละเอียด อ้ายเต้ก็กลับจะซักไปหาหลวงพรหมเข้าอีก ในที่สุดคงทราบอยู่ข้อเดียวว่า ที่แถบวัดสุทัศน์มีฝิ่นเถื่อนอยู่แห่งหนึ่ง

เมื่อทราบความจากอ้ายเต้เท่านี้แล้ว ข้าพเจ้ามาตรึกตรองดู ก็เห็นว่าควรจะสืบเสาะต่อไปอีก ด้วยเหตุหลายประการ ข้อ ๑ การที่ไม่มีอะไรจะสืบนั้น ไม่สมกับชื่อที่ว่าเป็นนักสืบ อย่าว่าแต่สืบฝิ่นเถื่อน ถึงจะสืบสุกรและสุนัข ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรจะสืบเลย ข้อ ๒ เรื่องสำคัญเช่นนี้ ถ้าทำสำเร็จรางวัลจะไปไหนเสีย เวลานั้นจะว่าข้าพเจ้ามั่งมีฟุ่มเฟือยก็ไม่ได้ รางวัลแม้แต่สี่ร้อยบาท ก็ยังดีกว่าไม่ได้ อีกประการหนึ่ง ถ้าถูกโชคงามยามดี ท่านเรียกไปไว้เป็นพนักงานสืบฝิ่นเถื่อน ก็จะมีผลอันดีนับประการไม่ถ้วน ข้อ ๓ ในการสำคัญเช่นเรื่องฝิ่นเถื่อนนี้ ถ้าได้ทราบอะไรเล็กน้อยก็ไม่ควรทิ้งเสีย แม้แต่ทราบจากอ้ายเต้ก็ยังดี ถ้าสืบไม่ได้ความอะไรก็ไม่มีเสียหายตรงไหน ยิ่งกว่าเสียเวลา และเวลาเป็นของที่ข้าพเจ้ามีถมไป

ดังนี้ ข้าพเจ้าจึงเป็นอันตกลงในใจว่า ตามความที่อ้ายเต้นำมาบอกนั้น ข้าพเจ้าจะพยายามสืบสวนต่อไป

วันนั้นเป็นวันที่ ๗ เมษายน ร.ศ. ๑๒๖ เวลาประมาณ ๒ ทุ่มเศษ ข้าพเจ้ากับอ้ายเต้ออกจากบ้านขึ้นรถรางไปลงถนนใหม่ตอนสะพานถ่าน แล้วลงเดินไปไม่ช้าก็ถึงถนนบ้านตะนาว ให้อ้ายเต้เที่ยวถามว่าบ้านใครมีบ้าง ที่เจ้าของบ้านอาจมีฝิ่นเถื่อนมาจากปากน้ำ ไม่ช้าอ้ายเต้กลับมาบอกว่า ผู้ที่ทำงานอยู่ปากน้ำมีอยู่ในถนนนี้ แล้วพาข้าพเจ้าไปชี้บ้านให้ดู ข้าพเจ้าเห็นห้องแถวมีแขกช่างทองเช่าอยู่หน้าบ้าน ห้องแขกมีครัว ซึ่งจะเข้าไปแอบดูได้ ข้าพเจ้าพร้อมด้วยอ้ายเต้ จึงเข้าไปแอบดูครัวแขก เห็นเตาและหม้อชามสังกะสีและภาชนะอื่น ๆ ล้วนแต่เป็นเครื่องที่อาจใช้ต้มฝิ่นได้ทั้งนั้น ในเวลาที่ข้าพเจ้าแอบดูนั้น ไม่เห็นใครต้มอะไร เตาก็ไฟดับ ชะรอยจะสิ้นเวลาใช้ไฟเสียแล้ว

ข้าพเจ้าแอบดูอยู่สักครู่ใหญ่ ๆ ก็ตกลงในใจเป็นแน่ว่า ใครเป็นผู้ต้มฝิ่นเถื่อน คือแขกเจ้าของห้องนั่นเอง ถ้าไม่เช่นนั้น จะมีเตาและหม้อเครื่องต้มต่าง ๆ ไว้ในครัวทำไมเล่า จนชั้นฟืนก็มีไว้พร้อม

ข้าพเจ้าตกลงดังนี้แล้ว ก็เรียกอ้ายเด้ออกจากที่กำบัง จะรีบไปรับสินบลพาพลตระเวนไปจับ แต่มาได้คิดว่า ถ้าแขกเจ้าของห้องต่อสู้คดีให้การว่า มีเตาและหม้อไว้สำหรับหุงข้าวเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ยังไม่มีอะไรที่จะปรูฟต่อไป ถึงหากว่า ข้าพเจ้าจะทราบแน่แล้วว่า ความจริงเป็นอย่างไร ก็เกรงว่าศาลจะยังไม่เชื่อ ด้วยการชำระความต้องอาศัยพยานเป็นใหญ่ ก็พยานไม่มีหลักฐานพอ คดีอาจเปลี่ยนรูปเป็นอื่นไปก็ได้

ข้าพเจ้าปรึกษากับอ้ายเต้เห็นพร้อมกันว่า ในเวลานั้นก็เพิ่งยามเศษ หาวนอนก็ยังไม่รู้หาว หิวก็ยัง กระโถนที่ออฟฟิศก็ยังไม่สู้เปื้อนเปรอะ ไม่จำเป็นที่อ้ายเต้จะต้องรีบไปเทแต่เช้าหัวมืด เพราะฉะนั้นในคืนนี้ควรรอสืบหาหลักฐานฝิ่นเถื่อนรายนี้ให้ทราบแน่เสียก่อน เมื่อถูกเหมาะได้ความอะไรที่หนักแน่น จะให้คุณหนักหนา ไหน ๆ ก็เสียค่ารถรางไปจนถึงที่แล้ว คอยดูไปอีกชั่วโมงสองชั่วโมง ดีกว่าที่จะรีบไปเสีย

ข้อที่จะคอยอยู่อีกตั้งชั่วโมงนั้น อ้ายเต้ค่อนข้างอิดออด อยากจะเปลี่ยนความคิด ด้วยมันสมัครจะไปดูลิเกมากกว่า ข้าพเจ้าจะอธิบายอย่างไร มันก็ไม่เห็นด้วยร่ำไป ต่อเมื่ออธิบายด้วยลูกมะเขกจึงเป็นอันตกลงเห็นชอบตามที่ข้าพเจ้าว่านั้นทุกประการ

ข้าพเจ้ากับอ้ายเต้เข้าแอบอยู่ในที่กำบังประมาณชั่วโมงหนึ่ง เดินเที่ยวตรวจดูบ้าง กลับเข้าแอบบ้าง ตามเวลาที่เมื่อยขาหรือไม่ ครั้นเวลาสี่ทุ่มเศษ ข้าพเจ้าแอบดูคนเดียว (ด้วยให้อ้ายเต้เที่ยวเดินดูตามทาง) เห็นแขกพวกหนึ่งมาถึง สังเกตว่าเป็นนาย ๒ คน คนหนึ่งหน้าดำมือขาว เป็นแขกต่างภาษากันกับนายอีกคนหนึ่ง ต้องพูดกันด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งข้าพเจ้าเข้าใจอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ยินถนัด หาได้ความว่าพูดกันว่ากระไรไม่

แขกพวกนี้พากันเข้าไปในห้องแขกช่างทองเจ้าของครัวไฟ ซึ่งมีเตาไฟหม้อและภาชนะต่าง ๆ ที่อาจใช้ต้มฝิ่นได้ดังที่กล่าวมาแล้ว เมื่อข้าพเจ้าเห็นดังนั้น ก็ทราบด้วยไวปัญญาว่า แขกพวกนี้สมรู้ร่วมคิดกับแขกเจ้าของห้อง ช่วยกันต้มฝิ่น ข้าพเจ้าแอบจะเข้าไปดูให้ใกล้ ก็เห็นแขกพวกนั้นหลายคนนัก รวมทั้งเจ้าของบ้านคงจะเป็นจำนวนถึง ๖ คน ๗ คน ข้าพเจ้าเคยชำนาญกระบี่กระบองมวยปล้ำ แต่ก็เรื้อมาเสียหลายปี ปืนเบรานิงก็ไม่มีติดไปด้วย จึงเป็นอันต้องซุ่มดูอยู่ห่าง ๆ ถ้าขนฝิ่นออกจากห้องเมื่อไร จะต้องจับให้ได้ทั้งตัวผู้ผิดและของกลาง หากว่าคนพวกนั้นจะมากกว่า ข้าพเจ้าก็วิ่งเร็วเหมือนกัน แขกแต่งตัวรุ่มร่าม คงจะไล่ไม่ทันเป็นแน่

แขกพวกนั้นหายเข้าไปอยู่ในห้องแขกช่างทองสักครู่ใหญ่ ๆ ก็พากันกลับออกมา ข้าพเจ้าแน่ใจว่าคงจะต้มฝิ่นกันมาเสร็จแล้ว ถ้าค้นดูตามเสื้อผ้าเวลานั้น คงจะได้ฝิ่นเถื่อนหลายหมื่นตำลึงเป็นแน่ แต่ครั้นข้าพเจ้าจะจับตัวค้นเล่า พวกเขาก็หลายคน อ้ายเต้ให้ไปเที่ยวตรวจตามถนนก็เลยหายไป ชะรอยจะหนีเลยไปดูลิเกเริ่มเป็นแน่ ถ้าอ้ายเต้อยู่ช่วยอีกคนหนึ่ง ข้าพเจ้าเชื่อใจในเวลานั้นว่า คงจะใช้กำลังช่วยกันจับฝิ่นเถื่อน ได้ตั้งกระบุงเป็นแน่ แต่นี่ข้าพเจ้าคนเดียว จะทำการไป ก็เผื่อจะไม่สำเร็จ เพลงกระบองที่เคยหัดไว้นั้น ก็ออกจะลืม ๆ ไปเสีย และทั้งไม่ได้มีกระบองติดมือไปด้วย ถ้าจะว่าเพลงกระบองในขณะไม่มีกระบอง ก็ดูจะไม่สู้ได้ผลอะไรนัก

ดังนี้ท่านจะเห็นได้ว่า การที่ข้าพเจ้าไม่ได้จับแขกพวกนั้นค้นฝิ่นเถื่อนที่ซ่อนไปในตัวคืนวันนั้น จะเป็นด้วยความขลาดของข้าพเจ้าก็หามิได้ แท้จริงข้าพเจ้าเป็นคนกล้าหาญฝีมือดีที่สุด ถ้าไม่รู้ใครก็เป็นด้วยกลัวบาปเท่านั้น ส่วนการที่ปล่อยให้แขกพวกนั้นหนีรอดไปได้ในคืนวันนั้น ก็ด้วยการไหวพริบของข้าพเจ้าคิดเห็นการตลอดไปว่า ถ้าข้าพเจ้าทำผลุนผลันจับกุมเขา ถ้าจับได้หมดทั้ง ๕ คน ๖ คน ก็ดีอยู่ แต่ข้าพเจ้าคนเดียว ถ้าฉวยพลาดพลั้งจับได้แต่ ๓ คน ๔ คน ปล่อยให้หลุดหนีไปได้บ้าง ก็จะไม่ได้ตัวผู้ผิดไปส่งเจ้าพนักงานให้หมดจำนวน ทำเร็ว ๆ ได้พร้าเล่มเดียว สู้ทำช้า ๆ ได้พร้า ๒ เล่มไม่ได้ อนึ่ง ถ้าข้าพเจ้าจับฝิ่นเถื่อนได้ในตัวคน ๕ คน ๖ คนนั้น ตั้งครึ่งเล่มเกวียน ก็เหลือที่ข้าพเจ้าคนเดียวจะขนไปส่งเจ้าหน้าที่ได้หมด ครั้นจะไปเรียกพลตระเวรช่วยจับคนและฝิ่นก็ไม่ทันท่วงที จึงเป็นอันปล่อยให้แขกพวกนั้นหลุดไปได้ เป็นแต่สะกดรอยตามไปได้หน่อยหนึ่ง ก็เห็นแขกพวกนั้นขึ้นรถไปหมด ข้าพเจ้าเป็นคนมีฝีเท้าวิ่งได้เทียม ๆ โมเตอร์คาร์ก็จริงอยู่ แต่หาได้วิ่งสะกดรอยตามรถคันนั้นต่อไปไม่ จึงเป็นอันไม่ทราบว่า แขกพวกนั้นพาฝิ่นไปไหน

ข้าพเจ้ากลับบ้านคืนนั้น ตรึกตรองดูเห็นว่า การที่สืบฝิ่นเถื่อนไปได้ถึงที่แล้ว จนเห็นตัวคนที่เข้าใจว่าขนฝิ่นไปเป็นอันมาก แต่จับไม่ได้ ด้วยข้าพเจ้าเองขาดความตระเตรียมไปนั้น เรื่องฝิ่นก็เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าทำสำเร็จ จะเป็นช่องคูอันดีได้ประโยชน์หลายประการ สมควรที่จะสอดส่องต่อไปอีกในวันรุ่งขึ้น จะต้องไปดูท่าทางอีกสักครั้งหนึ่ง

วันที่ ๘ เมษายน ๑๒๖ ข้าพเจ้าอุตส่าห์ตื่นก่อนไก่ ดูเป็นของไม่ควรทำอย่างเอก เพราะเวลาเช้าเป็นเวลาสำหรับนอน ไม่ใช่เวลาสำหรับตื่น ถ้าใครขืนไม่หลับในเวลานั้น ก็ทำไม่ถูกธรรมชาติ เว้นแต่ผู้ที่มีธุระจะไปสืบฝิ่นเถื่อนเท่านั้น เวลาประมาณโมงเช้า ข้าพเจ้าไปถึงถนนบ้านตะนาว ตั้งใจจะดูท่าทางให้เห็นจะแจ้งเสียก่อนที่แขกเจ้าของบ้านตื่น ถ้าได้หลักฐานพอ ก็จะได้สืบไปรับสินบลทีเดียว

การที่ข้าพเจ้าไปด้อมมองเห็นตัวผู้ผิดแต่ตอนกลางคืนนั้นไม่มีวี่แววว่า กองตระเวรทราบ จึงเป็นที่ประหลาดใจของข้าพเจ้าที่สุด ที่ได้พบเจ้าพนักงานกรมกองตระเวรกำลังค้นฝิ่นเถื่อนในที่นั้น แต่ไม่ได้ค้นบ้านแขก ไพล่ไปค้นบ้านไทย มีเสียงว่าค้นอะไร ๆ ได้มาก

พลตระเวรที่ไปค้นนั้น มีนาย ๒ คน ไทยคนหนึ่ง ฝรั่งคนหนึ่ง ถามคนที่อยู่ในที่นั้น ทราบว่าไทยนั้นคือคุณพระ.....ปลัดกรมฝรั่งชื่อมิสเตอร์...... นายกองตระเวรประจำโรงยาฝิ่น

ข้าพเจ้าดูอยู่สักครู่หนึ่งให้นึกขันนี่กระไร เมื่อคืนนี้สิท่านไม่มาค้น ถ้าไม่เช่นนั้น จะจับแขกพวกนั้นได้หมด ถ้าท่านจะมาซุ่มอยู่กับข้าพเจ้าจะเห็นได้ว่า แขกพวกนั้นทำท่าทางน่าสงสัยนัก จะพูดกันก็กระซิบ กิริยาจะเดินก็ดูย่องๆ กลัวจะกระตกกระตาก ถ้าเป็นคนธรมดาจะทำอาการพิรุธเช่นนั้นทำไม จะพูดอะไร ทำไมไม่พูดออกมาดัง ๆ ไปไหนทำไมต้องย่อง การที่ทำเช่นนั้น ก็คงจะเป็นด้วยกลัวกองตระเวรทราบจะมาจับ ผู้ที่กลัวพลตระเวรคงมีความผิด และคนที่มีความผิดในที่นั้น ถ้าไม่ใช่เรื่องฝิ่นเถื่อน จะเรื่องอะไรเล่า

ข้าพเจ้าเชื่อเป็นแน่ในใจตนเองว่า พวกกรมกองตระเวรค้นผิดที่เสียแล้ว แต่ครั้นจะบอกให้ก็ใช่เหตุ เหมือนขนมไปป้อน สู้เอาไว้กินเองไม่ได้

ตั้งแต่เช้าวันนั้นมา ข้าพเจ้าก็ไปด้อมมองอยู่เหล่านั้นหลายวัน เสียงลือกันออกแซ่ว่า คุณพระ....ปลัดกรม กับ มิสเตอร์ จับฝิ่นเถื่อนได้ ข้าพเจ้าไปแอบดูที่ครัวแขก ก็เห็นเตาและหม้อที่เห็นคืนวันนั้นยังอยู่ตามเดิม บางคราวเห็นหุงข้าวด้วยหม้อและเตานั้นบ้าง ให้ออกสงสัยว่า หรือเขาจะมีเตากับหม้อไว้หุงข้าวกินกระมัง แต่เรื่องพวกแขกที่ทำกิริยาพิรุธคืนนั้นไม่หายสงสัยเลย

ต่อมาอีกเดือนหนึ่ง ข้าพเจ้าผ่านไปทางศาลพระราชอาญา ได้ข่าวว่ากำลังชำระคดีฝิ่นเถื่อนรายนั้น ก็แวะเข้าไปฟัง คุณพระ....ให้การว่า เมื่อคืนวันที่ ๗ เมษายน ตัวท่านกับมิสเตอร์....กับเจ้าพนักงานกองตระเวรอีก ๒-๓ คน แต่งตัวปลอมเป็นแขกไปด้อมมอง ได้เข้าไปในห้องแขกช่างทอง เพื่อจะแอบดูในครัว ท่านเห็นคนต้มฝิ่นในบ้านจำเลย รุ่งขึ้นจึงไปจับ

ข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น ก็นึกเฉลียวใจขึ้นมาว่า พวกแขกที่ข้าพเจ้าสงสัยนั้น เห็นจะเป็นคุณพระ....เสียแล้ว และแขกคนหน้าดำมือขาวนั้น เห็นจะมิสเตอร์....ปลอมเป็นแขก ทาดำแต่หน้า ลืมทามือไป หากว่าเราไปรตระบองเข้าไป ทำอะไรท่านเข้า นึกขึ้นมาก็ขนลุก

ส่วนแขกเจ้าของบ้านนั้น เขาจะมีเตากับหม้อไว้หุงข้าวกินเท่านั้นเองกระมัง เห็นจะผิดไปเสียแล้ว ถ้าเขาได้อ่านหนังสือนี้ ขอให้เขาได้รับคำขอโทษของข้าพเจ้าด้วย

ในที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขอเตือนท่านว่า ถ้าท่านมีธุระอะไรที่ต้องการสืบสวน ไม่ว่าจะมีผู้ริษยาแจกหนูเน่าซัดต้องตัวท่าน ฯลฯ ฯลฯ หรือลูกบอมบ์ลอบซัด ฯลฯ ฯลฯ ท่านย่อมทราบอยู่แล้วว่า ถ้ามีใครสามารถจะสืบสวนให้ได้ความชัดเจนจนสำเร็จได้เร็วดังใจ ผู้นั้นคือนายตุ้ย ตรอกเต๊า สามเสน กรุงเทพฯ

 

  1. ๑. ประมวญมารค ฉบับที่ ๓๕ หน้า ๒๗ ปีที่ ๒ ศุกร์ที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๔๗๘

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ