นางงามกับนะโปเลียน

มีคำกล่าวกันว่า นะโปเลียนเป็นผู้หันหน้าสู้สึกทั้งโลกได้ปราศจากความหวาดหวั่น อาจยืนในแนวทางของปืนใหญ่ข้าศึกได้โดยไม่สทกสท้าน แต่เมื่อสู้หน้ากับตางามของหญิงเพียง ๒ ตา ก็มีพระทัยสั่นระรัวไปหมด พระองค์อาจทำอำนาจเป็นเจ้าเป็นใหญ่ ขยี้ยุโรปด้วยส้นรองพระบาท ทำให้ประเทศใหญ่ๆ สั่นเป็นลูกนก เมื่อได้ข่าวศึกนะโปเลียน แต่พระทัยของนะโปเลียนเองเป็นทาสของหญิงงาม เป็นทาสอย่างดิ้นรนเดือดร้อน แต่หาใช่ดิ้นรนจะเป็นไทยไม่ อาจทรงผลจากการเขียนคำสั่งบังคับประเทศที่แพ้ ไปเขียนจดหมายรักถึงหญิงแบบบางคนเดียว เปลี่ยนจากถ้อยคำเบ่งอำนาจก้าวร้าว ไปเป็นคำอ้อนวอนยกยอความงามของหญิง อย่างที่เด็กหนุ่มในโรงเรียนก็แทบจะไปเขียน เพราะเป็นถ้อยคำแทบจะว่าได้ว่า เกลือกกลิ้งลงไปบนตักผู้หญิง ถ้าไม่ต่ำกว่านั้น

บรรดาสตรีที่เปลี่ยนตัวกันกำหัวใจนะโปเลียนไว้ในมือนั้น เห็นจะไม่มีใครรักษาตำแหน่งไว้ได้แน่นหนานานเท่านางวาลิวสกา (หรือวาลิวสกี้) ชาวโปแลนด์ซึ่งขึ้นนั่งแท่นความรักของนะโปเลียนโดยมิเต็มใจ แต่ยอมเสียตัวเพราะความรักชาติบ้านเมืองยอมทิ้งผัวชรา เพื่อประโยชน์แก่ลูกชาย ซึ่งยังเป็นทารก ในที่นี้เราจะนำเรื่องของนางนั้นมาเล่า โดยมากเก็บข้อความมาจากหนังสือ ซึ่งเป็นผลแห่งการค้นคว้าความรู้ของนักเขียนผู้หนึ่งชื่อ เฟเดอริก แมสสัน

เมื่อวันที่ ๑ เดือนมกราคม ค.ศ. ๑๘๐๗ เมืองเล็กเมืองหนึ่งในประเทศโปแลนด์ ชื่อเมืองโบรเนีย มีผู้คนมุงกันคับคั่ง ไหนจะชาวเมืองนั้นเอง ไหนจะคนที่แตกตื่นไปจากเมืองอื่น รวมทั้งชาวกรุงวอซอ คือเมืองหลวงของประเทศโปแลนด์ด้วย วันนั้นเป็นวันสำคัญ เพราะนะโปเลียนจะไปถึงเมืองนั้น และจะผ่านเลยไปกรุงวอซอ นะโปเลียนได้กำหราบออสเตรียแล้วจนเสมอกับคุกเข่า รัสเซียกำลังสั่นสท้านเกรงอำนาจ และทัพปรัสเซียซึ่งอวดไว้หนักไว้หนา พอปะทะทัพนะโปเลียนได้หน่อย ก็หันหลังหนี เสียแล้ว ชาวประเทศโปแลนด์ซึ่งถูกประเทศใกล้เคียงข่มขู่มาช้านานนั้น บัดนี้นับถือนะโปเลียนคือเทพดามาช่วย หวังว่านะโปเลียนจะเป็นผู้ช่วยกู้ประเทศโปแลนด์ ให้คืนเป็นเอกราชดังเดิม เหตุดังนี้เมื่อนะโปเลียนผ่านเมืองไหนในโปแลนด์ ราษฎรเมืองนั้นและตำบลใกล้เคียง ก็มาแซ่ซ้องกันชมโพธิสมภารตามทางที่กระบวนเสด็จผ่านไป

ในวันนั้นคนได้คอยดูอยู่หลายชั่วโมง รถที่นั่งนะโปเลียนจึงขับเข้าไปในเมืองโบรเนีย ราษฎรก็โห่ร้องถวายพรกันใหญ่ บ้างก็เข้ากลุ้มรุมจนราชรถต้องหยุด

มีเสียงหวานในหมู่คนร้องว่า “ขอไปหน่อย ขอไปหน่อย ขอให้ดูพระองค์สักที ถึงจะเห็นอึดใจเดียวก็ตามที”

พวกที่เบียดเสียดกันอยู่นั้น ได้ยินเสียงแจ่มใสของนางก็หลีกให้นางวาลิวสกา เข้าไปจนใกล้รถพระที่นั่งหน้าที่กำลังตื่นเต้น ก็มีผิวแดงงามตาก็ลืมโต และดูเอ็มเปอเรอร์ด้วยความกล้า อันเกิดแต่ศรัทธานับถือ การที่หญิงผู้ดียังสาวอุส่าห์บากบั่นเบียดเสียดมา เพื่อจะได้เห็นพระพักตร์เป็นขวัญตานั้น เป็นอันได้เห็นแล้ว นางจึงร้องทูลว่า “ชาวโปแลนด์ยินดีนัก ที่เสด็จมาถึงประเทศนี้”

นะโปเลียนถอดพระมาลายิ้มรับคำสรรเสริญของนาง นางจึงร้องทูลต่อไปว่า เราจะว่ากระไรหรือทำอะไรก็ไม่พอกับภักดีของเราที่มีต่อพระองค์ เราแลดูพระองค์อย่างดูบุรุษที่จะมาปลดประเทศของเราให้พ้นทุกข์

นะโปเลียนก้มพระเศียรยิ้มรับคำของนาง แล้วยื่นช่อดอกไม้ประทานช่อหนึ่ง ตรัสว่า “นางจงรับช่อดอกไม้นี้เป็นพยานไมตรีของข้า ข้าหวังจะได้พบนางอีกครั้งหนึ่งในกรุงวอซอ เพื่อจะได้ฟังคำขอบใจจากริมฝีปากงามของนาง”

ครั้นรถที่นั่งออกขับไป นะโปเลียนก็ถอดพระมาลาโบกประทานราษฎรที่โห่ถวายชัย และประทานหญิงสาวที่ทูลความรู้สึกของตนโดยเฉพาะ เห็นได้ในพระพักตร์ว่าทรงยินดีมาก

หญิงสาวที่ตรงเข้าเกาะพระทัยนะโปเลียนทันทีแต่ตนเองก็ยังไม่รู้นั้น คือนางมารีวาลิวสกา เป็นบุตรีของคนมีสกุลสูงในโปแลนด์ แต่จนเต็มที บิดาตายเสียแต่ยังเด็ก นางคนนี้เป็นลูกคนหนึ่งในหกของมารดาผู้เป็นแม่หม้าย เมื่อเป็นสาวขึ้นร่างกายก็สะสมแต่ความงาม แต่ใจมั่นอยู่ในความรัก ๒ อย่างคือ รักพระผู้เป็นเจ้าอย่าง ๑ รักประเทศโปแลนด์อย่าง ๑ ครั้นอายุได้ ๑๕ ปี ก่อนเวลาที่เล่าเรื่องนี้ ๓ ปี เมื่อมารีกำลังสดมีลักษณะดอกไม้แย้ม เป็นเด็กหญิงสวยที่สุดในโปแลนด์ ตาน้ำเงิน ผมสีทองซึ่งดกงาม ผิวเหมือนจะมีรัศมี และรูปเป็นสง่าอย่างหาเปรียบยาก ก็ได้แต่งงานกับชายคนหนึ่ง ซึ่งมั่งมีที่สุดและสกุลสูงที่สุด แต่อายุพอจะเป็นปู่ได้ ต่อมาอีกราวปีหนึ่งเมื่อมารีวาลิวสกา อายุประมาณ ๑๖ ปี ก็มีลูกชายเป็นกำนัลคนหนึ่ง และความรัก ๒ อย่างที่เคยมีนั้น บัดนี้เพิ่มความรักลูกขึ้นอีกอย่างหนึ่ง ตั้งแต่มีลูกแล้วมา ความหวังที่ว่าวันหนึ่งวันใด โปแลนด์จะรอดพ้นจากความข่มขี่คือเป็นประเทศอิสระได้นั้น ก็หวังเพราะลูกมากกว่าเพราะตัวเอง และมาบัดนี้ เมื่อมีโอกาสจะได้เข้าเฝ้านะโปเลียน ก็หวังว่าจะได้เพ็ดทูลอ้อนวอนให้ช่วยกู้ประเทศขึ้น เพื่อประโยชน์แก่ลูกที่จะโตขึ้นในภายหน้า แต่ในการที่เพียรหาประโยชน์ให้แก่ประเทศนั้น ไม่ทันนึกว่าจะต้องเข้าเนื้อตนเอง ตนเองจะเป็นเหมือนเครื่องเส้นบำบวงเทวดา

นางมารีวาลิวสกา (หญิงอายุ ๑๘ ปี) กลับจากเมืองโบรเนียวันนั้นเมื่อไปถึงบ้านก็เก็บความลับไว้แน่น ไม่ตั้งใจจะบอกผัวหรือใครว่าได้ไปดูเอ็มเปอเรอร์เสด็จผ่านเมืองโบรเนีย ได้เฝ้าเมื่อรถที่นั่งหยุดกลางถนน จนถึงได้ประทานช่อดอกไม้ ทั้งหมดนี้จะเก็บเป็นความลับลั่นกุญแจไว้ในอก ถือเป็นการบุญ ซึ่งถ้านำออกเล่าให้คนอื่นฟัง ก็สิ้นขลังไปหมด ส่วนช่อดอกไม้นั้นจะเก็บเป็นที่ระลึกตราบวันตาย

แต่ความคิดของมารีวาลิสกานั้น หาตรงกับความคิดของนะโปเลียนไม่ นะโปเลียนโปรดให้สืบทราบทันทีว่า นางงามนั้นคือใคร อยู่ที่ไหน และแม้เมื่อทราบแล้วว่า เป็นคนมีลูกมีผัวก็ไม่ปลดความใฝ่ฝันหา พระทัยหันไปคำนึงหน้าสาวสวย และเสียงไพเราะของนางร่ำไป แม้ราชการทัพศึกก็ไม่กันนางสวยออกไปนอกความนึกได้ เพราะฉนั้นไม่ช้าก็มีแขกสำคัญไปที่บ้านนางวาลิวสกา แขกนั้นคือ ปริ๊นส์โยเซฟ โปเนียตอฟสกี้ ซึ่งเป็นเจ้าและเป็นแม่ทัพสำคัญของโปแลนด์ เคยออกศึกมีชื่อเสียงมามาก เมื่อเข้าสมทบรับราชการกับนะโปเลียน ก็ได้รับยศเป็นจอมพลคุมทัพ ๆ หนึ่ง

ปริ๊นส์โปเนียตอฟสกี้ไปที่บ้านนางวาลิวสกาวันนั้น เชิญรับสั่งนะโปเลียนไปถึงนางว่า ให้เชิญนางไปในงานเต้นรำที่โปรดให้มี เพื่อประทานเกียรติ์แก่นางโดยเฉพาะ

นางวาลิวสกาเกิดอึกอักในใจขึ้นมาทันที ถามว่าเหตุใดเอ็มเปอเรอร์จึงจะประทานเกียรติถึงเพียงนี้ และเหตุไรจึงทรงรู้จักว่านางคือใคร ปริ๊นส์โปเนียตอฟสกี้ตอบว่า เหตุใดจึงประทานเกียรติใหญ่โต และเหตุไรจึงทราบว่านางคือใครนั้น เป็นข้อซึ่งเต็มเปอเรอร์เท่านั้นจะทรงตอบได้ ปริ๊นส์โปเนียตอฟสกี้เองไม่ทราบ เป็นแต่เพียงรับๆ สั่งให้มาเชิญนางไปในการเต้นรำเท่านั้น บางทีพระเจ้าในสวรรค์จะเลือกให้นางเป็นผู้ช่วยกู้ประเทศโปแลนด์ก็เป็นได้

นางวาลิวสกาตอบเด็ดขาดว่าไม่ไป ปริ๊นส์โปเนียตอฟสกี้จะอ้อนวอนสักเท่าไรก็เป็นกระต่ายยืนโกร้อยู่ขาเดียว ในที่สุดปริ๊นส์โปเนียตอฟสกี้ก็ต้องลากลับ ว่าจะนำความไปทูลเอ็มเปรเรอร์

แต่ปริ๊นส์โปเนียตอฟสกออกจากบ้านไปไม่นาน ก็มีผู้หลักผู้ใหญ่ของโปแลนด์เนื่องกันไปหานางวาลิวสกาแทบตลอดวัน ทุกคนวิงวอนขอให้นางทำตามพระทัยนะโปเลียน เพื่อประโยชน์แก่ประเทศ ในที่สุดผัวของนางโอ่งบังคับ นางก็ต้องยอม

วันงานนั้น นางวาลิวสกาใจคอไม่อยู่กับตัว กลัวที่สุดแต่ไม่รู้ว่ากลัวอะไรแน่ ครั้นถึงเวลาก็แต่งตัวพอควร ใช้เสื้อผ้าทำด้วยแพร่ขาวทั้งตัว มีเครื่องประดับแต่ช่อใบไม้กลัดที่ผม นอกนั้นเกลี้ยงหมด เมื่อนางไปถึงที่เต้นรำ คนทั้งหลายก็ดูเป็นตาเดียวกัน เสียงกระซิบชมกันรอบห้อง นางเดินแหวกพวกแขกเข้าไปถึงปริ๊นส์โปเนียตอฟสกี้ ซึ่งยืนยิ้มคอยรับอยู่ ปริ๊นส์โปเนียตอฟสกี้บอกว่า “เอ็มเปอเรอร์ทรงคอยนางด้วยความดิ้นรนในพระทัยที่สุด และทรงยินดีนักที่นางมาในงานนี้ ตรัสสั่งให้ฉันให้ขออนุญาตต่อนางว่าให้ได้ทรงเต้นรำด้วย”

นางตอบว่า ดิฉันเต้นรำไม่เป็น และไม่ต้องการเต้น

ปริ๊นส์ “กระนั้นอย่างไรได้ ถ้านางไม่ยอมเต้นรำกับเอ็มเปอเรอร์ ก็จะขัดพระทัยนัก ความสำเร็จของงานนี้อยู่ที่นางคนเดียว นางจะทำดึงดันไปอย่างไรได้”

นางตอบว่า “ดิฉันเสียใจนัก ดิฉัน...ดิฉันเต้น....เต้นไม่ได้จริงๆ ท่านโปรดทูลเอ็มเปอเรอร์ให้ประทานอภัยต่อดิฉันด้วย”

ในขณะที่นางพูดอยู่นั้น นะโปเลียนเสด็จเกือบจะถึงตัวอยู่แล้ว เพราะเสด็จตรงเข้าไปหาแทนที่จะคอยให้มีผู้นำเฝ้า นางวาลิวสกานั่งอยู่บนเก้าอี้ ครั้นเสด็จมาหยุดยืนอยู่หน้าเก้าอี้ก็ลุกไม่ขึ้น นั่งก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าเงยขึ้นดูพระพักตร์ นะโปเลียนตรัสดัง ๆ จนได้ยินกันทั่วห้องว่า “ขาวบนพื้นขาวไม่ถูกน๊ะนาง” แล้วก้มลงทรงกระซิบว่า “ข้าได้หวังไว้ว่า นางจะแสดงไมตรีต่อข้าดีกว่านี้” นางไม่ยิ้มและไม่เงยหน้าดูพระพักตร์เลย ก้มหน้านิ่งจนเสด็จเลยไป

เมื่อกลับจากงานคืนนั้น นางวาลิวสกาถึงบ้านแล้ว ก็ยังทุรนุทรายใจเป็นที่สุด รู้ตัวว่าไม่ได้แสดงกิริยาดี แต่จะบังคับตัวก็บังคับไม่ได้ นึกกลับไปกลับมาว่า เอ็มเปอเรอร์ทรงหมายอย่างไร จึงเจาะจงประทานความใส่พระทัยแก่นางผู้เป็นคนเล็กน้อยเท่านั้นเอง จะคิดว่ากระไร ให้ติดต่อยืดยาวไป ก็กลัวจนไม่กล้าคิด ให้กลัวเป็นกำลัง จนอยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้พบพระพักตร์ได้อีก จะทำอย่างไรก็ยากแสนยาก หญิงมีลูกมีผัวแต่สาวอายุเพียง ๑๘ ปี จะคิดฉันไรก็คิดไม่ตก จะปรึกษาใครก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครเห็นอกเลยแม้แต่สามีของตนก็เห็นดีไปด้วย

นางกระสับกระส่ายตรึกตรองอยู่เช่นนี้ในห้องนอน ก็พอมีเสียงเคาะประตูแล้วสาวใช้นำจดหมายเข้าไปส่งให้ฉบับหนึ่ง เปิดอ่านได้ความว่า

“ข้าไม่ได้ดูใครเลย นอกจากนางข้าไม่ได้ชมใครเลย ข้าอยากได้แต่นางคนเดียวนางจงตอบข้า เพื่อจะดับเพลิงอันรุมรึงในใจของ

นางวาลิวสกาอ่านจดหมายนั้นแล้ว ก็ขยี้เสีย หัวใจเต้น หน้าแดงก่ำบอกแก่สาวใช้ว่า “ไม่มีตอบ” ความกลัวของนางเป็นอันรู้แน่ชัดแล้วในบัดนี้เห็นพระทัยและความประสงค์ของเอ็มเปอเรอร์อย่างแจ่มแจ้ง ความแค้นใจที่นะโปเลียนทำเช่นนี้ กล้าดูถูก กล้าทำราวกับเป็นหญิงชั่ว กล้าชวนให้ยินยอมในความไม่มีศีลมีธรรมเหล่านี้ทำให้นางต้องร้องไห้เกลือกอยู่กับหมอนเกือบตลอดคืน แต่ในที่สุดความหลับง่ายของสาว ก็ทำให้หลับไปได้

เมื่อนางวาลิวสกาตื่นขึ้นตอนเช้า ลืมตาก็เห็นสาวใช้ยืนถือซองจดหมายอยู่อีกซองหนึ่ง เป็นจดหมายนะโปเลียนเหมือนกัน จดหมายซองนี้นางไม่เปิดอ่าน กลับหยิบฉบับก่อนที่ขยี้แล้วนั้นกลับมาพับเข้าซองอื่น แล้วเอาซองใหม่นี้ใส่เข้าด้วยกัน สั่งให้คืนไปให้เจ้าของ เมื่อทำดังนั้นแล้ว ก็ตรึกตรองกระสับกระส่ายไปอีก จะทำอย่างไรจึงจะรอดพ้นบ่วงไปได้ จะบอกสามีก็ไม่กล้า จะปรึกษาใครก็ไม่มีใครเลย

ในวันนั้นมีแขกไปหาตลอดวัน พวกรัฐบาลและพวกผู้หลักผู้ใหญ่ไปกันเรื่อยรวมทั้งดูโรด์กรมวังของนะโปเลียนด้วย แขกเหล่านั้นต่างคนก็ต่างจะขอพบนางวาลิวสกา แต่นางให้กลับลงไปบอกว่า วันนั้นไม่สบายต้องอยู่ในห้องนอน รับแขกไม่ได้ การที่มีแขกคนใหญ่คนโตไปหา และภรรยาไม่ยอมพบดังนี้ ทำให้สามีโกรธมากในที่สุดบังคับให้นางรับแขก และให้ไปในงานดินเนอร์ที่จะประทานเลี้ยงเป็นเกียรติแก่นางด้วย

การเป็นดังนี้ นางจะดื้อดึงตัวก็ไม่ไหว ไหนจะมีคำชี้แจงจากคนทั้งหลาย ซึ่งไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรจึงจะแก้ได้ ไหนจะคำวิงวอน ไหนจะคำว่าไม่เห็นแก่ประเทศ ไหนจะถูกบังคับ ในที่สุดก็ต้องยอมตกลงจะไปรับประทานเลี้ยง และเตรียมตัวจะไปนั่งโต๊ะหลวง จะมีผลอย่างไรก็กลัวจนไม่กล้าคิด ครั้นตกลงกันแล้ว ก็ถูกมอบให้นางวอมันเป็นผู้แนะนำจรรยาในราชสำนัก และในเรื่องแต่งกาย (นางวอมันเป็นภรรยานอกทะเบียนแต่งงานของปริ๊นส์โปเนียตอฟสกี้) อนึ่งเพื่อจะให้แน่นอนว่า นางวาลิวสกาจะไม่กลับดื้อดึงไปอีก ได้มีจดหมายจากพวกผู้ใหญ่ในโปแลนด์มีไปถึง ขอให้นางรักประเทศ อย่าให้ขัดใจผู้แทนที่พึ่ง อาจกู้โปแลนด์คืนสู่ฐานะยืนยงต่อไป

ดังนี้ก็เป็นที่เห็นได้ว่า กำลังทั้งหลายช่วยกันเหนี่ยวรั้งหมด ประเทศ ผู้เป็นที่นับถือ และเพื่อนฝูงทั้งหลาย และแม้แต่ศาสนา ก็รวมกำลังกันฉุดหญิงอายุ ๑๘ ปี ผู้ไม่มีความชำนาญในเล่ห์เหลี่ยมของโลก ให้ตกลงในฐานะอันแผกเพี้ยนจากฐานะของปกติชน จะเอาผัวเป็นที่พึ่งก็ไม่ได้ จะหามิตรแท้ ๆ เป็นที่ปรึกษาก็ไม่ได้ ระหว่างนี้ก็ได้รับจดหมายจากเอ็มเปอเรอร์ร่ำไป เช่นที่ทรงเขียนว่า “ข้าได้ทำให้เกิดขุ่นมัวในใจนางหรือข้าได้หวังไว้ว่าจะเป็นอย่างอื่น จะเป็นด้วยข้าสำคัญผิดไปหรืออย่างไร นางได้แสดงอาการในคราวแรกว่า มีใจเร่าร้อน แต่เดี๋ยวนี้ใจนางเย็นไป แต่ดวงใจของข้ายิ่งเร่าร้อนหนักขึ้นทุกที นางได้ทำลายความสงบในใจของข้าเสียแล้ว ขอนางจงให้ความชื่นและความสุขแก่หัวใจ ซึ่งคอยจะบูชานางอยู่นี้บ้างเถิด”

ดินเนอร์คืนนั้น ซึ่งกว่าจะได้ตัวมารีวาลิวสกาไป ก็ต้องลำบากยากเย็น ร้อนถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเป็นอันมากนั้น เมื่อถึงคราวเข้าจริงก็ยังไม่สู้กระไรนัก เพราะเอ็มเปอร์เรอร์มิได้ทรงรุกเร้าเต็มที่ เมื่อนางไปถึงพี่เลี้ยงก็ได้ฟังคำเยินยอจากคนทั้งหลายในที่นั้น ซึ่งบางคนก็เห็นนางเป็นผู้จะทำให้ประเทศหลุดพ้นจากความตกต่ำได้ แต่บางคนก็ต้องการเพียงจะประจบคนซึ่งดูท่าทางจะมีบุญเท่านั้น ส่วนนะโปเลียนเองนั้น เมื่อนางเข้าไปถึงพระองค์ ก็ทรงจับมือด้วย และตรัสว่า “ข้าได้ยินว่านางวาลิวสกาไม่สบาย แต่บัดนี้หวังใจว่าหายแล้ว” เท่านั้นเอง แต่ในเวลาที่นั่งโต๊ะ คนทั้งหลายสังเกตว่า พระเนตรแลไปทางนางวาลิวสกา เหมือนถูกแม่เหล็กดึง และพระทัยก็ไม่ได้นึกถึงคนอื่นหรือสิ่งอื่นเลย แม้จะเหลียวไปตรัสกับใคร ประเดี๋ยวเดียว พระเนตรก็กลับไปอย่างเก่าอีก

ครั้นลุกจากโต๊ะเสวยแล้ว เอ็มเปอเรอร์ ตรัสกับคนนั้นคนนี้ ประเดี๋ยวเดียวก็เสด็จตรงไปหานางวาลิวสกา ทรงจับมือนิ่ม พระเนตรจ้องดูตาอย่างเสน่หาล้ำลึก ได้กระซิบว่า “ไม่เป็นไปได้ ไม่เป็นไปได้ ตางามสุขมเช่นตาของนาง ประกอบกิริยาละมุนละม่อมเช่นนี้ จะเป็นตาและกิริยากระด้างไม่ได้ นางยินดีในการแกล้งทรมานข้า ข้าไม่เชื่อเลยว่า นางเป็นคนยั่วให้ข้าหลง แต่มีใจเหมือนเหล็ก เป็นหญิงมีใจดุร้ายที่สุด”

เมื่อแขกชายกลับแล้ว พวกแขกผู้หญิงก็เข้ากลุ้มรุมกับนาง ช่วยกันยอจนเลิศ บางคนว่า “เราพวกผู้หญิงอยู่ด้วยกันเป็นกอง แต่ไม่ทอดพระเนตรเห็นเราสักคนเดียว เท่ากับเราไม่ได้มาที่นี่ พระเนตรอยู่กับนางเท่านั้น และเมื่อทอดพระเนตรนางดูราวกับแสงไฟออกจากพระเนตร

บางคนก็ว่า “นางจับพระทัยไว้เป็นเชลยแล้ว นางจะให้ทรงทำอะไรก็ได้ การยกฐานะแห่งประเทศของเราให้สูงขึ้นนั้น อยู่ในมือนางแล้ว”

คำยอเหล่านี้ มารีวาลิวสกาไม่ใยดี แต่ข้อที่ว่า จะช่วยประกาศได้นั้นจับใจนางยิ่งรู้ว่าที่นางนึกรู้ในเวลานั้น จริงหรือที่ว่า นางสามารถจะยกฐานะของประเทศขึ้นได้ การทำเช่นนั้นเป็นของน่าทำเหลือเกิน และนางไม่เคยอยากอะไรยิ่งกว่าที่จะให้โปแลนด์รอดพ้นจากเป็นเมืองทาสได้ แต่ว่า...เพื่อที่จะให้ประเทศได้รับผลเช่นนั้น นางจะต้องสละสิ่งซึ่งหญิงย่อมสงวนเป็นที่สุด สงวนยิ่งกว่าชีวิต ยิ่งกว่าอะไร ๆ หมด

นางกำลังตรึกตรองปั่นป่วนในใจเช่นที่เล่านี้ ก็พอดูโรค์กรมวังของเอ็มเปอเรอร์เข้าไปหา วางจดหมายของนะโปเลียนให้บนตัก แล้วพูดเกลี้ยกล่อมให้ยินยอมต่อเอ็มเปอเรอร์ด้วยคำซึ่งดูโรค์รู้จักใช้อย่างเฉลียวฉลาด “นางจะตัดไมตรีของผู้ที่ไม่เคยยอมให้ใคร ไม่ยอมได้หรือ รัศมีพระเกียรติ์ของเอ็มเปอร์เรอร์มัวไปในเวลานี้ และถ้านางยินดีตามพระประสงค์ให้ทรงมีความสุขแม้เพียงสองสามชั่วโมง รัศมีนั้นก็จะแจ่มขึ้นได้ดังเก่า การเป็นถึงเพียงนี้ นางจะดึงดันไปกระไรได้” ดูโรค์พูดทำนองนี้ไปจนมารีวาลิวสการ้องไห้โฮขึ้น แล้วซบหน้าลงสะอื้นราวกับอกจะพัง ดูโรค์ก็เพียรปลอบอยู่ช้านาน จนนางค่อยคลายสะอื้นเข้าแล้ว จึงออกจากห้องไป ทิ้งจดหมายไว้ให้ จดหมายนั้นมีความในตอนหนึ่งว่า

“มีเวลาบางคราวที่เครื่องประดับเกียรติยศอย่างสูงสุด กลับเป็นเครื่องบีบหัวใจให้เศร้า ดังที่ข้ารู้สึกอย่างลึกอยู่ในขณะนี้ ข้าจะทำอย่างไรหนอจึงจะสมอยากที่จะเอาหัวใจวางลงไปที่เท้าของนาง จะทำอย่างไรจึงจะปัดเป่าความขัดข้องของนางให้หลุดพ้นไปได้ นางคนเดียวสามารถจะแก้ความเร่าร้อนของข้าได้ ดูโรค์กรมวังผู้เป็นเพื่อนของข้าจะช่วยนางทุกอย่าง นางเห็นยากตรงไหน ดูโรค์จะแก้ให้หายยาก มาเถิด นางจงมาเกิด นางต้องการอะไรจะสมหมายทั้งนั้น ถ้านางสงสารหัวใจอันกรมเกรียมของข้า ประกาศที่รักของนางก็จะเป็นที่รักของข้าด้วย

การเป็นดังนี้ มองหาลู่ทางที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นไปได้นั้น ก็ไม่เห็นมี นะโปเลียนเองก็กล่าวเหมือนกับผู้หลักผู้ใหญ่ในโปแลนด์เองว่า ประเทศของนางจะกลับตั้งตัวได้ ก็เพราะนางคนเดียว นางนึกฝันตื่น ๆ เห็นโปแลนด์หลุดพ้นจากความกดขี่ของชาติต่างประเทศ ได้เป็นอิสระและคืนเป็นประเทศบริบูรณ์ด้วยเกียรติ์อย่างที่เคยเป็นในโบราณ ทั้งหมดนั้นเป็นผลเกิดแต่นางคนเดียว เกิดจากความสละของนาง พอนึกถึงคำว่าสละก็กระตุกให้สะดุ้ง สละอะไร ภาพประเทศโปแลนด์รุ่งเรืองนั้น มีคำว่าสละนี้มาเป็นหมอกคลุมไปหมด นางสละได้หรือ ประเทศจะฟื้นขึ้นได้ด้วยเอาเกียรติคุณของหญิงลงพล่า และหญิงนั้นคือตัวนางเอง มารีวาลิวสกาคิดกลับไปกลับมาดังนี้หลายตะหลบ แต่กำแพงที่มั่นในใจของนางจวนจะทลายอยู่แล้ว จะต่อสู้ความโจมตีของนะโปเลียนไปอีกนานคงจะไม่ได้ นางยังเห็นทางอยู่อีกทางเดียว คือ พบกับนะโปเลียนตัวต่อตัวทูลตรง ๆ ว่า จะถวายความรักตอบนั้นถวายไม่ได้ จะอ้อนวอนอย่างอ้อนวอนชายมีออนเน่อร์ อย่าให้หญิงต้องพล่าตัวถวายเพื่อจะช่วยประเทศขอให้ทรงช่วยโดยที่ไม่ต้องทำอย่างนั้นเถิด

ระหว่างที่คอยเวลาเพื่อจะได้เฝ้าทูลอ้อนวอนเช่นที่ว่านี้ ความทุรนทุรายใจยิ่งหนักขึ้น ๆ จนแทบจะทรงตัวนั่งอยู่ไม่ได้ ครั้นเวลา ๔ ทุ่มครึ่ง ก็มีผู้มาเคาะประตูเปิดเข้าไปในห้อง เอาเสื้อคลุมตัวนาง เอาหมวกซึ่งมีผ้าคลุมหน้าสวมให้ แล้วพานางซึ่งมีสติครึ่งไม่มีครึ่งออกไปยังถนน ซึ่งมีรถจอดคอยอยู่ เมื่อนางขึ้นแล้ว รถก็ออกขับไปตามถนน เมื่อไปจอดที่ประตูลับของพระราชวัง ประตูนั้นพอรถหยุดก็มีผู้เปิดทันที และมีผู้พยุงนางขึ้นไปบนตึกซึ่งเป็นราชฐาน พาไปนั่งบนเก้าอี้ใหญ่ และทันใดนั้น นะโปเลียนก็เสด็จเข้าไป คนอื่นก็ออกไปจากห้องหมด นางนั่งน้ำตาไหลพราก ๆ เห็นเอ็มเปอเรอร์ทรงคุกเข่าอยู่ตรงเท้า ตรัสปลอบโยนด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน ซึ่งนางไม่ค่อยได้ยิน แต่เมื่อตรัสถึงผัวชราของนาง นางก็รู้สึกตนขึ้นมาว่า ตกอยู่ในที่ขับขัน ลุกทะลึ่งขึ้นจะหนีจากห้อง นะโปเลียนทรงยึดตัว ไว้ และพากลับไปนั่งเก้าอี้อย่างเก่า ได้ทรงปลอบโยนอ้อนวอนนางอยู่ช้านาน ก็ไม่ยินยอม ตรัสว่า นางจะรักผัวแก่นั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะแก่เกินไปนัก การที่แต่งงานกันย่อมเป็นเครื่องน่าบัดสี ไม่เป็นไปตามธรรมดาของมนุษย์ จะถือเป็นเครื่องผูกรัดนั้นไม่ได้ ต่อไปจะประทานความรักอย่างที่นางไม่เคยถึง จะประทานยศและอำนาจ ซึ่งจะทำให้นางเป็นผู้มีเกียรติเสมอคนสูงสุดในโลก และในที่สุดจะทรงช่วยยกประเทศโปแลนด์ให้คืนฐานะยิ่งใหญ่ตามเดิม

นะโปเลียนตรัสอยู่เช่นนี้ช้านาน นางก็ขัดขืนโดยวิธีร้องไห้สะอื้นอยู่อย่างเดียวจนเวลา ๘ ทุ่ม ก็มีผู้มาเคาะประตู นะโปเลียนตรัสว่า อะไรดึกถึงเพียงนั้นแล้วหรือ นี่แน่ะ แม่นกเขางามเศร้าของข้า ไปพักเสียทีเถิด อย่ากลัวนกอินทรีย์เลย นกอินทรีย์ต้องการอำนาจอย่างเดียว คืออำนาจบังคับความรักของนกเขาเท่านั้น ความรักของนกอินทรีย์นี้นอกจากจะได้ความรักออกจากใจจริงของนางเป็นเครื่องตอบแทนแล้ว ก็จะไม่มีเวลาพอใจเลย นางจะต้องรักตอบให้จงได้ เพราะนอกจากสิ่งนี้แล้ว นางจะบังคับให้ทำอะไรก็ได้ทั้งหมด ทั้งหมดได้ยินไหม ทั้งหมด”

นะโปเลียนตรัสดังนั้นแล้ว ก็หยิบเสื้อคลุมของนางไปคลุมตัวให้ แล้วพาไปจนถึงประตูห้อง แต่เมื่อไปถึงประตูแล้วก็ตรัสว่า วันรุ่งขึ้นจะกลับมาเฝ้าใหม่ สัญญาเช่นนั้น ในที่สุดนางก็ต้องสัญญา มิฉนั้นนางก็ไปไม่ได้

รุ่งเช้าเมื่อมารีวาลิวสกาลืมตาขึ้นในที่นอน ก็เห็นสาวใช้ถือจดหมายฉบับหนึ่งยืนคอยให้อยู่ นอกจากจดหมาย ยังมีช่อดอกไม้ช่อหนึ่ง กับหีบเครื่องเพชรหลายหีบ หีบเหล่านั้น เมื่อสาวใช้เปิดออกให้นายดู ก็ส่งแสงกระจายไปในแดด มารีแย่งหีบจากสาวใช้ขว้างกระจายไป แล้วสั่งให้เก็บคืนกลับไปเสีย ส่วนจดหมายเปิดอ่านได้ความ (ตามที่นายเฟรเดอริค แมซซั่นนำมากล่าว) ว่า “มารี มารี ผู้หลานของข้า สิ่งแรกที่ข้าคิดถึงก็คือนาง สิ่งแรกที่ข้าต้องการก็คือ นางจงมาหาข้าดังที่ได้สัญญาไว้ ถ้านางไม่มาตามสัญญา นกอินทรีย์จะบินไปเกาะที่ตัวนาง ข้าจะได้พบเมื่อมากินดินเนอร์คืนนี้ นางจงรับช่อดอกไม้นี้ไว้เป็นลูกโซ่ลับ ซึ่งเหนียวเราทั้ง ๒ ไว้ด้วยกัน เรามีช่อดอกไม้เป็นเครื่องหมาย ก็จะส่งความรู้สึกในใจให้ทราบถึงกันได้ต่อหน้าคนทั้งหลาย โดยที่คนทั้งหลายไม่ทราบ เมื่อข้าเอามือกดตรงหัวใจ นางจงทราบว่า หัวใจกำลังใฝ่ฝันถึงนาง นางจงจับช่อดอกไม้เป็นคำตอบว่า เข้าใจความรู้สึกของข้า มารีของข้าจงรักข้า แล้วจงวางมืออยู่บนช่อดอกไม้นี้เสมอ”

มารีรู้ว่า การที่จะไม่ยอมไปดินเน่อร์โง่ เพราะดึงดันไปไม่ไหว แต่เมื่อไปก็ไม่เอาช่อดอกไม้ไปด้วย นะโปเลียนเห็นนางไปมือเปล่า ก็มีพระพักตร์ขุ่น และตลอดเวลาดินเนอร์ ดูเหมือนแทบจะไม่ได้ตรัสกับนางเลย แต่ดูโรค์เป็นผู้นั่งต่อนาง ช่วยปลอบโยนวิงวอนแทนเจ้าของตนเป็นอย่างดี และทำให้นางสัญญาว่า จะไปเฝ้าอีกในคืนนั้น

คืนนั้นนางวาลิวสกาไม่ค่อยจะครั่นคร้ามเหมือนเมื่อคราวก่อน เพราะนะโปเลียนทรงพูดเกลี้ยกล่อมดี ๆ มิได้ใช้กำลังทับโถม นางจึงเชื่อว่าจะไม่ทรงรังแกยิ่งกว่านั้นไป และหวังว่าจะทูลอ้อนวอนได้ แต่คืนนั้นนะโปเลียนแสดงพระทัยคนละ ๒ อย่าง ขึ้นต้นก็ตรัสอย่างมึนตึง และตรัสถามว่า เหตุไรนางจึงมีใจดุร้ายแก่พระองค์ที่สุด เหตุใดเมื่อประทานเครื่องเพชรและช่อดอกไม้จึงไม่รับ เหตุใดระหว่างดินเนอร์ นางจึงหลบพระเนตรตลอดเวลา การที่นางแสดงอาการเช่นนี้ เป็นการดูหมิ่น ซึ่งทรงยอมไม่ได้

ตรัสต่อไปด้วยสำเนียงแข็งขึ้นว่า “นางต้องรู้ว่า ข้าจะเอาชนะนางให้จนได้ ข้าจะบังคับให้นางรักข้า ข้าได้ช่วยปลดประเทศของนางให้พ้นจากความบังคับของศัตรู โปแลนด์เป็นลูกหนี้ของข้า ข้าจะให้ประโยชน์อีกก็ได้ แต่ว่านางจงดูนาฬิกาเรือนนี้ในมือข้า ข้าจะขว้างนาฬิกานี้ให้แตกกระจายไปเหมือนข้าจะทำแก่โปแลนด์ ถ้านางขืนขัดขวางน้ำใจข้า ถ้านางจะไม่ช่วยอุ้มชูหัวใจของข้า และไม่มอบหัวใจของนางให้ข้า ก็จงดูนาฬิกานี้”

เมื่อตรัสเช่นนั้นด้วยสำเนียงดังแล้ว ก็ทรงขว้างนาฬิกาเต็มแรง นาฬิกากระจายกำแพงคนละฟากห้อง ก็แตกกระจายไปเป็นร้อยชิ้น การกริ้วเช่นนี้ ให้ชายมีอำนาจและกำลังมั่นคงที่สุดในยุโรป ก็ตกประหม่า นางมารี วาลิวสกาตกใจจนทรงตัวอยู่ไม่ได้ ก็ล้มสลบอยู่กับที่นั้นเอง

ดังนั้นศึกก็เป็นอันแพ้ชนะกันในคืนนั้น เมื่อมารีฟื้นขึ้นก็เห็นนะโปเลียนก้มประคองเช็ดน้ำตาให้ เหมือนกับนางพยาบาลมือเบาที่สุด แล้วตรัสประเล้าประโลมเอาใจด้วยความอ่อนโยนอย่างยิ่ง

ต่อนั้นมานางวาลิวสกา ก็ยอมตัวให้เป็นไปตามยถากรรม ปลอบตนเองว่า ได้รับตอบแทน คือความพอใจ ที่ว่าได้ว่าได้ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศ นางได้ไปเฝ้าเอ็มเปอเรอร์ทุกวัน และปล่อยตัวตามแต่จะทรงโลมเล้า แต่การที่นางยอมตัวถวายอย่างใด ๆ ไม่แสดงว่าจะรุกเร้านั้น กลับทำให้เพลิงความรักของพระองค์ยิ่งลุกแรงกล้าขึ้น ส่วนสามีของนางนั้น เมื่อมาถึงตอนนี้ก็ทิ้งนางไป แต่นางกลับเป็นนางเอกของโปแลนด์ ซึ่งกลับเห็นว่า การสละความสัตย์ที่หญิงผู้แต่งงานพึงสมาทานนั้นเป็นเกียรติ์ใหญ่ ชาวประเทศโปแลนด์ในเวลานั้น แลดูนางวาลิวสกาไม่เห็นว่าเป็นเพียงเครื่องสวยของเอ็มเปอเรอร์ผู้มักมาก กลับเห็นเป็นภรรยาดีสมน้ำพระทัย และเป็นหญิงซึ่งจะทำให้ทรงรักโปแลนด์ และช่วยให้สู่อิสระได้

แท้ที่จริง กล่าวกันว่า ไม่มีผัวคนไหนจะรักเพียงเกินนะโปเลียนรักนางวาลิวสกา เวลาที่อยู่ห่างกัน ก็ไม่ทรงสำราญเลย พอจะไปได้เมื่อใด ก็เสด็จไปอยู่นางเสมอ ในงานต่าง ๆ คือดินเนอร์หรือสโมสรสันนิบาตเป็นต้น นางเป็นหญิงคนที่หนึ่ง และทรงแสดงอาการประหนึ่งบูชาเทพธิดา แต่อยู่มาไม่นานนางก็เห็นได้ว่า ความเสียสละนั้นไม่สำเร็จผลสมหมาย เพราะคำทรงสัญญานั้นเปลี่ยนเป็นคำแก้พระองค์ เป็นต้นว่า “ข้ารักประเทศของนางและเต็มใจจะอุดหนุนให้คืนสู่สิทธิตามเดิม แต่หน้าที่แรกของข้าศึก หน้าที่ซึ่งมีต่อประเทศฝรั่งเศส ข้าจะทำให้เลือดทหารฝรั่งเศสตกลงดิน เพื่อประโยชน์แก่ประเทศอื่นนั้นหาได้ไม่ ดังนี้นางวาลิวสกาก็เห็นได้ว่าความฝันของนางที่ว่าโปแลนด์จะคืนสู่อิสระนั้น จะเป็นไปไม่ได้ เพราะความเสียสละของนางเสียแล้ว

แต่ปรากฏในตอนต่อมาว่า นางวาลิวสกากลับรักนะโปเลียนโดยพระองค์เอง และหญิงคนใดจะไม่ใจอ่อนต่อผู้เสน่หาเด็ดเดี่ยวอย่างนะโปเลียนนั้น เห็นจะมีน้อย พระองค์เป็นผู้ชนะทุกทิศ แต่ยอมวางพระองค์ลงที่เท้านาง ยอมกระทำตนต่ำต้อยเมื่ออยู่ในระโหฐาน เพื่อจะประจบให้นางยิ้มและยินดีต่อพระองค์ดังนี้ ถึงหญิงจะใจเป็นน้ำแข็ง ก็คงจะละลายบ้าง แต่นางวาลิวสกานั้น ใจมิใช่น้ำแข็งเลย เคยตรัสว่า “ข้าได้มีโอกาสนำชาติต่าง ๆ เดิมข้าก็เป็นเมล็ดโอ๊กเมล็ดหนึ่ง เดี๋ยวนี้ข้าเป็นต้นโอ๊กใหญ่มีมหาสาขา แต่ถึงข้าจะเป็นต้นโอ๊กต่อผู้อื่น ข้าก็ชื่นใจที่จะเป็นเมล็ดโอ๊กของนาง ในเวลาที่อยู่ในสมาคมมากมาย ข้าจะบอกนางว่า มารีข้ารักนางที่สุด ก็บอกไม่ได้ ข้าอยากจะบอกร่ำไปไม่ว่าเวลาไหนทั้งนั้น แต่เมื่อมีคนแวดล้อมอยู่มาก ก็พูดเช่นนั้นไม่ได้ เพราะเป็นการเสื่อมเกียรติ์เจ้าแผ่นดิน”

นางวาลิวสกามีความสุขที่สุด เมื่อนะโปเลียนเสด็จไปอยู่ด้วย ห่างจากความสง่าผ่าเผยของราชสำนัก อยู่เป็นเพื่อนกันสองต่อสอง ทำให้นางมีเสน่หาเต็มที่ต่อบุรุษมีกำลัง ซึ่งยินดีเป็นประหนึ่งทาสของนาง ครั้นเมื่อนะโปเลียนจะกลับปารีส ทรงชวนนางไปด้วย นางก็รู้สึกว่า แม้การที่เป็นไปแล้วหาประโยชน์แก่โปแลนด์มิได้ ถ้าไปปารีสก็จะยิ่งห่างไกลจากประโยชน์นั้นยิ่งขึ้นอีก นางไม่เต็มใจจะไป แต่ก็ทรงอ้อนวอนชักชวนจนสำเร็จ ตรัสว่า “ข้าก็รู้แล้วว่านางไม่ได้ให้หัวใจแก่ข้าจริงจัง แต่นางก็รู้อยู่ว่า ข้าอยู่ไม่มีนางก็อยู่ไม่ได้ นางจะตัดความสุขชั่วเวลาวันละนิดละหน่อยที่ข้าจะได้จำเพาะเมื่อได้อยู่ใกล้ ๆ นางได้หรือ นางคงจะต้องสงสารข้าบ้าง จงให้ข้ากลับไปอยู่ปราศจากความสุขคนเดียวอย่างไรได้ ใจข้าเป็นดังนี้ แต่คนทั้งหลายยังอุตส่าห์เรียกข้าว่า เป็นคนโชคดีในโลก”

นางวาลิวสกาก็เป็นอันตามเสด็จไปปารีส ต่อมาก็คลอดบุตรชายถวายคนหนึ่ง โลกปารีสเพียรจะรุมกันเข้าเยินยอตัวนางตัวโปรดของเอ็มเปอร์เรอร์ แต่นางไม่รับยอของใคร ชอบอยู่เงียบ ๆ ในบ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งนะโปเลียนเสด็จไปทุกเวลาที่เสด็จได้ และประทานความสุขสำราญตามใจชอบทุกประการ

นางวาลิวสกาซื่อตรงต่อนะโปเลียนตลอดเวลาที่ทรงไว้ซึ่งราชอำนาจ จนเมื่อทรงถูกเนรเทศไปอยู่เกาะเอลบาแล้ว ยังตามไป เพียรจะช่วยทำให้สบายพระทัย แต่เมื่อทรงถูกเนรเทศครั้งที่ ๒ ไปอยู่เกาะเซนต์เฮเลนา (เกาะของอังกฤษอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติก ระหว่างอเมริกาใต้กับอาฟริกา) นั้น เหลือที่จะติดตามไปถึง ครั้นสามีเดิมของนางตายแล้ว นางก็แต่งงานใหม่กับสามีซึ่งเป็นนายพล และเป็นพระญาติของนะโปเลียน กล่าวกันว่า เมื่อข่าวแต่งงานนี้ทราบไปถึงเซนต์เฮเลนา ก็เสียพระทัยนัก นางมีบุตรกับสามีใหม่คนหนึ่งแล้วก็ตาย เมื่อจะตายพูดคำเดียวว่า “นะโปเลียน”

 

  1. ๑. ประมวญมารค ฉบับที่ ๓๘ หน้า ๕ ปีที่ ๒ ศุกร์ที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ