ลักพา

นางวสันต์ ศุภลักษณ์ ภรรยานายกระจ่าง สุภลักษณ์ เจ็บกระเสาะกระแสะมานาน จึงล้มเจ็บมาก เรียกหมอยี่เข่ง ทิพารักษ์ มารักษาเมื่อโรคหนักเสียแล้ว หมอยี่เข่งมาเพียรแก้อยู่ราว ๒ ปี เต็มความสามารถของแพทย์ผู้สามารถ แต่ก็เป็นแต่เยียวยาไว้ได้ชั่วครั้งชั่วคราว ตัดขั้วของโรคไม่ได้ ในที่สุดต้องเชิญแพทย์ใหญ่มาปรึกษา แพทย์ใหญ่ได้มานั่งเล่าและตรวจอาการอยู่นานจึงกลับ หมอยี่เข่งตามลงไปส่งที่รถ ครั้นรถแพทย์ใหญ่ออกไปแล้ว หมอยี่เข่งก็เดินกลับขึ้นบันไดไปช้า ๆ นึกในใจว่าแพทย์ใหญ่เป็นคนตรวจรู้สมุฏฐานแห่งโรคดีกว่าใคร ๆ ที่หมอยี่เข่งเคยปรึกษาก็จริง แต่ไข้รายนี้ดูเหมือนจะมีอะไรหลบซ่อนอยู่สักอย่างหนึ่ง ที่แพทย์ดูไม่เห็น เพราะไม่คุ้นกับคนไข้ ในใจหมอยี่เข่งเองเห็นมีอะไรอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งแพทย์ใหญ่ดูไม่อาจสังเกตได้ แต่แม้หมอยี่เข่งจะห้ามตนเองว่าอย่าให้เชื่อ ก็รู้สึกลึกลงไปในใจว่าเป็นความจริง

เมื่อก่อนจะขึ้นรถไป แพทย์ใหญ่ตบหลังหมอยี่เข่งแล้วว่า “หมอเองก็ดูหน้าตาเหี่ยวแห้ง ถ้าไปเปลี่ยนอากาศได้เมื่อไร ก็ควรจะรีบไป”

หมอมักจะแนะนำคนอื่นให้หยุดงานและไปเปลี่ยนอากาศ หมอยี่เข่งเองก็เคยแนะเช่นนั้นบ่อย ๆ ยิ่งเมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ยิ่งอยากให้โอกาสให้อากาศช่วยหนักขึ้น หมอยี่เข่งนึกข้อนี้แล้วก็ยิ้มในขณะที่เดินขึ้นบันไดไป

หมอยี่เข่งเดินก้าวขึ้นบันไดช้า ๆ ทีละคั่น ไข้รายนี้เป็นเครื่องหนักใจยิ่งกว่าไขอื่น ๆ ที่เคยรักษา และเดี๋ยวนี้ก็ควรสิ้นความหนักใจ เพราะแน่แล้วว่าไม่รอด อันที่จริง หมอยี่เข่งก็รู้มานาน แต่หากไม่สิ้นหวังว่าตัวจะเห็นผิด คนอื่น ๆ ก็รู้แล้วทั้งนั้น และคนไข้เองยิ่งหลอกตัวน้อยกว่าใคร ๆ ทั้งนั้น หมอยี่เข่งนึกถึงหน้าคนไข้ที่ยิ้มตอบคำบอกของหมอว่าอาการยังพอสู้ และยิ้มเมื่อสามีกะว่า พอคนไข้ค่อยยังชั่ว ก็จะพาไปโน่นไปนี่ เพื่อจะช่วยให้เกิดกำลังเร็ว ๆ ความยิ้มของคนไข้นั้น เป็นความยิ้มอย่างเศร้า ยิ้มอย่างรู้ความจริงทั้งนั้น

นึกถึงนายกระจ่าง ผู้สามีก็น่าสงสาร นายกระจ่างเป็นผู้มีใจรื่นเริง เพราะความสำเร็จในการงาน แม้บริษัทค้าขายของคนพวกอื่น ที่ซุดโซมจวนจะล้มอยู่แล้ว นายกระจ่างก็เคยได้เข้ารับมีส่วนได้ส่วนเสีย จัดการจนกลับตั้งตัวได้หลายราย ดูเป็นคนมีโชคชนิดที่จะเข้าเกี่ยวข้องกับการอันใด การอันนั้นก็เป็นไปด้วยดีเสมอ คราวนี้นายกระจ่างจะมาเข้าตาจน ในเรื่องชีวิตของเมียที่รัก แต่ก็ไม่ค่อยเชื่อว่าโชคดีจะไม่มาช่วย ดูตามน้ำใจแพทย์ ดูนายกระจ่างโง่เต็มทน โชคอะไรจะมาแก้โรคชนิดนั้นได้ แต่ถึงกระนั้นนายกระจ่างเป็นคนใจดี มีนิสัยซึ่งคนทั้งหลายย่อมรักและนับถือ ถ้ายิ่งในเรื่องเสน่ห์หาระหว่างผัวเมียแล้ว ใคร ๆ ที่รู้จักก็เห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า กระจ่างกับวสันต์เป็นคู่น่าเอ็นดูที่สุด

ในการเจ็บหนักครั้งนี้ ถ้าคนไข้มีใจท้อแท้บ้างบางเวลา หมอก็ไม่เคยเห็น ถ้าวสันต์เคยนอนตาแข็งจ้องดูเพดานมุ้ง ตอนกลางคืนนึกถึงสิ่งน่ากลัวซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ใกล้จะมาถึงตัวเข้าทุกวัน ถ้าเคยน้ำตาไหลเพราะนึกถึงสิ่งนั้นในตอนกลางคืนไซร้ ครั้นเช้าขึ้นก็กลับข่มใจ มีหน้าตาแช่มชื่น อย่างที่คนเจ็บโดยมากไม่อาจแช่มชื่นได้ คนโดยมากเข้าใจกันว่า ธรรมดาหญิงใจคอย่อมอ่อนกว่าชาย วสันต์อาจเป็นคนใจอ่อนในเรื่องอื่น ๆ ก็ได้ แต่ในเรื่องความเจ็บ หรือความตายของตนนั้น อดทนและทำใจเฉยได้อย่างประหลาด หมอยี่เข่งเคยเห็นคนไข้ที่รู้ตัวว่าไม่รอดหนักกว่าหนักมาแล้ว มีหลายคนที่ไม่แสดงความกลัวตาย แต่ที่จะทำใจเย็นได้เช่นนี้ ถ้าจะมีบ้างก็น้อยนัก ที่วสันต์เป็นไปได้เช่นนี้ ก็ดูราวกับมีเครื่องพอใจอยู่เป็นความลับเฉพาะตน ดูเหมือนมีอะไรที่ทำให้ใจสบาย บางทีดูสีหน้าเหมือนมีความสุขอย่างลึกซึ้ง ซึ่งแม้ความเจ็บหนักก็ไม่ทำให้คลายลง ท่วงทีราวกับว่าความใกล้ตายนั้น กลับทำให้สบายใจหนักขึ้น หมอยี่เข่งเดินขึ้นบันไดนึกไปว่า การที่คนไข้ใจเย็นนั้น จะเป็นด้วยเหตุไดก็ตาม แต่ทำให้หมอบอกความจริงง่ายเข้า คนไข้ที่กลัวตาย ถ้าบอกว่าจะตาย ก็มักทำให้อาการหนักลง แต่คนไข้เช่นวสันต์นี้ ถึงจะบอกก็ไม่เป็นไร กลับดีแก่หมอที่ไม่ต้องปกปิด ไม่ต้องหลอกให้เสียความสัตย์เปล่า ๆ

เวลานั้นนายกระจ่างไม่อยู่บ้าน ไปทำงานตามเคย และไม่ทราบว่าจะมีแพทย์ใหญ่มาตรวจ ดูเขาไม่ค่อยจะบอกมากนักในเรื่องความเจ็บของเมีย และนายกระจ่างเองก็ไม่ค่อยกล้าซัก เพราะกลัวรู้ความจริง ซึ่งแก้ไขไม่ได้ หมอเองรู้ว่า เมื่อได้ความแน่นอนจากแพทย์ใหญ่ดังนี้แล้ว ก็จะต้องบอกนายกระจ่าง แต่วสันต์คงจะช่วยปลอบโยนได้บ้าง

ห้องคนเจ็บเวลานั้นเปิดหน้าต่างสว่างหมด เป็นห้องสดใสเพราะเครื่องแต่ง และเพราะขวดดอกไม้ขวดโต ๆ ซึ่งตั้งทั่ว ๆ ไป หมอยี่เข่งกลับเข้าไปถึงในห้อง ก็เดินไปเปิดหน้าต่างทางที่แดดส่อง และชักม่านหน้าต่างอีกทางหนึ่ง ทำให้แสงสลัวลงไป ราวกับหมอไม่กล้าดูตาคนไข้ ในเวลาที่จะบอกความจริงในเรื่องไข้ อันที่จริงหมอไม่ต้องการความสว่างแจ๋แหว ในห้องซึ่งมากไปด้วยเครื่องเรือนราคา แพง และแต่งด้วยเครื่องตัดและเครื่องตั้งล้วนแต่มีค่าทั้งนั้น ความสลัวทำให้หมอรู้สึกเป็นกันเองกับคนไข้มากขึ้น และบัดนี้ถึงเวลาที่จะพูดเอาใจ พร้อมกับที่บอกความจริงด้วย หมอยี่เข่งนึกว่าไม่ช้าก็จะหมดธุระ ที่จะมาในห้องนี้อีกแล้ว

เสียงคนไข้ถามเบา ๆ ว่า “ยังไงละหมอ”

เสียงนั้นเบาแต่เป็นเสียงเดียวในห้องเงียบ หมอยี่เข่งรู้ตัวว่าคนเจ็บได้นอนลืมตาดูเวลาที่หมอยี่เข่งเที่ยวปิดหน้าต่าง และชักม่าน และคอยจะถามอยู่แล้ว แต่หากอดใจไม่ถามในเวลาที่หมอเที่ยวย่องอยู่รอบ ๆ ห้อง หมอยี่เข่งเดินไปนั่งที่ริมเตียง ตั้งใจจะไม่หมื่นความกลัวของคนไข้ ด้วยอาการบอกเลี่ยง ๆ แต่ยังอึดอัดอยู่ในใจในเรื่องถ้อยคำที่จะพูด ก็พอวสันต์เอามือเดียววางบนมือหมอแล้ว ถามตรง ๆ ว่า “ยังไงหมอ ฉันจะอยู่ไปได้อีกกี่มากน้อย”

หมอ “ราว ๆ ๒ เดือน”

วสันต์นิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วว่า “ขอบใจยี่เข่ง”

วสันต์ไม่เคยเรียกหมอยี่เข่งว่า “ยี่เข่ง” ลุ่น ๆ เลย การที่แสดงความสนิทออกมาครั้งแรกในเวลาเช่นนั้น ทำให้หมอยี่เข่งยินดีจนใจเต้น เพราะไม่เคยนึกว่าวสันต์เห็นหมอยี่เข่งเป็นอะไรนอกจากหุ่นสำหรับรักษาไข้ เสียงที่เรียกออกมาอย่างคนสนิทชิดชอบนั้นฟังชื่นใจ และเรียกอย่างเน้น ไม่ใช่เป็นคำที่หลุดออกมาอย่างผ่าน ๆ และเสียงเน้นนั้น ดูเหมือนก้องวังเวงอยู่ในห้อง หมอยี่เข่งนึกถูกว่า การที่ วสันต์เรียกอย่างคนสนิทชิดชอบเช่นนั้น เป็นการที่ต้องลงทุน และได้คอยมานานแล้ว ที่จะใช้สำเนียงพูดเช่นนี้ สิ่งที่หมอยี่เข่งเคยไม่เข้าใจเสมอ กับไม่เห็นของที่อยู่หลังประตูปิคนั้น เมื่อได้ยินเท่านี้ ก็เสมอกับประตูเปิดให้เห็นได้

วสันต์ “ยี่เข่งกับฉันรู้จักกันมานานกี่มากน้อย”

หมอ “ราว ๒ ปี”

วสันต์ “และได้อุส่าห์รักษาฉันมาตลอดเวลา ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยจนนิดเดียว”

หมอสั่นหัวช้า ๆ “แต่ในที่สุดก็แพ้สู้ไม่ไหว”

วสันต์ “ไม่เป็นไร ได้ทำอย่างดีที่สุด อย่างประเสริฐที่สุด อย่างน่าสรรเสริญที่สุด ฉันอยากเรียกคุณว่า ยี่เข่ง ถ้าคุณไม่รังเกียจ ฉันชื่อไร ฉันชื่อวสันต์ลอย ๆ ถ้าคุณชอบเรียกอย่างนั้น คนจะตายอยู่แล้ว จะมามัวตั้งปึ่งกันอยู่ก็ดูโง่ คิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร ก็ไม่ควรจะปกปิดกันแล้ว ความลับในใจมีอย่างไร ก็ควรเปิดเผยให้ต่างคนต่างรู้กันเสียที”

หมอยี่เข่งถือมือวสันต์ไว้ รู้สึกว่าความในใจ ซึ่งแม้แต่ตนเองก็เพียรจะเปิดนั้น วสันต์รู้แล้ว และวสันต์เกือบจะบอกออกมาว่า “ ไม่เป็นไรดอก มาถึงเพียงนี้แล้ว อะไร ๆ ก็ไม่เป็นไรทั้งนั้น” หมอยี่เข่งประหลาดใจตัวเอง ที่กลับมีรู้สึกอย่างแช่มชื่น แทนที่รู้สึกเศร้า เปรียบเสมือนคนที่เคยถูกมัดมือมัดเท้า แต่บัดนี้บาศบ่วงหลุดไปหมด ความในใจที่ขยายออกไปได้นั้น ก็สิ้นเป็นความลับ ตัวก็นั่งตรงขึ้น และหายใจคล่องเหมือนคนที่หลุดจากความผูกมัดตรึงตรา เลือดก็แล่นขึ้นหน้า ซึ่งเมื่อกี้นี้เองยังซีด ทำให้ผิวพรรณสดชื่นสะสวยขึ้น วสันต์แลดูหน้าหมอแล้วยิ้ม เกือบจะเหมือนมีความแช่มชื่นในใจ และดูราวกับล้อ

วสันต์ “ดีใจไหมยี่เข่ง”

ยี่เข่ง “ดีใจอย่างไร”

วสันต์ “ดีใจว่าไม่ต้องกังวลอีก ว่ารู้แล้ว”

ยี่เข่ง “พูดยาก”

วสันต์ “และรู้ว่า เมื่อถึงตอนนี้แล้ว อะไร ๆ ก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญอยู่แต่ความจริงเท่านั้น”

หมอยี่เข่งนั่งจ้องวสันต์อย่างหมอดูคนไข้ วสันต์นอนแบบอยู่ในกองหมอน ซึ่งยุบลงไปลึก เหนื่อยเพราะถูกตรวจเลือด และความเหนื่อยทำให้เงาดูเด่นขึ้นมาบนแก้ม และเส้นตามปากก็ดูเด่นขึ้น ความสวยเวลานั้นไม่มีเลย และหมอยี่เข่งไม่เคยเห็นวสันต์เมื่อยังสวย เพราะเมื่อเข้ารับรักษานั้น โรคได้ทำให้สิ้นความสวย และความงามอันเคยเลื่องลือเสียแล้ว หมอยี่เข่งเคยนึกว่า ความร้ายกาจของโรคที่ตัดความงามของสาวสวยเสียนั้น เป็นความร้ายกาจอย่างยิ่ง นายกระจ่างผู้สามีได้เคยพูดถึงความงามของวสันต์ด้วยน้ำตาคลอหน่วยว่า “ฉันเต็มทนเทียวหมอ ทนแทบไม่ไหว หมอไม่เห็นใจฉัน เพราะไม่เคยเห็นวสันต์ก่อนเจ็บเลย”

หมอยี่เข่งดีใจที่ไม่เคยเห็นวสันต์เวลาสวย ยินดีในความรักของตนที่มิได้เป็นด้วยมีความงามมาล่อ แม้จะรักอยู่นิ่งๆ และอึดอัดเหมือนอัดเสน่หาไว้ในขวด ก็เป็นความรักอันสะอาด เพราะมิได้ถูกยั่วด้วยความงามเลย ชายเป็นอันมากเคยรักวสันต์คนสวย แต่หมอยี่เข่งเองรักวสันต์คนเจ็บ คนหน้าเหี่ยว คนโรคกัดกิน เป็นความรักอันมิได้มีความหลงรูปโฉมเป็นเหตุ มีสมุฏฐานอันสะอาดกว่ากัน วันแรกที่วสันต์ไปให้รักษานั้น หมอยี่เข่งยังจำได้ เวลานั้นวสันต์ยังไม่เจ็บมากถึงต้องประจำอยู่ในที่นอน ไปให้หมอตรวจจนถึงสำนักงานของหมอ เมื่อวสันต์เข้าไปให้ตรวจ หมอยี่เข่งแลดู ก็แลดูเพื่อจะมองหาโรค ไม่สังเกตรูปโฉม คนไข้ก็คือมนุษย์มีโรคในตัว หรือไม่มีแต่นึกว่ามี หมอยี่เข่งไม่ใส่ใจกับมนุษย์ทั้งหลายนอกจากที่มีโรค ได้ตั้งตัวเป็นนักรบและศัตรูที่รบก็คือโรคสิ่งอื่น ๆ ไม่เอื้อ และไม่เคยรักใครเลย

วันแรกนั้น หมอยี่เข่งได้จับมือวสันต์ตรวจ เห็นเป็นมือแห้งและเที่ยว ซึ่งเป็นอาการของโรค ต่อนั้นก็ตรวจมองหาโน่นหานี่ อันเป็นความบกพร่องในกาย ซึ่งจะส่อให้รู้โรค เหมือนตำรวจลับตรวจหาหลักฐานพยานความอาญา เมื่อตรวจแล้ว ก็บอกคนไข้ว่าเป็นโรคร้ายนัก เป็นครั้งแรกที่ดูหน้าคนไข้อย่างคนดูคน ไม่ใช่หมอดูไข้ หมอยี่เข่งอาจนึกในใจว่า คนไข้คงจะหน้าสลดไปทันที อาจร้องไห้เอาก็ได้ แต่เปล่าวสันต์กลับยิ้มด้วยซ้ำ

“เป็นอะไรก็เป็น หมอรักษาไปตามเรื่องก็แล้วกัน ไม่ต้องเป็นห่วงฉันดอก”

ในเวลานั้นหมอยังไม่ได้นึกเป็นห่วงเลย คนไข้ที่ไปให้รักษามีมากด้วยกัน ถ้าหมอมวเป็นห่วงคนไข้ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรส่วนตัว ไม่ช้าหมอเอง ก็จะต้องกลายเป็นคนไข้ของหมออื่น แต่เมื่อหมอยี่เข่งเห็นคนไข้ยิ้ม เมื่อบอกว่าไข้จะไม่รอด ยิ้มเพราะบังคับใจไว้อยู่ เพราะรู้ว่าคู่ของความสาวก็คือความแก่ คู่ของความไม่เจ็บก็คือความเจ็บ คู่ของความเกิดก็คือความตาย แต่ถ้าเพียงแต่รู้เช่นนี้ยังยิ้มไม่ได้ ใจต้องดีด้วย หมอยี่เข่งนึกชมคนไข้ใหม่ของตนอย่างที่ไม่เคยนึกชมใคร ตั้งแต่บัดนั้นมาก็ตั้งใจจะช่วยต่อสู้โรคอย่างที่ไม่เคยต่อสู้ เพื่อความชนะที่ให้ชื่อเสียงแก่หมอเอง และได้แข็งข้อสู้มาจนบัดนี้

แต่ก็ไม่สำเร็จ โรคไม่ให้โอกาสให้ผู้เสียเลย หากจะประทังไว้ได้ชั่วครั้งชั่วคราว ก็เป็นแต่ประทังเท่านั้น ถ้าวสันต์อายุมากกว่านี้ก็อย่างหนึ่ง แต่นี่ยังสาว และโรคชนิดนี้ถนัดกินความสาว ไม่สมัครกินความแก่

มาบัดนี้ชีวิตของคนไข้เหลืออีกไม่กี่ ๗ วัน ๒ เดือนเป็นอย่างช้า เสียงคนไข้เรียกหมอให้คืนมาจากความนึก “ยี่เข่ง ยี่เข่งรักฉันไม่ใช่หรือ”

หมอยี่เข่งพยักหน้าว่า “รัก”

วสันต์ขอบอกมาตรง ๆ ก็ได้ มาถึงเพียงนี้แล้วไม่เป็นไร ถ้ารักก็ไปซ่อนไว้ในใจทำไม อันตรายอะไรก็ไม่มีแล้ว มารยาทแพทย์หรือมารยาทคนสุภาพก็ต้องยอมหลีกทางให้ความตายทั้งนั้น ฉันอยากได้ยินยี่เข่งบอกว่า “รัก”

ยี่เข่ง “ฉันรักจริง ๆ”

วสันต์หลับตาไปครู่หนึ่ง แล้วลืมขึ้นว่า “ใน ๒ ปีนี้ ฉันสบายใจนัก ถึงแม้เจ็บกายก็สบายใจ”

หมอยี่เข่งยังไม่เข้าใจสนิท แต่รู้ว่าวสันต์กำลังจะบอกว่าสิ่งไรแน่ที่ให้กำลังใจเป็นอย่างแปลก จนถึงไข้หนักจนร่อแร่อยู่แล้วยังไม่เศร้า เสียงวสันต์พูดยาวเข้าก็ค่อยลง หมอยี่เข่งต้องก้มลงนั่งใกล้ ๆ

“แต่ก่อนนั้น มีคนรักฉันเสมอ ๆ คนโน้นก็รัก คนนี้ก็รัก และฉันก็ชอบใจที่มีคนรักมาก แต่บางทีฉันก็คิดในใจตัวเองว่า ที่คนรักฉันก็เพราะสวย และมีความสบายใจ จึงทำให้คนอื่นสบายใจ ไม่มีใครรู้จักฉันจริง ๆ ไม่มีใครรู้ในน้ำใจของฉัน และดูเหมือนไม่มีใครอยากจะรู้จักตัวจริงของฉัน รู้จักแต่ที่เห็นภายนอก ฉันก็เคยนึกถึงว่า ถ้าความตายเข้ามาใกล้จะมีอะไรเหลือบ้าง ฉันไม่เคยนึกเลยว่า เมื่อฉันสิ้นความสวยแล้ว และไม่มีอะไรจะตอบแทนความรักแล้ว จะมีผู้รักฉัน รักโดยใจจริง ไม่ใช่รักเพราะหลงความสวย หรือหวังจะได้ทดแทนจากฉันในทางรัก รักชนิดนี้ ฉันเห็นวิเศษ เป็นของน่าปลื้มใจนัก คนเราอาจอยู่ไปจนแก่ แต่อายุยืนอยู่เฉย ๆ นั้นไม่มีวิเศษอะไร ถ้าฉันเป็นคนไม่มีโรค และอยู่ไปจนแก่ แม้จะมีคนรักเรื่อยไป ก็น่าจะไม่ได้พบของจริงเช่นเดี๋ยวนี้”

หมอยี่เข่งเกิดความรู้สึกกระสับกระส่ายในใจ และไม่อดสูเลยที่รู้สึกเช่นนั้นกับคนไข้ แต่ถึงกระนั้นความเป็นแพทย์ทำให้อยากรู้เหตุ เสมอกับอยากรู้สมุฏฐานของโรค เมื่อยังไม่รู้ ก็สงบใจยังไม่ได้ จึงถามว่า “ก็กระจ่างล่ะ วสันต์ไม่รักหรือ”

วสันต์ “รักซี ใครจะอดรักกระจ่างได้ เป็นคนใจดีที่สุด ซื่อสัตย์ที่สุด เอาใจเมียของตัวดีที่สุด แต่น่าเศร้าเหลือเกิน เดี๋ยวนี้กระจ่างบูชาความรักที่เคยรัก ความรักที่อยู่ในความจำ ไม่ใช่ความจริง”

ยี่เข่ง “ความจำอย่างไร ฉันยังไม่เข้าใจ”

วสันต์ “จำหญิงที่กระจ่างเคยรักสุดสวาดิ์ ฉันเคยเป็นหญิงคนนั้น แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นเสียแล้ว ฉันยังจำตัวฉันเอง ซึ่งเคยเป็นที่รักสุดสวาดิ์ของกระจ่างได้ เป็นหญิงน่ารักซึ่งคนทั้งหลายรัก และกระจ่างรักยิ่งกว่าใคร ๆ กระจ่างกับฉันเป็นคู่น่าเอ็นดูที่สุด แต่เดี๋ยวนี้หญิงสุดสวาดิ์ของกระจ่างนั้นตายเสียแล้ว เปลี่ยนเป็นคนนอนเจ็บอยู่นี่แหละ”

ยี่เข่ง “ฉันนึกว่าวสันต์เข้าใจผิด ความเจ็บของวสันต์นี้ทำให้หัวอกกระจ่างจะแตกอยู่แล้ว”

วสันต์ “เกือบแตกเป็นได้ แต่ไม่ถึงแตก”

วสันต์ขยับตัวหันหน้าไปทางหน้าต่าง ตาลืมแลดูม่าน เหมือนนึกอะไร หมอยี่เข่งนึกว่า ดูราวกับวสันต์จะเห็นอะไรที่หมอยี่เข่งเองไม่เห็น

วสันต์ “กระจ่างเป็นคนแข็งแรงไม่มีโรคเลย แม้แต่จะถึงความตายก็ไม่อยากนึก”

ยี่เข่ง “ข้อนั้นจริง แม้เดี๋ยวนี้ก็ไม่ยอมเชื่อว่า วสันต์ไม่ค่อยยังชั่วขึ้น แม้โรคอย่างนี้แล้ว ก็ยังนึกถึงหายอยู่เสมอ ๆ”

วสันต์ยิ้มเศร้า ๆ แล้วว่า “น่าสงสาร กระจ่างไม่เข้าใจ และตกใจ อยากจะให้ฉันคนเก่ากลับฟื้นมาอีก แต่ถ้าไม่ฟื้น....”

ยี่เข่ง “ก็ถ้าไม่ฟื้นจะเป็นอย่างไร”

วสันต์ “ถ้าไม่ฟื้นกระจ่างก็จำต้องหันไปหวังทางอื่น”

ยี่เข่ง “อย่าเลย อย่าพูดอย่างนั้น....”

วสันต์ “แต่ฉันดีใจ ดีใจมาก นี่แน่ะยี่เข่ง ฉันคนใหม่นี้ ฉันคนที่จะตายนี้ จะอยู่ไปในฐานะดังแต่ก่อนก็ไม่ได้ ขืนอยู่ก็ทนไม่ได้ และบัดนี้ฉันมีอิสระแล้ว จะปล่อยใจไปทางไหนก็ได้ จึงสบายใจ”

คนทั้ง ๒ นิ่งเพ่งดูกัน ดูเหมือนความนิ่งนั้นช่วยแหวกม่านซึ่งเคยกันมิให้หัวใจต่อหัวใจจ่อถึงกัน ดูเหมือนอยู่ด้วยกันสองต่อสองใจจ่อใจ ความรักชิดความรักเป็นครั้งแรก ตั้งแต่รู้จักกันมา และนั่งอยู่เช่นนั้นนานเท่าไรก็ไม่รู้สึก จนได้ยินเสียงรถยนต์ขับเข้าไปในบ้าน

วสันต์ “เรามีเวลาอีก ๒ เดือน

ยี่เข่ง “๒ เดือน”

วสันต์ “๒ เดือนในชีวิตเรา ๒ คน ของเราเองแท้ ๆ”

ยี่เข่งถือมือวสันต์ไว้ ดูเหมือนมีอะไรมาฟาดฟัน ทำให้หัวใจซึ่งซ่อนมานานนั้น หลุดพ้นออกนอกบังคับ มันทำให้ปลาบเหมือนความเจ็บ แต่กลับชื่นบานในใจ เหมือนยอมอะไรที่ยอมยาก แต่เมื่อยอมแล้ว ก็ได้ความสุข ยี่เข่งยกมือวสันต์ขึ้นจูบแล้ว ก็ออกจากห้องไป

นายกระจ่างสามีวสันต์ลงจากรถถือกุหลาบช่อใหญ่เข้าประตูเรือนไปพบหมอยี่เข่ง พอได้รับข่าวว่า แพทย์ใหญ่ประมาณว่า วสันต์จะมีชีวิตไปได้อีกเพียง ๒ เดือน ก็รู้สึกเหมือนว่าใครชกถูกตรงหัวใจ ทำให้มึนแทบจะล้ม ช่อกุหลาบที่ถือเข้ามาด้วย สำหรับจะเอาไปปักขวดในห้องคนเจ็บนั้น ได้วางลงที่โต๊ะเพื่อจะจับมือกับหมอ เมื่อกี้มันเป็นต้นไม้สดชื่นบาน ประเดี๋ยวเดียวดูสีสรรมันเศร้าเหมือนแกล้งเปลี่ยนอาการเพื่อจะล้อ เมื่อกี้นี้เอง กระจ่างยิ้มถามว่า “ฮัลโหล หมอ วันนี้อย่างไรบ้าง อาการดีขึ้นไม่ใช่หรือ ประเดี๋ยวเดียวแลดูกระจกเงาเห็นหน้ายิ้มกลายเป็นหน้าดำ เหมือนหมอกมาคลุม จ้องดูเขาตัวเองในกระจกเหมือนไม่เห็นและไม่เข้าใจอะไรเลย กระจ่างเป็นคนรูปร่างขึงขัง แม้หน้าจะโศกและผิวจะเศร้า เงาในกระจกก็ยังเป็นเงาคนท่าทางมีสง่า ผิวขาวตาใสอกผายไหล่ผึ่ง ดูเป็นคนแข็งแรง ไม่มีภัยในกายเข้าใกล้ชิดได้เลย จะนึกถึงตัวเกี่ยวข้องกับความตาย ก็นึกไม่ออก แต่ไฉนชีวิตมนุษย์ ซึ่งเป็นของแน่นแฟ้น จะสลายไปได้ แต่บัดนี้ใน ๒ เดือน วสันต์เมียที่รักหญิงสุดสวาดิ์ เพื่อนประเสริฐสตรีงามเลิศ เครื่องชื่นใจในชีวิตของกระจ่าง จะจากไปจะพ้นจะเอื้อมตามถึง ชีวิตและโลกจะว่างไปหมด

กระจ่างขยับเหมือนจะวิ่งขึ้นบรรได้ไปอุ้มวสันต์ขึ้นกอดไว้ ดังที่แต่ก่อนเคยอุ้ม เมื่อพรากกันไปสองสามวัน แต่ก็นึกได้ในทันทีว่าทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะวสันต์เป็นคนไข้หนัก จะทำอะไรเรี่ยวแรงผลุนผลันเช่นนั้น ก็จะขาดใจเอาง่าย ๆ หรืออย่างน้อยก็จะทำให้โรคซุดลงอีก แม้จะไปซบหัวร้องไห้บนบ่าวสันต์ให้สะใจก็ไม่ได้ ต้องสะกดใจให้ดี และต้องกล้าอย่างวสันต์กล้า กระจ่างยืนจ้องดูตัวเองในกระจกอยู่ตั้ง ๑๐ นาที พยายามจะตกลงในใจว่าจะทำอย่างไร จะวางตัวอย่างไร จะแสดงอาการอย่างไร จะหักห้ามอย่างไร จึงจะสมควรตามเหตุการณ์ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ และเหลือที่จะทนทานได้ บุคคลควรจะพูดว่ากระไรกับผู้ที่ถูกตัดสินให้ตายใหม่ ๆ และผู้นั้นเป็นคนที่รักดังหัวใจด้วย การที่อยู่ไปด้วยกัน จะกินจะนอน จะพูด จะทำอย่างไร เมื่อม่านกำลังรูดมาบังอนาคตให้สูญไปก็นึกไม่เห็น เวลาเพียงอีก ๒ เดือน ใน ๒ ปีที่แล้วมา ก็เต็มทนอยู่แล้ว อีก ๒ เดือนข้างหน้านี้จะทนอย่างไรได้ ก่อนนี้กระจ่างเคยหลอกตัวเองว่าไม่เป็นไรดอก จนถึงกะการล่วงหน้าว่า เมื่อวสันต์ขยายขึ้นแล้วจะสมโภชอย่างไรบ้าง การหลอกตัวเองนั้น ก็เหมือนเคี้ยวหัวใจของตัวเอง แต่ยังดีกว่านี้

ต่อไปนี้จะมีอะไรเลือกได้บ้าง ไม่มีเลย มีแต่จะต้องยอมแพ้ แล้วนั่งคอยเวลาไปเท่านั้นเอง

อีก ๒ เดือน อีก ๒ เดือน ถ้าเดี๋ยวนี้เสียทีเดียวจะดีกว่า ตายเดี๋ยวนี้และตาย ๒ คนพร้อมกันเสียทีเดียว

กระจ่างขยับออกเดินกระสับกระส่ายไปมาอยู่ในห้อง ทุกข์ในใจเวลานั้นดูเหมือนกับเจ็บจนถึงร่างกาย จะหยุดยืนอยู่กับที่ก็ไม่ได้ จะนั่งก็นั่งไม่ลง จะขึ้นไปหาวสันต์ก็ยังไปไม่ได้ ต้องอีกประเดี๋ยว แล้ววสันต์คงจะเข้าใจ ไม่โกรธว่าไมรีบขึ้นไปทันทีในขณะที่ใจคอยังเป็นเช่นนี้ กระจ่างเดินไปมาอยู่ในห้องอย่างมึน ๆ ประเดี๋ยวหนึ่งก็เดินไปเปิดประตู เผื่ออากาศสดจะช่วยได้บ้าง ครั้นเปิดประตูออกแล้ว ก็เดินลงไปในสวน ซึ่งกระจ่างได้ทำอย่างประณีต ทำด้วยเวลาด้วยเงิน และด้วยใส่ใจดูแล เพื่อเป็นกำนัลแก่วสันต์ผู้รักดอกไม้ สวนนั้นทำสำเร็จจนเป็นที่พิศวงของเพื่อนบ้าน หรือญาติมิตรที่ได้ไปเห็น แต่เหตุไฉนความไม่สำเร็จ จะมีในการรักษาไข้ของเจ้าของสวนเล่า

ฟากสวนที่ห่างจากเรือนมีประตูเล็กเปิดออกไปหาถนน ไม่ใช่ประตูใหญ่สำหรับรถหรือสำหรับแขก เป็นประตูสำหรับเจ้าของบ้านเดินเข้าออกเอง และสำหรับเพื่อนบ้านที่รู้จักกันสนิท กระจ่างลงไปจากเรือนพอถึงขอบสนามในสวน ก็พอประตูเล็กนั้นเปิด มีหญิงคนหนึ่งเดินเข้าประตูมา กระจ่างเห็นเข้าก็ดีใจ เหมือนเรือเดินทะเลหางเสือหักถูกคลื่นซัดไปจนแลเห็นฝั่ง หญิงนั้นคือ ศุภา สภาภรณ์ เพื่อนที่รักของวสันต์ ซึ่งเคยเป็นเพื่อนของกระจ่างด้วย ศุภาเป็นคนมีไมตรีอันลึกลงไปในใจ เป็นผู้เข้าใจทุกข์และสุขของเพื่อน เป็นคนช่วยเห็นอกเมื่อทุกข์ และช่วยปลื้มเปรมเมื่อสุข เป็นผู้มีความเห็นซึ่งไว้ใจได้ และเป็นคนไม่ “หัวเสีย” ง่าย เพราะฉนั้น เมื่อกระจ่างเห็นศุภาเดินเข้าประตูมา ก็รีบตรงไปรับรอง เหมือนหนึ่งจะทนความสิ้นหวังไปอีกประเดี๋ยวเดียว ก็ไม่ไหวแล้ว

กระจ่างนึกแต่ไม่รู้ตัวว่านึก ว่าศุภาทราบข่าวแล้ว เพราะรีบเดินและรีบเปิดประตูเข้ามา หน้าไม่มียิ้มแย้ม และดูท่าทางเป็นการเป็นงานตามเคย ศุภา สภาภรณ์เป็นนางสาว แต่ไม่สาวเหมือนแต่ก่อน แก่กว่าวสันต์สักปีหนึ่ง มีท่าทางเป็นผู้ใหญ่ แต่เป็นคนแข็งแรงไม่มีโรคภัย มีใจแข็งคลุกเคล้าอยู่กับใจดี จึงเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้ทั้งในคราวสุขและคราวทุกข์

ศุภา “เห็นรถมา ๒ คัน ฉันก็เดาว่า หมอยี่เข่งคงเรียกหมออื่นมาปรึกษา จะคอยฟังข่าวก็คอยไม่ไหว ต้องรีบมา”

กระจ่าง “ทำอะไรไม่ไหวอีกแล้ว ยังจะอยู่ไปได้อีกสัก ๒ เดือนเท่านั้นเอง”

สองคนพูดกันดังนั้นแล้ว ก็เดินช้า ๆ ไปด้วยกันจะขึ้นเรือน เวลาเย็นน่าร้อน กระจ่างมักจะเที่ยวเดินกับศุภาบ่อย ๆ ในสวนนี้ ช่วยกันเก็บดอกไม้ให้วสันต์ เมื่อเก็บได้พอแล้ว ก็นำขึ้นไปให้พร้อมกัน การที่ได้เดินพูดกับศุภาชั่วครู่หนึ่ง ฉนี้ เป็นการช่วยให้กระจ่างได้ว่างใจชั่วขณะ ก่อนที่จะขึ้นไปบนห้องคนไข้ ไปนั่งอยู่หลาย ๆ ชั่วโมง นั่งประชันหน้ากับความตาย ซึ่งกระจ่างหลอกตัวเองว่าไม่เห็น ในใจกระจ่างนึกว่า ถ้าวสันต์เป็นวสันต์ไปตามเดิม ก็จะเป็นความสุขหาที่สุดมิได้ แต่บัดนี้วสันต์เปลี่ยนไปเสียแล้ว ถ้าจะดูรูปหน้าก็ผิดกับแต่ก่อน จนแทบจำไม่ได้ แต่ยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนวสันต์ลอยห่างพ้นออกไป จนแทบจะไม่ได้ยินเสียงกันเสียแล้ว กระจ่างถูกทรมานเพราะความรัก และความสงสารยิ่ง ๆ ขึ้นทุกที แต่ก็ยิ่งรู้สึกเป็นคนอื่นมากขึ้น ๆ ความสนิทสนมอย่างสามีภรรยานั้นลดน้อยลงไปทุกที จนถึงกับว่า เมื่ออยู่ในห้องวสันต์พร้อมกับศุภา ถ้าศุภาออกจากห้องไป ก็รู้สึกเปล่าเปลี่ยว

ส่วนในเย็นวันนั้น เมื่อเดินไปด้วยกันจะขึ้นเรือน กระจ่างก็ว่า “ฉันนึกว่า ฉันรู้มานานแล้วว่า ในที่สุดจะเป็นอย่างนี้”

ศุภา “กระจ่างแสดงความกล้ามากที่ไม่กระวนกระวายให้ทวีความเศร้าของคนเจ็บ”

กระจ่าง “ไม่ใช่กล้า ขี้ขลาด ฉันไม่กล้าบอกตัวเองว่า ความจริงคงจะเป็นอย่างไร ถึงรู้ก็หลอกตัวเองว่าไม่รู้ ดูมันไม่น่าเชื่อเลย เมื่อ ๒ ปีนี้เอง วสันต์ยังสดชื่น เต็มไปด้วยชีวิต ศุภาเห็นจะรู้กระมังว่า ฉันเคยคิดว่า ฉันกับวสันต์เป็นคู่ผัวตัวเมียที่มีความสุขที่สุดในโลก”

ศุภา “ฉันรู้ว่ากระจ่างทำให้วสันต์ได้ความสุขที่สุด”

กระจ่าง “ขอบใจศุภาที่ว่าอย่างนั้น ทำให้ฉันค่อยสบายใจขึ้น ศุภาเป็นมิตรอย่างเอกของเรา ศุภารู้จักและรักวสันต์มาตั้งแต่เด็กด้วยกันจนเป็นใหญ่ ไม่มีขุ่นข้องหมองใจกันเลย ถ้าเป็นคนอื่น อาจจะมีริษยาหรือไม่ถูกใจ กระโน้นกระนี้กันบ้างก็เป็นได้ แต่นี่เป็นมิตรจริง ๆ กันมาตลอด เพราะฉนั้น เมื่อศุภาเห็นว่าฉันเป็นคนดีพอแก่วสันต์ จึงทำให้ฉันสบายใจนัก แต่นั่นแหละศุภาก็เป็นเพื่อนของฉันด้วย”

ศุภา “ฉันรักวสันต์มาแต่ไหน ๆ และเมื่อฉันเห็นกระจ่างรักและบำรุงใจวสันต์จริง ๆ ฉันก็อยากเป็นเพื่อนของกระจ่างด้วย”

กระจ่างดีใจจนหน้าแดง แล้วว่า “ไม่ทราบเลย ฉันเองไม่แน่ใจดีดังที่ศุภาว่า หมู่นี้รู้สึกตัวว่า แม้อยู่ในเรือนเดียวกันเช่นนี้ ก็ห่างเหินออกไปกับวสันต์ อาจเป็นเพราะความเศร้าใจ ทำให้ฉันโง่ไปก็เป็นได้ ฉันรู้สึกเหมือนว่า ในตอนหลัง ๆ นี้ ฉันบกพร่องในหน้าที่ซึ่งควรปฏิบัติต่อภรรยา รู้สึกว่า ไม่ทำให้ถูกใจคนเจ็บได้เหมือนแต่ก่อน”

ศุภา “นั่นเป็นด้วยโรคของวสันต์ดอก ไม่ใช่ความบกพร่องอะไรของกระจ่าง โรคของวสันต์เป็นโรคตายช้าๆ คนตายมักจะถอนตัวจากคนอื่นไปอยู่เฉพาะตัวเองเสมอ ๆ เราผู้เป็นคนไม่เจ็บเอื้อมมือไมตรีของเราไปหา แต่ก็เอื้อมไม่ค่อยถึง การที่เป็นไปอย่างกระจ่างว่านี้ ไม่ใช่ความผิดของกระจ่าง เป็นความผิดของโลก และวสันต์เข้าใจดีกว่าใคร ๆ ทั้งนั้น”

กระจ่างได้นั่งศุภาพูดดังนั้นก็นิ่ง ที่ไม่ตอบว่ากระไร ก็เพราะไม่เชื่อว่า จะบังคับเสียงของตนได้ คำที่ศุภาพูดนั้นทำให้กระจ่างค่อยสบายใจ แต่กระจ่างรู้ว่า ศุภาเองก็ต้องการให้ใครพูดให้พอคลายเศร้าเข้าบ้างเหมือนกัน เวลานั้นเดินเคียงกันมา ทั้ง ๒ คน ตาดูไปข้างหน้า ครั้นกระจ่างเหลียวดูหน้าศุภา ก็เห็นซีดจนขาว ศุภารักวสันต์เป็นที่สุด วสันต์ก็รักศุภาเสมอกัน ไมตรีของ ๒ คนนั้น ดูเหมือนมีปลอกรัดไว้ไม่ให้แยกออกห่างกันได้ แม้กระจ่างเองก็อยู่นอกปลอกนั้น กระจ่างเป็นคนชอบของงาม และไมตรีของวสันต์กับศุภานั้นงามนัก การที่อยู่นอกปลอก จึงไม่เป็นเครื่องเดือดร้อนแก่กระจ่างเลย

แม้บัดนี้ เมื่อวสันต์เขยิบห่างออกไปทุกที เขยิบจากชีวิตคนไปหาความตาย ศุภาก็ยังเขยิบตามไปได้ ถึงจะเขยิบตามไปจนถึงหน้าผาแห่งมรณะจึงจะหยุด กระจ่างนึกเช่นนี้ ก็เกิดความรู้สึกซาบซ่าน ซึ่งจะเกิดเพราะเหตุใดก็อธิบายไม่ถูก เพราะไม่มีใจจะจับเอาเหตุมาต่อผลได้

กระจ่าง “สองปีที่แล้วมานี้ชอบกลนัก ฉันนึกถึงว่าชีวิตนี้มิใช่ความสุขทั้งหมด ถูกไหม ฉันไม่เคยรู้ว่าคนอย่างวสันต์จะกล้าต่อความเจ็บถึงเช่นนั้นเลย กล้าจนทนนิ่ง ๆ ได้ ไม่กระโวยกระวายเลย อีกอย่างหนึ่ง ฉันไม่เคยนึกว่า ใครจะมีเพื่อนอย่างเอกชนิดที่ศุภาเป็นเพื่อนของเรา”

ศุภา “อะไรกระจ่าง ฉันไม่ได้ทำอะไรแปลกประหลาดเลย ใคร ๆ ก็คงทำเหมือนกันทั้งนั้น”

กระจ่าง “ศุภาเป็นศุภา เท่านั้นก็พอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรอีก ศุภาคงจะไม่รู้ว่า เพียงเท่านั้นก็ดีวิเศษอยู่แล้ว ฉันเป็นคนโง่งุ่มง่าม ถ้าไม่มีศุภาคอยช่วยชี้โน่นบอกนี่ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ต่อไปนี้จะลำบากเหลือเกิน ศุภาอย่าทิ้งฉันนะ”

ศุภา “คืออย่างไร”

กระจ่าง “คือ...สนิทกันอย่างแต่ก่อน”

ศุภา “กระจ่างก็รู้แล้วว่า ฉันคงจะไม่ทิ้งเพื่อน”

กระจ่าง “นั่นแหละ ถูกหละ แต่ฉันหมายว่าเพื่อนของฉันเอง ไม่ใช่เพื่อน เพราะฉันเป็นผัวของวสันต์ ต่อไปนี้นอกจากศุภาฉันก็จะไม่มีใครอีก”

ศภา “แน่หละ นั้นเป็นเพื่อนของกระจ่างด้วย”

กระจ่าง “เป็นเสมอไปหรือ”

ศุภา “เป็นเสมอไป”

เมื่อพูดกันถึงเพียงนี้ก็เดินไปถึงหย่อมต้นกุหลาบ ถ้าเป็นวันอื่นทั้ง ๒ คน ก็คงจะหยุดเลือกดอกที่บานกำลังพอดี เก็บขึ้นไปใส่ขวดให้วสันต์ แต่วันนี้กุหลาบมาทำให้นึกถึงความตาย แทนที่เห็นเป็นของสดชื่น กระจ่างนึกรู้ว่า ศุภามีน้ำตาอาบหน้า ตัวกระจ่างเองรู้สึกในใจลึกลงไปว่า มีแสงสว่างเกิดขึ้นใหม่ดวงเล็กนิดเดียว แต่ดูเหมือนจะใหญ่ขึ้นเร็วและมีความอุ่น กระจ่างยังไม่อยากเห็นจนถึงกับต้องหลับตา ยังไม่อยากดูแสงสว่างดวงนั้น

ขณะนั่นมีบ่าวมาบอกว่า วสันต์ให้เชิญกระจ่างกับศุภาขึ้นไปข้างบน กระจ่างกับศุภาไม่ทันรู้ว่า บ่าวเดินเข้าไปใกล้ ครั้นได้ยินก็สดุ้งทั้ง ๒ คน ดูเหมือนใจลอยทั้งคู่ พอได้ยินบ่าวบอกก็รีบเดินไปขึ้นเรือน ศุภาสดุดเซไปแทบล้ม กระจ่างส่งแขนให้เกาะ มือศุภาลั่น และกระจ่างรู้ว่า ศุภาก็ได้เห็นแสงสว่างดวงเล็กนั้นเหมือนกัน ศุภาเกาะแขนกระจ่างอยู่ครู่เดียวก็ปล่อย แล้วเดินออกหน้าไปขึ้นเรือน กระจ่างก็ตามไป

วสันต์ได้ยินเสียงรถกระจ่างขับเข้าบ้าน อีกครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงรถหมอยี่เข่งขับออกไปก็รู้ว่า ๒ คนนั้นได้พูดกันแล้ว วสันต์รู้ใจกระจ่างว่า คงไม่รีบขึ้นเรือนชั้นบน คงจะงงอยู่พักหนึ่งและคงจะเดินออกไปยืนอยู่ในสวน เวลานั้นเป็นเวลาศุภาเคยมา กระจ่างคงจะบอกข่าวแก่ศุภาแล้วปรับทุกข์กัน วสันต์นึกดังนี้ก็ยิ้มเหี่ยว ๆ วสันต์รักคนทั้ง ๒ นั้นเป็นอย่างมาก แต่มาตอนนี้ดูเหมือนอยู่ห่างจนเอื้อมไม่ถึง วสันต์รู้สึกตนเหมือนคนจะออกเดินทางไปหาความรู้ในประเทศไกล และกระจ่างกับศุภาเป็นผู้ที่จะทิ้งไว้ข้างหลัง มาในตอนนี้วสันต์ไม่เห็นอะไรเป็นของจริง นอกจากข้อที่จะออกเดินทาง กับผู้ที่จะพาไปถึงต้นทางที่จะออกเดินด้วย แต่ถึงอย่างนั้นจะละเลยคน ที่จะทิ้งไปไว้ข้างหลังเสียทีเดียวก็ไม่ได้ จำต้องทำดีที่สุดกับคนทั้ง ๒ คน

วสันต์นึกดังนี้ จึงกดระฆังเรียกบ่าวให้ไปตามกระจ่างกับศุภาให้ขึ้นมาพร้อมกัน วสันต์นึกเกรงใจ ไม่อยากให้กระจ่างหรือศุภาเข้าไปหาทีละคน ดูเหมือนกลัวจะเข้าไปชักจูงใจให้กลับไปเป็นอย่างเก่า แต่วสันต์รู้ตัวว่า วสันต์ไม่ใช่พวกเดียวกับใครเลยแล้ว เป็นคนต่างหากจากคนอื่น ๆ มีความเป็นไปอย่างใหม่ เพราะเป็นคนจะตาย

วสันต์นึกอยากทราบว่า ตัวเองเป็นคนใจเหี้ยมโหดหรือไม่ ได้เพียรจะกลับนึกถึงตัวเองกับกระจ่าง ซึ่งเคยอยู่เป็นคู่กัน จำตัวเองได้ว่าเคยสวยนัก เคยมีกิริยาแช่มชื่นรื่นรมย์ และกระจ่างเป็นคนน่ารักอย่างดีที่สุด ไม่ใช่แต่สุรุ่ยสุร่าย เพื่อความสำราญใจเท่านั้น จะทำอะไรก็ทำอย่างน่ารัก และเป็นบ้าอย่างน่าเอ็นดูที่สุด เมื่อก่อนแต่งงานและเมื่อหลังแต่งงานแล้วก็ไม่ผิดอะไรกันเลย ทำเหมือนหนึ่งว่าวสันต์เป็นเจ้าหญิงอยู่เสมอ ดูเหมือนกระจ่างจะรู้หัวข้อสำคัญในเรื่องความรัก โดยที่ไม่ต้องคิดหรือฟังจากคนอื่น คือว่าความรักนั้น ถึงจะเหนียวแน่นประการใด ก็มีแปลกอยู่อย่างหนึ่งคืออาจทนพายุและไฟได้ แต่จะทนความชืดนั้นไม่ได้ กระจ่างเป็นผัว เป็นเพื่อน และเป็นคนรักพร้อมกันทั้ง ๓ อย่างความหนุ่มสาวประกอบชีวิตร่มรื่น ทำให้ได้ความสุขเป็นอย่างมาก วสันต์จำได้ว่าเคยเล่นและหัวเราะกันเหมือนเด็ก ๒ คน บัดนความตายซึ่งเข้ามาทันที ก็จะทำให้ผู้อยู่อกแตกนั้น มาลูบและจับวสันต์ลากไปค่อย ๆ ทีละน้อย ๆ จนแทบไม่รู้ตัว กระจ่างกับวสันต์แยกกันออกไปทีละนิด ๆ แต่มากเข้า ๆ ถ้าจะเปรียบก็เหมือนเป็นคนต่างชาติ พูดภาษาคนละภาษา เห็นได้ว่ากระจ่างเดือดร้อนในใจอย่างน่าสงสาร แต่จะแก้ไขอะไรก็ไม่ได้ ความเจ็บของคนหนึ่ง กับความแข็งแรงของอีกคนหนึ่งผิดกัน เหมือนกำแพงกั้นให้แยกออกจากกัน

บัดนี้มีชายแทรกเข้ามาใหม่คนหนึ่งในชีวิตอันเหลือน้อยของวสันต์ ชายที่คุ้นต่อความตายของมนุษย์ คุ้นเพราะเคยเห็นมามากจนไม่แปลก ชายนั้นแม้มีหน้าที่แก้ความเจ็บของผู้อื่น ไม่เจ็บเอง ก็รู้ว่าความเจ็บเป็นอย่างไร คุ้นกับความเจ็บมากกว่าความไม่เจ็บ ไม่คุ้นกับความหัวเราะรื่นเริงซึ่งมิได้อยู่ในอาชีพ ไม่ใส่ใจในความสวยงาม วสันต์เห็นได้ในเวลาที่จับขวดดอกกุหลาบเสือกไปเสียให้พ้น อย่างไม่ปรานีปราไสเลย ถ้ารู้ว่าดอกไม้สดเป็นของงาม ก็คงจะเสือกค่อยกว่านั้น และตาคงจะดูบ้าง ผู้ที่เป็นเช่นนี้คือหมอยี่เข่ง หมอยี่เข่งได้แทรกเข้ามาในชีวิตของวสันต์ แทรกในเมื่อโรคทำให้กายห่างจากครอบครัวและญาติมิตรที่เคยรักชอบ จากความงามและความหัวเราะรื่นเริง โรคทำให้ร่างกายเหี่ยวแห้ง หมดความสวย หมดความงาม นอนแอ้วแซ่วน่าพิศวาสน้อยกว่าหญิงขี้ริ้วที่สุดในแถบนั้น แต่ความกล้าต่อโรค ทนต่อการเจ็บป่วย ทำให้หมอยี่เข่งสรรเสริญ จนกลายเป็นรักไปได้ ความรักของผู้รักษาโรคนั้นเอื้อมตามไปเกาะหัวใจคนเจ็บได้อย่างที่กระจ่างผู้สามีหรือศุภาผู้เพื่อนสนิทก็เอื้อมไม่ถึง และความรักของผู้รักษานี้ เมื่อเอื้อมไปเกาะหัวใจคนเจ็บจนได้รับความรักตอบแล้ว ก็เป็นความ คุ้มครองป้องกันอย่างเดียวที่มีเหลือเป็นของน่าพิศวง และเหมือนว่า ความใกล้ตายเปิดฉากให้เห็นความจริงในชีวิตได้

ในเย็นวันนั้น เมื่อวสันต์ให้บ่าวลงไปบอกกระจ่างกับศุภาให้ขึ้นไปหา และทั้ง ๒ เปิดประตูห้องเข้าไป วสันต์ก็รู้สึกสะท้านไปชั่วอึดใจ ดูคนทั้ง ๒ นั้นแข็งแรงอยู่ห่างไกลกับความเจ็บป่วย ดูเหมือนมีห้วงน้ำใหญ่กันออกไปคนละส่วนกับชีวิตของคนเจ็บ วสันต์เห็นได้ว่า กระจ่างและศุภามีกระดากอยู่ในกิริยา แต่วสันต์นึกหมางอยู่ไม่กี่วินาที ก็เกิดสงสารว่า ๒ คนนั้นอยู่ในที่ยาก จึงยื่นมือไปหากระจ่าง กระจ่างจับมือวสันต์ยกขึ้น และทำรูปปากเหมือนจะพูดตามเคยว่า “วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ค่อยยังชั่วขึ้นอีกไหม” แต่พูดไม่ออก กลับซบหัวลงที่ไหล่วสันต์นิ่งกลั้นสอื้นอยู่ที่นั่นเอง

วสันต์แลดูศุภา เป็นหญิง ๒ คนซึ่งเข้าใจกัน เข้าใจกันจนถึงยิ้ม แต่ยิ่มเหี่ยว ๆ เพราะตาศุภากบด้วยน้ำตาเสียแล้ว วสันต์รู้ว่าศุภารักวสันต์เป็นที่สุด จึงยื่นมืออีกมือหนึ่งข้ามหัวกระจ่างไปให้ศุภา ศุภาก็จับมือถือไว้ ต่างคนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง

วสันต์ “อย่าเลย อย่าเป็นทุกข์ให้หนักไปเลยทั้ง ๒ คน จะทุกข์หนักไปก็ทำอะไรไม่ได้ดอก เกิดมาก็ต้องตายด้วยกันทุกคน ฉันเกิดมาได้มีความรักและรับความรักอย่างประเสริฐ คงจะไม่มีความรักที่ไหนประเสริฐไปกว่าได้ ฉันขอให้แก ๒ คนนี้ พอใจและเป็นสุข ฉันก็จะพอใจและเป็นสุขด้วย”

กระจ่างยืนขึ้นทันที “ทำไมวสันต์พูดอย่างนี้ จะพอใจอย่างไรได้ ทำอย่างไรจะมีความสุข ถ้าไม่มีวสันต์ ชีวิตของฉันจะเป็นอย่างไร”

วสันต์นึกเหนื่อย ๆ ในใจตัวเอง นึกอยากบอกว่า “นี่แน่ะกระจ่าง เวลาที่ฉันจะตายนี้ เป็นฉากท้ายในลครเรื่องเศร้า ซึ่งมีมานานแล้วในชีวิตของกระจ่าง กระจ่างจะเศร้าโศกแสนเข็ญก่อน แล้วจะค่อยยังชั่วขึ้นทุกที ในสองสามเดือน กระจ่างก็จะกลับเป็นกระจ่างคนเก่า คือคนที่กระจ่างไม่ได้เป็นมาตั้ง ๒ ปี คือ ๒ ปี ที่กระจ่างกับฉันต่างคนต่างเขยิบจากกันออกไปจนบัดนี้ ความรักของเขาเอื้อมไม่ถึงกันเสียแล้ว นอกจากนี้ยังมีอีกข้อหนึ่งคือฉันรักยี่เข่ง”

วสันต์นึกอยากพูดดังนั้น แต่พูดไม่ได้ ผู้ที่จะประชันกับความจริงแท้ได้ ก็มีแต่ผู้จะตาย กระจ่างยังอยู่ห่างความตายมาก ถ้าประชันหน้ากับความจริงแท้ก็ไม่เข้าใจ และไม่เห็นจริง จำต้องพูดแต่พอดี ๆ ก่อน

วสันต์ “นิ่งฟังฉันทั้ง ๒ คนน๊ะ ทั้ง ๒ คนรู้แล้วว่า ลมหายใจของฉันจะหยุดเมื่อไรก็ได้ แต่ฉันมีอะไรจะบอกให้เป็นที่เข้าใจกันไว้ทั้ง ๒ คน เดิมฉันนึกจะพูดกับศุภาคนเดียว แต่เราทั้ง ๓ นี้รักกันสนิท เชื่อกันได้ทั้ง ๓ คน บอกกันได้ตรง ๆ ไม่ต้องรังเกียจปิดบังกันเลย”

กระจ่างหน้าตื่นก้มลงใกล้ “วสันต์หัวใจของพี่ มีอะไรในใจหรือ”

วสันต์รู้แล้วว่าพูดยาก กระจ่างเป็นคนซื่อ เป็นคนตรง เป็นคนไม่นึกอะไรวนเวียน แม้จะปดก็ไม่รู้ตัวว่าปด วสันต์ดึงศุภาเข้าไปใกล้ เหมือนจะเอาเป็นที่ยึด รู้สึกว่าศุภารู้แล้วว่า วสันต์จะพูดเรื่องอะไร ๒ คนจะต้องช่วยกันทำให้กระจ่างเข้าใจและยอมตาม

วสันต์ “อันที่จริงฉันก็ไม่จำเป็นจะต้องกำชับดอก เพราะคงจะเป็นไปเองในวันข้างหน้า แต่ฉันต้องการจะทำให้ง่ายเข้า ทั้งศุภาทั้งกระจ่างเป็นมิตรน่ารัก เต็มไปด้วยภักดี ฉันจึงอยากจะบอกให้รู้จากปากฉันเองว่า ถ้าเป็นไปเช่นฉันประสงค์ ก็จะทำให้ฉันสบายใจที่สุด”

กระจ่าง “ต้องการอะไรก็บอกเถิดวสันต์ รู้อยู่แล้วว่า ไม่ต้องเกรงใจเลย แม้แต่ชีวิตฉันก็ยอมให้”

วสันต์ “รู้แล้ว กระจ่าง รู้แล้วว่ายอมหมด แต่ฉันไม่ต้องการให้เสียสละอะไรดอก กระจ่างกับศุภาก็ยังหนุ่มสาวอยู่ทั้ง ๒ คน ยังหนุ่มสาวพอที่จะมีความสุขได้อีกมาก เมื่อถึงเวลาควรแล้ว ฉันต้องการให้ ๒ คนนี้แต่งงานกัน”

กระจ่างยืนตัวตรงขึ้น แสดงรูปร่างโอ่โถงโดยมิได้ตั้งใจจะแสดง “วสันต์ วสันต์ไม่รู้ว่าวสันต์พูดอะไร”

วสันต์ “รู้ซี ทำไมจะไม่รู้ ฉันคิดรอบคอบแล้ว แรงฉันมีน้อย กระจ่างต้องอย่าทำให้พูดซ้ำ ๆ ให้เปลืองแรงไปเปล่า ๆ กระจ่างต้องแต่งงานใหม่ จะอยู่ไปคนเดียวก็ไม่ได้ เพราะเป็นคนชนิดที่ต้องมีเพื่อนร่วมชีวิต กระจ่างอาจแต่งงานกับคนอื่นที่ฉันไม่รู้จัก และเมียใหม่ของกระจ่างก็จะนึกถึงฉันด้วยความเกลียด กระจ่างจำฉันได้ ก็จะต้องเก็บซ่อนไว้ในใจ จนในที่สุดก็ลืม ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ชอบเลย ส่วนศุภานั้น ศุภารักฉัน กระจ่างก็รักฉัน ถ้า ๒ คนแต่งงานกัน ก็จำฉันไว้ได้ด้วยไม่มีความเกลียดชัง ไม่ต้องซ่อนความในใจต่อกันในเรื่องฉัน ฉันไม่ต้องเป็นห่วง ก็จะหลับตาตายสบาย

กระจ่างไม่ยอม “ศุภาหรือฉันแสดงกิริยาวาจาอย่างไรให้วสันต์เห็นครั้งไรว่า....”

วสันต์ยกมือห้ามไม่ให้พูด ดูอาการเหนื่อยมาก ๆ เหมือนความแข็งแรง และความไม่มีโรคของคนทั้ง ๒ ทำให้อากาศในห้องแรงเกินกำลังคนเจ็บ วสันต์อยากจะหลับตาอยู่คนเดียวกับฝัน ฝันถึงยี่เข่งผู้เป็นที่รักลึกซึ้งลงไปในดวงใจ

วสันต์ “กระจ่างกับศุภาเริ่มรักกันมาเกือบ ๒ ปีแล้ว และเดี๋ยวนี้ก็ต่างคนต่างรักกัน จริงหรือไม่”

“กระจ่าง “ไม่จริง เปล่าเลย”

วสันต์แลดูตาศุภา ๆ ก็แลดูตาวสันต์ ศุภาหน้าซีด ไม่มีเลือดแต่ยืนทรงตัวเป็นสง่า

วสันต์ “จริงหรือไม่จริง”

ศุภา “จริง”

วสันต์ “ขอบใจ ศุภา ขอบใจ ฉันแน่ใจไว้แล้วว่า ศุภาจะกล้าบอกจริง ๆ ฉันพอใจแล้ว ทีนี้หลับตาตายได้”

วสันต์รู้สึกตัวว่า เป็นอิสระหลุดจากความเกี่ยวพัน เลยหลับตาพักเหนื่อย นึกรู้ว่ากระจ่างคงเถียงและร้องคัดค้าน คงจะไม่เข้าใจและไม่รู้ความประสงค์จริงแท้ของตน กระจ่างหันหน้าไปดูศุภา ทำตาต่อว่าแล้วกระซิบว่า “ศุภา” แกจะพูดว่ากระไรอีก ก็ตันอยู่เพียงคอ เหตุไฉนศุภาจึงทำอย่างนี้ เหตุไฉนจึงรับว่าจริง เมื่อยังไม่ทันจริง ความลับมีเพียงในใจ ยังไม่ทันออกมาเป็นวาจา เหตุไรจึงเอาออกเปิดเผย เป็นกรรมร้ายเหลือเกิน ทำให้คนจะตายเสียใจ คนจะตายซึ่งเป็นหญิงคนเดียวที่กระจ่างเคยรัก

หัวใจกระจ่างหรี่จนเหมือนดับลงไป แต่ในทันใดนั้น ก็กลับลุกพลุ่งโพลงขึ้น เปรียบดังตะเกียงหกไฟที่ใส้ก็ดับแต่กลับติดน้ำมันลุกขึ้นเป็นกองไฟกองโตฉนั้น กระจ่างแลเห็นในดวงตาศุภาว่าในใจนึกอย่างไร เป็นสิ่งประเสริฐที่สุด วสันต์ฝ่ายหนึ่ง ศุภาฝ่ายหนึ่งมีน้ำใจเลิศอยู่ ๒ ข้าง กระจ่างอยู่กลาง ดูเป็นของเลวอยู่หว่างของดี จะยกตนขึ้นไปให้เทียมหญิง ๒ คนนั้นยากที่สุด

กระจ่างขึ้นต้นพูดว่า “ฉัน...”

ศุภายกนิ้วขึ้นวางที่ปากตนเองเป็นเครื่องหมายบอกกระจ่างให้นิ่ง กระจ่างเหลียวดูเห็นวสันต์หลับ ก็ค่อยย่องห่างออกไป แล้วกระซิบแก่ศุภาว่า “วสันต์ตื่นฉันก็จะบอกความจริงด้วยเหมือนกัน คือว่า ฉันก็รักศุภา”

ศุภา “ไม่ต้องบอกก็ได้ วสันต์รู้แล้ว”

ต่อนั้นมาไม่สู้ช้า มีข่าวมาจากประเทศตะวันตกว่า มหาแพทย์คนหนึ่งพบวิธีรักษาโรคชนิดที่วสันต์เป็น ไม่ใช่แต่รักษาหาย รักษาได้รวดเร็วด้วย เจ้าของไข้และหมอของวสันต์ได้ทราบก็กระตือรือร้นเพื่อจะเป็นโอกาสช่วยชีวิตวสันต์ได้ เผอิญมหาแพทย์ผู้นั้นเป็นครูซึ่งหมอยี่เข่งเคยเป็นศิษย์ จึงรีบโทรเลขไปสืบถามเผื่อจะได้ความรู้มาใช้ ได้รับตอบมาว่า มหาแพทย์กำลังเดินทางผ่านลังกามาจวนจะถึงสิงคโปร์อยู่แล้ว อีกประมาณเดือนหนึ่ง จะมีประชุมจากประเทศต่าง ๆ เป็นสมาคมแพทย์ระหว่างประเทศ นัดประชุมที่ญี่ปุ่น มหาแพทย์ครูหมอยี่เข่งกำลังเดินทางจะไปเข้าประชุม หมอยี่เข่งกับกระจ่างเหมือนคนจะจมน้ำตาย เห็นอะไรลอยน้ำ แม้แต่ฟางก็เกาะ ครั้นทราบว่ามหาแพทย์กำลังจะผ่านสิงคโปร์ หมอยี่เข่งก็ส่งโทรเลขวิทยุไปเชิญครู ให้แวะมากรุงเทพฯ เสียเงินเท่าไรไม่ว่า เป็นเคราะห์ดีของวสันต์ที่มหาแพทย์ยังมีเวลาจะแวะมาได้ และที่จริงก็นึกอยากมาอยู่แล้ว จึงตกลงกันว่า เมื่อมหาแพทย์ถึงสิงคโปร์ ก็จะขึ้นเรือเหาะมากรุงเทพฯ โดยเร็ว

ในแถบบ้านนายกระจ่าง ศุภาลักษณ์ก็ดี ในแถบอื่นที่รู้จักมักคุ้นกันก็ดี หรือแม้คนอื่น ๆ ก็ดี เมื่อทราบข่าวว่า จะมีแพทย์สำคัญมารักษาโรคสำคัญ ซึ่งไม่เคยมีใครรักษาหาย ก็ช่วยกันตื่นเต้นเป็นธรรมดา ในวันสองวันก่อนมหาแพทย์มาถึง คือในระหว่างที่ความตายกับมหาแพทย์แข่งกันว่าใครจะถึงก่อนนั้น คนทั้งหลายที่รู้เรื่อง ก็ย่อมจะเข้าข้างหมอทุกคน แต่ถึงกระนั้นธรรมดาคนดูการแข่ง ไม่ว่าแข่งม้าแข่งเรือแข่งรถหรืออะไร คงจะชอบดูแข่งฉวดเฉียด ไม่รู้ว่าใครจะแพ้หรือชนะแน่แม้ในการแข่งว่าคนไข้จะตายหรือจะมีโอกาสรอดบ้าง ความฉวดเฉียดก็ทำให้คนใจหายใจคว่ำยิ่งขึ้นเหมือนกัน

คนทั้งหลายย่อมพูดถึงนายยี่เข่ง ทิพารักษ์ผู้แพทย์ และพูดถึงนายกระจ่าง ศุภลักษณ์ผู้สามีของคนไข้ บ้านที่คนไข้อยู่นั้นเห็นเรือนจากถนน เป็นบ้านและเรือนคนมั่งมี บ้านงาม เรือนงาม แต่คนที่สัญจรไปมา เมื่อแลดูเรือน ถ้ารู้จักเจ้าของบ้าน ก็ไม่ได้แลดูความโอ่โถงของตึก นึกทลุคำแถลงเข้าไปถึงคนที่เคยสาวและสวยที่สุด นอนเหนี่ยวชีวิตไว้ชั่วโมงแล้วชั่วโมงอีก คอยความช่วยเหลือของมหาแพทย์ ซึ่งเผื่อจะสำเร็จได้บ้าง นอกจากคนเจ็บ ยังมีสามีซึ่งเปี่ยมด้วยความรัก มีใจอันยอมสละไม่ว่าอะไรทั้งหมด เพื่อประโยชน์ของคนไข้ แต่หัวใจจะแตกด้วยความทุกข และยังมีเพื่อนหญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยหย่อนภักดีต่อคนไข้ และแน่นในความกล้า ทั้งบ้านไม่มีเสียงดัง ไม่ปรากฏกระวนกระวายเลย แต่กำแพงเรือนบังไว้ซึ่งความร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง คนทั้งหลายที่ผ่านไปทางถนนทราบดังนี้ ก็พลอยวิตกด้วยทั้งนั้น

เมื่อวันมหาแพทย์มาถึง หมอยี่เข่งไปรับขึ้นรถตรงมาบ้านคนไข้ พอถึงหมอทั้ง ๒ ก็ตรงขึ้นไปห้องบน กระจ่างกับศุภาคอยอยู่ในห้องหนังสือชั้นล่าง ศุภามาเพราะวสันต์สั่งให้มาให้ได้ ศุภามาแล้วก็นึกว่าถ้าไม่มาจะดี เพราะถึงมาก็ไม่ได้ทำอะไร แต่จะขัดความประสงค์ของคนไข้ร่อแร่ ซึ่งรักใคร่กันมาตลอดชีวิตนั้น ขัดไม่ได้ ศุภานั่งอยู่ในห้องซึ่งแต่งอย่างดี และเมื่อเห็นพยานความมั่งมีไปรอบห้อง ก็เหนื่อยทั้งตาทั้งใจ ไม่ดูตากระจ่างตรง ๆ และกระจ่างก็คอยหลีกตาเหมือนกัน หัวใจคนทั้ง ๒ อยู่ที่คนเจ็บ อยู่ที่ว่ามหาแพทย์จะช่วยวสันต์ไว้ได้หรือไม่ ไม่ได้นึกถึงตัวหรือนึกถึงภายหน้าเลยในเวลานั้น

แต่ว่า....

ศุภาชำเลืองดูกระจ่าง หัวใจซึ่งเหนื่อยเต็มที่นั้นแตกออกไปชั่วขณะ นึกว่าในใจกระจ่าง ซึ่งนั่งหน้าก้มอยู่นั้นคิดถึงอะไร จะนึกถึงศุภาหรือไม่ เห็นจะไม่ใช่ คงไม่กล้านึก เพราะศุภาเอง ก็ไม่กล้านึกถึงกระจ่าง เหตุกลัวจะเป็นการเสียวสันต์ แม้เสียอยู่เพียงในใจก็ไม่ได้ ศุภากับกระจ่างผลักให้ความรักของตนเองออกไปเสียให้พ้น ไม่ให้ต้องนึกถึง แต่มันล้อมอยู่ใกล้ ๆ นั่นเอง ในห้องคนเจ็บ ซึ่งมืดและหรุบหรูนั้น ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ปัญหาเกิดขึ้นในใจต่าง ๆ และมีคำตอบต่าง ๆ ซึ่งศุภาเพียรปัดให้พ้นไปเสีย เพราะล้วนแต่น่าสยองทั้งนั้น

กระจ่างเป็นผู้พูดขึ้นก่อน เสียงกระจ่างวิ่งเข้าสู่เส้นประสาทเหนื่อยของศุภาจนทำให้แทบสะดุ้ง แม้เป็นเสียงคุ้นหูและถูกใจ ก็ราวกับคนอื่นยืมไปพูด ไม่ใช่กระจ่างพูดเอง

กระจ่าง “นานจริง นานเหลือเกิน แทบจะทนไม่ไหวแล้ว”

ศุภา “นั่นซี นานนัก แต่บางทีจะเป็นเครื่องหมายว่าดี”

กระจ่าง “เป็นได้ ก่อนหมอมา วสันต์เป็นอย่างไรบ้าง”

ศุภา “ใจเย็นดี ไม่มีกระสับกระส่าย คราวกับตัวเองไม่ใช่คนไข้”

กระจ่าง “วสันต์กล้ากว่าใคร ๆ ทั้งนั้น เราไม่กล้าเท่า

ศุภานิ่งไม่ตอบว่ากระไรเพราะความคิดอย่างหนึ่ง ซึ่งห้ามตนไม่ให้นึกนั้นเกิดนึกขึ้น ศุภานึกว่าที่วสันต์ไม่กลัวนั้น ไม่ใช่กล้าแท้ดอก เป็นด้วยไม่อยากจะอยู่ไปอีก ชีวิตเป็นของสยดแสยงเสียแล้ว เพราะที่ทำให้ชีวิตเป็นของน่าปรารถนา ที่เป็นของนำมาซึ่งความสุข ก็หมดไปเสียแล้ว ถ้าจะเปรียบก็เหมือนเป็นศพถูกชำระและตราสัง แต่ยังไม่ทันตาย ถ้าฟื้นขึ้นก็ไม่สิ้นความรู้สึกอับอายขายหน้า

อีกครู่หนึ่ง ศุภาว่า “กระจ่าง”

กระจ่างพยักหน้าว่าได้ยินแล้ว เพราะมีเสียงฝีเท้า หมอ ๒ คนลงบันไดมา อีกประเดี๋ยว ก็รู้ว่าคนไข้จะรอดหรือไม่

ศุภากับกระจ่างแลดูตากัน และอาจเป็นครั้งสุดท้าย ที่แลดูตากันด้วยความจริงคือความรักที่มีฝังอยู่ในใจ ความรักซึ่งซ่อนอยู่ลึก และคนทั้ง ๒ ก็เคยไม่กล้านึกถึงนั้น ในขณะนี้กลับเป็นของบาป เป็นความคิดลามก เป็นความคิดอันกลั้วด้วยกิเลส คนทั้ง ๒ เคยไม่มีตำหนิทั้งกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม และในใจมีตำหนิในขณะนี้

ศุภาหลับตา เพื่อจะไม่ดูว่า มีอะไรในดวงตาของกระจ่าง แต่เมื่อหลับตาแล้ว ก็เห็นวสันต์เหมือนเห็นภาพยนต์ วสันต์เด็กสวย เด็กน่าเอ็นดูในโรงเรียน แล้วเป็นสาวซึ่งใคร ๆ ก็รัก และเป็นเพื่อนประเสริฐที่สุด ไมตรีระหว่างวสันต์กับตัวศุภาเอง เป็นของน่าปลื้มกว่าสิ่งอื่น ๆ หมด เคยว่าแก่กันว่า “จะไม่มีอะไรมาแทรกทำให้เราแตกแยกกันออกไปได้เป็นอันขาด”

ส่วนวสันต์เวลานี้นอนนิ่งอยู่บนเตียง ใจนึกถึงสิ่งน่ารังเกียจ น่าเกลียด น่าเศร้ายิ่งกว่าตาย

อีกประเดี๋ยวประตูเปิด หมอยี่เข่งเดินเข้ามายืน ศุภาใจเต้นเหมือนโดดอยู่ในอก เหตุใดก็อธิบายไม่ได้ หน้าหมอยี่เข่งเหมือนทำด้วยไม้ ศุภาได้ยินเสียงหมอยี่เข่งเหมือนอยู่ไกล ๆ ว่า “ไม่เป็นไรแล้ว แต่ว่าหวุดหวิด พอทันเท่านั้นเอง”

ครู่เดียวระหว่างที่หมอยี่เข่งบอก และกระจ่างพูดออกมานั้น ดูนานหนักหนา กระจ่างว่า “สาธุ” คำเดียว

ศุภาหัวเราะออกมาได้ แต่หัวเราะแล้วก็ก้มหน้าซบเก้าอี้ ร้องไห้สะอื้นอย่างที่ไม่เคยร้องไห้เลย

วสันต์หายเจ็บแล้ว โรคร้ายซึ่งใคร ๆ ก็นึกแน่ว่าจะพาคนไข้ไปโลกหน้านั้น ไม่ได้พาไปดังที่คนนึก วสันต์ไม่ได้ส่องกระจกเงามานาน แต่บัดนี้เขาอนุญาตให้ส่องได้ จึงมีกระจกเงาในกรอบเงินงามวางอยู่ข้างที่นอน เมื่อหยิบขึ้นดูหน้าตนเองคราวไร ก็เห็นได้ว่า กลับเป็นคนสวยอย่างแต่ก่อน และจะเป็นสาวอย่างที่ไม่ได้นึกว่า จะเป็นได้อีกเลย

วันนั้นเป็นวันไม่ร้อนไม่หนาว กำลังสบาย หน้าต่างห้องวสันต์เปิดหมด อากาศดีทำให้หน้าชื่นขึ้นทุกชั่วโมง พรุ่งนี้จะได้ลงสวนเป็นครั้งแรก ต่อนั้นไปก็จะมีแต่สนุกสบายยิ่งขึ้น จะไปไหนดี เพียงแต่หัวหินก่อนหรือ หรือไปปรัสตาคีทีเดียว หรือชวาหรือจะไปยุโรป วสันต์ยิ้มอยู่คนเดียว และนึกถึงเวลาก่อนเจ็บ จะหาเพื่อนที่ไหนเหมือนกระจ่างไม่มี ดูเป็นคนสนุกอยู่เสมอ และพาคนอื่นสนุกอย่างที่สุด จะหาคู่ไหนเป็นสุขเหมือนกระจ่างกับวสันต์นั้นไม่มีเสียแล้ว จะหาผัวที่ไหนเหมือนกระจ่าง....

ยิ้มในหน้าของวสันต์เหือดทันที เพราะนึกขึ้นมาได้ ข้อที่นึก ๆ มานี้ถึงขับเสียหมดแล้ว กระจ่างกับศุภา เพื่อนอย่างดีทั้ง ๒ คน เวลานี้ได้ความเดือดร้อนใหญ่หลวงทั้งคู่ ทั้ง ๒ คนแสร้งทำลืมว่าได้แสดงออกมาให้วสันต์ทราบแล้วว่ารักกัน และจะแต่งงานกัน เมื่อวสันต์ตาย มาตอนนี้ ทั้ง ๒ คน จะดูตาวสันต์ ก็ดูไม่สนิท กระจ่างก็ยังเป็นผัวดี และศุภาก็ยังเป็นเพื่อนดีอยู่อย่างแต่ก่อน แต่ทั้ง ๒ คนต้องทำลืมเหตุการณ์ที่เกิดแล้ว ต้องปิดความในใจแก่กัน และพยายามจะไม่ทำหน้าเรี่ยก็ไม่ใคร่ได้

น่าสงสารกระจ่างเป็นที่สุด และน่าสงสารศุภาเสมอกัน ความลำบากในใจของคนทั้ง ๒ นั้น ทำให้วสันต์เดือดร้อน เพราะถ้าจะพูดตามความจริง ก็วสันต์เองที่ทำให้คนทั้ง ๒ บอกออกมาว่ารักกัน ถ้าวสันต์ไม่ให้ความเจ็บร่อแร่ของตนเองบังคับให้ ๒ คนนั้น นำเอาความลับซึ่งซ่อนอยู่ในใจยังไม่เคยเปิดแก่กันเอง ออกมาเปิดเผย ๒ คนนั้น ก็คงไม่ได้รับความยากใจในเวลานี้ เหตุใดวสันต์จึงเกณฑ์ให้กระจ่างกับศุภาพูดออกมาจนได้ ตอบว่า เพราะวสันต์มีความในใจของตนเองซึ่งไม่สอาด ใจวสันต์ไม่ซื่อในความรักกระจ่าง เพราะในเวลาที่เจ็บมากนั้น ใจเร่ไปรักคนอื่น และการที่บังคับให้กระจ่างกับศุภาแสดงออกมาว่ารักกันนั้น ก็เป็นการคิดกู้ธรรมในใจของวสันต์เอง โดยประการที่ว่า กระจ่างก็มีใจไม่ซื่อในความรักวสันต์เหมือนกัน เมื่อปรากฏแจ่มแจ้งว่า กระจ่างรักศุภาแล้ว วสันต์ก็มีสิทธิจะรักคนอื่นได้

มาตอนนี้ เมื่อวสันต์ไม่ตายรูปการก็เปลี่ยนไปหมด แต่เมื่อวสันต์ได้ทำให้เกิดเป็นเรื่องขึ้นฉนี้แล้ว ก็จะต้องทำไปให้ถึงที่สุด มิฉะนั้นไม่เป็นยุติธรรมแก่กระจ่างและศุภา จะค้างเติ่งกันไปไม่มีที่สุด เป็นความเดือดร้อนรอบด้าน ส่วนตัววสันต์นั้น ถึงอย่างไร ๆ ก็มีหมอยี่เข่งคอยจะสวมตำแหน่งแทนกระจ่างอยู่ ยี่เข่งก็เป็นเพื่อน และเป็นผู้ปลอบอย่างดี ได้ติดตามวสันต์ไปจนแทบถึงประตูแห่งความตาย

วสันต์นั่งนึกว่า ยี่เข่งจะไปด้วยหรือไม่ไปปรัสตาคี หรือชวา หรือยุโรป อีกประเดี๋ยวจะลองถามดู

ขณะนั้นประตูห้องเปิด กระจ่างเดินถือดอกไม้เข้าไปตามเคย กระจ่างเข้าไปหาวสันต์ในห้องเจ็บเวลาเดียวกันเสมอ และมีดอกไม้ช่อโต ๆ เข้าไปให้จนเต็มขวดหมด กระจ่างยิ้มเข้าไปแค่ประตู พูดเสียงร่าเริงว่า

“ไงมั่ง สบายขึ้นอีกมากไหม”

กระจ่างเดินเข้าไปถึงเตียงก็จับมือวสันต์ ๆ ก็บีบมือตอบ และยิ้มรับ แต่รู้ว่า ยิ้มอย่างไม่มีชีวิตเหมือนที่กระจ่างยิ้มนั้นเอง

“สบายขึ้นทุกที พรุ่งนี้หมอให้ลงสวนได้”

“วิเศษจริงถ้าอย่างนั้น ต้องมีการรับแขกเป็นเกียรติยศ”

“อย่างเพิ่งพูดเรื่องนั้นเลย นั่งลงเถิด ฉันอยากจะพูดกับกระจ่าง เพราะทนดูความเศร้าของกระจ่างไม่ได้”

“เศร้าอะไรกัน ใครว่าฉันเศร้า”

“ไม่เศร้าแน่หรือ”

วสันต์แลดูผ้าปูที่นอน เพราะถ้าไม่เช่นนั้น จะถูกทรมานต้องดูกระจ่างหน้าแดงด้วยความกระดากใจ กระจ่างเป็นคนพูดตรง ๆ เมื่อต้องปิดบังความในใจก็น่าสงสาร วสันต์ทนดูไม่ค่อยได้

“กระจ่างเราก็อยู่ด้วยกันมานาน จนเป็นเพื่อนกันอย่างดีแล้ว รู้ใจกันจนพูดเข้าใจฉันง่าย กระจ่างคงไม่นึกว่าฉันลืม และกระจ่างกับศุภาจะซุกทรายเหมือนนกกระจอกเทศ เพื่อจะซ่อนหน้าฉันก็ไม่ได้ กระจ่างต้องเข้าใจว่า ตั้งแต่วันนั้นมายังไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย นอกจากฉันกลายเป็นไม่ตาย แทนที่คิดกันว่า ป่านนี้คงจะตายไปแล้ว”

“วสันต์ขอทีเถิด อย่าพูดอย่างนั้นเลย น่าชังเหลือเกิน”

“ไม่น่าชังดอก กระจ่างเป็นความจริง กระจ่างกับศุภากับฉัน ทำตามตกลงกันว่าฉันจะตาย กระจ่างกับศุภาจะแต่งงานกัน ฉันเป็นคนทำเหลวที่ยังไม่ตาย ก็เลยทำให้กระจ่างกับศุภาตกอยู่ในที่ยาก จะดูหน้ากันเองก็ไม่สนิท จะดูฉันก็ไม่สนิท เป็นความผิดของฉันทั้งนั้น

“วสันต์หัวเราะเยาะศุภากับฉัน หัวเราะเยาะอะไร ๆ ทั้งหมด”

วสันต์ถอนใจใหญ่ การหัวเราะเยาะนั้น ถ้าได้หัวเราะอย่างแต่ก่อน จะวิเศษหนักหนา แต่ถ้าหัวเราะ กระจ่างจะได้ความระกำใจยิ่งขึ้นอีก เวลานั้นกระจ่างนั่งริมที่นอน สองมือกุมหัว ดูเป็นหนุ่มกว่าอายุ ดูเหมือนเด็กยังอยู่ในโรงเรียน มีความอายและรู้สึกผิด จนถึงต้องรับว่าทำชั่ว และที่แท้ก็ไม่ใช่ความผิดของกระจ่างเลย

“วสันต์ ฉันเป็นผู้ชายเซ่อเหลือเกิน ฉันก็รู้สึกอยู่แล้ว...เพียรจะตกลงในใจว่าจะ...ว่าจะ...ฉันต้องการจะให้วสันต์เข้าใจว่าเหตุไรจึงเป็นเช่นนั้น ส่วนตัววสันต์เอง ก็ย่อมจะรู้ว่า ตั้งแต่วันแรกที่ฉันเห็นวสันต์วันแรกที่เห็น ยังไม่ทันรู้จักกัน ฉันก็ไม่ต้องการจะดูใครอีก และไม่ต้องการจริงๆ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา ที่เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะฉันเห็นวสันต์เป็นหญิงสวยที่สุดในโลก เป็นเพราะวสันต์เป็นมิตรและเป็นสหายอย่างดีที่สุด ฉันจะไปไหนจะอยู่ที่ไหน วสันต์ก็ไปด้วยอยู่ด้วยเสมอ อยู่ในใจและอยู่ด้วยร่างกาย เราเป็นเหมือนสองส่วนแห่งคน ๆ เดียวกัน ถูกไหม วสันต์”

“ถูกแล้ว”

“เราอยู่ด้วยกันไปก็ควรจะเป็นเช่นนั้นไปจนตลอด เราไม่ได้สักแต่ว่ารักกัน เราเป็นคนรักกันอย่างแน่นที่สุด เมื่อเราแก่ลง แก่ด้วยกันช้า ๆ เราก็คงช่วยกันขยับตัวเราเอง ให้พอดีกันอยู่เสมอ และเป็นคนรักกันไปจนแก่จนเฒ่า แต่อยู่ด้วยกันมาก ๆ ความเจ็บของวสันต์ก็เข้ามาแทรก ๆ ดูร้ายกาจเหลือเกิน เวลาไข้ซึ่งเป็นเวลาที่วสันต์ต้องการให้ฉันอยู่ชิดตัวหนักขึ้นนั้น ดูฉันกลับห่างออกไปทุกที ดูเหมือนว่าในการเดินของเราที่จะไปสู่ความแก่ และในที่สุดความตายนั้น วสันต์ออกวิ่งแข่งไปข้างหน้า ทิ้งฉันไว้ข้างหลัง ฉันรักวสันต์เหลือที่จะเปรียบ ครั้นถูกทิ้งไว้คนเดียว ก็เกิดความเปลี่ยวเปล่าเหลือที่จะอธิบายได้...”

“เข้าใจแล้ว กระจ่าง ไม่ต้องอธิบายดอก”

กระจ่างแทบจะสอื้น “ฉันรู้ว่าวสันต์คงนึกอย่างไร รู้ว่าวสันต์เห็นฉันเหลวไหลไม่มีสัตย์ในใจ ศุภาก็รู้เหมือนกัน ศุภาเคยว่าวสันต์ไม่อยากมีชีวิตต่อไป เพราะเสียสิ่งที่รักไปเสียแล้ว คำที่ศุภาพูดนั้นทำให้ฉันแทบคลั่ง เพราะฉันกลับเป็นผู้ทำให้วสันต์ได้ทุกข์”

“ใครบอกกระจ่างว่าฉันได้ทุกข์ ฉันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย”

กระจ่างน้ำตากลบตา “วสันต์พูดปลอบฉันเท่านั้นเอง”

“จริงน๊ะ กระจ่างฉันพูดจริง ๆ ฉันกลับสบายใจเสียอีก”

“ขอทีเถิดวสันต์ วสันต์ยิ่งพูดให้เห็นว่าเป็นคนใจใหญ่ ยิ่งทำให้ฉันอกแตกหนักขึ้น”

“จริง ไม่ได้แกล้งพูดดอก เพราะฉันก็มีที่รักเหมือนกัน”

“อะไรน๊ะ”

“ฉันก็มีที่รักเหมือนกัน”

“ไม่เข้าใจ รักใคร รักฉันหรือ”

“รักยี่เข่ง โรคนิทาน”

“ใคร ยี่เข่ง โรคนิทาน หมอยี่เข่งหรือ”

วสันต์พยักหน้า

กระจ่างของหน้าวสันต์เหมือนได้ยินอะไรที่ไม่เชื่อหู ตลึงดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นสบัดว่า “อ้ายอัปรีย์” แล้วเดินกึก ๆ ไปยืนพิงอยู่ที่หน้าต่าง มือกำแน่น หันหน้าออกไปทางหน้าต่าง วสันต์เห็นได้แต่ข้าง ๆ เห็นเป็นข้างซึ่งสวยอย่างผู้ชาย น่าเป็นคนมีกำลัง มีสง่า และเป็นหน้าคนซึ่งหัวเราะง่าย วสันต์นึกว่าเวลานั้นทำไมไม่หัวเราะ วสันต์เองอยากจะหัวเราะ แต่ที่อยากหัวเราะก็เพราะความปลื้มที่จะมีชีวิตอย่างใหม่ เหมือนชีวิตนกกางเขนในตอนเช้าตรู่ แต่ถึงวสันต์อยากหัวเราะ ก็หัวเราะไม่ได้ เพราะสงสารกระจ่าง จะทำให้เจ็บใจเหลือทน

“กระจ่างบอกฉันเมื่อกี้ว่า เมื่อฉันวิ่งแข่งไปหาความตาย ทิ้งกระจ่างไว้คนเดียว กระจ่างเกิดความเปลี่ยวเปล่าในใจเหลือเกิน กระจ่างไม่เข้าใจหรือว่า ฉันก็เปลี่ยวเปล่าเหมือนกัน”

กระจ่างหันหน้ามาดู ถามว่า “เปลี่ยวเปล่าอะไร”

“เปลี่ยวเปล่าซี เมื่อจะเดินทางไปสู่ความตายคนเดียว ก็ต้องเปลี่ยวอยู่เอง”

“ก็อ้ายหมอนั่นล่ะ”

“เขาไปด้วย เขาไปเป็นเพื่อน เขาไปได้ดังที่กระจ่างไปไม่ได้ เขาคุ้นกับความตาย อาจไปตามส่งฉันได้จนถึงปากโลง เรื่องมันเป็นอย่างนี้แหละ เมื่อฉันทราบจากปากกระจ่างกับศุภาเองว่า สองคนรักกัน ฉันก็สบายใจ เพราะฉันได้อิสระ เหมือนกระจ่างปลดบ่วงจากหัวใจฉัน ปล่อยให้คิดให้รู้สึกได้ตามอำเภอใจ ไม่เสียสัตย์ในใจ เพราะกระจ่างก็ปลดหัวใจไปเกาะที่อื่นเหมือนกัน”

“สะดวกดีจริง โชคมาชะตาเกื้อ”

“อย่าขมในใจซี กระจ่าง”

วสันต์พูดพลางแลดูมือตัวเอง และดูแล้วก็ลืมคำที่จะพูดกับกระจ่างต่อไป อาจเป็นด้วยกำลังยังมีน้อย บังคับใจยังไม่มั่น จึงลืมง่าย ๆ มือนั้นเป็นข้อที่วสันต์เคยเศร้ามาก ๆ เพราะเวลาที่นอนเจ็ปไม่เห็นตัวเอง แม้จะรู้ว่าซูบผอมก็เพียงแต่รู้ หน้าซึ่งเหี่ยวแห้งนั้น ก็รู้สึกว่าเหี่ยว แต่ไม่เห็น ส่วนมือเป็นของยกขึ้นดูได้ มือซึ่งเคยงามกลายเป็นหนังหุ้มกระดูก สีสันไม่มี ยิ่งดูก็ยิ่งเหี่ยวลงไปทุกวัน เหมือนใบไม้ที่หล่นจากต้น แต่บัดนี้มือกลับงามอีกแล้ว ได้ดูมาทุกวันเหมือนตั้งแต่ดอกไม้แรกผลิจนบัดนี้แย้มจะบาน นึกถึงแหวนที่เคยสวมนิ้ว วงเพ็ชรเมล็ดใหญ่ที่กระจ่างให้ และวงมรกตและวงนิลดาว พรุ่งนี้ก็จะหยิบออกมาอีก หยิบจากตู้ซึ่งเคยคิดว่าไม่มีเวลาจะได้ไขเสียแล้ว นึก ๆ ก็น่าปลื้มเหลือเกินที่มือซึ่งงามโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ยังจะประดับด้วยเพชรพลอย อันตกแต่งเป็นประณีตศิลปะอีกเล่า

วสันต์นึกเพ้อถึงความสวยงามไปครู่หนึ่ง ก็กลับนึกถึงข้อที่กำลังพูดกับกระจ่าง

“จะขมขื่นในใจไปทำไม เราไม่ควรจะรังเกียจข้อที่ต่างคนต่างจะมีความสุข กระจ่างก็คงไม่ต้องการให้ฉันอยู่คนเดียวเป็นแม่หม้ายผัวร้าง และกระจ่างก็ควรจะรู้สึกแล้วว่า เมื่อการเป็นดังนี้ กระจ่างก็มีอิสระเหมือนฉันมีอิสระ ที่ฉันบอกเรื่องยี่เข่งนี้ ก็เพื่อจะให้กระจ่างรู้ว่า มีอิสระแล้ว ฉันต้องการให้กระจ่างและศุภารู้ตัวว่า หลุดจากบ่วงบาศทั้งปวง”

กระจ่างยืนจ้องดูวสันต์เหมือนคนแปลกหน้า และน่าพิศวง

“ที่นี้จะอย่างไรกันต่อไป วสันต์ตั้งใจจะให้เป็นอย่างไร”

“ก็ตั้งใจให้เราทุกคนปฏิบัติมิให้เสียสง่าเป็นที่ให้คนติฉิน และต้องการให้มีไมตรีต่อกัน จะมัวขมขื่นกันอยู่นั้นไม่ควร เหตุการณ์ได้เกิดแล้วอย่างแน่นอน จะเปลี่ยนไปก็ไม่ได้ เราทั้ง ๔ คนต้องเป็นไปตามใจเรา”

“คือว่าศุภากับฉัน วสันต์กับ....กับอ้ายคนนั้น....

“ฉันกับยี่เข่ง”

ขณะนั้นได้ยินเสียงรถหมอยี่เข่งขับเข้าประตูบ้านไปจอดหน้าเรือน กระจ่างทำเสียงอยู่ในลำคอ เหมือนอยากจะพูดอะไรดัง ๆ แต่พูดไม่ออก พอเหลือบไปเห็นช่อดอกไม้ที่ถือเข้าไปเมื่อตะกี้ ก็ตรงเข้าไปหยิบขว้างเต็มแรงออกไปนอกหน้าต่าง บอกว่า “ไม่ต้องการอีกแล้วเป็นแน่” แล้วก็เดินออกประตูไป

วสันต์รู้ว่า กระจ่างเกือบจะปิดประตูกระแทกผางใหญ่ แต่ยั้งมือไว้ได้ ก็ปิดค่อย ๆ ดูกระจ่างต้องการไปเสียทุกอย่าง ราวกับเด็กตะกรามของกิน ต้องการของทุกสิ่งและคนทุกคน ต้องการทั้งโลก วสันต์เองก็ต้องการทั้งโลกเหมือนกัน และต้องรั้งตัวเองไว้เต็มเหนี่ยว เพื่อจะไม่เรียกกระจ่างกลับเข้ากอดจูบกันใหม่

แต่นั่นแหละ จำจะต้องเลือก จำจะต้องรู้ใจตัวเอง และบัดนี้ก็เป็นอันว่า วสันต์ได้เลือกแล้ว ได้รู้ใจตัวเองแล้ว

กระจ่างลงบันไดไปจากเรือนชั้นบนพบหมอยี่เข่งกำลังจะขึ้นบันได หมอยี่เข่งยิ้มอ้าปากจะพูดด้วย แต่พอเห็นสีหน้ากระจ่าง ยิ้มที่หน้าหมอยี่เข่งก็เหือดไปทันที ปากที่ขยับจะพูดก็หุบ หมอยี่เข่งไม่รู้เรื่องว่าอะไรไปถึงไหนแล้ว ก็ตกอยู่ในที่เสียเปรียบ และกระจ่างก็หน้าขึ้นเลือด เพราะรู้สึกบัดสีในใจนัก

กระจ่างไม่เคยนึกว่า หมอยี่เข่งเป็นคนในสมาคมมนุษย์ เห็นเป็นหมอฉลาด หมอที่ไว้ใจได้ และเป็นผู้ควรรับมอบความลับในเรื่องความไข้เจ็บ ซึ่งตามปกติมิใช่สิ่งที่จะนำออกเล่าเปิง ๆ แต่ถึงกระนั้น ก็เป็นคนประเภทพิเศษ ซึ่งกระจ่างไม่เคยนึกว่า ร่วมในสมาคมมนุษย์ จะถือเหมือนคนธรรมดาที่ปะกันในทางวิสาสะอย่างอื่น นอกจากการไข้เจ็บนั้นหาได้ไม่ เมื่อกระจ่างเห็นหมอยี่เข่งเป็นเช่นนั้น ก็ไม่เคยนึกถึงกิริยาหรือร่างกายของหมอยี่เข่ง นึกว่าไม่เกี่ยวกับการเป็นหมอ ซึ่งสำคัญอยู่อย่างเดียวแต่การรักษาไข้เท่านั้น มาบัดนี้เมื่อปรากฏว่า หมอยี่เข่งเป็นคนเหมือนมนุษย์ธรรมดา กระจ่างก็แลดูรูปร่างกิริยาท่าทาง เห็นเป็นคนขนาดเล็ก รูปร่างใช้ไม่ได้ ไม่มีสง่าผ่าเผย แต่งกายด้วยเสื้อผ้าดี แต่ถึงจะเสียเงินค่าเสื้อผ้าแพงเท่าไร ก็ไม่นำความโอ่อ่ามาสู่ร่างกายผิดส่วนได้ ดูกิริยารู้ได้ว่าเป็นคนไม่มีสกุล แต่หากป่ายปีนไปสู่ความสำเร็จได้ ครั้นเมื่อความสำเร็จนั้นจูงเข้าไปในหมู่คน ๆ กะชั้นกับตัวก็ทำท่าไม่ค่อยจะถูก

เหตุไฉนวสันต์จึงรักคนอย่างนี้ วสันต์ซึ่งเคยรักกระจ่าง เหตุใดจึงกลายเป็นรักคนเช่นหมอยี่เข่งได้ กระจ่างรู้สึกราวกับแผ่นดินจะแยก แต่ในเรื่องเช่นนี้ จำเป็นจะต้องตั้งปึ่งไว้ กระจ่างจะพูดอะไรจึงจะให้เสร็จไปได้ในคำสองคำ ต้องชะงักอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดออก

“ภรรยาของฉันได้บอกความจริงแก่ฉันแล้ว ความประพฤติของท่านนั้น พวกแพทย์ด้วยกันจะเห็นอย่างไร ฉันไม่ทราบ และไม่ต้องการจะถาม ต่อไปนี้ฉันจะป้องกันรักษาเกียรติ์ของภรรยาฉันไว้ให้บริสุทธิ์ และจะป้องกันไปตลอดที่ยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ แต่ฉันเองจะเป็นผู้ปลดภรรยาจากความผูกพันตามกฎหมาย เพื่อจะให้ทำตามชอบใจ ฉันมีคำพูดกับท่านเท่านั้นเอง”

กระจ่างพูดเท่านั้นแล้ว ก็เดินจะไปเข้าห้องหนังสือ รู้สึกว่าได้พูด และทำถูกต้องแล้ว แต่รู้สึกเหมือนดินจะถล่มและแทบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่ ครั้นเดินไปถึงประตูห้อง ก่อนเข้าประตูไป ก็อดไม่ได้ หันกลับไปพูดว่า “หวังใจว่าท่านเป็นผู้จะทำให้หญิงนั้นมีความสุขได้” เมื่อพูดแล้ว กระจ่างก็เข้าห้องปิดประตูปัง

หมอยี่เข่งยืนกรึงอยู่กับที่ครู่หนึ่ง แล้วเดินขึ้นบันไดไปช้า ๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความอาย นึกในใจว่าเหตุไรวสันต์จึงไม่ให้รู้ล่วงหน้าเสียก่อนว่าจะบอกกระจ่าง ดูไม่ยุติธรรมเลยที่จะต้องถูกเข้าเช่นนี้ ดูเป็นอ้ายโง่และอัปรีย์ จนไม่มีคำตอบว่ากระไรได้ เหตุไฉนตัวเองจึงตกเข้าไปพัวพันเป็นตัวการอยู่ในเรื่องนี้ กิจการที่ได้ทำมา ฐานะที่ได้ก่อสร้างขึ้นด้วยความพากเพียร จะมาสลายไปในคราวนี้ อำนาจบังคับก็หลุดไปจากมือ รู้สึกเหมือนว่า กำลังตกลงในเหวดำ ไม่มีอะไรจะคว้าได้ จะคิดถึงงานของตัว ก็คิดไม่ออก และบางทีอีกไม่ช้าก็จะไม่มีงานที่จะต้องคิดอีกแล้ว เพราะจะมีเรื่องอื้อฉาวหน้าบัดสีที่สุด ถ้ามีโอกาสจะขึ้นต้นตั้งตัวได้ใหม่ในภายหน้าก็เป็นอย่างดี

ความรักทำแก่คนฉนี้เองหรือ

หมอยี่เข่งนึกต่อไปว่า ข้อที่รักวสันต์นั้นรักจริง ไม่มีที่สงสัย เกิดมาก็เพิ่งจะตกในความรักคราวนี้ แต่ก่อนเป็นคนอยู่คนเดียวไม่คบเพื่อน เป็นคนขรึมซึ่งไม่มีใครอยากคบ ไม่มีใครอยากเข้าใจว่า มีนิสัยใจคออย่างไร วสันต์คนเดียวเข้าใจ และเข้าใจในเวลาที่วสันต์เองก็อยู่ในความเปล่าเปลี่ยว วสันต์เป็นเหมือนคนเรือแตก ซึ่งคลื่นยอไปเกยฝั่ง และหมอยี่เข่งได้เป็นสหายพากันไปในดงแดนอันคนอื่นไปไม่ได้ ต่างคนต่างเกิดไมตรีและเสน่หา เพราะข้อที่เข้าใจกัน

หมอยี่เข่งนึกถึงหน้าวสันต์เมื่อกำลังเหี่ยวซีดอยู่ในที่นอน พอหมอยี่เข่งเข้าไปในห้อง ก็หันมาแลหา เหมือนต้นไม้ชูก้านไปหาแสงตะวัน นึกเช่นนี้ทำให้ใจอ่อน ข้อที่นึกขุ่นว่า เหตุใดตัวจึงเข้าไปพัวพันด้วยก็หายหมด กลับคิดว่าจะเป็นอะไรก็เป็นไป ยอมทั้งนั้น สองคนจะจูงกันฝ่าความลำบากทั้งหลายในโลก จะต้องสละอะไรก็ยอมทั้งนั้น

หมอยี่เข่งกำลังนึกถึงวสันต์คนไข้หนัก นอนหน้าซีดอยู่บนเตียงเช่นนี้ ก็พอก้าวเข้าไปในห้อง พบวสันต์หน้าตาเปล่งปลั่ง ก็ชะงักตะลึงเหมือนผิดตัว วสันต์หายเจ็บแล้ว เป็นวสันต์คนละคนกับรูปภาพในใจหมอยี่เข่งซึ่งคิดอยู่เมื่อกี้นี้เอง หมอยี่เข่งตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้คิดว่า เมื่อกี้เผลอเพราะภาพของวสันต์คนไข้กำลังติดอยู่ในใจ แต่อันที่จริง เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นดังนั้นแล้ว การที่วสันต์คนหายไข้ ผิดกับวสันต์คนไข้ที่จำหลักเป็นภาพอยู่ในใจเมื่อตะกี้นั้น ทำให้ความรู้สึกของหมอยี่เข่งเปลี่ยนไปอีก รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่น่าไว้ใจ อะไรมีมาใหม่ อะไรที่น่าตกใจครึ่ง ๆ ดูวสันต์เวลานั้นเหมือนนกขนสลับสีงาม ซึ่งเกาะไซ้ขนอยู่บนกิ่งไม้ ในเมื่อพายุฝนได้ผ่านพ้นไปแล้ว คนจะตาย คนต้องประคับประคอง เปลี่ยนเป็นสาวสดสวย ถึงหมอยี่เข่งจะได้เห็นมาทุกวัน ที่คนคนไข้ค่อยหายไปจนบัดนี้ ก็เห็นอย่างคนไข้ มิได้สังเกตอย่างอื่น ในวันนี้วสันต์นอนอยู่บนเตียง เพราะต้องการจะนอน ไม่ใช่เพราะจำต้องนอน หน้ามีเลือดมาบ่มฉวีซึ่งงามอยู่แล้วให้เด่น และมีผมดำเป็นกรอบ มีหมอนนุ่มใหญ่รองหัวเหมือนเบาะกำมะหยี่รองเครื่องเพชรอยู่ในหีบ หมอยี่เข่งไม่เคยสนใจดู จึงพึ่งจะเห็นวันนี้

หมอยี่เข่งเดินเข้าไปยืนข้างเตียง เพราะเห็นได้จากตาวสันต์ว่าให้เข้าไปใกล้ ๆ วสันต์ส่งมือให้ เคยทำอย่างนั้นเสมอ และหมอยี่เข่งเคยยกมือหนังหุ้มกระดูกขึ้นจูบ เพราะคิดว่าการทำเช่นนั้นทำให้คนไข้สบายใจ ที่เห็นว่าหมอเคารพนับถือ แต่วันนี้เมื่อวสันต์ยื่นมือมาให้ หมอยี่เข่งก็รู้สึกเหมือนว่าเป็นการท้าหัวใจ ท้าให้แสดงออกมาตรง ๆ หมอยี่เข่งชะงักยืนก้มดู และความยิ้มที่หน้าวสันต์ก็เหือดไปหมด

“ฉันได้พบนายกระจ่างเมื่อจะขึ้นบันไดมาเมื่อกี้ นายกระจ่างรู้แล้ว”

“ฉันบอกเอง”

“บอกให้ฉันรู้ตัวเสียก่อนก็จะดี”

“ในใจฉันมันเป็นเรื่องจริงจังมานานจนฉันนึกว่าใคร ๆ ก็รู้กันหมดแล้ว กระจ่างว่ากระไรบ้าง”

“ไม่ได้ว่ากระไรมาก แสดงน้ำใจดี เป็นการแสดงเมตตาตามความเห็นของตน”

“เมตตาตามความเห็นของกระจ่างเป็นเมตตาจริง ๆ เสมอ ยอมเสียเปรียบมาก ๆ ก็ได้”

“นายกระจ่างบอกว่า จะเป็นผู้ทำเองให้วสันต์พ้นความผูกพันธ์กับนายกระจ่าง”

วสันต์สั่นหัว “ยี่เข่งกับฉันจะปล่อยให้กระจ่างเป็นฝ่ายเสียชื่ออย่างไรได้ จะเป็นยุติธรรมที่ไหน เราต้องพากันหนีไป ต้องยอมเสียชื่อ ต้องยอมซื้อความสุขของเรา”

วสันต์พูดเหมือนจะชวนหมอยี่เข่งให้เห็นด้วย แต่หมอยี่เข่งรู้ว่าวสันต์ตกลงในใจตนเองเสร็จแล้ว คนอย่างวสันต์ คนสวย คนมีสกุล คนมั่งมี ถึงจะเกิดเรื่องเกรียวกราวฉาวน่าไปพักหนึ่ง ไม่ช้าก็สงบได้ คนจะกลับนับหน้าถือตาคบค้าสมาคมดังเก่า เพราะความงามรูป งามสกุล งามทรัพย์ ย่อมจะเป็นทุ่นคอยพยุงให้ลอยกลับขึ้นได้ หมอยี่เข่งนึกแน่ในใจว่า วสันต์คิดตลอดปลอดโปร่งไปในส่วนตัววสันต์ ไม่ได้คิดถึงหมอยี่เข่งเลย หมอยี่เข่งเองจะเหมือนกันไหม ถูกถอนขึ้นกันทั้งราก และจะถูกลากตามหลังภรรยามั่งมีไปในสมาคมชนิดที่หมอยี่เข่งไม่เคยเข้าถึง จะดูเป็นผีอำมากกว่าความเป็นไปชนิดที่ผาสุก

แต่หมอยี่เข่งตอบว่า “เราจะปล่อยให้นายกระจ่างกลับเป็นผู้เสียชื่อโดยกรุณาต่อเราอย่างไรได้”

“เราต้องรีบหนีไป ต้องไปก่อนเกิดยุ่งยากยิ่งกว่านี้ ต้องไปก่อนที่จำเป็นต้องไป เพราะทนอยู่ไม่ได้”

หมอยี่เข่งนิ่งอึ้ง ใจนึกไปถึงคนไข้ที่กำลังรักษาอยู่อีกหลายราย ไข้ซึ่งแปลกประหลาด แต่เพิ่งเห็นทางจะรักษาได้ก็มี ไข้ซึ่งจะให้ชื่อเสียแก่หมอก็มี ถ้าผลุนผลันทิ้งไปก็น่าเสียดายที่สุด แต่หมอยี่เข่งพูดขัดเพียงว่า ยังไม่มีกำลังพอ จะไปอย่างไรได้”

“ทำไมจะไม่พอ ยี่เข่งก็รู้ว่าฉันมีกำลังพอจะไปได้ แลคงจะรู้ว่าไม่มีกำลังพอจะอยู่ ไม่ใช่ไม่มีพอจะไป”

“ฉันยังติดรักษาไข้อยู่อีกหลายราย

“ก็จัดให้หมออื่นรักษาแทนซี ให้ใครรักษาก็ต้องให้ทำตลอดไป เพราะเราจะกลับมาอยู่แถบนี้อีกไม่ได้”

หมอยี่เข่งแทบจะเลือดขึ้นหน้า ดูวสันต์เห็นง่ายไปหมด อาชีพซึ่งหมอยี่เข่งลงกำลังแลเวลาสร้างให้เจริญขึ้นได้ถึงเพียงนี้ วสันต์ให้โยนทิ้งเหมือนเสื้อเก่า ๆ

วสันต์ “ฉันมีเงินพอทั้ง ๒ คน ไม่ต้องเป็นห่วง”

หมอยี่เข่ง “อย่างไรได้ ฉัน........”

วสันต์จับมือหมอยี่เข่งไปลูบแล้วว่า “เสียใจยี่เข่ง ฉันไม่ได้ตั้งใจอย่างที่ยี่เข่งนึกดอก ฉันนึกว่าจะไปกันอย่างไง เงินมีหยิบได้เร็ว ๆ แล้วหรือ ยี่เข่งจะทิ้งอาชีพเสียอย่างไรได้”

“ต้องทิ้งเป็นแน่ ต่างว่าแพทยสมาคมไม่ตัดชื่อฉันออกจากทะเบียน เพราะจรรยาไม่ได้ คนไข้ก็คงไม่มาให้รักษา หมอที่....ที่....ที่ทำอย่างที่ฉันจะทำนี้ ใครเขาจะคบ”

“อย่าวิตก ทำงานทดลองเรื่องโรคก็ได้ ยี่เข่งเคยบ่นอยู่เสมอว่าอยากทดลอง แต่ไม่มีเวลาทำ เพราะติดรักษาไข้ ต่อไปนี้ เราจะสร้างสำนักงานสำหรับทดลอง ซื้อเครื่องมืออย่างดีที่สุด เปลืองเงินเท่าไรเปลืองไป

มาตอนนี้ดูเหมือนวสันต์มีไม่ไว้ใจ มีวิตกอะไรอยู่ในกิริยา ดูราวกับพยายามจะติดสินบล มือก็จับมือหมอยี่เข่งไว้ แต่ก่อนหมอยี่เข่งเคยพอใจที่คนไข้จับมือไปถือไว้ แต่เวลานี้ดูเหมือนอยากจะพ้นไปเสียจากมือนั้น เหตุไฉนวสันต์ซึ่งกำหนดใจเห็นลู่ทางปลอดโปร่งแล้วจึงกลับเป็นเช่นนี้ จะมีด้วยมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือกลัวจะเปลี่ยนแปลงหรือ

หมอยี่เข่ง “ขอบใจมากที่ช่วยคิดและจะจัดให้เช่นที่ว่า”

วสันต์ “ยี่เข่งเห็นว่าได้จะพอกับเสีย และยี่เข่งยังอยากได้ฉันอยู่หรือ”

หมอยี่เข่ง “ฉันไม่ใช่คนชนิดที่เปลี่ยนใจ” (พูดแล้วนึกเสียใจที่ทำอาการลังเล จึงพูดแก้ว่า) “ฉันไม่เคยรักใครเลยนอกจากวสันต์ และถ้าไม่ได้อยู่กับวสันต์ก็เห็นว่าอยู่ไปไม่ไหว ข้อนี้วสันต์ทราบแล้วไม่ใช่หรือ”

สองคนแลพบตากัน แต่อึดใจเดียววสันต์ก็หลับตาเสีย ประหนึ่งว่าอ่อนเพลียนัก หมอยี่เข่งสงสัยว่าวสันต์แกล้งหลับตา เพราะไม่มีอาการว่าเพลียถึงเพียงนั้น เมื่อสองสามสัปดาห์นี้เอง ตาคนใกล้ตายของวสันต์ แลดูหน้าหมอเหมือนคนหิวแลดูอาหาร ต่างคนก็นั่งนิ่งดูกันอยู่ได้ นาน ๆ ดูราวกับเห็นทะลุปรุโปร่งเข้าไปถึงหัวใจ แต่ในบัดนี้ตาคนหายโรคกลับหลับเสีย จะมีอะไรในลูกตาหมอยี่เข่งที่ไม่อยากดูกระมัง

หมอยี่เข่งไม่รู้จะพูดว่ากระไร หรือทำอะไร รู้สึกตัวว่า งุ่มง่ามเหมือนที่เคยรู้สึกในพวกคนผู้ไม่ใช่คนไข้ หรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับไข้ หมอยี่เข่งไม่รู้จะทำอย่างไร มือก็ยื่นไปจับชีพจร ไม่ได้นึกจะยื่น มันยื่นไปเอง

วสันต์สดุ้งตัวนิดหน่อยและลืมตาขึ้น ดูขันเหลือเกิน และไม่นึกว่าจะเป็นไปได้ เมื่อเป็นหมอกับคนไข้ จะจับชีพจรก็ถูกแล้ว แต่นี่เป็นคนรักกำลังพูดกันถึงเรื่องรัก เหตุใดจึงจับชีพจร วสันต์เกือบจะหัวเราะ แต่สะกดไว้ได้ พูดว่า “อย่าจับชีพจรเลยยี่เข่ง ฉันไม่ได้เป็นอะไรดอก”

วสันต์แลดูหมอยี่เข่งเห็นชักนาฬิกาออกถือไว้ จ้องดูนาฬิกาอย่างขัน แลดูรูปร่างท่าทางทำให้นึกถึงลครตลก วสันต์แลดูแล้วก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ หัวเราะดัง ๆ และหัวเราะจนเหนื่อย

หมอยี่เข่งเลิกการตรวจชีพจรทันที ปล่อยข้อมือวสันต์แล้ว ยืนขึ้นทำท่าเหมือนถูกตบหน้า รู้สึกประหนึ่งว่าอยู่ในห้องตกแต่งอย่างงาม สองต่อสองกับหญิงแปลกหน้า ซึ่งสวยที่สุด

และหญิงนั้นหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่มีความปรานี

บ่ายวันนั้น บ้านนายกระจ่าง ศุภลักษณ์ มีการรับแขกในสวน เป็นงานสมโภชเจ้าของบ้านผู้หญิงหายเจ็บ ญาติมิตรไปแสดงความยินดีกันมาก สวนซึ่งกระจ่างใส่ใจมากเพื่อให้ความสุขแก่วสันต์นั้น เป็นสวนงามน่าตื่นและกระจ่างก็ตื่นมาก วันนั้นเผอิญเป็นวันดีไม่ร้อนเกินไป และไม่เย็นจนเกินคนเพิ่งหายไข้ ดอกไม้สีต่าง ๆ ในสวนมีเครื่องแต่งตัวหญิงที่ไปเป็นแขก เป็นเครื่องช่วยให้มีสีเต็มขึ้นอีก ทั้งหมดเป็นที่น่าปลื้มใจ

วสันต์นั่งในท่ามกลางแขก ซึ่งต่างคนต่างเข้าไปล้อมแสดงความยินดี วสันต์มีอาการยิ้มแย้มหน้าตาสดใส ดูเหมือนเจ้าสาวมากกว่าคนเพิ่งหายไข้ กระจ่างจะไปทางไหนก็เห็นวสันต์ร่ำไป ถึงจะเดินเที่ยวพูดกับแขก หรือหันหลังหันข้าง ก็เห็นอยู่เรื่อย เสียงพี่วสันต์พูด ไม่ใช่เสียงดัง แต่มีความชื่นระคนอยู่ ได้ยินไปแทบทั่วทุกซอกทุกมุมสวนที่กระจ่างพาแขกเดินวนเวียนไป เป็นเสียงหวานจับใจยิ่งนัก แต่ก่อนถ้ามีงานรับแขกเช่นนี้ ถึงกระจ่างกับวสันต์จะต่างคนต่างทำหน้าที่เจ้าของบ้าน ตาก็ชำเลืองไปสบกันและยิ้มรับกันไป แต่คราวนี้วสันต์ไม่แลดูเลย

เสียงแขกคนหนึ่งพูดว่า “ดูเหมือนจะยิ่งกว่าตายแล้วเกิดใหม่”

อีกคนหนึ่งว่า “ดูไม่มีอาการคนรื้อไข้เลย”

แต่คนที่พูดถูกตรงแท้นั้นพูดว่า “วสันต์สวยยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน”

ผู้พูดคำหลังนี้คือศุภา เวลานั้นกระจ่างมายืนอยู่กับศุภาที่ขอบสนาม และดูวสันต์ในท่ามกลางแขกเหมือนราชินีเสด็จออก กระจ่างไม่ต้องการจะเข้าไปยืนที่นั่น ดูไม่เป็นสง่า ได้เดินไปเสียให้พ้นหลายครั้ง แต่ก็กลับไปร่ำไป ราวกับมีสายใยชัก เมื่อยืนอยู่กับศุภาและศุภาพูดดังนั้น กระจ่างก็ว่า “ฉันอยากให้หมดเวลารับแขกเสียที พวกนี้จะได้กลับ ดูเวลานี้ดูเป็นเล่นลคร ทำให้รู้สึกว่าไม่มีอะไรจริงเลย”

“บางทีฉันก็ต้องหยิกตัวเอง เพื่อจะให้รู้ว่าไม่ใช่ฝัน วสันต์กับฉันก็เป็นเพื่อนรักกันอย่างที่สุด กลับมาเป็นเช่นนี้ไปได้”

กระจ่างเห็นศุภาคิดแคบเหลือเกิน เพียงแต่ไมตรีระหว่างหญิงสองคนจะสำคัญอะไร อ้ายหมอบ้านั่นสิเป็นตัวร้ายใหญ่

กระจ่าง “ฉันจะช่วยแก้ไขก็ไม่ได้ ใครจะเลือกอย่างไรก็ต้องตามใจ แต่วสันต์เห็นอ้ายหมอนั่นดีตรงไหน ฉันไม่เข้าใจเลย”

ศุภา “ก็กระจ่างเห็นฉันดีตรงไหนล่ะ”

กระจ่าง “อ้า” แล้วยิ้มดูศุภาเป็นเชิงเพียรจะตอบด้วยความแช่มชื่นในหน้าไม่ต้องใช้คำพูด แต่ไม่รู้จะสำเร็จ ศุภาเป็นคนรูปหน้าดี ทรวดทรงดี ท่าทางดี แต่งกายดี แต่ถ้าเทียบกับวสันต์ อายุที่แก่กว่ากันเพียงปีเดียว หรืออย่างมากสองปีนั้นดูเหมือนกว่า อนึ่งเพิ่งจะปรากฏแก่กระจ่างในบัดนี้ว่า ศุภากระเดียดจะเพิ่มน้ำหนักตัวขึ้นบ้างแล้ว นึกถึงการเดินทางไปเที่ยว ศุภาเห็นจะคล่องกว่าวสันต์ การตระเตรียมคงจะน้อยกว่ากัน เมื่อตกลงว่าจะไป ก็คงไปได้เร็ว วสันต์ต้องการหีบเสื้อผ้ามาก จนคราวหนึ่งไปเกิดเรื่องขันขึ้นที่ด่านภาษีแดนต่อแดน ตาเจ้าพนักงานด่านแก่ทำบ้าจนกระจ่างกับวสันต์หัวเราะแทบจุก พูดถึงก็หัวเราะทุกทีไปหลายวัน กระจ่างยืนนึกคนเดียว จนลืมตัวก็หัวเราะออกมาดังๆ

วสันต์ได้ยินเสียงกระจ่างหัวเราะ ก็เหลียวไปดูจนพบตากัน กระจ่างกระดากที่เผลอตัวไปจนถึงเพียงนั้น นึกว่าวสันต์คงจะเข้าใจว่า กระจ่างสนุกในการยืนพูดกับศุภา

กระจ่างพูดแก้ตัวว่า “ฉันนึกถึงด่านภาษีแดนต่อแดนวันนั้นขันเหลือเกิน อะไรทำให้นึกถอยหลังไปก็ไม่ทราบ”

กระจ่างพูดลอย ๆ ไม่ได้เจาะจงพูดกับใคร และเพราะพูดแก้กระดาก ก็เลยพูดดังเกินไปอีก พวกที่ได้ยินก็หันไปคอยฟัง เพราะนึกว่ากระจ่างจะเล่า แต่กระจ่างเห็นวสันต์หน้าแดงเรื่อเหมือนอายแทน กระจ่างโกรธตัวเองจนจะฆ่าตัวตายก็แทบได้ เสียงที่พูดดูโง่เต็มทน แต่ที่จริงก็ต้องการจะให้วสันต์รู้ ว่าหัวเราะเรื่องอะไร ไม่ใช่....

วสันต์พูดกับแขกที่อยู่รอบๆ ว่า “กระจ่างยังเหมือนเด็กโรงเรียนอยู่เสมอ อะไรขันก็ขันไปได้หลาย ๆ ปี”

วสันต์ว่าเท่านั้นแล้วก็เปลี่ยนเรื่องพูด ดูเป็นทีว่าเรื่องที่กระจ่างเอ่ยขึ้นนั้นเป็นเรื่องซึ่งวสันต์จำไม่ได้ แต่จำไม่ได้กระจ่างก็เห็นแปลกเหลือเกิน ดูเป็นคนไม่มีจิตมีใจจนเหลือที่จะเชื่อได้

กระจ่างนึกในใจต่อไปว่า ดูอ้ายหมอจังไรนั้น มันต้องมาในงานวันนี้เพราะมันเป็นคล้าย ๆ นายโรงเอก เป็นผู้ช่วยชีวิตนางเอกไว้ได้ ดูเครื่องแต่งตัวมันยู่ยี่ราวกับว่า เมื่อคืนนี้นอนไม่ได้ผลัดเสื้อผ้า และเสื้อที่สวมมาวันนี้ ก็คือเสื้อที่นอนเมื่อคืนนั้นเอง ดูกิริยาอาการมันเปิ่นจนไม่รู้จะทำอย่างไร จะเข้ากับใครก็เข้าไม่ได้ ดูเร่ไปเร่มาไม่ทอดสมอลงที่ไหนได้ คนอย่างนี้เหตุไฉนวสันต์จึงรัก ในโลกนี้มีของบางอย่างที่เหลือมนุษย์จะเข้าใจได้

กระจ่างหันไปพูดกับศุภา “นี่แน่ะ; ศุภา จะทนไปอย่างนี้อีกไม่ไหวแล้ว ศุภาต้องให้ฉันพาพรุ่งนี้ ฉันพร้อมแล้ว ยิ่งไปเร็วยิ่งดี ศุภาจะพร้อมหรือยัง”

ศุภาพูดช้า “พรุ่งนี้เทียว”

ความเร่งร้อนในใจกระจ่างทำให้แทบจะโกรธ หญิงคนนั้นอาจเป็นเพื่อนเดินทางดี (ทั้งเดินทางในภูมิประเทศต่าง ๆ และในชีวิต) แต่เป็นคนช้าเอามาก ๆ จะทำอะไรก็ต้องคิดเหตุผลและตระเตรียมมิให้บกพร่อง ผิดกับวสันต์มาก วสันต์นั้นเมื่อว่าไปหรือก็ไปกัน หีบเสื้อผ้ากี่ใบๆ ก็ไม่ชักช้า กระจ่างได้ยินเสียงศุภาพูด เป็นเสียงคนที่ชั่งได้ชั่งเสีย เสียงคนมีสติตรึกตรอง เสียงคนที่ควรไว้วางใจได้ กระจ่างบอกตัวเองว่า รักศุภาอย่างลึกซึ้ง เพราะเป็นเพื่อนอย่างดีจริงๆ แต่ว่านั่นแหละ เพื่อนอย่างดีจะหนีตามตัวของเพื่อนไปก็ยากหน่อย

ศุภาถามว่า “กระจ่างแน่ใจหละหรือว่าอยากจะไป”

กระจ่าง “คนชนิดฉันนี่หรือจะเปลี่ยนใจง่าย ๆ”

ศุภา “ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะตอบให้ทราบ จะเขียนจดหมายมาบอกพรุ่งนี้เช้า กระจ่างจะได้รับจดหมายของฉัน อย่าเพิ่งตระเตรียมอะไรน๊ะ”

ศุภาเป็นคนมีใจอารีต่อเพื่อน เห็นกระจ่างเป็นสามีเหมาะกับวสันต์ที่สุด เป็นคนใจดีและใจผู้ดี แต่กระเดียดจะทึบอยู่สักหน่อย ช่างไม่เห็นเสียเลยว่าศุภาจะต้องสละอะไรบ้าง ในการที่จะยอมให้กระจ่างพาไป การสละชื่อเสียงอันงามและฐานะอันดีในสมาคมนั้น ไม่สำคัญอะไร ไม่ทำให้ศุภาอกหัก แต่การสละความรักของเพื่อน ซึ่งนอกจากความตาย ก็ไม่ควรมีอะไรมาทำให้แตกแยกกันออกไปได้นั้น สละไปง่าย ๆ หาได้ไม่ การที่ศุภากับวสันต์จะต้องจากกันไป และจะไม่ได้พบกันอีกเลยนั้น ถ้าเพียงเท่านั้นก็ยังค่อยยังชั่ว แต่ที่จะมีกระจ่างเป็นเหมือนตามมาค่อยประหัถประหารอยู่หว่างกลาง แม้แต่เพียงจะนึกถึงอย่างเพื่อนรักที่เคยเป็นมาแทบตลอดชีวิตก็คงจะไม่ได้ ศุภานึกแค้นกระจ่างที่ไม่คำนึงถึงความเสียสละใหญ่ของศุภาเสียเลย

ศุภานึกอยากจะบอกกระจ่างว่า “นี่แน่ะ; กระจ่าง ถ้าจะพูดตามใจของฉันแล้ว สู้เชือกผูกเกือกของวสันต์ก็ไม่ได้” แล้วอยากเดินเข้าไปทางวสันต์บอกว่า “วสันต์เรามาขึ้นต้นความเป็นเพื่อนกันใหม่เถิด ทั้งหมดนี้โง่เหลือเกิน ลืมชายน่าเบื่อคนนั้นเสียดีกว่า”

ศุภานึกอยากอยู่ในใจฉนี้ ก็แลไปดูวสันต์พบตากัน เห็นตาวสันต์มีแววเศร้าและดูเหมือนจะมีห่วงใยอยู่ในนั้น วสันต์คงจะกำลังนึกอยู่ในใจว่า “ทั้งหมดนี้โง่เหลือเกิน”

ศุภาพูดกับกระจ่างว่า “ฉันจะกลับบ้านหละ”

กระจ่าง “ฉันจะไปส่งที่ประตูบ้าน”

สองคนก็เดินเคียงกันไปนิ่ง ๆ ไม่ได้พูดกันว่ากระไร

ครั้นเกือบจะถึงประตูบ้าน กระจ่างก็ว่า “อย่าให้ฉันต้องคอยนานนะศุภา”

ศุภา “ฉันจะเขียนจดหมายไว้แต่คืนนี้”

กระจ่าง “ฉันจะทนอยู่อย่างนี้ไม่ไหวอีกแล้ว และไม่ยุติธรรมแก่วสันต์ด้วย”

ศุภาเดินนิ่งตรงไปอีกสองสามก้าวแล้วหยุดยืนหันมาแลดูตากระจ่าง บอกด้วยสำเนียงแน่นแฟ้นว่า “วสันต์ไม่รักชายคนนั้นดอก”

กระจ่าง “ไม่รักหรือ ทำไมถึงว่าไม่รัก”

ศุภา “เดี๋ยวนี้ไม่รัก มีคนบางคนเป็นสหายอย่างดีในเวลาจะตายเมื่อเป็นเพื่อนเดินทางไปสู่มรณะ แต่หมดปัญหาเรื่องจะตายแล้ว ก็ไม่มีใครอยากอยู่ด้วย”

กระจ่าง “ศุภาอย่า....”

ศุภาหันหน้าออกเดินไปได้อีกสองก้าวก็เหลียวมาพูดว่า “กระจ่างเป็นคนน่ารัก แต่โง่มาก คอยรับจดหมายฉันเถิด”

กระจ่างยืนดูศุภาเดินออกประตูไป หัวคันไม่เข้าใจคำที่พูดว่าแปลว่ากระไรแน่ ครั้นศุภาไปแล้ว กระจ่างก็เดินกลับเข้าไปในสวน หัวยังมึนตรงความหมายของศุภายังไม่ตกอยู่นั่นเอง

ส่วนวสันต์นั้นถึงทำเป็นไม่ดู ตาก็ชำเลืองเห็นกระจ่างเดินออกไปกับศุภา วสันต์เห็นได้ว่ากระจ่างเดือดร้อนในใจมาก เห็นได้ที่ไหล่หู่ เพราะไหล่กระจ่างไม่เคยหู่ เหตุไฉนกระจ่างจึงกลับย้อนไปนึกถึงด่านภาษีที่แดนต่อแดนวันนั้น จนกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ กระจ่างกับศุภาคงไม่หัวเราะด้วยกันมากนัก เพราะศุภาเป็นคนขรึมกว่ากระจ่าง ถึงรู้จักเห็นขันก็ไม่ขันเกิ้กก้าก ศุภาเกิดมาสำหรับเป็นผู้ใหญ่ กระจ่างกับวสันต์เกิดมาสำหรับเป็นเด็กไม่รู้แล้วรู้รอด วสันต์นึกดังนี้แล้วก็นึกต่อไปว่า ถ้าวสันต์ไม่เจ็บจวนตาย กระจ่างกับวสันต์ก็จะอยู่เป็นเด็กไปด้วยกันจนแก่ เช่นที่กระจ่างว่าเมื่อวานซืน และถ้ามีทุกข์อะไรมาก็จะได้ทุกข์ด้วยกัน จนตายไปด้วยกัน

แต่ความเปลี่ยนแปลงได้มีมาเสียแล้ว และอะไรเป็นไปแล้ว ก็ย้อนกลับไปใหม่ไม่ได้ เมื่อเป็นไปแล้ว ก็ต้องทำไปให้ตลอด

วสันต์พยักเรียกหมอยี่เข่งเข้าไปใกล้แล้วว่า “เห็นหรือยังเล่าฉันมีกำลังพอแล้ว พรุ่งนี้ยี่เข่งไปคอยฉันที่สถานีแต่เช้า เราจะไปรถไฟ ๗ นาฬิกา จะคอยไปอีกก็ไม่ได้แล้ว ไม่เป็นยุติธรรม และเป็นการซ่อนความจริงนานเกินไป”

หมอยี่เข่งพยักหน้าแต่ไม่พูดว่ากระไรหน้าซีดหมด รู้สึกตัวเหมือนสัตว์ป่าที่มีผู้จับได้และนำออกไปให้คนโง่ ๆ ดู หมอยี่เข่งเกลียดคนทั้งหมด นึกอยากฆ่าให้ตายเกลื่อนลงไป แต่นึกกลัวด้วย ในใจจริงอยากจะเอาตัวรอดไปให้พ้น แต่รู้ตัวว่าไม่มีทางจะรอดได้

พอกระจ่างกลับเข้าไปถึงสนาม วสันต์ก็ลุกขึ้นยืน บอกกับพวกแขกว่า “ฉันต้องหนีขึ้นเรือนเสียที ได้พบพวกพ้องวันนี้ดีใจเหลือเกิน แต่ออกจะเหนื่อยแล้ว”

แขกคนหนึ่งพูดว่า “เมื่อไปเปลี่ยนอากาศกลับมาแล้ว............”

ใครอีกคนหนึ่งพูดล้อว่า “ไปเปลี่ยนอากาศคราวนี้ จะเป็นเดือนน้ำผึ้งครั้งที่ ๒ ซ้ำใหม่อีกครั้งหนึ่ง”

วสันต์แลดูพบตากระจ่างทั้งที่โพล้เพล้จวนมืดก็ยังพอเห็นได้ ทันใดนั้นวสันต์ได้ยินตัวเองหัวเราะอย่างที่เคยหัวเราะ ความแช่มชื่นในชีวิตมีมาในสำเนียงดังแต่ก่อน แล้วว่า “เดือนน้ำผึ้งครั้งที่ ๒ นั่นแหละเป็นของขวัญซึ่งถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิต”

กระจ่างคอยให้พวกแขกลาไปจนหมด และเดินไปส่งถึงหน้าเรือนแล้วก็กลับเดินไปในสวน ตรงไปที่เก้าอี้หวาย ซึ่งเมื่อกี้วสันต์นั่งก้มดูเก้าอี้เปล่า ราวกับนึกว่าวสันต์จะกลับไปนั่งอีก แล้วเอามือจับแขนเก้าอี้ออกชื่อวสันต์ออกมาดังๆ ไม่นึกกลัวใครจะได้ยิน แต่ก็เผอิญไม่มีใครอยู่ที่นั่น กระจ่างไม่เคยรักใครเท่าวสันต์ และไม่เคยรักใครเท่าวสันต์เวลานี้ แต่เมื่อยั้งคิดก็คิดได้ว่าล่วงเลยไปเสียแล้ว เหมือนกับฝีมือเหล็กมาจับให้แยกจากกัน จะดิ้นรนก็ไม่หลุด

กระจ่างเดินไปใต้หน้าต่างห้องนอนวสันต์ เห็นไฟเปิดแล้วและแสงไฟส่องลงมาทำให้รู้สึกราวกับกฤชแทงหัวใจ เมื่อก่อนแต่งงาน กระจ่างเห็นแสงไฟที่หน้าต่างห้องนอนวสันต์เคยนึกว่า “หน่อยเถิด หน่อยเถิด” และบัดนี้ วสันต์จะกลับกลายไปเป็นของคนอื่น คนอื่นซึ่งเปิ่น ซึ่งไม่สมกัน เป็นที่สุด อ้ายเปิ่นนั้นจะเข้าสวมที่กระจ่าง จะเป็นผู้ได้ฟังวสันต์หัวเราะ จะได้ฟังเสียงพูด ซึ่งหวานยิ่งกว่าอะไรๆ”

กระจ่างเดินกลับไปกลับมาอยู่ใต้หน้าต่างวสันต์ แต่ไม่ได้ยินฝีเท้า เพราะหญ้านุ่ม หัวใจเต้นจนแทบจะเจ็บออกมานอกอก ประเดี๋ยวก็โกรธเต็มที นึกว่าควรฆ่าหมอยี่เข่งฆ่าศุภาและฆ่าตัวเองในที่สุด

แต่ไม่มีทางเลี่ยงหลีก คนมีความสัตย์ได้ตกลงอะไรไปแล้ว ก็ต้องทำไปจนถึงที่สุด จะกลับถอนตัวกระไรได้ ป่านนี้ศุภาอาจกำลังเขียนจดหมายอยู่ก็ได้

นึกถึงศุภาก็หวนนึกถึงคำที่ศุภาพูด ศุภาหมายความว่ากระไรเหตุใดจึงบอกว่า วสันต์ไม่ได้รักหมอยี่เข่ง และเหตุไรจึงถามกระจ่างว่า แน่ใจหละหรือที่จะพาศุภาไป วสันต์จะไม่รักอ้ายเปิ่นนั้นจริงกระมัง และศุภานั้นจะไม่เต็มใจไปก็อาจเป็นได้ ศุภาเป็นเพื่อนทั้งกระจ่างทั้งวสันต์ เป็นเพื่อนซึ่งมีสติปัญญาควรไว้ใจความเห็นได้ บางทีวสันต์เองก็ไม่เต็มใจจะไปกับหมอยี่เข่งกระมัง ถ้าเช่นนั้นวสันต์เองก็ขืนใจจะทำไปเพราะกลัวเสียสัตย์ และอ้ายเปิ่นนั้น มันเองอาจไม่เต็มใจก็เป็นได้ เพราะต้องมากเหมือนกัน

แต่ถ้าวสันต์ไม่รักหมอยี่เข่งก็รักใคร เสียงหัวเราะนั้นมีความรักอยู่ด้วยเป็นแน่ และคำที่ว่าถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิต ก็แสดงให้เห็นเช่นกัน เวลาที่หัวเราะและพูดนั้น ขมุกขมัวเสียแล้ว กระจ่างไม่เห็นตาวสันต์ มิฉะนั้นก็เข้าใจได้ ถ้าจะรอจนพรุ่งนี้ ก็จะช้าเกินไป ต้องทำอะไรให้ได้ความแน่นอนคืนนี้

กระจ่างตกลงในใจว่า ต้องขึ้นไปหาวสันต์ ไปเล่าความจริงในใจให้ฟังว่าไม่ได้รักศุภาดอก จะพาไปก็ไม่พา และไม่มีประเพณีอะไรที่บังคับชายให้หมดความสัตย์ต่อเมีย กระจ่างจะไป แต่จะไปคนเดียวไปให้ถึงขั้วโลก

กระจ่างหันตัวจะไปเข้าประตูหน้าเรือน แต่แหงนดูหน้าต่างวสันต์หยุดยืนอยู่กับที่ จะเดินขึ้นเรือนไปทางประตู ก็จะต้องผ่านบ่าวไพร่ อยากจะปีนขึ้นไปทางหน้าต่าง แต่จะปีนหน้าต่างเรือนของตัวเองขึ้นหาเมียของตัวเอง ถ้าใครมาพบเข้าก็โง่เต็มที่ พบก็พบ คนกำลังรักไม่ระแวงกลัวอะไรทั้งนั้น

กระจ่างยกม้าสำหรับคนสวนตัดต้นไม้มารองเท้า โหนตัวปืนขึ้นไปบนหน้าต่าง พอหน้าโผล่เสียงก็กระเส่าเรียกว่า “วสันต์”

วสันต์หันมาเห็นกระจ่างขึ้นหน้าต่างขึ้นไป ก็หัวเราะพลางอ้ามือรับ กระจ่างรีบลงจากหน้าต่างวิ่งเข้าไปกอดและว่า “วสันต์เราหนีไปด้วยกันไหม”

วสันต์ “ไปซี ไปเมื่อไรล่ะ”

กระจ่าง “ไปคืนนี้ ไปลงเรือเสียแต่กลางคืน รุ่งเช้า เรือออกทะเลไม่มีใครรู้ ก็ตามเราไม่ทัน”

วสันต์ “ออกทะเลไปไหน”

กระจ่าง “ไปดื่มน้ำผึ้งครั้งที่ ๒ น่ะซี”

วสันต์ “อีกครึ่งชั่วโมงฉันพร้อม เรือไปไหนเราไปนั่น”

กระจ่าง “เรือไปสิงคโปร์ แต่เราจะไปไหนต่อไป ก็ไปคิดเอาข้างหน้า”

คืนนั้นศุภาเขียนจดหมายถึงกระจ่างชี้แจงยืดยาว รวมความว่าให้กลับไปหาวสันต์เสียเถิด จึงจะมีความสุขด้วยกันทั้ง ๒ คน แต่จดหมายนี้ส่งถึงบ้านกระจ่างตอนเช้า กระจ่างกับวสันต์ไม่ได้อ่านจนกลับจากเดือนน้ำผึ้งครั้งที่ ๒ ส่วนหมอยี่เข่งนั้น เมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นก็ไปคอยเก้ออยู่ที่สถานีรถไฟ แต่เมื่อเก้อแล้วก็โล่ง เพราะไม่ต้องฉุกลหุกในเรื่องชื่อเสียงและการหากินต่อไป.

 

  1. ๑. ประมวญมารค ฉบับที่ ๓๔ หน้า ๕ ปีที่ ๒ ศุกร์ที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ