คำตัดสินของปารีส

(เรื่องใหม่)

เขียนจากภาษาอังกฤษ

ในฤดูร้อน ค.ศ. ........ (อันที่จริงจะปีไหนก็ไม่สำคัญ ปีไหน ๆ ก็ได้) มีนางเอกคนหนึ่งกับนายโรงตลก ๒ คน เล่นอยู่ในโรงลครใหญ่โรงหนึ่ง ซึ่งใหญ่ยิ่งโรงลครทั้งหลายในปารีส นางเอกเป็นนางงามไม่มีตัวจับ และนายโรง ๒ คนเป็นเพื่อนรักกันสนิท แต่ผเอิญไปรักหญิงคนเดียวกันเข้า และหญิงที่รักก็คือนางเอกนั้นเอง นางสาวซูซานนางเอก ไม่ได้เป็นตัวละครดีแต่บนเวที ถึงในที่อื่น ๆ ก็เป็นลครดีเหมือนกัน เมื่อนายโรง ๒ คนรุมกันรัก ก็เฟลิตด้วยทั้ง ๒ คน แต่ไม่แสดงให้เห็นว่าชอบใครมากกว่า ในที่สุดเมื่อ ๒ คนผลัดกันอ้อนวอนหนักเข้า ก็บอกให้ทราบทั้ง ๒ ฝ่าย ว่าจะแต่งงานกับคนหนึ่งใน ๒ คนนั้น แต่จะเลือกแต่งกับคนที่ปรากฏแน่นอนว่าเป็นตัวละครดีกว่าอีกคนหนึ่ง ๒ คนนั้น คนหนึ่งชื่อรอเบิต คนหนึ่งชื่อเฮนรี่ (ในที่นี้เรียกชื่ออย่างอังกฤษ)

รอเบิตเป็นตัวตลก ซึ่งไม่มีใครเสมอ (นอกจากเฮนรี่) พอออกมาบนเวที คนดูก็ตั้งตาดูเงี่ยหูฟังทันที ยังไม่ทันพูดอะไรออกมาสักคำ ก็ฮาตึงเสียแล้ว

เฮนรี่ก็เป็นตัวตลกไม่มีใครเสมอ (เว้นแต่รอเบิต) คนฮาตึง ๆ ตั้งแต่ยังไม่ได้ปริปากว่ากระไรเลย

คนทั้งหลายไม่ว่าพวกตัวลครด้วยกันหรือคนดู หรือพวกหนังสือพิมพ์ ไม่มีใครจะตัดสินได้ว่าใครดีกว่าใคร เป็นอันว่าต้องยกเสมอกันทั้งคู่ คำที่นางสาวซูซานพูด จึงเป็นคำยั่วซึ่งนอกจากนางงามคนนั้นแล้ว ก็คงไม่มีใครนึก หรือกล้าที่จะพูดเป็นแน่

รอเบิตหนักใจเต็มที ถามซูซานว่า “ซูซานจะตัดสินอย่างไรได้ จะเชื่อใครเป็นคนกลาง”

เฮนรี่ก็หนักใจเท่ากัน ถามว่า “ซูซานจะให้ใครตัดสิน ฉันไม่เห็นเลยว่าจะเชื่อใครได้”

ซูซานตอบทั้ง ๒ คน ๆ ละทีว่า “ให้ปารีสซีเป็นผู้ตัดสิน เราทั้ง ๓ เป็นข้าของปารีส เมื่อประชาชนชาวปารีสตัดสินว่ากระไรก็ต้องฟัง”

แม่สาวคนนั้นสวยราวกับรูปภาพ หาไม่ก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ ใครบ้างจะไว้ตัวได้อย่างที่นางซูซานไว้ตัว

รอเบิตและเฮนรี่ ต่างคนต่างได้ฟังคำตอบจากนางเอกแล้ว ก็กลับไปตรึกตรอง รอเบิตเห็นว่า แม่สาวพูดเป็นบ้า เฮนรี่ก็เห็นเหมือนกัน ประชาชนดูรอเบิตบนเวที ก็ชื่นบานตบมือสนั่นหวั่นไหว ฮาก้องไปทั้งโรง เมื่อเฮนรี่ออกก็อย่างเดียวกันอีก ไม่มีเค้าเงื่อนเลยว่า ประชาชนชอบคนไหนยิ่งกว่าคนไหน ถ้าจะคอยให้เห็นตัดสินของประชาชน ก็คือคอยไปจนแก่ รอเบิตตรองไม่เห็นทางเลยและเฮนรี่เห็นตันรอบด้าน

ชายทั้ง ๒ นั้นเป็นเพื่อนสนิทไม่มีขุ่นข้องหมองใจกันเลย แม้การที่รักคนเดียวกันก็ยังไม่ทำให้เสียเพื่อน วันหนึ่ง คนทั้ง ๒ นั่งอยู่ด้วยกันที่หน้าร้านกาแฟ อีกไม่กี่วันก็จะถึงฮอลิเด คนทั้ง ๒ จะหยุดพักงานพร้อมกัน ในวันที่นั่งพูดกันอยู่นั้น รอเบิตพูดว่า นี่แน่ะเพื่อนเอ๋ย เรื่องความรักของเราทั้ง ๒ คนนี้ เราจงหารือกันอย่างเพื่อน เราไม่เคยขัดใจกันเลย และในคราวนี้ ถ้าใครชนะได้แต่งงานกับซูซาน ผู้แพ้ก็ต้องตัดความขุ่นข้องหมองใจให้หมด เพื่อจะได้เป็นเพื่อนกันไปตามเดิม และเป็นเพื่อน ๓ คนทั้งซูซานด้วย ถูกไหม

เฮนรี่ “ถูกแล้ว จะว่ากระไรก็ว่าไปเถิด”

รอเบิตส่งซองบุหรี่ สูบบุหรีซี นี่แน่ะเฮนรี่ ท่าเป็นลคร ท่านก็ย่อมมีความเห็นตามวิสัยลคร ว่าท่านดีกว่าฉัน แต่ฉันก็เป็นละคร เพราะฉะนั้น ฉันก็มีความเห็นว่า ฉันดีกว่าท่าน นั่นเป็นความเห็นของเราทั้ง ๒ ในฐานที่เป็นลครด้วยกัน แต่เราจะต้องแลดูปัญหาอย่างคนธรรมดากันบ้าง และเราคงจะเห็นพร้อมกันทั้ง ๒ คนว่า ถ้าเราเล่นตลกให้คนฮาตึงๆ ไปจนเข้าโลงทั้ง ๒ คน ก็คงไม่มีใครตัดสินได้ว่าใครดีกว่าใคร ทั้งนี้เพราะเรามีคุณสมบัติเป็นตลกอย่างเยี่ยมด้วยกันทั้ง ๒ คน การเป็นเช่นนี้ เราจะต้องประกวดกันวิธีใหม่ จะต้องดูว่า ถ้าเป็นลครตัวที่ไม่ติดตลกเลย ใครจะเล่นได้ดีกว่ากัน คิดอย่างนี้จะเห็นอย่างไร”

รอเบิตพูดแล้วดูเฮนรี่อย่างใจเย็น เพราะเฮนรี่เป็นคนรูปร่างขัน ดูเหมือนธรรมชาติมาสำหรับเป็นตลกแท้ๆ ไม่มีท่าทางว่าจะเล่นท่าขรึมได้เลย

เฮนรี่ตอบว่า “ตกลง” แล้วแลดูรอเบิตด้วยความสบายใจ เพราะรอเบิตเป็นคนอ้วนรูปร่างน่าหัวเราะ ทำท่าขรึมไม่ได้เป็นอันขาด

รอเบิต “แต่มียากอยู่ข้อหนึ่ง คิดแก้ยังไม่ตก คือว่า เจ้าของลครคงไม่ยอมให้เราเล่นเป็นตัวขรึมเป็นแน่ เจ้าของรวยเพราะเราเล่นตลก ถ้าเราขอเล่นอย่างอื่นก็คงไม่ยอม เพราะกลัวจะไม่รวยเหมือน และคิดว่าเราเล่นอย่างอื่นไม่ได้ ธรรมดาในโรงละครเป็นอย่างนั้น ต่างว่าฉันเป็นตัวนายโรงชนิดเฉิดฉายดีในชั้นแรก ฉันก็คงจะต้องเป็นนายโรงเฉิดฉายอยู่จนป่านนี้ ไม่มีโอกาสจะได้เล่นตลกเลย นี่ผเอิญฉันเล่นตลกดีมาแต่ต้น ก็เลยต้องเล่นตลกตลอดมา ไม่มีเชื่อว่าจะเล่นอย่างอื่นได้”

เฮนรี่ “ฉันก็เหมือนกัน ท่านจะคิดแก้ไขอย่างไรเล่า”

รอเบิต “ขมวดคิ้วตรอง เราไม่มีโอกาสจะสำแดงในโรงลครที่เราเคยเล่น เราก็จะหาโอกาสที่อื่น”

เฮนรี่ “หมายความว่าเล่นลครไปรเวตอย่างนั้นหรือ ได้เหมือนกัน เล่นไปรเวตก็ได้ แต่ถ้าเล่นไปรเวต ทำอย่างไรปารีสจะตัดสินได้”

รอเบิตขมวดคิ้วอีกขอดหนึ่ง (ถ้าขมวดได้) “ถูกหละ ถ้าจัดเล่นกันขึ้นเองในที่ไปรเวต ชาวปารีสทั่วไปก็ไม่ได้ดู”

๒ คนปรึกษากันมาเพียงนี้ ก็มาติดอยู่คิดไปไม่ตลอด ต่างคนต่างก็นั่งตรองจนหน้านิ่ว ระหว่างนั้นคนเดินผ่านไปมา บางคนก็เหลียวดูแล้วบอกกันว่า “นั่นแน่ะรอเบิตกับเฮนรี่นั่งอยู่ด้วยกัน เมื่อคืนไปดูหรือเปล่า ขันเหลือเกินทั้ง ๒ คน”

เฮนรี่นั่งนิ่งตรองอยู่ครู่ใหญ่ๆแล้วว่า “จะทำอย่างไร”

รอเบิตถอนใจใหญ่สั่นหัวไม่ตอบว่ากระไร

ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งเดินมาตามถนน เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่สวมเสื้อดำซึ่งไม่สู้จะสวยนัก ครั้นเดินผ่านไป เห็นรอเบิตกับเฮนรี่นั่งอยู่ด้วยกัน ก็จำได้แล้วหยุดยืนอยู่กับที่ ขยับเหมือนจะเข้าไปพูดด้วย แต่ยังไม่กล้า หันไปหันมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็แสดงอาการเหมือนว่าตัดความกระดากลงไปในทันที เดินตรงเข้าไปหาคนทั้ง ๒ แล้วว่า “ท่านขอรับผม ขอโทษที่เข้ามาพูดกับท่านทั้งที่ท่านไม่รู้จัก ผมขอคำแนะนำของท่านสักหน่อยในเรื่องวิชาของท่าน ผมจะเสียค่าธรรมเนียมให้ท่านตามควร โปรดให้ผมอธิบายให้ท่านฟังก่อน”

รอเบิตตอบว่า “เรา ๒ คนกำลังปรึกษากันด้วยเรื่องลครที่เราจะเล่นใหม่ เมื่อมีเวลาว่างจึงจะฟังคำอธิบายของท่านได้”

คนนั้นว่า “เผอิญธุระของผมก็ไม่มีเวลาคอยเหมือนกัน ผมอยู่บนเวทีมาตั้ง ๒๐ ปีแล้ว แต่ไม่เคยพูดเลย เพิ่งจะต้องพูดคราวนี้”

เฮนรี่ “อะไรท่านเป็นตัวใช้บนเวทีลครมาตั้ง ๒๐ ปีเจียวหรือ”

คนนั้น “ไม่ใช่เวทีลครดอกนาย ผมเป็นเพชฆาต ต้องขึ้นเวทีตัดหัวคนอยู่เสมอ ๆ คุ้นเวทีเสียยิ่งกว่าคุ้น แต่ไม่เคยพูดเลยสักคำเดียว บัดนี้ผมเบื่อหน่ายเห็นบาปในแง่เพชฆาต จึงจะออกจากตำแหน่ง แลจะไปพูดปาฐกถาเรื่องความโหดร้ายของการตัดหัวคน”

รอเบิตกับเฮนรี่นั่งตะลึงดูผู้นั้น แทบจะเห็นเวทีตัดหัวคนอยู่ในเค้าหน้า ปากที่พูดก็เห็นราวกับเขียงแลมีดกิโลติน

เพชฆาต “ผมจะไปพูดที่ตำบลอัปเปวีลอาทิตย์หน้า ผมลองหัดพูดให้หมาฟัง ก็ใช้ไม่ได้ ตัวสั่นไปหมด ผมเกิดมายังไม่เคยประหม่าบนเวทีเลย คราวนี้ประหม่าจนพูดไม่ออก ขาก็สั่น คางก็สั่น ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก่อน ๆ ไม่เคยนึกว่ามีขาแลคางเลย คนดูก็ไม่นึกถึง นึกอยู่แต่หัวที่จะตัดเท่านั้น คราวนี้ยังไม่ทันมีคนฟัง มีแต่หมาตัวเดียวก็สั่นเสียแล้ว การเป็นดังนี้ ผมจึงนึกว่า บางทีท่านจะช่วยแนะนำวิธีที่จะทำให้หายประหม่า บางทีสอนกันสักครั้งเดียวก็จะพอ”

รอเบิต “นั่งลงซี ทำไมท่านจึงลาออกจากตำแหน่งเพชฆาต”

เพชฆาต “เพราะผมเกิดความรู้สึกขึ้นมาในใจว่าไม่ควรทำ การประหารชีวิตนักโทษเป็นของควรเลิก ถ้าจะยังมีต่อไป ผมก็ไม่ต้องการจะเป็นผู้ทำ”

รอเบิต “คือรู้สึกบุญแลบาปขึ้นมาอย่างนั้นหรือ”

เพชฆาต “นั่นแหละขอรับ”

รอเบิต “ท่านพูดเข้าทีจริง ปาฐกถาเรื่องเช่นนี้ อาจพูดให้เข้าทีได้มาก แต่ว่าท่านจะพูดมีเรื่องอะไรบ้าง”

เพชฆาต “ขึ้นต้นจะว่าด้วยประวัติของผมเอง เล่าเมื่อยังเด็ก เมื่อยังมีความจน แล้วมาเป็นเพชฆาต ต้องทำงานชนิดไร มีเรื่องอย่างไรบ้าง ลงท้ายอธิบายถึงความรู้สึกของผมเอง ที่เกิดเบื่อหน่าย เห็นความลามกของงานชนิดนี้”

รอเบิต “วิเศษจริง อาจพูดได้ราวกับวิญญาณของผู้ถูกตัดหัวตามท่านขึ้นไปบนเวทีปาฐกถาท่านคงจะบรรยายว่า ท่านมีความรู้สึกแรงกล้าจนพูดแทบไม่ออก ลูกตาของท่านก็ราวกับจะถลนออกมา ด้วยความระรัวในใจ ท่านพูดแสดงให้เห็นโดยวาจาแลกิริยาเหมือนหนึ่งว่า มือท่านเปรอะไปด้วยเลือด คนฟังก็ฟังจนแทบจะไม่หายใจ ผู้หญิงก็เป็นลม ผู้ชายก็นั่งกำมือแน่น เพราะเกิดความเห็นจริงตามคำที่ท่านพูด”

รอเบิตพูดไปถึงเพียงนี้ก็ตบโต๊ะดังผางใหญ่ ทำให้เฮนรี่สดุ้งแลหนักใจขึ้นมาทันที เพราะเดาความคิดถูก รอเบิตพูดกับเพชฆาตต่อไปว่า “นี่แน่ะท่านคนที่ตำบลอัปเปวีลรู้จักท่านไหม”

เพชฆาต “ชื่อผมน่ะคงรู้จัก”

รอเบิต “ไม่ใช่ ฉันถามว่ารู้จักตัวหรือไม่ และท่านรู้จักใครที่นั่นบ้างหรือเปล่า”

เพชฆาต “ไม่มีใครรู้จักเลย แต่ท่านถามทำไม”

รอเบิต “ไม่มีใครที่นั่นที่จะจำท่านได้หรือ”

เพชฆาต “ตำบลเล็ก ๆ เช่นนั้น คงไม่มีใครรู้จักผมเลย”

รอเบิต “ท่านประมาณว่าท่านไปพูดปาฐกถาแล้วจะได้เงินสักเท่าไร”

เพชฆาต “ห้องที่จะไปพูดนั้นเป็นห้องเล็ก และค่าซื้อตั๋วเข้าไปฟังก็น้อย คงจะได้อย่างมากก็ ๒๕๐ แฟรงค์”

รอเบิต “ท่านยังประหม่าอยู่มาก จึงอยากจะเลื่อนปาฐกถาไป ยังไม่พูดในอาทิตย์หน้าถูกหรือไม่”

เพชฆาต “ถ้าเลื่อนได้ก็คงจะดีกว่า แต่ว่าท่านถามทำไม”

รอเบิต “ถามเพราะเหตุนี้ คือว่าฉันจะให้ท่าน ๕๐๐ แฟรงค์ ให้ฉันไปพูดแทน”

เพชฆาต “คืออย่างไงท่าน”

รอเบิต “ให้ฉันไปพูดแทนท่านตามวันที่กำหนด แล้วฉันจะให้เงินท่าน ๕๐๐ แฟรงค์ ตกลงหรือไม่”

เพชฆาต “ผมยังไม่เข้าใจสนิท”

รอเบิต “คือฉันต้องการจะพูดจามีท่าทางจริงจัง ไม่มีวาจาหรือกิริยาอย่างพูดเล่นหรือทำเล่นเลย ปาฐกถาของท่านนี้ เหมาะที่จะให้ฉันทำเช่นนั้นได้ ส่วนตัวท่านรุ่งขึ้นท่านจะแก้ตัวว่า ไปไม่ทันรถไฟ หรือเจ็บ หรือว่ากระไร ๆ ก็ได้ ท่านแสดงแต่ว่าไม่ได้ไป และท่านทำเป็นไม่รู้ ฉันไปปลอมตัวแทนท่าน ท่านไม่รู้ไม่เห็น ความรับผิดชอบตกอยู่กับฉันทั้งนั้น ตกลงหรือไม่”

เพชฆาต “ถ้าเช่นนั้นก็ควรจะคิดราคา ๒ เท่าจำนวนเงินที่ท่านว่า”

รอเบิต “๕๐๐ แฟรงค์ก็พอแล้ว อย่าลืมว่า หนังสือพิมพ์จะเกรียวกราวกันใหญ่ ถึงเรื่องที่ฉันปลอมตัวเป็นท่าน แลชาวปารีสคงจะประหลาดใจที่สุด ที่ฉันไปพูดปาฐกถาแทนท่าน แลทำให้คนฟังนั่งเลือดข้นไปหมด คนตั้งล้านจะพูดถึงปาฐกถาซึ่งท่านจะแสดงล้วนแต่พวกซึ่งถ้าฉันไม่ทำให้เกรียวกราวขึ้น ก็คงจะไม่รู้ทั้งนั้น การที่ฉันทำนี้จะเป็นเครื่องโฆษณาให้แก่ท่านอย่างดีที่สุด และทั้งฉันจะให้ งินท่านอีก ๕๐๐ แฟรงค์ด้วย ตกลงหรือไม่ตกลง”

เพชฆาต “ตกลงขอรับ”

ฝ่ายเฮนรี่ได้ยินรอเบิตกับเพชฆาตพูดกันดังข้างบนนี้ ก็หวั่นใจนัก ถ้ารอเบิตทำได้อย่างที่คิด ก็ใครเลยจะรู้ได้ คืนนั้นเมื่อไปอยู่กันที่โรงลคร เฮนรี่ก็ไม่สบายใจ มีกิริยากระสับกระส่ายตลอดเวลา ส่วนรอเบิตนั้นใจคอชื่นบานมาก เชื่อแน่ในใจว่าจะปลอมเป็นเพชฆาตไปพูดปาฐกถาได้เป็นอย่างดี แลถ้าทำได้ดังนึกแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวเลยว่า เฮนรี่จะทำอย่างไรให้ดีกว่าได้ ในคืนนั้นรอเบิตได้กระซิบบอกให้ซูซานทราบ ซูซานสัญญาว่าจะไปดู แลเฮนรี่ก็จะไปด้วยเหมือนกัน คืนนั้นรอเบิตอดนอน นั่งเขียนปาฐกถาอยู่ตลอดคืน

มาถึงตอนนี้ ถ้าท่านใคร่ทราบว่า แม่สาวซูซานยินดีหรือยินร้าย ในการที่ดูท่าทางเหมือนรอเบิตจะชนะ ก็ไม่มีทางจะทราบได้ ตามรายงานไม่ปรากฏเลย แต่มีผู้สังเกตว่า ในคืนนั้นเฮนรี่แสดงใจหงุดหงิดเต็มที และแม้แสดงเอาใจผิดธรรมดา ชรอยจะเป็นเพราะกลัวผูกคอตาย

ครั้นถึงวันกำหนด คนทั้ง ๓ ก็ไปตำบลอัปเปวีลตามเวลานัด ซูซานกับเฮนรี่ไปอยู่ในพวกคนฟัง รอเบิตไปเป็นเพชฆาตผู้เป็นปาฐก รอเบิตได้แต่งหน้าและแต่งกายเหมือนเพชฆาต จนแม้ผู้รู้จักตัวก็จับไม่ได้ แต่อันที่จริงก็ไม่จำเป็น เพราะไม่ปรากฏว่ามีใครเคยเห็นตัวเพชฆาตเลย เมื่อรอเบิตไปถึง เจ้าของนี่ก็รับรองแล้วพาไปคอยในห้องบอกว่าจะมีคนไปฟังแน่นห้อง รอเบิตก็นั่งสูบบุหรี่คอยอยู่จน ๒ ทุ่ม เจ้าของที่จึงเข้าไปบอกว่า คนดูพร้อมแล้ว และถึงเวลาลงมือ

รอเบิตออกไปบนเวที เห็นซูซานกับเฮนรี่นั่งอยู่แถวที่ ๓ ต้องทำไม่รู้จัก แต่อยากจะกระหยิบตาให้ อยากจนแทบอดไม่ได้

คนฟังทั้งหลายแลดูปาฐกอย่างพิศวง เพราะไม่เคยมีใครเคยพบปะหรือฟังเพชฆาตพูด รูปร่างอย่างนี้เองแหละหรือเพชฆาต เสียงพูดก็ไม่เลว ถ้อยคำอย่างคนมีความรู้ และท่าทางก็ไม่เป็นสัตว์ร้าย แต่ใจคอคงจะโหดเหี้ยมเต็มที มิฉนั้นก็คงไม่เป็นเพชฆาต พวกผู้ชายก็สกิดและกระซิบกัน พวกผู้หญิงก็แลดูเหมือนเกลียดครึ่งหนึ่งชอบครึ่งหนึ่ง มิฉนั้นเหมือนนกเล็กที่เกาะนิ่งดูงู

ปาฐกเริ่มพูดเสียงอ่อย ๆ ก่อน ขึ้นต้นเล่าถึงเมื่อยังเด็ก บรรยายเรื่องที่เหมือนจะส่อให้เห็นว่า โตขึ้นจะมีอาชีพโหดร้ายยิ่งกว่าเชือดคอไก่และทุบหัววัว คำที่พูดตอนนั้นก็ชวนจะขันแต่ขันเอื่อย ๆ คนดูบางคนหัวเราะ แล้วชงักกลาง ๆ เหมือนรู้สึกขึ้นมาว่าไม่ควรเห็นขันคำพูดของเพชฆาต หรือว่าคนใจโหดเหี้ยมเช่นนี้ หาควรบังอาจพูดให้คนเห็นขันไม่

ซูซานกระซิบแก่เฮนรี่ว่า รอเบิตตั้งเค้าคำพูดผิดเสียแล้ว ควรจะพูดให้คนฟังขนพองสยองเกล้าจึงจะถูก เฮนรี่รู้ทันรอเบิต กระซิบบอกซูซานว่า คงจะเปลี่ยนอาการและสำเนียงคำพูดไปทีละน้อย ขึ้นต้นขัน ลงท้ายขนลุก ทำให้ต้นกับปลายตรงกันข้าม จึงจะเห็นความสามารถจริงจัง

ที่เฮนรี่เดานั้นถูก รอเบิตพูดขึ้นต้นขันเอื่อย ๆ ก่อน แล้วสำเนียงแข็งขึ้นทุกที คำที่พูดและเรื่องที่นำมาเล่า ก็กระด้างขึ้นทีละน้อย ๆ ในที่สุดคนฟังรู้สึกเหมือนเรือนกระเทือน ทุกคนชูคอฟัง หน้าซีดหมด ผู้พูดเล่าถึงความกลัวของผู้จะถูกประหาร เล่าถึงคดีอุจฉกรรจ์อย่างโหดร้ายสาหัส แล้วเล่าไปจนถึงเวลาที่คอนักโทษเข้าไปวางอยู่บนเขียง มือเพชฆาตถือเชือกกำลังจะกระตุก ให้มีดใหญ่ตกลงมาตัดหัวหลุดกระเด็นลง เล่าละเอียดถึงในใจเพชฆาตเอง ที่รู้สึกขึ้นมาปัจจุบันทันด่วนว่า อาชีพของตนนั้นบาปหนัก คำสุดท้ายตะโกนแทบจะกรี๊ด ๆ ว่า ข้าพเจ้าฆ่าคนตาย ข้าพเจ้าฆ่าคนตาย ข้าพเจ้าฆ่าคนตาย ใจข้าพเจ้าโหดเหี้ยมเหมือนผู้คุมในนรก ข้าพเจ้ารู้สึกแล้วว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่คน พูดเท่านี้แล้วก็สอื้นเลย

คำที่พูดนั้นไม่มีจริงสักคำเดียว แต่คนฟังนึกว่าจริง ก็นั่งขนพองสยองเกล้าไปทั้งหมด เมื่อผู้พูด ๆ จบแล้ว ก็ไม่มีใครตบมือสักคนเดียว ทุกคนนั่งตะลึงไปหมด จนผู้พูดถอยจากเวทีไปแล้ว คนฟังก็ยังนั่งนิ่งเหมือนสิ้นสติ ไม่มีใครขยับตัวหรือพูดกันว่ากระไรเลย นั่งนิ่งตัวแข็งกันอยู่เช่นนั้น จนพวกหนังสือพิมพ์รู้สึกตัวขึ้นมา ก็ลุกขึ้นรีบจะพาข่าวไปประกาศว่า เพชฆาตคนนี้เป็นปาฐกอย่างวิเศษที่สุด ส่วนคนอื่น ๆ พอพวกหนังสือพิมพ์ลุกขึ้นเดินกุบกับ ต่างคนต่างก็รู้สึกตัว ต่างคนต่างลุกออกจากห้องรีบไป

ความสำเร็จของรอเบิตวันนั้นเกินใครจะคาดหมายได้ เฮนรี่แสดงความยินดีอย่างอารีที่สุดและซูซานก็ชมด้วยวาจากิริยาอันน่าชื่นใจ แต่นอกจากนั้นยังมีเกียรติ์อย่างใหญ่มาสู่ปาฐกอีก คือในระหว่างที่ ๓ คนเดินพูดกันไปนั้น มีผู้ถือก๊าดไปยื่นให้รอเบิต เป็นก๊าดชื่อของเจ้าคุณมาควิส เชิญรอเบิตให้ไปหาที่บ้านของเจ้าคุณ

รอเบิต “เห็นไหม เจ้าคุณมาควิสเชิญไปสนทนา ท่านขุนนางผู้ใหญ่ให้เกียรติ์อย่างสูง ท่านคงจะติดใจมาก”

เฮนรี่ “เจ้าคุณมาควิสนี่ใคร ยังไม่เคยได้ยินชื่อเลย”

รอเบิต “ท่านคือใครนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่า ท่านเป็นเจ้าคุณมาควิส และเมื่อฉันได้รับเชิญจากขุนนางผู้ใหญ่ ฉันก็ต้องไป”

รอเบิตเดินราวกับตัวลอย เรียกรถเช่าขับไปบ้านเจ้าคุณตามที่บอกในก๊าด ไม่ช้าก็ไปถึง แต่ครั้นไปถึง ก็ค่อยคลายตื่นเต้นเข้าบ้าง เพราะเรือนที่เจ้าคุณอยู่นั้น เป็นเรือนธรรมดาที่เขาเช่าอยู่กัน ไม่ใช่ตึกรามใหญ่โตสมกับขุนนางผู้ใหญ่ รอเบิตนึกในใจว่า เจ้าคุณมาควิสคนนี้คงจะตกอับ ถ้าแต่ก่อนเคยมั่งมี บัดนี้ก็คงจนเสียแล้ว ครั้นเข้าไปในเรือน ก็เห็นเครื่องเรือนสมกับเรือน แต่มีเชิงเทียนเงินใหญ่คู่หนึ่ง ซึ่งเป็นของมีค่าราคา คงจะเป็นของเก่าในสกุล ซึ่งแม้จะจนลงแล้ว เจ้าคุณก็ยังอุส่าห์สงวนไว้ นอกจากนั้นมีขวดแก้วใส่เหล้าองุ่นวางไว้บนโต๊ะพร้อมทั้งถ้วยแก้วด้วย

เจ้าคุณให้คนใช้บอกรอเบิตว่า ขอให้คอยสักครู่หนึ่ง เพราะเจ้าคุณไม่สบาย ยังต้องพบหมอเสียก่อน รอเบิตนั่งคอยไม่มีอะไรก็ดูเชิงเทียน ซึ่งเป็นของดีกว่าสิ่งอื่นที่มีในห้องนั้น

อีกครู่หนึ่งประตูห้องเปิด เจ้าคุณเดินซ่องแซ่งเข้าไป เป็นคนชราดูเหมือนจะร่วงเป็นชิ้น ๆ อยู่แล้ว หนังก็เหลืองและเหี่ยว ปากก็หย่อน ผมก็ทั้งบางทั้งหงอก แต่ตาใสจ้องดูเหมือนตาคนเสียจริต

เจ้าคุณว่า “ขอโทษท่าน ขอโทษที่ต้องทำให้คอย ฉันไม่ค่อยไปไหน เพราะไม่มีกำลัง วันนี้ออกไปฟังปาฐกถาของท่าน ก็เป็นการทำเกินแรงไป ทำให้อ่อนเพลียวิงเวียน จึงต้องเชิญหมอมาช่วย จึงรับรองท่านทันทีไม่ได้ ปาฐกถาของท่านดีนัก ข้อความที่น่าฟังและเป็นคติด้วย ฉันจะไม่ลืมคำของท่านเลย”

รอเบิตก้มศีรษะรับยอ

เจ้าคุณ “นั่งลงซีท่าน ยืนทำไมล่ะ เชิญลองเมรัยในขวดนั้น ฉันเองเคยเป็นนักเลงเมรัยมาแต่หนุ่ม แต่เดี๋ยวนี้หมอห้ามเสียแล้ว ฉันจะดื่มกับท่านก็ไม่ได้ ท่านจงให้อภัยแก่คนชราเถิด”

รอเบิต “เพียงที่ท่านเจ้าคุณเชิญให้ผมมาที่บ้านเท่านี้ ก็เป็นเกียรติหนักหนาแล้ว”

เจ้าคุณ “เรื่องเกียรติและยศนั้น ไม่ช้าก็จะหมดไป อีกหน่อยฉันก็จะไปสู่ริปับลิกใต้ดิน ซึ่งเกียรติ์และยศเสมอกันหมด นายของเราก็คือหนอนที่มากินซากศพนั่นเอง ฉันเชิญท่านมาวันนี้ ก็เพราะอยากจะพูดถึงเรื่องปาฐกถาของท่าน มีเรื่องหนึ่งซึ่งจับใจฉันโดยเฉพาะ”

รอเบิต “เรื่องไหนขอรับ”

เจ้าคุณ “ท่านพูดถึงประหารชีวิตชายหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อวิกตอร์ เลซูเอร์”

รอเบิต “ขอรับ”

เจ้าคุณ “เวลาจะตายหนุ่มคนนั้นใจคอดีหรือ หรือขี้ขลาด”

รอเบิตนั่งดื่มเมรัยแล้วจึงพูดว่า “กล้าที่สุดขอรับ”

เจ้าคุณ “ไม่สะทกสท้านเลย ถึงคราวจะต้องตาย ก็ตายอย่างผู้ชายหรือ”

รอเบิต “ใจคอเป็นคนกล้าจริงเทียวขอรับ”

เจ้าคุณ “ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยยังชั่ว และที่จริงก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ท่านเคยเห็นคนจะถูกประหารชีวิต กล้ากว่านั้นมีหรือ”

รอเบิตนิ่งตรองแล้วตอบว่า “ผมจะนับถือความกล้าของนักโทษคนนั้นเสมอไป”

เจ้าคุณ “ท่านนับถือในเวลานั้นหรือเปล่า”

รอเบิต “ผมยังไม่รู้เข้าใจความหมายของเจ้าคุณ”

เจ้าคุณ “ฉันถามว่าท่านได้นับถือความกล้าของผู้จะตายในเวลาที่ประหารชีวิตนั้นหรือไม่ ท่านได้ทำให้สิ้นเวทนาหรือเปล่า”

รอเบิต “ไม่มีเวทนาเลยขอรับ มีดคมที่สุด ตัดหัวขาดทันที ไม่มีเวลาจะรู้สึกความเจ็บเลย”

เจ้าคุณสั่นหัวโบกมือเหมือนโกรธว่าพูดไม่เข้าใจ “มีดคมนั้นรู้แล้ว ฉันพูดเวทนาในจิต ความรู้สึกในใจ ไม่ใช่เวทนาทรมานร่างกาย ท่านไม่รู้หรือคนถูกประหารชีวิตเปล่า ๆ ปลี้ ๆ ไม่ได้ทำผิดอะไรเลยนั้น ย่อมเกิดเวทนาในใจที่สุด”

รอเบิต “พวกที่ถูกประหารชีวิต ก็ว่าไม่ได้ทำผิด ว่าถูกหาความเปล่า ๆ ทั้งนั้น”

เจ้าคุณ “เป็นได้ แต่คนที่ฉันพูดน ไม่ผิดจริง ๆ ไม่ได้ทำผิดอย่างที่ถูกนั้นเลย ฉันรู้แน่เพราะเป็นลูกของฉันเอง”

รอเบิตตกใจ “ลูกเจ้าคุณหรือขอรับ”

เจ้าคุณ “ลูกคนเดียวของฉัน ถูกซึ่งฉันรักดังดวงใจ ไม่ได้ทำผิดเลย และท่านเป็นผู้ฆ่า”

รอเบิต “ผมเป็นคนรับใช้ตามกฎหมายขอรับ ไม่ได้รู้เห็นในเรื่องคดีที่ศาลตัดสิน”

เจ้าคุณ “ฉันก็เห็นจริงตามที่ท่านพูดในปาฐกถาทุกข้อ ซึ่งข้อที่ท่านพูดในที่สุดว่า ท่านเป็นผู้ฆ่ายิ่งจับใจฉันที่สุด เห็นจริงที่สุด ฉันหวังใจว่าท่านชอบเมรัยนี้ กินอีกซีท่าน กินให้หมดขวด”

รอเบิตสดุ้งเพราะเกิดสงสัยขึ้นมาทันที “เมรัยนี้หรือขอรับ”

เจ้าคุณ “ในขวดนั่นแหละเจือยาพิษไว้แล้ว อีกชั่วโมงหนึ่งท่านก็จะตาย”

รอเบิตยืนขึ้นเอามือกุมหัว รู้สึกไม่สบายขึ้นมาแล้ว เส้นก็กระตุก ตัวก็เย็นชืด เท้าก็หนักเหมือนจะยกไม่ขึ้น

เจ้าคุณ “ท่านเป็นคนแข็งแรง ฉันไม่มีกำลังจะสู้ท่าน ท่านจะทำอะไรแก่ฉันก็ได้ แต่ชีวิตท่านก็ไม่รอดอยู่นั่นเอง ท่านจะทำอะไรก็แต่ใจท่านเถิด”

คนทั้ง ๒ นิ่งจ้องดูตากันอยู่ครู่หนึ่ง ตารอเบิตเป็นตาของคนกลัวตาย ตาเจ้าคุณเป็นตาของคนบ้า

อีกครู่หนึ่งเจ้าคุณก็ลุกผลุนผลันขึ้นอย่างกิริยาคนหนุ่ม มือดึงผมปลอมทิ้งลงบนเก้าอี้ กลายเป็นหัวผมดกซ่อนอยู่ใต้ผมปลอม เสียงพูดก็เปลี่ยนจากเสียงคนแก่ เป็นเสียงธรรมดาของเฮนรี่

เมื่อรู้เรื่องกันไปทั่วปารีส ชาวปารีสก็ยกย่องว่า เฮนรี่เป็นผู้ชนะอย่างงดงาม รอเบิตหลอกคนฟังปาฐกถา แต่เฮนรี่กลับหลอกรอเบิตได้

เชิงเทียนคู่นั้นได้เช่ามาชั่วคราว รอเบิตเห็นของดี ก็เลยซื้อให้ซูซานกับเฮนรี่ในวันที่ ๒ คนนั้นแต่งงานกัน.

  1. ๑. ประมวลมารค ฉบับที่ ๔๒ หน้า ๑๐ ปีที่ ๒ ศุกร์ที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘

 

□ พิมพ์ที่ บริษัท ส. สมบูรณ์เจริญ จำกัด □

45/2 ตรอกพระยาสุนทรพิมล โทร. 53432 นายชุบ ชื่นแดชุม

ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา 2514

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ