อเมริกันเล่าถึงยุโรป

หญิงอเมริกันคนหนึ่ง เฮเล็นบอยล์สตัน ไปอยู่ยุโรปจนรู้จักประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ เมื่อกลับไปถึงอเมริกาก็เขียนเล่าว่า

เวลานั้น ข้าพเจ้าอยู่ในรถไฟเดินทางตั้งแต่ท่าเรือไปปารีส ดูทางหน้าต่างเห็นสวนและทุ่งงามไปหมดทั้ง ๒ ฟากทาง เหมือนดูรูปภาพที่เลื่อนได้ และเปลี่ยนเรื่อยไป ดูไม่รู้จักเบื่อ ครั้นหยุดที่สถานีก็มีหญิงฝรั่งเศสคนหนึ่งขึ้นมาบนรถ ข้าพเจ้าชวนพูดครู่หนึ่ง ก็ได้ความว่าเคยไปอยู่อเมริกา เพิ่งจะกลับมาบ้านเมืองของตน

ข้าพเจ้าว่า “ท่านคงจะดีใจมากที่กลับมาถึงบ้านเมืองของท่าน”

แม่ฝรั่งเศสแลดูข้าพเจ้าราวกับอริตอบว่า “ไม่ดีใจเลย”

ข้าพเจ้าแปลกใจ ถามว่า “ทำไมอย่างนั้น ท่านกลับมาเห็นบ้านเมืองซึ่งเป็นรูปภาพอย่างงามเช่นนี้จะไม่ดีใจอย่างไรได้ ดูบ้านชาวนาหลังนั้นซี ทรวดทรงดีนัก หลังคามุงแฝก น่าดูเหลือเกิน”

แม่ฝรั่งเศส “ดูก็ดูข้างนอกเถิด ข้างในชื้นสกปรกไรและเลือดเต็มไปทั้งนั้น ท่านนึกว่าอยู่ในเรือนเช่นนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ท่านต้องไม่ลืมว่าในเรือนหลังคาแฝกเหล่านั้น จะหาห้องอาบน้ำสักห้องเดียวก็ไม่มี

เมื่อแรกข้าพเจ้าไปยุโรปใหม่ ๆ ได้ยินคำพูดเช่นนี้ ก็แปลกหูหนักหนา แต่เมื่ออยู่ในทวีปนั้นได้ ๖ ปี ก็ฟังหายแปลกหูเข้า ข้าพเจ้านับถือความแน่นแฟ้นนั้น มิใช่ได้มาเปล่า ๆ ต้องเสียอิสระส่วนบุคคลไปเป็นเครื่องแลกอิสระส่วนบุคคลตามที่เข้าใจกันในอเมริกานั้น จะเข้าส่งยุโรปไม่ได้ เพราะในยุโรปมีชั้นเชิงกันมาก

ต่างว่าท่านเช่าห้องทั้งชุดเป็นที่อยู่ของท่านในปารีสและเดือดร้อน เพราะห้องนอนมีหน้าต่างเล็กหน้าต่างเดียว การที่จะเพิ่มหน้าต่างอีกหน้าต่างหนึ่งนั้นง่ายนิดเดียว และถ้าท่านเป็นผู้จะเสียเงิน ก็ไม่น่าจะมีใครขัดข้อง การเป็นดังนี้ ท่านก็พูดกับผู้รักษาและเจ้าของตึก สองคนนั้นนอกจากที่เห็นเป็นบ้า และต้องการให้ท่านเซ็นสัญญาว่าจะเสียค่าทำหน้าต่างเอง และเมื่อเลิกเช่าก็จะเสียเงินค่าอุดกำแพงให้เป็นอย่างเก่าแล้ว ก็ไม่ขัดข้องที่ท่านจะมีหน้าต่างอีกหน้าต่างหนึ่ง เมื่อตกลงกันแล้ว ท่านก็ทำ และผู้รักษาก็ไปบอกตำรวจ เพื่อให้ตำรวจเก็บภาษีหน้าต่างเพิ่มขึ้นอีกหน้าต่างหนึ่ง ในอเมริกาท่านจะมีหน้าต่างกี่หน้าต่าง กี่หน้าต่าง ตำรวจก็ไม่เอาเป็นธุระเลย

ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าซื้อรถฟอร์ดคนหนึ่งในปารีส ขั้นต้นข้าพเจ้าต้องวางเงินฝากไว้เป็นประกันก่อน แล้วต้องจ้างคนถ่ายรูปมาถ่ายรูปรถ ๖ ด้าน แต่มันก็เหมือนรถฟอร์ดคันอื่น ๆ ซึ่งนับจำนวนแทบไม่ถ้วนนั่นเอง ต่อมาอีกประมาณ ๑๕ วัน ข้าพเจ้าจึงได้หนังสือสำคัญต่าง ๆ ในเรื่องรถคันนั้นพร้อมเสร็จ แต่ต้องไปในที่ทำการ ๕ แห่ง เพื่อจะได้รับหนังสือเหล่านั้น

ในที่สุด เมื่อข้าพเจ้าได้รับอนุญาตให้ขับรถไปได้แล้ว ข้าพเจ้าก็ออกขับไป แต่ถูกตำรวจจับทันที เพราะยังไม่มีแผ่นทองแดงเล็ก ซึ่งจารึกชื่อ และที่อยู่ของข้าพเจ้า ติดไว้ในที่ซึ่งบังคับให้ติด

ต่อ ๆ มา เมื่อข้าพเจ้าขับรถของข้าพเจ้าไปในที่ต่าง ๆ ก็มีกรุงหลายกรุง ซึ่งผู้ขับรถเข้าออกต้องหยุดที่สำนักงานศุลกากร เพื่อให้วัดน้ำมันในถังว่ามีเท่าไร การที่ต้องทำเช่นนี้ ก็เป็นการเล็กน้อย และเป็นส่วนหนึ่งแห่งวิธีอันดีของตำรวจ แต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่า เป็นการถูกเตือนอยู่เสมอว่า เอกชนมีความเป็นไปเพื่อประชุมชนส่วนมาก ส่วนความสะดวกของเอกชนนั้นไม่ต้องคำนึงถึง

บางคืน ถ้าท่านออกไปกินเลี้ยงแล้วขึ้นรถเช่ากลับบ้านตอนดึก อาจมีตำรวจตามถนนบอกให้รถหยุด แล้วขอดูหนังสือสำคัญประจำตัวของท่าน ซึ่งบอกรายละเอียดว่าท่านเป็นใคร ท่านอาจลืมหนังสือสำคัญนั้นไว้ที่บ้าน ถ้าเป็นเช่นนั้น ตำรวจทำหน้าที่ให้รู้สึกว่าเป็นการใหญ่ แต่ถ้าท่านแต่งตัวดี ตำรวจก็อาจขึ้นรถไปกับท่านจนถึงบ้าน แล้วคอยอยู่จนท่านหาหนังสือสำคัญนั้นได้ ถ้าท่านแต่งตัวไม่ดี ท่านก็คงจะถูกจับไปกักตัวไว้ที่โรงตำรวจ จนกว่าท่านจะหาเพื่อนหรือใครให้ไปช่วยค้นหนังสือสำคัญนั้นมาได้

ในบางประเทศในยุโรป หญิงที่อยู่ในเมืองบ้านนอก จะแขวนม่านหน้าต่างอย่างแบบอเมริกัน ซึ่งปล่อยให้แสงตะวันและอากาศเข้าได้ และผู้อยู่ในห้องก็เห็นออกไปนอกถนนได้ฉนี้ก็ไม่ได้ เพราะถ้าทำเช่นนั้น คนจะเข้าใจว่าเป็นหญิงหาเงิน อาจมีชายแปลกหน้าเข้ามาหาเพราะเข้าใจผิด

อเมริกันคนรู้จักกับข้าพเจ้าคนหนึ่ง กล่าวแก่ชาวยุโรปคนหนึ่งว่า ดูท่านในยุโรปไม่เชื่อผู้หญิงของท่านอย่างที่เราเชื่อผู้หญิงของเราในอเมริกา

ชาวยุโรปยิ้มอย่างสุภาพแล้วตอบว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นมิได้ เราไว้ใจเมียและลูกสาวของเราเต็มที่ สิ่งที่เราไม่ไว้ใจนั้น คือสภาพของมนุษย์

ในการเที่ยวไปในยุโรปนั้น เราต้องระวังปากของเราให้ดี ซึ่งในรถไฟยิ่งสำคัญมาก ทั้งนี้เป็นเพราะมีผู้สืบข่าวคอยฟังและจดจำทั่วไปทั้งนั้น ถ้าท่านพูดอะไรออกไป ถึงแม้จะพูดซื่อ ๆ ก็อาจเก็บเอาไปเป็นเรื่องราวใหญ่โตได้ ถ้าท่านเป็นคนเดินทางไปเที่ยวเล่นชั่วคราว ก็ไม่สู้กระไร แต่ถ้าท่านมีบ้านอยู่ในเมืองนั้น บ้านของท่านก็จะถูกระวังและด้อมมอง และตัวท่านไปไหน ก็จะถูกสกดรอยตามไป จนกว่าจะได้ความแน่นอนว่า เมื่อท่านออกชื่อมุสโสลินีนั้น ท่านมีความหมายอย่างไรแน่ ท่านจะรู้ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้คอยฟัง และเมื่อฟังได้ยินแล้วจะทำอะไรท่านก็เดาไม่ถูก ข้อที่แน่มีอยู่ข้อเดียว แต่ว่ามีคนฟัง และคนนั้นเป็นคนกินเงินของรัฐบาล หรือมิฉนั้นก็หวังว่าจะเป็น

ข้าพเจ้าถามบ่าวของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นคนอิตาเลียนว่า เหตุใดจึงชอบอเมริกามากกว่าอิตาลี บ่าวตอบว่า เห็นจะเป็นอย่างนี้ขอรับ คือว่า ในอเมริกา ผมจะไปตามถนน แล้วตะโกนจนเต็มเสียงว่า เปรซิเด็นต์รุสเว็ลต์โง่ดักดานก็ได้ ผมจะว่ากระไร ก็ไม่มีใครเอาธุระ แม้เปรซิเด็นต์เองก็ไม่ว่าอะไร ถือเสียว่าผมเป็นบ้าเที่ยวร้องตะโกนไปเท่านั้นเอง แต่ในอิตาลี ถ้าผมกระซิบที่หูเพื่อนของผมว่า มุสโวลินีโง่ดักดาน ภายใน ๒ ชั่วโมง ผมก็จะถูกจับ

ข้าพเจ้าไม่กล่าวว่า การด้อมมองสดับตรับฟังเช่นนี้ไม่เป็นของจำเป็น ที่แท้จำเป็นเอามาก ๆ ข้าพเจ้ารู้จักอเมริกันหลายคน ซึ่งตอนแรก ๆ ไม่เชื่อว่ามีสอดแนมกันถึงเพียงนั้น แต่ครั้นเห็นจริงจำต้องเชื่อ ก็พูดโผงเผงว่า เป็นการบ้านเมืองอย่างโง่ที่สุด อันที่จริงการสอดแนมนั้นไม่โง่ และเป็นของจำเป็น เพราะประเทศยุโรปหลายประเทศเบียดกันอยู่ ต่างประเทศต่างมีเหตุอันดีที่จะไม่ไว้ใจเพื่อนบ้าน ก็จำเป็นจะต้องระวังตัวอย่างดีที่สุด มิฉนั้นจะป้องกันภัยไม่ได้ อเมริกาอยู่ไม่ต้องเบียดกับประเทศอื่น ๆ เพราะภูมิศาสตร์ไม่เหมือนกัน แต่เมื่อเราอเมริกันเคราะห์ดีเช่นนี้ ก็หาเป็นเหตุที่เราจะติเตียนประเทศอื่น ๆ ไม่

----------------------------

 

  1. ๑. ประมวลมารค ฉบับที่ ๓๕ หน้า ๓๔ ปีที่ ๒ ศุกร์ที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ