พระราชปุจฉาที่ ๑๘

ว่าด้วยพระธรรมเจดีย์ถวายเทศนา

ว่าด้วยเกิดในอขณะอสมัย ไม่ควรรักษาพรหมจรรย์

----------------------------

๏ ศุภมัศดุตยุลศักราช ๑๑๔๗ สัปปสังวัจฉรสัปตศก ทุติยาสาธมาศกาฬปักษ์จตุตถดฤถีจันทวารปริเฉทการกำหนด พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสด็จสถิตย์ณะพระที่นั่งท้องพระโรงจักรพรรดิพิมาน ทรงฟังพระธรรมเทศนาพระธรรมเจดีย์สำแดงถวายในคัมภีร์โสตัพพมาลินีว่า บุคคลเกิดเปนอขณะอสมัย ๘ จำพวก คือบุคคลเกิดในนรกจำพวก ๑ เปรต ๑ ติรัจฉาน ๑ อสุรกาย ๑ มิจฉาทิฐิ ๑ เปนบ้าน้ำลาย ๑ เสียจักษุแต่ชาติ ๑ ทีฆายุกเทวดา คืออรูปพรหม ๔ อสัญญีพรหมเปนจำพวก ๑ คนเกิดในปัจจันตประเทศมีลว้าเปนต้น ๑ แลบุทคลทั้ง ๘ จำพวกนี้ ว่าหาควรจะรักษาพรหมจรรย์ไม่ประการนี้ยังไม่สิ้นความสงไสย ถ้าว่าบุคคล ๘ จำพวกห้ามพรหมจรรย์ขาด ไม่ควรจะรักษาพรหมจรรย์ได้ฉนี้แล้ว จะมิผิดกับพระพุทธฎีกาซึ่งตรัสพระธรรมเทศนาไว้ในพระสูตรต่างๆ ฤๅ สูตรหนึ่งว่าติรัจฉานสี่ตัวคือ กระต่ายกับกานร แลนาค แลสุนักข์จิ้งจอก ๔ สหายชวนกันรักษาศีลแล้ว ฝ่ายกระต่ายสู้เสียชีวิตไม่คิดอาลัยตัว โดดเข้าไฟให้ทานเนื้อแก่พระอินทร์อันนฤมิตเปนมนุษย์มาขอ เดชพระบารมี จนพระอินทร์เอารูปกระต่ายไปประดิษฐานในวงพระจันทร์ ให้เห็นสำคัญที่ได้ขึ้นไปสวรรค์เพราะบำเพ็ญพรหมจรรย์คือรักษาศีลบำเพ็ญทาน ปรากฎแก่โลกจนสิ้นกลัป อนึ่งช้างปาเลไลยละลูกละเมียละหมู่ละคณะออกอยู่แต่ผู้เดียว ก็เปนศีลพรหมจรรย์แห่งช้าง แล้วได้ถวายทานแก่พระสงฆ์เปนอันมาก แลปรนิบัติบูชาพระมหากรุณาเจ้า เมื่อจากพระเจ้าขาดใจไปสวรรค์ อนึ่งเมื่อพระบรมโพธิสัตวเสวยพระชาติเปนนกคุ่มถือความสัตย์ เปนนกยูงจำเริญพระปริต เปนภูริทัต เปนสังขบาล เปนจัมไปยนาคก็รักษาอุโบสถศีล เปนสัตว์เดียรฉานใดๆ บห่อนจะเว้นจากบำเพ็ญพระบารมี แลสัตวเดียรฉานนอกกว่าโพธิสัตว เปนต้นว่าวานรได้ถวายรวงผึ้ง ปลาแลค้างคาวแลงูเหลื่อมได้ฟังพระธรรม นกแขกเต้าภาวนา นกเค้าไหว้พระเจ้า เหล่าครุธเหล่านาคได้ฟังพระธรรมรักษาอุโบสถศีลก็มี แลสัตว์ติรัจฉานสามัญทั้งนี้มิได้ชื่อว่าบำเพ็ญพรหมจรรย์ฤๅ อนึ่งเปรตอสุรกายเล่าก็ว่าห้ามพรหมจรรย์ ถ้าฉนั้นจะมิเถียงกันอยู่ฤๅ กับนิทานนางอุตรมารดา นางปัสมารดา นางธรรมคุตา นางปิยังคุตรมารดา ยักขินี ได้ฟังพระธรรมเทศนาพระพุทธเจ้าพระสาวกเจ้า ได้มรรคได้ผลก็มี ฝ่ายอสุรยักษ์ทั้งหลาย เปนต้นว่าสาตาคิริยักษ์ เปนต้นว่าเหมะวะตายักษ์ เปนต้นว่าอาฬวกะยักษ์ ได้ฟังพระธรรม ได้รักษาศีล ได้โสดามรรคโสดาผล แลวิมานะกะเปรต ครุธนาคกุมภัณฑ์ เมื่อพระเจ้าตรัสพระธรรมเทศนาครั้งใดก็ย่อมมาฟังพระธรรมเทศนา เลื่อมใส่ในพระคุณได้รักษาศีล ได้สรณาคมน์ ได้มรรคผลก็มีในพระธรรมเทศนา แลสัตวอสุรกาย แลสัตวเปรต แลสัตวครุธนาค กุมภัณฑ์เหล่านี้, จะไม่ได้ชื่อว่ารักษาพรหมจรรย์ฤๅ อนึ่งเปนประเวณีพระพุทธเจ้าทั้งปวงย่อมเสด็จไปเที่ยวโปรดสัตวในปริมณฑลทั้ง ๓ คือ อัชฌัตติกมณฑลภายในเมืองโสฬศ คือมัชฌิมมณฑลโปรดไปทางกลาง คือพาหิรมณฑลโปรดไปทางปัจจันตประเทศบ้านนอก เมื่อเสด็จไปโปรดสัตวปัจจันตประเทศบ้านนอกหาได้รักษาพรหมจรรย์ได้มรรคได้ผลไม่ ฤๅฝ่ายว่ามิจฉาทิฐิเล่าก็ห้ามพรหมจรรย์ อันว่าพระอสีติสาวก ปกติสาวก ก็ย่อมเปนมิจฉาทิฐิถือผิดเถียงถือผิดสู้พระเจ้าอยู่ก่อน ต่อสมเด็จพระพุทธเจ้าเทศนาทรมานสั่งสอนจึงละพยศร้ายได้มรรคได้ผล บวชบรรพชารักษาพรหมจรรย์ จำเริญในพระสาสนาเปนอสีติสาวก แลเปนปกติสาวกก็มีเปนอันมาก อนึ่งบุคคลเสียตาแต่กำเนิด แลคนลว้าบ้านนอก ซึ่งห้ามพรหมจรรย์นั้น ถ้ามีศรัทธาจะรักษาศีลพรหมจรรย์นั้น ไม่เปนศีลไม่เปนอันจะรักษาไม่ได้ปัญหาผลมิได้ฤา ฝ่ายมิจฉาทิฐิถือผิดจากพระสาสนา ถ้าละลัทธิของตัวแล้วมีศรัทธาจะรักษาศีลบวชในพระสาสนานั้น ไม่เปนศีล ไม่เปนสามเณร ไม่เปนภิกษุฤๅ ประการหนึ่งสัตว์นรกเมื่อพระโมคคัลลาน์พระมาไลย ลงไปเยี่ยมนรกนั้น ด้วยอิทธิฤทธิพระอรหันต์เจ้า สัตร์ทั้งปวงได้ความศุขรำงับทุกข์ เกิดกุศลจิตรเลื่อมใสไหว้พระโมคคัลลาน์ ไหว้พระมาไลย แล้วสั่งขึ้นมาถึงญาติให้บำเพ็ญทานรักษาศีล อุทิศกุศลส่งไป อนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปฏิสนธิ เสด็จประสูติ เสด็จได้ตรัสเทศนาธรรมจักร เข้านิพพาน ก็เกิดบุพนิมิตร ๓๒ ประการ มีเพลิงนรกดับเปนต้น สัตวนรกก็ได้ความศุขครั้งนั้น เมื่อได้ความศุขแล้วหาบังเกิดกุศลจิตรใจบุญไม่ฤๅ ไม่ได้ชื่อว่าพรหมจรรย์ฤๅประการใด ขออาราธนาสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวง วิสัชนาให้แจ้ง

แก้พระราชปุจฉาที่ ๑๘

๏ อาตมาภาพ สมเด็จพระสังฆราช พระพุฒาจารย์ พระพิมลธรรม พระธรรมโคดม พระพุทธโฆษา พระเทพมุนี ๖ รูป ขอพระราชทานถวายพระพรจำเริญพระราชศิริสวัสดิพิพัฒมงคลพระชนมศุขจงทุกประการ แด่สมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ด้วยพระธรรมเจดีย์ถวายพระธรรมเทศนาในคัมภีร์โสตัพพมาลินี ว่าบุคคล ๘ จำพวกไม่ควรจะรักษาพรหมจรรย์นั้น ว่าแต่โดยย่อตามพระบาฬีท่านว่าไว้ มิได้สำแดงให้วิตถารให้สิ้นความสงไสย ในลักษณะอขณะอสมัยศัพท์นั้น จะได้แปลว่าไม่ควรจะรักษาพรหมจรรย์หามิได้ อขณะศัพท์ แปลว่าใช่ขณะจะเกิด ๆ แล้วปล่าวเสียจากมรรคผล อสมัยนั้น แปลว่าใช่กาลจะได้ตรัสรู้มรรคผล อนึ่งพรหมจริยศัพท์นั้นมีอรรถต่างๆ แปดได้ต่างๆ ดังพระบาฬีว่า “พฺรหฺมจริยํ นาม ทานเวยฺยาวจฺจปฺจสีลอปฺปมฺาเมถุนวิรติสทารสนฺโตสวิริยอุโปสถงฺคอริยมคฺคสาสนวเสน ทสวิธํ โหติ สามฺผลอิติวุตตกวณณนานเยน มหาสีหนาทวณุณนายนตุ ธมมเทสนชฺฌาสเย ปกฺขิตฺวา ทวาทสวิธํ โหติ” พรหมจรรย์นั้นแปลว่าให้ทานประการ ๑ แปลว่าเปนคนใช้สอยในการกุศล ๑ แปลว่าศีลห้า ๑ แปลว่าพรหมวิหาร ๑ แปลว่าเว้นจากเมถุนธรรม ๑ แปลว่าสันโดสในภรรยาแห่งตน ๑ แปลว่าความเพียรมีองค์ ๔ คือจะเพียรเอากุศลผลความชอบสิ่งใดแล้ว แม้เนื้อหนังโลหิตเอ็นจะแห้งเหือดสิ้นไปก็มิได้ละซึ่งความเพียร ๑ แปลว่าอุโบสถศีล ๑ แปลว่าอัฏฐังคิกมรรคมีองค์แปด ๑ แปลว่าพระไตรปิฎก ๑ แปลว่าสำแดงแปลว่าฟังพระธรรมเทศนา ๑ แปลว่ามีจิตรอันหยั่งลงในกุศล ๑ แลพรหมจรรย์มีลักขณะถึง ๑๒ ประการ ดังนี้ อันว่าบุคคล ๘ จำพวกนั้นมีพระบาฬีว่า “จตฺตาโร อปายา อรูปา จ อสฺีสตฺตา ปจฺจนฺติมํ ปฺจินฺทริยานิ เวกลฺลํ มิจฺฉาทิฏฺิ จ ทารุโณติ” แปลว่าบุทคลแปดจำพวกนั้น คือสัตวนรกจำพวก ๑ เปรตจำพวกหนึ่ง อสุรกายจำพวกหนึ่ง ติรัจฉานจำพวกหนึ่ง อรูปพรหม ๔ อสัญญีพรหมจำพวกหนึ่ง คนเกิดในปัจจันตประเทศจำพวกหนึ่ง บุคคลเสียจักษุ บุคคลเสียโสตรแต่กำเนิดเปนบ้าน้ำลายจำพวกหนึ่ง คนเปนนิยตมิจฉาทิฐิแท้จำพวกหนึ่ง แลคนแปดจำพวกนี้ ชื่ออขณะ ชื่ออสมัย เหตุว่าใช่ขณะ ใช่ที่ ใช่กาลที่จะได้มรรคได้ผล คำนี้ว่าเปนเยภุยไนยที่จะไม่ได้นั้นมาก ที่จะได้นั้นน้อย อันว่าสัตวนรกนั้นไม่ได้พรหมจรรย์อันใดเลย เว้นไว้แต่ขณะพระอริยเจ้าไปโปรด แลปาฏิหารแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าปรากฎขณะใดได้ความศุขขณะนั้น จึงบังเกิดจิตรเลื่อมใสยินดีในการกุศล ได้ชื่อว่ามีแต่อัชฌาไศรยพรหมจรรย์สิ่งเดียวขณะนั้น ฝ่ายเปรตทั้งสิ้นนั้นแต่เวมานิกเปรต แลมหิทธิกาเปรต ๒ จำพวกนี้ได้พรหมจรรย์ทั้ง ๑๑ ประการ เว้นแต่บรรพชา เว้นแต่อุปสมบทพรหมจรรย์ อันว่าปรทัตตูปชีวิโนเปรตนั้น ได้แต่อัชฌาไศรยพรหมจรรย์สิ่งเดียว เปรตทั้งปวงนอกกว่านี้ที่มีทุกข์เปนนิจนั้นไม่มีพรหมจรรย์อันใดเลย เว้นไว้แต่พุทธปาฏิหาร แลพระอริยเจ้าไปโปรดขณะใด จึงได้แต่อัชฌาไศรยพรหมจรรย์ขณะนั้น อนึ่งอสุรกายมี ๓ จำพวก คือเวปจิตติอสุรกาย ปังสุอสุรกาย กาลกัญชิกาอสุรกาย แต่เวปจิตติแลปังสุอสุรกาย ๒ จำพวกนั้นได้พรหมจรรย์ทั้ง ๑๑ ประการ เว้นแต่บรรพชา เว้นแต่อุปสมบทพรหมจรรย์ แต่กาลกัญชิกาอสุรกายนี้ ได้แต่อัชฌาไศรยพรหมจรรย์สิ่งเดียว อสุรกายนอกกว่านี้ ที่มีทุกข์เปนนิจนั้นไม่ได้พรหมจรรย์อันใดเลย ถ้าเว้นไว้แต่พุทธปาฏิหาร แลพระอริยเจ้าไปโปรด จึงได้แต่อัชฌาไศรยพรหมจรรย์สิ่งเดียว แลสัตวเดียรฉานนั้นได้พรหมจรรย์ ๑๐ ประการ เว้นแต่บรรพชา เว้นแต่อุปสมบท เว้นแต่มรรค เว้นแต่ผล อันว่าอรูปพรหม ๔ อสัญญีพรหมนั้น ได้พรหมจรรย์เปนธรรมดาติดตัวมาแต่ก่อน ซึ่งพรหมจรรย์ใหม่ในชาตินั้นมิได้มีสิ่งใดเลย ฝ่ายคนเกิดในปัจจันตประเทศนั้นไม่ได้พรหมจรรย์ เพราะเหตุอยู่ไกลไม่รู้พุทธวจนะรศพระธรรมเทศนา ถ้าอยู่ใกล้แลรู้พุทธวจนะรศพระธรรมเทศนาแล้ว จะบำเพ็ญพรหมจรรย์สิ่งใดก็ได้ทั้งสิ้น จะได้ห้ามหามิได้ อันว่าคนเสียจักษุคนเสียโสตแต่กำเนิดเปนบ้าน้ำลายนั้น มิได้แต่ฌานแลมรรคผลพรหมจรรย์ ๆ เหลือกว่านั้นไม่ห้าม ฝ่ายว่านิยตมิจฉาทิฐิแท้นั้น มิได้พรหมจรรย์อันใดเลย ที่เปนอนิยตมิจฉาทิฐิไม่เที่ยงพอกลับตัวได้นั้น ถ้าเลื่อมใสเข้ามาในพระสาสนาแล้ว จะบำเพ็ญพรหมจรรย์สิ่งใดก็ได้ไม่ห้าม ซึ่งพระราชปุจฉาทรงพระกรุณาโปรดมาเห็นว่าติรัจฉานกำเนิด พระบรมโพธิสัตวเจ้าเกิดเปนสัตว์ติรัจฉาน ๆ อื่นนอกกว่าพระบรมโพธิสัตวก็ดี เปรตอสุรกายก็ดี คนเปนมิจฉาทิฐิพอกลับตัวได้นั้นก็ดี คนปัจจันตประเทศบ้านนอกมีลว้าเปนต้นก็ดี ถ้ามีศรัทธาจะรักษาพรหมจรรย์แล้ว ก็เห็นเปนพรหมจรรย์ เหมือนพระราชดำริห์ตามควรกำหนดที่ฐานของอาตมา ดุจหนึ่งถวายพระพรวิสัชนามานั้น อาตมภาพทั้งปวงค้นดูพระอรรถกถาบาฬีแปลอธิบายได้เนื้อความ ถวายพระพรวิสัชนาสนองพระเดชพระคุณตามสติปัญญาสกานุรูปแต่เพียงนี้ ขอถวายพระพร ๚

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ