การลุอำนาจพระเจ้าจักรพรรดิ์

“เป็นนิทานเก่าซึ่งเขาแต่งผดุงศาสนาคริสเตียน”

ในเมืองฝรั่งสมัยโบราณ มีพระมหากษัตริย์ทรงศักดิ์จักรพรรดิ์ ครอบครองราชยมไหสวรรย์ทรงฤทธานุภาพปราบได้ทุกแคว้น พระองค์ทรงยินดีในบุญสมภารของพระองค์ เหตุเป็นผู้ทรงอำนาจปราศจากขีดคั่น และได้ทรงทำนุไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ให้ได้รับความร่มเย็นหาที่เปรียบมิได้ เป็นที่สรรเสริญทั่วไปในราชอาณาจักร

คืนหนึ่งพระมหากษัตริย์เสด็จเข้าที่บรรทมแล้ว ทรงรำพึงปรารภศักดานุภาพของพระองค์ มีความอิ่มเอิบในพระหฤทัยเป็นกำลัง จึงทรงเปล่งอุทานวัจนะเป็นปริศนาออกมาว่า “พระผู้เป็นเจ้านอกจากตัวกูนี้มีหรือ” ฉนี้แล้ว ไม่ช้าก็บรรทมหลับไป

รุ่งเช้าเป็นวันกำหนดทรงตรวจพล ครั้นได้เวลา กองทัพอันมีสง่าก็ตั้งพร้อมคอยรับเสด็จ พระมหากษัตริย์ทรงม้าทอดพระเนตรแถวทหารเป็นที่ปลาบปลื้มพระหฤทัยตลอดแล้ว จึงมีพระราชโองการสั่งว่าจะเสด็จล่าเนื้อในวันนั้น ครั้นได้เวลาอันควร กองทัพก็ตามเสด็จสู่ป่า

พระมหากษัตริย์ทรงพระสำราญอยู่ในป่า จนเวลาเที่ยงวัน ฤดูนั้นเป็นฤดูร้อน และวันนั้นเป็นวันร้อนยิ่ง พระราชาทรงขับมาไล่เนื้ออยู่นาน จนทรงรู้สึกว่าร้อนเหลือที่จะทนได้ ดูเหมือนว่าถ้าไม่ทรงปลดเปลื้องความร้อนเสียทันที ก็จะต้องเสด็จไปเป็นพระเจ้าอยู่ในสวรรค์ แทนเป็นพระเจ้าอยู่ในโลก ทรงรู้สึกฉนี้ ประจวบกับเวลาที่ทอดพระเนตรเห็นลำธารในที่ใกล้ ก็ใคร่ลงสรงเป็นกำลัง คนเดินทางในทะเลทราย ถ้าหมดน้ำก็กระหายดื่มเหมือนความกระหายของทรายในทะเลนั้นฉันใด ความกระหายสรงของพระมหากษัตริย์ในขณะล่าเนื้อในวันนั้นก็ฉันเดียวกัน

พระราชาตรัสแก่กองทัพว่า “เจ้าทั้งหลายจงคอยอยู่ที่นี้ ข้าจะไปองค์เดียวสรงน้ำในลำธารโน้นแล้ว เมื่อกลับมาจึงจะคืนเข้ากรุง”

ตรัสดังนั้นแล้ว ก็ทรงเร่งม้าควบไปยังลำธาร เสด็จลงจากหลังม้า เปลื้องเครื่องทรงวางรวมกันไว้ในที่อันควรแล้ว ก็เสด็จลงทรงสำราญอยู่ในลำธาร อันมีน้ำใสไหลเย็นเป็นที่ชุ่มชื่นพระหฤทัยยิ่งนัก

ในขณะที่พระมหากษัตริย์ทรงแช่พระองค์อยู่ในลำธารนั้น มีบุรุษผู้หนึ่งกอบด้วยรูปร่างลักษณะน้ำเสียงและกริยาอาการเหมือนกับพระราชาทุกประการ บุรุษนี้ลอบมาที่ใกล้ลำธาร แต่งกายตนด้วยเสื้อผ้าเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ แล้วขึ้นหลังม้าด้นขับไป ณ ที่พักพล มีคำสั่งให้เลิกทัพคืนเข้าพระนคร

ฝ่ายพระราชาเมื่อได้แช่น้ำเย็นสบายพระองค์แน่แล้ว เสด็จขึ้นจากลำธาร นึกเสียดายว่าจะต้องแต่งเครื่องทรงให้ร้อนอีก ทรงนึกว่า ถ้าออกพระกฤษฎีกาว่า ในฤดูร้อนคนทุกคนต้องแต่งเท่าที่เกิดมาจากครรภ์มารดา ฉนี้จะเป็นสุขดีหนักหนา ทรงรำพึงพลางทอดพระเนตรหาเครื่องทรงในที่ ๆ วางทิ้งไว้ แต่เสื้อผ้าอาภรณ์เหล่านั้นหายไปเสียหมดแล้ว ทั้งม้าต้นซึ่งได้ทรงผูกไว้แน่นหนาก็หายไปด้วย พระราชาทรงวกเวียนค้นหาอยู่ช้านาน ในที่สุดเป็นอันแน่ในพระหฤทัยว่า มีผู้ลักเครื่องทรงและม้าไปเสียแล้ว และเมื่อเสด็จขึ้นที่สูง ชแง้ดูกองทัพก็หาทอดพระเนตรเห็นไม่ การเป็นเช่นนี้ก็ทรงพระพิโรธเป็นกำลัง แต่ทรงพระปัญญาพอที่จะทราบว่าการกริ้วอยู่ในป่าพระองค์เดียว ไม่มีประโยชน์ จึงทรงตรึกตรองหาท่าทางที่จะให้พ้นเป็นทิฆัมพร คือผู้ใช้ฟ้าเป็นเสื้อผ้า ทรงพระดำริว่า “กูจะหาใครเป็นผู้รับใช้กูในที่นี้ก็ไม่มีเลย จะกลับตั้งต้นตรงนี้คืนเข้ากรุงอย่างไรได้ ก็จำได้ว่าที่ชายป่าปลายแดนนครนี้ มีขุนนางผู้หนึ่ง ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ กูได้แต่งตั้งให้เป็นผู้ควบคุมพลในตำบลนี้ กูจะอุส่าห์เดินซ่อนเร้นไปให้ถึงบ้านขุนนางผู้นั้น แล้วเรียกตัวมารับใช้ในทางที่จะให้กูได้มีเสื้อผ้าอันควรแก่ราชูปโภค และเมื่อกูได้เครื่องทรงมาแต่ง และได้ม้ามาขี่ไปถึงราชวังแล้ว จึงจะให้สืบเสาะชำระให้รู้เรื่องที่เกิด และเฆี่ยนฆ่าผู้ทำผิดตามควรแก่โทษ มิให้มีการลดหย่อนเลย”

ทรงคิดดังนี้ จึงทรงดำเนินเลาะลัดไปจนถึงประตูบ้านขุนนางที่อยู่ปลายแดนกรุง ทรงเคาะประตูเบา ๆ ก่อน ครั้นยังไม่มีผู้มาเปิด ก็ทรงเคาะดังขึ้น ๆ จนในที่สุดนายประตูมาร้องถามจากข้างในใครมาเคาะทำไม

พระราชาตรัสว่า “อยากรู้ว่าใคร ก็เปิดประตูออกมาเถิด”

นายประตูได้ยินเสียงพูดจาแข็งแรงก็คิดว่า คงจะเป็นคนมีเกียรติ จึงเปิดประตูออกดู ครั้นเห็นพระองค์พระราชา ก็ยืนตลึงสิ้นสติ สักครู่หนึ่งจึงถามออกมาว่า “เอ็งเป็นตัวอะไร”

พระราชาประหลาดพระหฤทัยเป็นกำลังที่มีคนไม่รู้จักพระองค์ ในที่ไม่สู้ห่างพระนคร แต่ทรงนึกว่า ความไม่รู้นั้นจะเป็นความผิดเป็นโทษอย่างร้ายแรงก็ไม่ควร อนึ่งตานายประตูแกประหลาดใจจนยืนตาโพลง พระราชาทรงนึกว่า ดูลูกตาแกกระเดียดจะเป็นบ้าเสียแล้ว ทรงคิดดังนั้นจึงไม่กริ้วตรัสตอบโดยดีว่า “เราคือพระมหากษัตริย์”

นายประตูหัวเราะพูดตามภาษาไพร่ๆว่า “เอ็งโกหก พระมหากษัตริย์ไม่แก้ผ้า”

พระมหากษัตริย์จวนจะกริ้ว แต่ทรงระงับพระพิโรธไว้ เพราะแน่เสียแล้วว่า นายประตูเป็นบ้าหรืออย่างน้อยบอ พระมหากษัตริย์ไม่ควรถือคนบ้าว่าคนบอ เพราะจินตกวีโบราณกล่าวภาษิตไว้ช้านานแล้วว่า

ใครถือคนบ้าว่า คนถือ บ้าเอง
ถือก็ถือเพราะซน เซ่อบ้อง
คนบอว่าบอคือ คนว่า บอแฮ
บออย่าว่าบ้าต้อง อย่าถือ

พระราชาทรงรำพึงคำของกวีโบราณ พลางตรัสว่า “เอ็งไม่รู้อะไร พระมหากษัตริย์ทุกองค์แก้ผ้า....”

นายประตูพูดเน้นคำว่า “ไม่จริง”

พระราชาเราพูดยังไม่ทันจบประโยค เอ็งอย่าแย่งพูดเสียซี เราหมายความว่าพระมหากษัตริย์ทุกองค์แก้ผ้าเวลาสรงน้ำ”

นายประตู “พระมหากษัตริย์องค์มึงนี่ กำลังสรงน้ำอยู่แห้ง ๆ อย่างนี้แหละหรือ”

พระราชา “เราสรงน้ำมาเมื่อครู่ใหญ่ ๆ นี้เอง มีคนร้ายมาขะโมยเสื้อผ้าราชูปโภคของเราไป ในขณะที่เราอยู่ในน้ำ”

นายประตู “เล่าไป เล่าไป เอ็งขี้ปดสนุกดี”

พระราชา “เอ็งจงไปบอกนายของเอ็งว่า เราคือพระมหากษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ในแว่นแคว้นนี้ ให้นายของเอ็งออกมาฟังรับสั่งโดยเร็ว”

นายประตู “เอ็งขี้ปดอย่างกล้าหาญมาก พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกล่าสัตว์ นายของกูก็ตามเสด็จด้วย เพิ่งเสด็จกลับพระนครเมื่อครู่ใหญ่ ๆ นี้เอง นายกูตามเข้าไปส่งเสด็จ เพิ่งกลับมาถึงบ้านเมื่อตะกี้ แต่เอ็งว่าเอ็งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน กูก็จะไปบอกนายให้ทราบ จึงจะสาใจมึง”

นายประตูเข้าไปเล่าความให้นายทราบแล้ว อีกครู่หนึ่งก็กลับออกมาทำทีเย้ย ก้มหัวกล่าวว่า “เชิญเสด็จพระมหากษัตริย์ทางนี้ ข้าพระองค์จะนำเสด็จสู่ที่อันควร”

ครั้นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จถึงในบ้าน เจ้าของบ้านก็นั่งเฉยอยู่ไม่กระทำการเคารพให้สมแก่การต้อนรับพระมหากษัตริย์ กลับถามว่า “เอ็งชื่ออะไร”

พระราชาตรัสว่า “เราคือพระมหากษัตริย์ผู้เป็นเจ้าของท่าน เหตุใดท่านจำเราไม่ได้ เมื่อเร็วๆ นี้ เราได้ตั้งแต่งให้ท่านมียศขึ้นกว่าแต่ก่อน”

ขุนนางกล่าวว่า “อ้ายนี่กำเริบเหลือเกิน กูขี่ม้าตามพระราชาเข้าไปส่งเสด็จถึงพระราชวัง เพิ่งกลับมาถึงบ้าน เอ็งว่าเอ็งเป็นพระมหากษัตริย์ กูก็จะต้อนรับให้สมควร เฮ้ย นี่แน่ะ (เรียกบ่าว) เอาตัวอ้ายนี่ไปเฆี่ยนเสีย ๓๐ ที แล้วไล่ตัวไป”

พระเจ้าแผ่นดินถูกเขาทำโทษอย่างที่ไม่มีกษัตริย์ไหนเคยถูก ครั้นเขาขับออกจากบ้าน ก็ทรงดำเนินโซเซไป ทรงดำริคั่งแค้นในพระหฤทัยว่า “อ้ายขุนนางบ้านนอกคนนี้ ดูหรือแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกู แล้วมิหนำซ้ำใช้บ่าวทำแก่กูถึงสาหัสเช่นนี้ เสียแรงกูได้ยกย่องเป็นหนักหนา ครั้งนี้เห็นได้ถนัดว่าใจคนมันเป็นอย่างนี้ กูจะแก้แค้นให้สาใจ”

พระราชาทรงดำเนินพลางทรงคิดว่า ในที่ใกล้นั้น มีขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งซึ่งได้รับราชการเป็นที่พอพระราชหฤทัยจนถึงได้ทรงตั้งแล้วให้เป็นองคมนตรี คงจะไม่เป็นคนใจคอเลวทรามเช่นขุนนางผู้น้อยซึ่งเสด็จพ้นมาแล้ว ผู้ซึ่งทรงไว้เนื้อเชื่อใจถึงเพียงนั้น คงจะจัดการให้เสด็จคืนสู่พระราชวังได้ ในการที่แต่งองค์อันควรแก่ราชูปโภค ทรงคิดฉะนี้จึงทรงดำเนินไปถึงบ้านองคมนตรี ทรงเคาะประตูเรียกอย่างที่ทรงทำที่บ้านโน้น แต่เมื่อบานประตูเปิดออกมาพบพระองค์ ก็เลิกคิ้วถามว่า “เจ้าเอย นี่เจ้าแต่งตัวอย่างเบียดกรอเช่นนี้มาที่นี่ทำไม”

พระราชาตรัสตอบว่า “เราคือพระมหากษัตริย์ ผู้เป็นเจ้าแห่งแผ่นดินนี้”

นายประตู “คนอย่างเจ้านี้ เขาเรียกชีเปลือย เขาไม่เรียกพระมหากษัตริย์ดอก”

ในตอนนี้ พระเจ้าแผ่นดินปราศจากความฉุนเฉียวทีเดียว เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกนายประตูลบหลู่ คำของนายประตูคนที่ ๒ จึงไม่เป็นเครื่องกระแทกพระหฤทัย เท่าคำของนายประตูคนที่หนึ่ง เธอทรงตอบโดยดีว่า “ในเวลานี้เราเป็นชีเปลือยจริง แต่เป็นพระมหากษัตริย์ด้วย”

นายประตู “คนเป็นชีเปลือยกับเป็นพระเจ้าแผ่นดินพร้อมกันไม่มี”

พระราชา “มีในเวลาพระมหากษัตริย์สรงน้ำ ความจริงเราเป็นมหากษัตริย์เรากำลังสรงน้ำอยู่ในลำธาร มีผู้มาลักเสื้อผ้าเครื่องทรงของเราไปหมด เราจึงมาหานายของเจ้าผู้เป็นองคมนตรีของเรา จะจัดเสื้อผ้าให้ใหม่ ให้พระมหากษัตริย์ได้แต่งองค์ตามควรแก่ตำแหน่ง”

นายประตู “พระมหากษัตริย์แห่งองค์อย่างไร จึงจะควรแก่ตำแหน่งนั้นข้าไม่รู้ แต่แต่งอย่างเจ้าในเวลานี้ ข้ารู้ว่าไม่ควรเป็นแน่ เจ้าอยากจะให้ข้าไปบอกนาย ข้าก็ยอมจะไปบอก เพราะนายข้าเป็นผู้จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ควรได้รับคำบอกกล่าวให้ทราบว่า มีชีเปลือยมาแสดงตนเป็นพระราชา เมื่อข้าบอกนายแล้ว ข้าไม่รับผิดชอบว่านายปฏิบัติอย่างไร แต่ข้าอาจบอกเจ้าได้ว่า นายของข้าคงจะเชื่อแต่เรื่องชีเปลือยซึ่งเห็นทนโท่อยู่นี้เรื่องเดียว เรื่องพระมหากษัตริย์ทีจะไม่เชื่อ เพราะนายข้าเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ย่อมรู้จักพระองค์พระราชาแม่นยำทีเดียว”

นายประตูกล่าวดังนั้นแล้ว ก็เข้าไปเล่าความให้นายฟัง อีกครู่หนึ่งกลับออกมาพาพระเจ้าแผ่นดินเข้าไปในบ้าน

ขุนนางผู้ใหญ่ถามว่า “เจ้าเป็นอะไรจึงแก้ผ้า”

พระราชา “เราเป็นพระมหากษัตริย์....”

ขุนนางผู้ใหญ่ “ข้าถามว่าเจ้าเป็นอะไรจึงแก้ผ้า เจ้าตอบว่าเป็นพระมหากษัตริย์ หมายความว่า เพราะเป็นพระมหากษัตริย์จึงแก้ผ้ากระนั้นหรือ ข้าคิดว่าเจ้าเป็นบ้ามากกว่า”

พระราชา “เราเป็นกษัตริย์ผู้เป็นเจ้าของท่าน เราได้ให้ยศและทรัพย์แก่ท่าน ๆ จึงมีฐานะดีเหมือนที่เห็นได้อยู่เดี๋ยวนี้”

ขุนนางผู้ใหญ่ “อ้ายเจ้านี่เป็นคนเท็จหรือเป็นคนบ้า เห็นจะเป็นด้วยเป็นบ้าจึงพูดเท็จ ไม่ใช่พูดเท็จจนเป็นบ้า อย่างไรก็ตาม เอาตัวขังตะรางเสียนั่นแหละเป็นทางกรุณา”

บ่าวไพร่ของท่านขุนนางผู้ใหญ่ก็ช่วยกันจับองค์พระเจ้าแผ่นดิน ฉุดลากเข้าไปที่ขุมขังตามคำสั่งนาย พระองค์ได้รับความเดือดร้อนยิ่งยวด ทั้งในพระกายและพระหฤทัย พระกายต้องทนลำบากตรากตรำอยู่ในที่ขัง พระหฤทัยต้องทนความลบหลู่อันไพร่สาระเลวทำแก่พระองค์ ทรงเศร้าโศกมิรู้จะทำอย่างไรได้ ในที่สุดทรงดำริว่า ถ้าเสด็จตรงไปพระราชวังเสียแต่แรกทีเดียว ถึงจะเป็นการเปิดเผยมากกว่า ก็คงไม่ได้รับทุกข์ถึงปานนี้ เพราะราชเสวกในพระราชฐาน ย่อมจะรู้จักพระองค์แม่นยำ แม้ในเวลาอภูษิต และถึงคนอื่น ๆ จะไม่รู้จัก พระมเหสีก็คงจะไม่ลืมพระองค์เป็นแน่ ทรงคิดฉะนี้ ครั้นได้โอกาสก็ทรงหลบหลีกจากที่คุมขัง เสด็จตรงไปยังพระราชวัง พอถึงทวารหน้าพบนายประตู ๆ ถามว่า “เจ้านุ่งฟ้ามาที่นี่ทำไม”

พระราชาตรัสว่า “ที่เจ้าไม่รู้จักเรานี้ประหลาดนัก เพราะเจ้าได้รับใช้เรามานานแล้ว”

นายประตูหัวเราะด้วยเสียงอันดัง แล้วกล่าวว่า “รับใช้เอ็งน่ะรึ เอ็งพูดมุสาอย่างยอดเยี่ยม คนอย่างเอ็งอย่าว่าแต่ข้าจะยอมให้ใช้ ถึงจะมาสมัครให้ข้าใช้ ข้าก็ไม่ใช้ เพราะเอ็งเป็นคนต่ำช้า แต่ชั้นจะนุ่งผ้าก็ทั้งยาก ส่วนตัวของข้านั้น ไม่เคยรับใช้ใครเลยนอกจากพระมหากษัตริย์”

พระราชา “เจ้าย่อมรู้ว่า เราคือพระมหากษัตริย์”

นายประตู “ข้าย่อมรู้ว่า เจ้าไม่ใช่พระมหากษัตริย์เป็นอันขาด”

พระราชา “ถ้าเจ้าจำเราไม่ได้ ก็จงไปทูลพระมเหสีของเราว่า เราคอยอยู่ที่นี่ มีความลับข้อหนึ่ง ซึ่งรู้กันแต่เฉพาะพระมเหสีกับเราผู้เป็นสวามี ความลับนั้นกล่าวไว้กลอนว่า

ธรรมดาม้าวัวตัวเป็นเสือ

เพราะมีเชื้อศวาบทปรากฏแกล้ว

กล้าระคนปนขลาดสัญชาติแมว

ไม่คลาดแคล้วปริศนาที่ว่านี้ ฯ

เจ้าจงจำกลอนนี้ไปกระซิบท่องถวายนางดูเถิด เมื่อนางเห็นจริงตามความที่เราว่านี้แล้ว ก็จงทูลให้ทรงจัดเสื้อผ้าอันควรแก่ราชูปโภค ส่งออกมาให้เราแต่งคืนเข้าวัง”

นายประตู “กลอนของเอ็งบ้าไม่ได้ความว่ากระไร ถ้าข้าจำไปท่องถวาย ข้าก็จะพลอยเป็นบ้าไปด้วย”

พระราชา “กลอนเป็นปริศนา ไม่ได้ความว่ากระไรจริง แต่ผู้รู้เรื่องลี้ลับเมื่อได้ยินก็ย่อมจะทราบความหมาย และพระมเหสีจะทรงทราบทันที เจ้าขืนไม่จำเข้าไปท่องถวาย ถ้าทรงทราบภายหลังเจ้าคงถูกกริ้วเป็นแน่”

นายประตู “เจ้าเป็นบ้าแน่นอน ในเวลานี้พระราชากำลังอยู่ในที่เสวยพร้อมกับพระมเหสี กลอนของเจ้านั้นข้าจำได้แล้ว เมื่อเจ้าว่าเป็นกลอนปริศนาศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็จะนำไปทูล และเจ้าจงรู้แน่ในใจเถิดว่า อีกประเดี๋ยวเจ้าจะถูกเฆี่ยนหลวง ไม่มีท่าทางจะแคล้วโทษได้เลย”

นายประตูพูดดังนั้นแล้ว ก็เข้าไปทูลพระมเหสีตามความที่พูด และกระซิบท่องกลอนถวายด้วย

พระมเหสีทรงฟังก็ฉงนพระหฤทัยมีพระพักตรอันเศร้า ทรงตรึกตรองพลางหันไปทูลพระราชาตัวปลอมว่า “ชอบกลนักพระองค์ ข้าพเจ้ามิรู้จะคิดอย่างไรได้ กลอนปริศนาสำคัญอันเป็นความลึกลับของพระองค์และข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้และไม่อาจมีใครเข้าใจได้เป็นอันขาดนั้น มีคนต่ำช้าเข้ามาท่องให้นายประตูฟัง และกล่าวว่าเข้าใจความหมาย นายประตูจำเข้ามาท่องได้แม่นยำมิได้คลาดเลย และเพราะเหตุที่รักลอนนั้น เจ้าคนที่อยู่นอกประตูจึงกล่าวตัวเป็นพระมหากษัตริย์ราชสวามีของข้าพเจ้า พระองค์ทรงเห็นอย่างไร”

พระราชาตัวปลอมกล่าวว่าไม่ยาก เรียกตัวเข้ามาซักดู ประเดี๋ยวก็จะได้เห็น กล่าวดังนั้นแล้วก็สั่งให้เบิกพระมหากษัตริย์อภูษิตเข้าไปในท้องพระโรง ขณะนั้นสุนัขใหญ่ซึ่งมหากษัตริย์ทรงเลี้ยงไว้หมอบอยู่ในท้องพระโรง เห็นคนเปลือยกายเข้าไปก็โจนเข้าจะกัด หากมีคนห้ามไว้ ฝ่ายนกซึ่งเกาะคอนอยู่นั้นเล่า ก็ตกใจสลัดโซ่ขาดบินหนีไป

พระราชาปลอมกล่าวว่า “เจ้านี่คือใคร มาที่พระราชวังโดยประสงค์อะไร”

พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า “ปัญหาของท่านแปลกมาก ท่านย่อมรู้ว่าเราคือพระมหากษัตริย์ ผู้เป็นเจ้าแห่งราชวังนี้ เรามานี่ก็คือกลับมาสู่สำนักที่อยู่ของเรา”

พระราชาปลอมหันไปกล่าวแก่คนทั้งหลายซึ่งอยู่ในที่นั้นว่า “ท่านทั้งหลายจงดูเรากับชายนี้ แล้วกล่าวโดยสัตย์ ว่าเราหรือเขาเป็นเจ้าแห่งท่าน”

คนทั้งหลายตอบทันทีว่า “พระองค์ทรงถามปัญหาตอบง่าย อ้ายเจ้าคนนี้ข้าพระองค์ไม่เคยเห็นเลย พรงองค์เป็นพระราชาพระองค์เดียว ซึ่งเราเห็นมาแต่เล็กตราบใหญ่ ชายต่ำช้าผู้นี้ควรได้รับโทษตามความผิด ที่ทำอุกอาจเข้ามาแสดงตัวดังนี้ถึงในพระราชวัง ขอพระองค์มีรับสั่งให้ลงพระราชอาญาให้เข็ดหลาบ มิให้ใครดูเยี่ยงกระทำกำเริบเช่นนี้ต่อไปอีก

พระราชาปลอมหันไปหาพระมเหสีกล่าวว่า “นางจงบอกแก่ข้าโดยความสัตย์ว่า ชายต่ำช้าซึ่งกล่าวอวดตนว่าเป็นสวามีของนางนี้ นางรู้จักหรือ”

มเหสีตอบว่า “เหตุไฉนพระองค์จึงตรัสถามเช่นนั้น ข้าพเจ้ามิได้เป็นมเหสีมานานจนได้คลอดราชบุตรและธิดาถวายเป็นหลายองค์ดอกหรือ แต่มีสิ่งหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าฉงนนัก เหตุไฉนชายคนนี้ซึ่งเป็นสามานย์จึงทราบกลอนปริศนาลึกลับอันไม่มีใครอื่นทราบได้เป็นอันขาด พระองค์กับข้าพเจ้าเป็นผู้ทราบกันแต่ ๒ องค์ และข้าพเจ้ามิได้เคยแพร่งพรายให้ใครได้ยินเลย”

พระราชาปลอมไม่กล่าวตอบพระมเหสีว่ากระไร เหลียวไปสั่งทหารให้เอาตัวคนบังอาจไปลงโทษให้ควรแก่โทษ และกำชับพระมหากษัตริย์ว่า ถ้าขืนท่องกลอนให้ใครได้ยินอีก จะถูกประหารชีวิตด้วยวิธีซึ่งตายไม่เป็นสุขเป็นอันขาด

ฝ่ายพระมหากษัตริย์ เมื่อได้ทรงรับโทษจากพระราชาปลอมถึงสาหัสเช่นนั้นแล้ว ก็ระกำพระหฤทัยเป็นกำลัง ทรงบ่นว่า “กูเอ๋ยกูเกิดมาทำไม ความเป็นพระราชาธิบดีมีศักดานุภาพปราบได้ทุกแคว้น มีประโยชน์อะไรแก่กูบ้าง เวลากูอยู่ในฐานะแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ์ ฝูงชนยอมเอาใจใส่คอยปฏิบัติน้ำใจกู ต่างคนยินดีในการแสดงความนับถือและในความเยินยอกู บัดนี้มีเหตุนิดเดียวที่มีผู้ร้ายมาลักเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของกูไปเสีย อำนาจพระมหากษัตริย์สูญไปพร้อมกับเสื้อผ้า บ่าวไพร่ก็เอาใจออกหาก ผู้เคยเป็นมิตรก็สิ้นไมตรีต่อกู เมียและลูกก็ตัดกูขาด จะเหลียวหาใครก็ไม่ได้เสียหมดแล้ว”

พระราชาทรงรำพรรณเช่นนี้อยู่ช้านาน จึงทรงรำลึกขึ้นได้ว่า “ยังมีอีกคนหนึ่งก็แต่บาทหลวง เธอคงจะจำกูได้ เพราะกูได้แสดงอาบัติต่อเธอมามากแล้ว”

ทรงคิดดังนี้ จึงเสด็จไปกุฎีบาทหลวง ทรงเคาะที่หน้าต่าง

บาทหลวงถามว่า “ใครมาเคาะ”

ตรัสตอบว่า “ข้าพเจ้าคือพระราชา ท่านจงเปิดหน้าต่างออกมาพูดกับข้าพเจ้า”

บาทหลวงแง้มหน้าต่างออกดู พอเห็นพระองค์พระราชา ก็กลับปิดหน้าต่างกระแทกโดยทันที แล้วพูดอยู่ข้างในว่า “ข้าคบเจ้าไม่ได้ เจ้าเป็นตัวบาปใหญ่ ไม่ใช่พระราชา เป็นสัตว์นรกมีรูปเป็นคน เจ้าจงไปตามยถากรรมของเจ้าเถิด”

เมื่อได้ทรงฟังดังนั้น พระมหากษัตริย์ก็ถึงที่สุดของความหวัง ทรงทุบพระอุระและกระชากพระเกษาบ่นว่า “กูเอย กูเอย นี่กูจะถึงทุกข์ปานใดอีกเล่า พระผู้เป็นเจ้าสิ้นเมตตากูเสียแน่แล้วหรือ”

ตรัสดังนี้ ก็พอรำลึกได้ถึงอุทานวัจนะ ซึ่งทรงกล่าวในคืนเมื่อเข้าบรรทมบนพระแท่นในพระราชวังครั้งหลัง จึงเสด็จกลับไปเคาะหน้าต่างกุฎีบาทหลวงอีกครั้งหนึ่ง และตรัสอ้อนวอนว่า “พ่อจงรับคำแสดงอาบัติของข้าพเจ้าทั้งที่ปิดหน้าต่างอยู่นี้เถิด”

บาทหลวงร้องตอบออกมาว่าไม่ขัดข้อง พระราชาก็ตรัสแสดงอาบัติต่อบาทหลวงอย่างถ้วนถี่ จนได้ทรงรับคำอำนวยพรปลดบาปตามลัทธิในศาสนานั้น

ฝ่ายบาทหลวงเมื่อรับแสดงอาบัติแล้ว ก็เปิดหน้าต่างออกดู จำพระองค์พระราชาได้ในทันที และตกใจเป็นกำลัง ทูลถามว่าเหตุผลต้นปลายเป็นประการใด จึงทรงทำเช่นนี้

พระราชาทรงเล่าเหตุที่ถูกลักเสื้อผ้าเครื่องทรงไปจากป่า ตลอดถึงข้อน่าพิศวง คือเมื่อปราศจากเสื้อผ้าเครื่องทรงแล้ว ก็ไม่มีผู้เอื้อเฟื้อต่อพระองค์เลย บาทหลวงนิ่งฟังตลอดแล้วทูลว่า “พระองค์จงทรงเสื้อผ้าตามมีตามเกิดที่ข้าพเจ้าถวายนี้ และเสด็จคืนเข้าพระราชวังเถิด เมื่อทรงละความเปลือยกายเสียแล้ว บางทีเขาจะจำพระองค์ได้กระมัง”

พระเจ้าโซวิเนียนทรงรับเสื้อผ้าของบาทหลวงมาทรงแล้ว ก็เสด็จกลับไปเคาะประตูพระราชวังตรัสเรียกให้เปิดประตู นายประตูร้องออกไปจากข้างในว่า “มาอีกหรือทีเดียวไม่เข็ดก็ตามใจ ได้เห็นกัน”

ครั้นเปิดประตูออกเห็นพระองค์พระราชา ก็ตกใจ ถวายคำนับทูลว่า “ข้าพระองค์ขอประทานอภัยที่พูดผิดไป เพราะนึกไปว่าชายต่ำช้าคนซึ่งถูกลงโทษและขับไปนั้นกลับมาอีก”

พระราชาตรัสถามว่า “เจ้าจำเราได้ถนัดหรือ”

นายประตูทูลตอบว่า “ข้าพระองค์ย่อมจำได้แม่นยำอยู่เอง แต่มีความประหลาดใจที่ไม่ทันเห็นพระองค์ในเวลาที่เสด็จออกจากพระราชวังไป นับว่าเป็นความบกพร่อง ซึ่งยากจะแก้ให้พ้นโทษได้”

พระราชาเสด็จเข้ายังท้องพระโรง ข้าราชการในที่นั้นเห็นพระองค์ต่างก็ถวายคำนับตามธรรมเนียม แต่ในขณะนั้น พระราชาปลอมกับพระมเหสีอยู่ด้วยกันในห้องอื่น

อีกครู่หนึ่งมีผู้ออกจากห้องในมาพบพระมหากษัตริย์ในท้องพระโรง ก็แปลกใจยืนตลึงดู แล้วกลับเข้าไปทูลพระราชาปลอมว่า “มีชายผู้หนึ่งอยู่ที่ท้องพระโรงไม่มีผิดกับพระองค์เลย คนทั้งหลายพากันนบนอบอย่างพระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าเองก็ทราบไม่ได้ทีเดียวว่า ใครเป็นเจ้าชีวิตของข้าพเจ้าแน่”

พระราชาปลอมกล่าวแก่มเหสีว่า “นางจงออกไปทอดพระเนตรให้แน่นอนว่า นางรู้จักชายนั้นหรือไม่”

พระมเหสีเสด็จออกไปสักครู่หนึ่ง ก็ทรงกระหืดกระหอบกลับมาตรัสว่า “ข้าพเจ้าสิ้นปัญหาแล้วไม่อาจรู้ได้เลยว่า องค์ไหนเป็นสามีของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อตัวก็ไม่ได้ เชื่อคนอื่นก็ไม่ได้”

พระราชาปลอมกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นเชิญนางมาด้วยกันเถิด ข้าจะแสดงให้เห็นอย่างแม่นยำทีเดียว

พระราชาปลอมกับพระมเหสีก็พากันออกไปยังท้องพระโรง คนทั้งหลายมิรู้จะคิดอย่างไรก็พากันนิ่งตลึงอยู่ พระราชาปลอบตรงเข้าไปยืนเคียงพระราชาจริง แล้วกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายที่อยู่ในชุมนุมนี้ จงกล่าวความสัตย์ตามคำสาบาลของท่าน และชี้ว่าองค์ไหนใน ๒ เรานี้เป็นเจ้าแห่งท่าน”

พระมเหสีตรัสว่า “ข้าพเจ้ามีฐานะเป็นผู้กล่าวก่อนอื่น แต่สวรรค์ย่อมเป็นพยานของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าชี้ไม่ได้ทีเดียว”

คนทั้งหลายซึ่งอยู่ในที่นั้น ก็กล่าวอย่างพระมเหสีทั้งสิ้น

พระราชาปลอมกล่าวว่า

“ท่านทั้งหลายจงฟังให้ตระหนักเถิด ชายที่ยืนเคียงข้างข้าพเจ้าอยู่นี้ คือพระมหากษัตริย์ผู้เป็นเจ้าแห่งท่าน แต่เธอยกย่องพระองค์เองจนถึงลบหลู่พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นที่พึ่งของเธอและของเราทั้งหลาย พระผู้เป็นเจ้าจึงลงโทษเอาเธอซ่อนเสียจากความรู้จักของท่าน ข้าพเจ้าคือเทพยดาผู้เป็นอารักษ์ของเธอ และข้าพเจ้าได้คุ้มครองบ้านเมืองไว้ ในเวลาที่เธออยู่คุ้มครองเองไม่ได้ แต่บัดนี้เธอรู้สึกความผิดและได้แสดงอาบัติจนบริสุทธิ์แล้ว จึงกลับคืนสู่ตำแหน่งตามเดิม ท่านทั้งหลายจงรับราชการกับเธอต่อไปด้วยดี และเชื่อแน่ในความคุ้มครองของสวรรค์เถิด”

กล่าวเท่านั้นแล้ว เทพดาก็อันตรธานไปต่อหน้าคนทั้งหลาย พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงรับความรู้อย่างดีแล้ว ทรงครอบครองแผ่นดินเป็นสุขต่อมาชั่วกาลนาน.

 

  1. ๑. ประมวญมารคฉบับที่ ๕๖ หน้า ๑๕ ปีที่ ๒ ศุกร์ที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ