นิทานเรื่องดาวพฤหัสเป็นมูล

เมื่อคุณพระยังไม่ได้โกนจุก คือเมื่อ ๕๐ ปีมาแล้วแกก็ได้ยินได้ฟังเรื่องดาวๆ มาหนักกว่าหนัก ด้วยบิดาของคุณพระถึงจะไม่ได้เป็นโหรในราชการก็จริง แต่ก็เป็นโหรไปรเวท อนึ่งคุณพระเป็นคนมีนิสัยในทางนี้มาแต่เด็ก ถึงจะยังไม่ได้โกนจุก ก็อาจชี้ได้แล้วว่าให้ “ดูดาวธงตรงหน้าอาชาไนย” ทางไหนและ “ดาวลูกไก่เคียงคู่เป็นหมู่กัน” อย่างไร

ครั้งเมื่อคุณพระรุ่นหนุ่มขึ้น ได้ออกไปเป็นนักเรียนเมืองอังกฤษ ได้โอกาศก็ใช้เวลาทั้งปวง ซึ่งควรจะเป็นเวลาว่างในการศึกษาตำราดาวอย่างฝรั่ง จนในตอนท้ายออกจะมีชื่อว่าเก่ง แท้จริงท่านขรัวคร่ำๆ ที่เป็นนักปราชญ์ดาราศาสตร์อยู่ในเมืองอังกฤษเวลานี้ ก็เคยเป็นเพื่อนเรียนมาด้วยกันหลายท่าน และถึงเมื่อคุณพระกลับมากรุงเทพได้เป็นอาจารย์ใหญ่อยู่ในวิทโยตมาลัยแล้ว ก็ยังได้มีหนังสือไปมาด้วยเรื่องวิชาดาวกับพวกโปรเฟ็ซเซอร์เพื่อนนักเรียนเก่า ๆ ในเมืองอังกฤษอยู่เสมอ ๆ ความรู้ของคุณพระในเรื่องดาว ๆ จึงเฟื่องอยู่เป็นนิตย์ มิได้มีเวลาบกพร่องไปเลย

บัดนี้คุณพระมีอายุจะย่างเข้า ๖๐ ปีอยู่แล้ว กำลังวังชาก็เสื่อมถอย หน้าที่อาจารย์ใหญ่ในโรงเรียนชั้นสูง เช่น โรงเรียนวิทโยตมาลัย ซึ่งมีนักเรียนเป็นอันมากเช่นนั้น ก็เป็นหน้าที่อันหนัก เป็นเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียฬอยู่เนืองๆ คุณพระเห็นว่า สังขารจะทนไปไม่ไหว จึงยื่นหนังสือเมื่อเดือนก่อนนี้ กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งหน้าที่ราชการ และขอพระราชทานเบี้ยบำนาญเลี้ยงชีพในภายแก่ต่อไปด้วย

วันนั้นคุณพระนั่งตรึกตรองถึงเรื่องโลกและดาวต่างๆ อยู่คนเดียวในสวนเล็กหน้าเรือนเล็กของแก ปัญหาที่รำพึงอยู่นั้น เป็นปัญหาเกี่ยวไม่แต่กับตัวคุณพระ ไม่เกี่ยวแต่กับเมืองไทย ไม่ว่าประเทศใหญ่เป็นประเทศน้อย เศรษฐีกระดุมภีก์ และกระยาจกวรรณิพกทั้งปวง จะต้องเกี่ยวด้วยหมด เพราะปัญหานั้นเป็นปัญหาคร่อมโลก หรือปัญหาทำลายโลก ด้วยเมื่อคุณพระกราบถวายบังคมลาออกจากหน้าที่ราชการมาแล้ว มีเวลามากขึ้น ก็ได้คำนวนทางเดินของดาวต่าง ๆ อยู่หลายวัน ในที่สุดได้ความว่า อีก ๒ เดือน ดาวพฤหัสจะเดินมากระทบโลก ๆ จะแตกกระจายไปสิ้น

ข้อซึ่งโลกจะแตกใน ๒ เดือนนี้ คุณพระเมื่อทราบความแล้ว ก็เก็บเงียบมิได้แพร่งพรายให้ใครทราบ ด้วยคุณพระเห็นว่า ถึงสามัญชนจะทราบเรื่องนี้ ก็ไม่มีใครจะแก้อย่างใดได้ บางคนที่ไม่มีธรรมในใจ ก็จะเกิดเดือดร้อนไปเปล่า ๆ ควรปล่อยให้มนุษย์ทั้งปวงอยู่ไปในความสุขอันจะมีได้ก็ด้วยความไม่รู้เท่านั้น

อนึ่ง ถ้าคุณพระจะขยายความลับให้แพร่งพรายไปเล่า ก็จะต้องอธิบายด้วยอ้างหลักฐาน และชี้แจงวิธีคำนวณตามวิชาอย่างสูง ซึ่งไม่มีใครจะเข้าใจไปถึง เพราะเซอร์โรเบิต บอลและนักปราชญ์ชั้นนั้น ไม่มีในเมืองเรา ถ้าคุณพระจะชี้แจงให้มนุษย์สามัญ เช่นท่านและข้าพเจ้านั่งก็จะไม่ผิดกับสีซอให้ทรพีฟัง ไม่เข้าใจว่าอะไรไปทางไหน แล้วมิหนำกลับจะซ้ำทรยศหาว่าผู้สีซอเป็นบ้าอีกเล่า เมื่อท่านและข้าพเจ้าไม่เชื่อคำที่คุณพระกล่าวดังนี้แล้ว คุณพระก็ไม่มีทางจะปรูฟอะไรอีก นอกจากว่าให้คอยดูไปเถิด อีก ๒ เดือนก็คงเห็น ครั้นอีก ๒ เดือน เมื่อโลกมันแตกเสียแล้ว จะไปต่อว่าต่อขานกันทำไมที่ไหนอีกเล่า

เมื่อคุณพระคิดเห็นตลอดแล้ว ก็เขียนหนังสือไปนักปราชน์เพื่อนเรียนเก่า ๆ ที่เมืองนอก แต่ในกรุงเทพมิได้แพร่งพรายความให้ใครเลย เป็นแต่วันหนึ่งได้เชิญขุนพรหมทีปกรมโหรมาพูดจาลับ ๆ ล่อ ๆ ดูบ้าง แต่ก็มิได้ปรากฏว่า ขุมพรหมทีปรู้ไปถึง

คุณพระกำลังนั่งตรึกตรองอยู่ในสวนเล็กหน้าเรือนน้อยของแกดังนี้ พอมีนักการนำหนังสือบรรจุซองตราแผ่นดินมาส่งให้ คุณพระลงชื่อรับหนังสือจนนักการลากลับไปสักครู่หนึ่ง แล้วจึงยิบซองหนังสือขึ้นจากโต๊ะพิจารณานอกซองแล้วรำพึงว่า นี่เป็นหนังสือราชการมาจากออฟฟิศ ซึ่งคงจะมีคนทำการอยู่หลายสิบคน ต่างคนต่างตั้งหน้าทำการโดยประสงค์จะหาความดีต่อไปในภายหน้า แต่ไม่มีใครรู้สึกว่า การที่จะหมายเป็นขุนนางหรือหมายได้เงินเดือนขึ้นในปีโน้นนั้น ไม่มีประโยชน์เสียแล้ว เพราะอีก ๒ เดือนโลกจะป่นปี้ไปหมด ราชการงานเมือง ก็ไม่ทราบกันทั้งนั้น ถ้าจะบอกให้ทราบ ก็จะเป็นบุญบ้าง เพราะเมื่อคนรู้ตัวเสียหมดแล้ว ก็จะได้พากันหาความสบาย เลิกการออกเรี่ยวออกแรงใน ๒ เดือนข้างหน้า แต่นั่นแหละเมื่อทำคุณแล้ว อาจกลับเป็นบูชาโทษก็ได้ นิ่งรู้อยู่คนเดียวดีกว่า

คุณพระรำพึงเช่นนี้แล้ว ก็ฉีกซองชักหนังสือออกอ่านดังนี้: -

กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ

วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ร.ศ. ……..

แจ้งความมายังพระ……..

ด้วยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเบี้ยบำนาญแก่ท่านปีละ ๑,๙๒๐ บาท นับแต่วันพระราชทานพระบรมราชานุญาต คือวันที่ ๑๒ เดือนนี้ ท่านจะตั้งฎีกาเบิกได้เป็นรายเดือน ๆ ละ ๑๖๐ บาท ตั้งแต่ปลายเดือนนี้ไป

(ลงนาม)……..

ปลัดทูลฉลองกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ

เมื่อคุณพระอ่านตลอดแล้ว ก็หัวเราะขึ้นด้วยเสียงอันดัง จนอ้ายด่างที่นอนอยู่ใต้โต๊ะตกใจตื่นขึ้น คุณพระคิดเห็นขันว่า มาได้เบี้ยบำนาญกันทำไมป่านนี้ แต่เงินที่มีอยู่ในแบงค์ประมาณ ๕๐ ชั่ง ก็พอกินและใช้อย่างฟุ่มเฟือยไปจนกว่าโลกจะแตก จะคิดหาทางใช้เงินให้หมดวันละ ๗๐ บาทเศษก็ยาก เพราะคุณพระไม่เคยเป็นคนมั่งมี และเป็นคนมักน้อย การใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายเป็นอันทำไม่เป็น

คุณพระมานั่งนึกว่า เวลานี้แกมีเงินถึง ๕๐ ชั่ง ทั้งมีเบี้ยบำนาญอีกเดือนละ ๒ ชั่ง เวลาที่ชีวิตจะยืนไปได้อย่างมากมี ๒ เดือน เรื่องมรดกพกสถานไม่ต้องคิดถึง เพราะไม่มีผู้ใดจะคอยรับมรดกของใครได้ ในระหว่างเวลา ๒ เดือนนี้ ควรจะหาความสุขอย่างเอกที่จะหาได้ และเงิน ๕๐ ชั่งที่มีสำหรับเวลา ๒ เดือนนั้น ควรให้ความสุขได้อย่างสูงทีเดียว เมื่อเป็นดังนี้ คุณพระจึงมาตรึกตรองดูว่า มีอะไรบ้าง ที่จะให้ความสุขมากกว่าสิ่งอื่น

ข้อ ๑. คิดได้ว่า โมเตอร์คายังไม่เคยขี่เลย มันวิ่งเร็วนักหนา ถ้าจะหามาสักคันหนึ่ง สำหรับใช้เวลา ๒ เดือนนั้น ในการวิ่งไปวิ่งมาชั่วโมงละ ๒๐ ไมล์ ก็ดูชอบกลดี ด้วยเวลานี้มีฝรั่งคนหนึ่งที่มีรสสูบเดียวบอกขายราวๆ ๒๐๐ ปอนด์เท่านั้น เจ้าของรับรองแข็งแรงว่าไม่มีเสียหายตรงไหนเลย คงจะทนไปได้ ๒ เดือนเป็นแน่

ข้อ ๒. ถ้าจะกินอยู่อย่างเอกเสีย ๒ เดือนก็ชอบกล กินไก่งวงกับปลัมปุดดิงทุกวัน ทั้งดื่มชมเปญเวลากินอาหาร และดื่มปอตไวน์อย่างดีภายหลังด้วยก็ได้ แต่ข้อนี้ คุณพระนึกขึ้นได้แล้วก็เลิก เพราะธาตุแกไปข้างไทย ๆ ได้กลิ่นนม ๆ เนย ๆ บ่อยนัก ก็ชวนจะเป็นบิด

ข้อ ๓ เวลาที่คุณพระนั่งนิ่งนึกอยู่นั้น มีตาขอทานพาลิงรำเข้าไปในบ้าน อ้ายด่างที่นอนอยู่ใต้โต๊ะตื่นลุกขึ้นเห่าด้วยความเกรี้ยวโกรธ แต่คุณพระห้ามไว้บอกให้ตาขอทานนั่งคอยอยู่ก่อนแล้วตรึกตรองว่า ถ้าเอาเงิน ๕๐ ชั่งให้ทานไปเสียเดี๋ยวนี้ จะได้ความสุขแก่ตาขอทานนักหนา แกจะรู้สึกเป็นเศรษฐีกว่าเศรษฐีจริงๆ หลายร้อยเท่า แต่ข้อนี้เมื่อตรึกตรองไป ก็เห็นทางเสียมากกว่าทางดี ด้วยตาขอ ทานคนนั้น เมื่อได้เงิน ๕๐ ชั่งไปแล้ว ที่ ๑ คงแวะโรงเหล้า ที่ ๒ เลยไปบ่อนโป ที่ ๓ กลับเป็นคนขอทานไปตามเดิม เมื่อคิดดังนี้แล้ว จึงให้อัฐ ๓ อัฐแล้วไล่ตาขอทานให้ออกจากบ้านไปเสีย

ข้อ ๔ คุณพระตรึกตรองไปอีกไม่ช้า ก็ตกลงในใจว่า ทางที่ดีที่สุด คือใช้เวลา ๒ เดือนนั้นในการเข้าวัด ประพฤติให้สมกับชื่อที่เป็นอุบาสก ทั้งใช้เงิน ๕๐ ชั่งนั้นในกองการกุศล สุดแต่จะทำได้

ดังนี้จึงตกลงในใจว่า ข้อ ๔ เป็นสมควรกว่าอย่างอื่น แต่ยังนั่งตรึกตรองหน้าหลังต่อไปยังไม่ทันจะละเอียด พอมีชายหนุ่มสุภาพนายหนึ่งเปิดประตูบ้าน ตรงเข้าไปนั่งไหว้ คุณพระขมวดคิ้วจ้องหน้าสักครู่หนึ่งก็จำได้ทักว่า “แม้คุณโฉม คุณหายไปไหนมาหลายปีทีเดียว ไม่พบไม่ปะกันเลย”

นายโฉม “กระผมไปเรียนหนังสือเมืองนอก เพิ่งกลับมาได้สัก ๒ เดือนนี่แหละขอรับ”

คุณพระ “อ้อ ถูกหละ คุณออกจากโรงเรียนแล้วสักหน่อยก็ไปเมืองนอก ไปอยู่กี่ปีล่ะคุณ”

นายโฉมบอกจำนวนปีที่ออกไปอยู่ยุโรปแล้ว คุณพระก็ไต่ถามถึงการร่ำเรียนที่เมืองนอก ด้วยนายโฉมคนนี้ เป็นศิษย์ของคุณพระมาเก่า เคยอุดหนุนเอื้อเฟื้อมาแต่ไหนๆ และทั้งตัวคุณพระก็เคยไปเป็นนักเรียนเมืองนอกมากับตัวเอง มีเรื่องที่จะพูดได้มาก

คุณพระ “อ้อ เรียนเลข ชอบกล เมื่ออยู่โรงเรียนคุณก็ค่อนเก่งเลขมาบ้างแล้วหละ นี่เห็นจะเป็นแรงเกลอร์กลับมากระมัง”

นายโฉมหัวเราะ “ไม่ไหวดอกครับ แต่เธอคลาซยังจวนได้จวนเสียเต็มที”

คุณพระหัวเราะ “เอาเถอะได้แล้วเป็นใช้ได้ เออ คุณ ศึกษาทางตำราดาวมามากอยู่หรือ”

นายโฉม “ก็เท่าที่ต้องการสำหรับไล่เท่านั้นแหละขอรับ”

คุณพระ “คุณทราบหรือเปล่า ดาวพระประหัส...”

นายโฉม “ไม่ทราบ ไม่ทราบแน่หละขอรับ ดาวพระประหัสแกจะทำอะไรอยู่ที่ไหนก็ตาม แต่ผมไม่เอาใจใส่มานานเสียแล้ว”

คุณพระหัวเราะแล้วหยุดนิ่งนึกอยู่สักครู่หนึ่ง จึงเปลี่ยนเรื่องพูดไปอย่างอื่นว่า “นี่คุณเห็นจะได้ลูกได้เมียแล้วกระมัง”

นายโฉม “ยังขอรับ แต่เรื่องนี้แหละขอรับที่ผมมาหาใต้เท้า ขอประทานคำแนะนำหรือตักเตือนสั่งสอนอย่างที่เคยมาแต่ก่อน ๆ”

คุณพระ “ถ้าช่วยได้ก็ยินดีจะช่วยตามเคย”

นายโฉม “เดี๋ยวนี้มันมีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง กระผมไม่ทราบจะแก้ไขอย่างไรได้ คือกระผมรักใคร่ติดพันกันอยู่กับแม่สว่าง ลูกสาวนายแสงคนใกล้ ๆ กัน แท้จริงเคยรู้จักกันมาแต่เล็กๆก็ว่าได้ ฝ่ายเราถ้าไม่ได้กับเขาก็คงเป็นบ้า ฝ่ายเขาว่า ถ้าไม่ได้กับเราก็จะผูกคอตาย....”

คุณพระ “ถ้าผูกคอตายก็เร็วไปนิดเดียว อีกหน่อยดาวพระประหัศ....”

นายโฉม “ใต้เท้าว่ากระไรนะขอรับ”

คุณพระ “อ๋อ มิได้ มิได้ ไหน คุณว่าต่างคนต่างรักกัน แล้วอย่างไรต่อไปอีกล่ะ บิดามารดาข้างผู้หญิงว่ากระไร”

นายโฉม “เขาก็ยินดีที่จะให้ เพราะเขาเป็นคนที่คุณพ่อเคยอุดหนุนอยู่บ้าง แต่ข้อขัดข้องในเวลานี้ ด้วยเจ้าสัวซุ่นต้องการแม่สว่างไปเป็นภรรยา กล่าวว่าจะเสียเท่าไรเสียไป สุดแต่ให้ได้เป็นแล้วกัน”

คุณพระหัวเราะ “จะยุ่งกันไปได้ถึงไหน ดาวพระประหัศกำลังเดินทาง....”

นายโฉมนิ่งตลึงแลดูคุณพระ คุณพระได้สติกลับถามว่า “ก็เมื่อตัวผู้หญิงและพ่อแม่เต็มใจข้างเราแล้ว เจ้าสัวซุ่นจะมากดได้อย่างไรเล่าคุณ”

นายโฉม “เขากีดขวางได้อย่างนี้ขอรับ คือนายแสงเป็นหนี้เขาอยู่ ถ้านายแสงยกลูกสาวให้ข้างเราเสีย เขาก็จะเร่งเงินซึ่งนายแสงยังไม่มีจะให้ เงินที่ยืมกันนี้มีกำหนดอีก ๖ วิกจะต้องส่ง เพราะฉนั้นภายใน ๖ วิกนี้ นายแสงจะต้องส่งลูกสาวหรือเงินให้แก่เจ้าสัวซุ่น ลูกสาวนั้นนายแสงไม่อยากส่ง และเงินก็ยังไม่มีจะส่ง เป็นการขัดข้องอยู่อย่างนี้”

คุณพระหัวเราะคึก ๆ แล้วว่า “ไม่เป็นไรดอกคุณ คุณกับแม่สว่างแต่งกันเสียก็ได้ อีก ๖ วิกจึงจะถึงกำหนดส่งเงิน ถ้านายแสงยังไม่ส่ง เจ้าสัวซุ่นก็คงฟ้อง การเป็นถ้อยร้อยความมันต้องการเวลา แต่คงไม่มีเวลาฟ้องร้องกันไปได้ถึงไหน เพราะอีก ๒ เดือนดาวพระประหัศ....”

คุณพระพูดค้าง ๆ ได้เพียงนี้ก็หยุดชงัก ด้วยนึกขึ้นมาได้ว่า นายโฉมยังไม่ทราบว่าดาวพฤหัศจะมาชนโลกแตก และถึงจะอธิบายให้ฟังก็คงไม่เชื่อ เพราะนายโฉมถึงจะมีความรู้ในทางดาวอยู่บ้าง โดยที่ได้ร่ำเรียนในขบวนเลขก็จริง แต่ไม่ได้เอาใจใส่กี่มากน้อย จะชี้แจงให้ฟังก็คงแลไม่เห็น และอีกประการหนึ่ง ชายหนุ่มที่น้ำใจกลัดกลุ้มอยู่ในความรักเช่นนี้ คงไม่มีมันสมองเหลือพอที่จะเข้าใจวิชาชั้นสูงได้ ด้วยถ้าจะมีมันสมองเปรียบว่าหนัก ๑๐ ตำลึง ก็คงใช้ในการตรึกตรองถึงเจ้าสาวเสียเก้าตำลึงกึ่ง ที่ยังเหลืออยู่อีกกึ่งตำลึงนั้น ไม่พอที่จะเข้าใจเรื่องดาวพฤหัศก็ได้

ฝ่ายนายโฉมเมื่อได้ยินคุณพระออกชื่อดาวพฤหัศบ่อยดังนั้น ก็ให้คิดไปว่า จะมิถึงกำหนดที่คุณพระจะต้องไปอยู่โรงพยาบาลปากคลองสารเสียกระมัง มีหรือช่างชักเอาดาวเอาเดือนมาพูด ในเวลาที่สนทนาถึงการสำคัญเช่นนี้ได้ นายโฉมกำลังอกใจลังเล ไม่ทราบจะพูดต่อไปอย่างไร พอคุณพระถามขึ้นว่า “คุณจะจัดแจงใช้หนี้แทนนายแสงเสีย จะไม่ได้หรือ”

นายโฉม “กระผมก็อยากจะทำเช่นนั้น แต่มีข้อที่ไม่ตกลงในใจอยู่อย่างหนึ่ง จึงหมายปรึกษาใต้เท้าอย่างที่เคยมาแต่ก่อน ๆ คือกระผมไม่มีเงินเป็นก้อนใหญ่ ๆ ตั้ง ๕๐ ชั่ง ดังที่ใต้เท้าเคยทราบอยู่แล้ว แต่ในเวลานี้ก็ได้อาศัยเงินเดือนอยู่เดือนละ ๓๐๐ บาทเท่านั้น ถึงจะขมิดเขมี่ยเก็บรวบรวมเข้าก็คงไม่ทัน เพราะฉนั้นจึงจะหาเงินใช้หนี้แทนนายแสงได้ ก็โดยวิธีกู้ยืม ซึ่งกระผมไม่สู้เต็มใจทำ เพราะมีช่องอันตรายมากอยู่ ถ้าเพลี่ยงพล้ำไปด้วยหนี้สินส่วนตัว ก็จะไม่เป็นทางดีแก่ช่องคูในราชการต่อไป”

คุณพระนั่งนิ่งตรึกตรองอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ฉันก็เห็นทางที่จะสำเร็จได้ แท้จริงฉันจะรับจัดการให้สำเร็จ แต่คุณจะต้องมอบธุระให้ฉันให้ตลอด คุณกลับจากนี่ เลยไปบ้านโหรหาฤกษ์ทำการมงคลทีเดียวก็ได้ พรุ่งนี้คุณจึงมาหาฉันใหม่”

นายโฉมยกมือไหว้ ยกบุญยอคุณคุณพระอยู่ ๓ นาที แล้วถามว่าคุณพระจะจัดการอย่างไร

คุณพระ “ข้อนั้นฉันจะต้องทำตามที่จะสมควรอย่าง ไร แต่ยังจะชี้แจงเวลานี้ไม่ได้ ด้วยฉันจะช่วยคุณได้อย่างเดียว แต่เมื่อไว้ใจอนุญาตให้ทำตามใจทุกอย่าง โดยไม่ต้องปรึกษาหารือคุณในข้อหนึ่งข้อใดเลย ถ้าคุณไม่ไว้ใจสนิท ฉันก็รับช่วยคุณไม่ได้”

นายโฉม “ใต้เท้าย่อมทราบแล้วว่า กระผมไว้ใจใต้เท้ายิ่งกว่าตัวกระผมเองหรือใคร ๆ หมด ที่กระผมเรียนถามก็ด้วยอยากทราบ ไม่ใช่เป็นด้วยไม่ไว้ใจ เพราะฉะนั้น กระผมจะกราบลาไปหาโหรทีเดียว ใต้เท้าโปรดจัดการอย่างไรก็ตามแต่จะเห็นควร พรุ่งนี้กระผมจึงจะมาใหม่” (ยกมือไหว้ลาไป)

รุ่งขึ้นเวลาบ่าย คุณพระกำลังนั่งตรึกตรองเรื่องพฤหัสอยู่ในสวนอย่างวันก่อน นายโฉมเปิดประตูหน้าบ้านเดินตรงเข้าไปหา ดูหน้าตาค่อยชื่นบานขึ้น เพราะนายโฉมได้ไปหาฤกษ์การมงคล และตกลงกับบิดาเจ้าสาวและตัวเจ้าสาวมาแล้ว การที่นายโฉมคิดเตรียมการมงคลเสร็จเช่นนี้ ก็ด้วยความนับถือคุณพระว่า เมื่อรับแล้วก็คงสำเร็จ และที่นายโฉมหมายดังนั้นก็มิได้ผิด ด้วยเมื่อไปนั่งลงพูดกันได้ สองสามคำ คุณพระก็เปิดหีบหยิบหนังสือกู้ของนายแสงออกส่งให้นายโฉม บอกว่า ฉีกเสียก็ได้ เพราะนายแสง ไม่ได้เป็นหนี้เจ้าสัวซุ่นต่อไป

นายโฉมรับหนังสือมาดแล้ว ก็ลงหมอบกราบ ถามว่าคุณพระไปจัดการอย่างไร จึงได้นั่นคืนมา

คุณพระตอบว่า “คุณไม่ต้องถามดอก คุณให้ฉันไปจัดการตามใจ เมื่อสำเร็จแล้วก็แล้วกัน คุณจงไปจัดการตามวันที่กำหนดนั้นเถิด”

นายโฉม “กระผมยังแต่งงานไม่ได้ก่อน ด้วยหนังสือกู้ที่ใต้เท้าได้มาจากเจ้าสัวซุ่นนี้ก็ได้ด้วยนำเงินไปวาง และเงินที่วางนั้นไม่ได้มาจากกระผมหรือนายแสง เพราะฉนั้น ต้องเงินของใต้เท้าเอง และถ้าดังนั้นกระผมเป็นหนี้ใต้เท้า ๕๐ ชั่ง กระผมจะลอยนวนไปแต่งงานโดยปล่อยให้ใต้เท้าเป็นผู้ขาดทุนเช่นนั้นไม่ได้”

คุณพระ “ทำไมจะไม่ได้ อีกหน่อยดาวพระประหัศ........”

นายโฉม “ไม่ได้ขอรับ ไม่ได้ ใต้เท้าต้องให้กระผมทำหนังสือกู้เงินรายนี้จากใต้เท้า ส่งดอกเป็นกำหนดชั่งละ ๒ สลึง เมื่อกระผมเก็บเงินได้พอจะส่งต้นเมื่อใด จึงจะนำมากราบเท้า”

คุณพระ “ฉันไม่ต้องการเงิน ๕๐ ชั่งนั้นเลย เพราะอีก ๒ เดือน....”

คุณพระพูดค้างๆ เท่านั้น แล้วก็หยุดชงัก แล้วนึกว่าที่แกออกเงิน ๕๐ ชั่งแทนนายโฉมนี้ ก็ทำได้โดยความสดวก เพราะทราบอยู่ว่า อีก ๒ เดือนโลกจะละเอียดไปหมด เอาเงิน ๕๐ ชั่งนี้ซื้อความสุขให้ศิษย์เก่าแก่เสีย ๒ เดือนก็ดีอยู่ แต่ศิษย์คนนั้นไม่ทราบว่าโลกจะแตก ยังหลงว่ามีเวลาที่จะใช้หนี้คุณพระได้อยู่ แต่ที่จริงไม่เห็นประหลาดอะไร จะมีหนังสือกู้หรือไม่มี เมื่อโลกแตกแล้วก็แล้วกัน ตกลงเป็นทำหนังสือไว้ก็ได้

คุณพระ “ถ้าคุณสมัครจะทำหนังสือกู้ก็ตามใจคุณ ที่จริงฉันไม่ต้องการเลย แต่ยอมรับหนังสือกู้เพราะเข้าใจว่า คุณจะค่อยสบายขึ้น โดยที่ทราบว่าไม่ได้เอาเปรียบครูข้างเดียว เชิญเถอะคุณ จะทำว่ากระไรก็เชิญคุณทำมาเถิด แต่ฉันต้องการอย่างหนึ่งว่า ใน ๒ เดือนต้นไม่ต้องคิดดอกเบี้ย ต่อนั้นไปจะทำอย่างไรก็ตามใจคุณ”

คุณพระพูดแล้วหัวเราะคึก ๆ แต่นายโฉมหาทันสังเกตไม่ เมื่อพูดตกลงกันดังนั้น แล้วนายโฉมก็ลาไป รุ่งขึ้นเช้านำหนังสือกู้มาส่งให้คุณพระ ถามว่าถูกต้องเป็นที่พอใจคุณหรือยัง คุณพระตอบว่าดีแล้ว ครั้นนายโฉมออกนอกบ้านไป คุณพระก็หัวเราะคึก ๆ แล้วฉีกหนังสือนั้นทิ้งเสีย ด้วยว่าไม่ทำลายมันเสียเดี๋ยวนี้ อีก ๒ เดือนดาวพฤหัสก็คงมาทำลายมันเสียเหมือนกัน

อีกไม่สู้กี่วัน เมื่อนายโฉมแต่งงานแล้วก็พาภรรยาไปไหว้ คุณพระให้พรตามเรื่องแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันออกจะลืม ๆ ไปเสียแล้วว่า เวลาแต่งงานใหม่ ๆ มันรู้สึกอย่างไร เพราะตัวฉันเองมันแต่งงานหลายสิบปีนักแล้ว และนี่เป็นหม้ายมาก็นาน”

นายโฉมทราบตลอดอยู่แล้วว่า คุณพระเคยแต่งงานแต่หนุ่ม ๆ แต่อยู่ด้วยกันไม่กี่มากน้อยภรรยาก็ถึงแก่กรรม คณพระก็ไม่มีภรรยาอีกมาจนป่านนี้ ตามคำเล่าลือว่าเข็ดภรรยาคนก่อน จึงหากลับมีอีกไม่ แต่นายโฉมเห็นพร้อมกับคนอื่นเป็นอันมากว่า คุณพระควรมีภรรยาใหม่ เมื่อได้ช่องจึงพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าก็ควรจะมีใหม่อีกสักคนหนึ่ง”

คุณพระยิ้มแล้วพูดว่า “มันจะแก่เกินไปเสียแล้วกระมังคุณ”

นายโฉม “ไม่แก่ดอกขอรับ เราหาที่เป็นผู้ใหญ่สักหน่อย อายุราวๆ ๓๕ เพราะถ้าสาวนักก็ดูไม่สู้ชอบกล ที่จริงถ้าได้อย่างคุณลออเป็นเหมาะ”

เมื่อนายโฉมกับภรรยาลาไปแล้ว คุณพระก็นั่งตรึกตรองเรื่องนี้ต่อไปว่า เมื่อมีภรรยาคนก่อนนั้นก็ได้อยู่เย็นเป็นสุขกันอยู่เป็น ๖ เดือน จึงเกิดวิวาทบาดทะเลาะกันขึ้น ตั้งแต่นั้นไปคุณพระกับภรรยาก็เป็นเช่นสุนัขกับแมว หมดความสุขไปจนภรรยาถึงแก่กรรม คุณพระจึงเข็ดไม่มีภรรยาอีกมาจนป่านนี้ คุณพระมาตรึกตรองว่า อีก ๒ เดือนโลกก็จะแตก ถ้าจะมีภรรยาก็อยู่ในระหว่างที่จะเป็นสุขได้ หากจะเกิดทะเลาะเบาะแว้งกันก็ต้อง ๒ เดือนแล้วไป ตกอยู่ในฐานะไม่มีเวลาเสียแล้ว

ส่วนคุณลออที่นายโฉมออกชื่อนั้น คุณพระก็รู้จักอยู่ และทราบว่าเป็นคนเงียบ ๆ เรียบร้อย คงจะไม่ลงมือทะเลาะก่อน ๒ เดือนเป็นแน่

ฝ่ายการเงินทองนั้น คุณลออก็คงจะกินปลาทูเค็มเราตามธรรมดา คงไม่ต้องการไก่งวงกับหมูแหมทุกวัน เบี้ยบำนาญเดือนละ ๒ ชั่งคงจะพอเป็นแน่ ส่วนเงินที่จะต้องการทำสุรุ่ยสุร่ายในวันแต่งงานนั้น ที่มีอยู่ในแบงค์ก็ใช้หนี้แทนบิดาภรรยานายโฉมไปเสียหมดแล้ว แต่ยังมีตำราเรียนวิชาดาวซึ่งแต่งขึ้นไว้ใหม่เล่มหนึ่ง ถ้าขายให้กรมศึกษาธิการ ก็คงได้หลายร้อยบาท พอกับที่ต้องการสำหรับวันแต่งงานเป็นแน่

เมื่อคุณพระตรองตลอดแล้วดังนี้ วันรุ่งขึ้นจึงให้คนไปเรียกนายโฉมมาปรึกษา ในข้อที่จะสู่ขอคุณลอออย่างไร นายโฉมมีความยินดีรีบไปจัดการจนตลอด ในที่สุดคุณพระก็ได้ทำการมงคลภายในเดือนหนึ่งจากวันที่นายโฉมแต่งงานนั้น แต่ก่อนเมื่อยังไม่ได้คิดถึงการมีลูกมีเมีย คุณพระก็ไม่สู้เสียอกเสียใจอันใดในข้อที่โลกจะแตก แต่บัดนี้เมื่อได้แต่งงานแล้วเช่นนี้ ก็ออกเสียดายว่าโลกจะแตกเร็วนัก ที่จริงการที่คุณพระได้มีภรรยานี้ ก็เพราะเหตุที่กลัวโลกจะแตก ครั้นเมื่อได้ภรรยาแล้วกลับเสียดายโลกเช่นนี้ เป็นความคิดที่ต้นไม่สมปลาย หาใช่ทางของนักปราชญ์ไม่ แต่พวกเราที่ไม่ใช่นักปราชญ์ ก็พอเห็นอกคุณพระได้อยู่

เราท่านทั้งปวงก็อยู่ในโลกด้วยกันหมด ย่อมทราบอยู่ด้วยกันทุกคนว่า ดาวพฤหัศหาได้มากระทบโลกแตกตามกำหนดที่คุณพระคำนวณนั้นไม่ แท้จริงข้าพเจ้าได้ทราบตามคำบอกเล่าว่า ดาวพฤหัศก็ยังอยู่ห่างโลกเท่าที่เคยอยู่แต่ก่อนนั้นเอง จึงเป็นที่เชื่อได้ว่าคงจะไม่ผลุนผลันวู่วามมาชนเราละเอียดไปในเร็วๆ นี้แน่

ส่วนคุณพระนั้น ครั้นถึงกำหนดไม่เห็นดาวพฤหัศเข้ามาใกล้กลาย ก็ส่องกล้องระวังระไวอยู่ถึง ๒ วันกับ ๓ คืน ไม่เป็นอันกินอันนอน ทำให้ภรรยาเป็นที่ร้อนใจ พยายามหลายครั้งที่จะฟอกซักให้ทราบมูลเหตุ แต่คุณพระก็นิ่งขรึม มิได้บอกให้ใครทราบ จนที่สุดเมื่อเกินกำหนดไปจนทราบแน่ว่า ดาวพฤหัศคงจะเหลวเสียแล้ว จึงมารู้สึกตัวได้ คิดว่าได้ทำการหลวมตัวนักหนา ข้อสำคัญคือได้มีภรรยาโดยมิได้มีทุนรอนที่จะให้ปันเป็นทรัพย์มรดกต่อไปในภายหน้า ถ้ายิ่งมีบุตรด้วยจะซ้ำร้าย ด้วยเงินทองที่จะให้ร่ำเรียนวิชาก็ขัดสน ถ้ายิ่งเกิดบุตรตั้งโหลจะยิ่งเดือดร้อนใหญ่ เพราะบ้านช่องก็แคบ ที่จะแขวนเปลทั้งสองเปลก็ทั้งยาก ถ้ายิ่งต้องแขวนถึง ๑๒ เปลจะเป็นที่ลำบากนัก นอกจากนี้ยังมีข้อที่ควรจะร้อนใจอีกมาก ในที่สุดคุณพระจึงเรียกภรรยามาเล่าความให้ฟังตั้งแต่ต้นจนปลาย จับต้นอธิบายวิธีคำนวณทางเดินของดาวด้วยวิธีเลข (ซึ่งภรรยาก็อุตส่าห์นั่งนิ่งฟังโดยมิได้เข้าใจสักคำเดียว) จนมาบัดนี้ คุณพระก็หมดตัว มีอยู่แต่เพียงเบี้ยบำนาญเดือนละ ๒ ชั่ง ดังนี้ จึงปรึกษาภรรยาว่าจะคิดการแก้ไขประการใดได้บ้าง

ฝ่ายภรรยาเมื่อได้ยินคุณพระพูดถึงที่แขวนแปลสำหรับบุตรตั้งโหล ก็อดหัวเราะไม่ได้ ครั้นเมื่อคุณพระเล่าเรื่องตลอดแล้ว ภรรยาจึงชี้แจงว่า เรื่องบุตรนั้นถึงจะมีจริงก็ไม่กี่คน และหากว่าจะมีถึง ๑๒ คนจริง ก็ไม่ต้องการเปลพร้อมกันหมด (ซึ่งคงจะทำให้คุณพระนอนใจลงไปบ้าง) ส่วนเรื่องเงินทองนั้นก็ไม่เป็นไร ด้วยของภรรยามีอยู่แล้ว รวมทั้งเข้าของก็เกือบ ๒๐๐ ชั่งไปกระมัง ในที่สุดภรรยาบอกว่า “อ้อ วันนี้นายโฉมเขาเอาเงินมาฝากไว้ ๕๐ ชั่ง ว่าใช้หนี้ที่ยืมคุณพระไป ได้ข่าวว่าไปได้มรดกลุงรวยหลายร้อยชั่ง

ดังนี้คุณพระก็เป็นที่วางใจ แต่คงแค้นว่าที่เกิดความร้อนใจใหญ่หลวงครั้งนี้เป็นเหตุด้วยดาวพฤหัศ ซึ่งเหลวไหล จะเชื่อถือกันต่อไปไม่ได้เสียแล้ว

 

  1. ๑. ประมวลมารค ฉบับที่ ๔๕ หน้า ๑๓ ปีที่ ๒ ศุกร์ที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ