ตำราเล่นหนังในงานมหรสพ ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ

บัดนี้จะได้อธิบายด้วยเรื่องหนัง ซึ่งเป็นเครื่องเล่นอย่างหนึ่งของชาวเรา ก็หนังนี้ถ้ามีงานมหรสพเมื่อใด ก็จำเป็นที่จะต้องตั้งจอขึ้นเล่นเมื่อนั้น

เพราะเหตุใดเล่าฯ เหตุที่ทำให้ครึกครื้นเอิกเกริกในงานอย่างหนึ่ง ทำให้เหิมเกริมในที่ประชุมชนที่มาดูงานได้อย่างหนึ่ง ด้วยการที่เล่นนั้นอาศัยเรื่องนารายณ์สิบปาง ๆ ที่สิบ ที่เรียกว่าเรื่องรามเกียรติ์ เอามาจับเล่นเป็นตอน ๆ ไป และสลักแผ่นหนังขึ้นไว้เป็นรูปภาพตามท้องเรื่อง มีรูปพระราม พระลักษณ์ ทศกัณฐ์ นางสีดา เป็นต้น เอาขึ้นเชิดชูทาบเข้ากับจอให้แสงไฟขาวส่องสว่างออกมาเห็นรูปภาพนั้น แล้วพากย์เจรจากันและติดตลก พลางตีพิณพาทย์ระนาด ฆ้อง กลอง ตะโพน บันลือลั่นสนั่นเสียง กรับ โกร่ง โหม่งม้าล่อแซ่เซ็งไป การที่เล่นดังนี้จึงได้ครึกครื้นสนุกสนาน ชักให้คนเป็นอันมากมาประชุมดู เพราะฉะนั้นงานมหรสพจึงได้เล่นหนังแทบทุก ๆ งานจะเว้นบ้างก็น้อย ด้วยการเล่นหนังนี้เป็นเครื่องทำให้ครึกครื้นในงานอย่างยิ่ง

ว่าด้วยวิธีทำตัวหนัง

จะขอกล่าวอธิบายถึงวิธีทำตัวหนังและวิธีทำจอและการที่จะเล่นหนังนี้ก่อน แล้วจึงกล่าวถึงผลประโยชน์ของการเล่นหนังนี้ต่อไป

ก็วิธีซึ่งจะทำเป็นตัวหนังขึ้นนั้น เอาหนังโคมาแช่น้ำให้อ่อน แล้วขึงผึ่งแดดไว้จนแห้งแล้วเอาเหล็กขูดขูดให้บาง ดูจนสม่ำเสมอเรียบร้อยจึงเอาเขม่าก้นหม้อหรือกาบมะพร้าวเผาก็ได้ ละลายด้วยน้ำข้าวเช็ดทาผืนหนังนั้นให้ทั่วทั้งสองด้าน ดูพอดำดีแล้วตากไว้ให้แห้ง เมื่อแห้งจึงถูด้วยใบฟักข้าวประสงค์จะให้เป็นมัน แล้วจึงหาช่างเขียนที่มีฝีมือดีมาเขียนเป็นรูปภาพต่าง ๆ ตามความต้องการของเจ้าของนั้น เมื่อเขียนแล้วตรวจดูช่องไฟไม่ขัดขวางจึงลงมือสลัก เครื่องมือสลักนั้น มีสิ่วฉากอย่างหนึ่ง สิ่วเล็บมืออย่างหนึ่ง มุกใหญ่ มุกกลาง มุกยอด อย่างหนึ่ง มุกนี้สำหรับกัดตามเส้นรูปภาพ ถ้าสลักตามลวดลายหรือกระหนกแล้ว ต้องใช้สิ่วเล็บมือหรือสิ่วฉากใหญ่เล็กตามสมควร

ครั้นสลักเสร็จแล้วจึงย้อมให้เป็นสีต่าง ๆ บ้างเล็กน้อยตามความต้องการ ถ้าจะให้สีขาวเอาเหล็กขูด ขูดที่หนังให้หมดสีดำที่ทาเขม่าไว้ก็เป็นสีขาว ถ้าจะให้เป็นสีเขียวเอาจุนสีฝนกับน้ำมะนาวทาก็เป็นสีเขียว ถ้าจะให้เป็นสีแดงเอาน้ำฝางกับสารส้มทาก็เป็นสีแดง ถ้าจะให้เป็นสีเหลืองเอาน้ำฝางทาแล้วเอาน้ำมะนาวถู ๆ เข้าก็เป็นสีเหลือง แต่หนังตัวนางนั้นถ้าจะให้แลดูเป็นขาว ก็สลักเอาพื้นตัวออกเสีย เมื่อเชิดทาบเข้ากับจอ พื้นจอส่องออกมาก็เห็นเป็นขาว หนังสลักเอาพื้นตัวพื้นหน้าออกเช่นนี้เรียกกันว่า “นางหน้าแขวะ”

ครั้นเมื่อย้อมสีต่าง ๆ สำเร็จแล้ว จึงเอาไม้มาสีซีกขนาบเข้าสองข้าง สำหรับที่จะได้ถือจับเชิดไปเชิดมา แต่หนังที่สลักสำเร็จเป็นตัวขึ้นแล้วนั้นก็บัญญัติชื่อต่าง ๆ กัน

หนังที่เป็นรูปเดินไม่ว่ายักษ์ ลิง มนุษย์ นาง สุดแต่เป็นรูป เดินแล้วเรียกชื่อว่า “คเนจร”

หนังที่เป็นรูปท่าเหาะไม่ว่า ยักษ์ ลิง สุดแต่เป็นท่าเหาะแล้วเรียกชื่อว่า “ง่า”

หนังที่เป็นสุมพลสำหรับยกทัพ ไม่ว่ายักษ์ ลิง สุดแต่เป็นสุมพลแล้ว เรียกชื่อว่า “เขน”

หนังที่เป็นรูปลิงขาวมัดลิงดำมาหาฤๅษีนั้น เรียกชื่อว่า “เตียว”

หนังที่เป็นรูปตลกนั้น เรียกชื่อว่า “จำอวด” หนังจับสามนั้น เรียกชื่อว่า“จับหนึ่ง จับสอง จับสาม” แล้วยังมีหนังฉากหนี ๑ ฉากไล่ ๑ ลากชาย ๑ หนังโก่ง ๑ หนังแผลง ๑ หนังไหว้ ๑ หนังรถ ๑ หนังเมือง ๑ หนังพลับพลา ๑ หนังปราสาทพูด ๑ หนังปราสาทโลม ๑ รวมชื่อของหนังที่สมมติเรียกกันนั้นต่าง ๆ นักเหลือที่จะพรรณนา

อนึ่ง หนังสำคัญอีกสามตัว ที่ผู้เล่นเคารพนับถือกันนักนั้น คือรูปพระแผลงสองตัว รูปฤๅษีตัวหนึ่ง รวมสามตัวนี้เรียกชื่อว่า “หนังเจ้า” หนังเจ้านี้เมื่อจะทำขึ้นได้ ก็ดูเป็นการลำบากสักหน่อย คือ รูปพระแผลงสองตัวนั้นต้องหาหนังโคตายพรายมาทำ หนังรูปฤๅษีนั้นต้องหาหนังเสือหรือหนังหมีก็ได้ เอามาทำจึงจะถือกันขลัง

หนังเจ้าทั้งสามนั้น เมื่อจะเขียนจะสลัก คนเขียนคนสลักต้องนุ่งขาวห่มขาว แล้วรีบเขียนรีบสลักให้แล้วในวันเดียว อย่าให้การข้ามขวบค้างคืนได้

อนึ่ง เมื่อเวลาจะเขียนสลักนั้น ต้องมีสิ่งของที่สำหรับคำนับครู คือบายศรีปากชาม ๑ เครื่องกระยาบวช ๑ ศีรษะสุกร ๑ เงินติดเทียนด้วย ๖ บาท ของเหล่านี้เมื่อบูชาครูเสร็จแล้วก็เป็นผลประโยชน์ของผู้เขียนผู้สลัก ครั้นสลักเสร็จจึงระบายสีเจ้าทั้งสามตัว รูปพระแผลงสองตัวระบายสีเขียวตัวหนึ่ง สมมติเป็นรูปพระนารายณ์ ระบายสีเหลืองอ่อนหรือปิดทองก็ได้ตัวหนึ่ง สมมติเป็นรูปพระอิศวร รูปหนังเจ้าทั้งสามองค์ใช้ระบายสีต่าง ๆ ตามลายผ้านุ่งและกระหนก ผิดกับหนังตามธรรมดาเพราะเอามาใช้ตั้งเบิกหน้าพระแต่เวลายังไม่ค่ำ

ว่าด้วยวิธีทำจอ

วิธีซึ่งทำจอหนังนั้น เอาผ้าขาวบางอย่างหยาบมาตัดเพลาะกันเข้าพอควร ใช้ทำที่กลางผืนจอเพื่อจะให้สว่างเห็นตัวหนังชัด ที่ด้านมืดสองข้างใช้ผ้าขาวดิบอย่างหนา ประสงค์จะให้เงามืดแฝงตัวหนังออกมาเหมือนที่ออกฉาก ริมจอทั้งสี่ด้านนั้นใช้ผ้าแดงผ้าเขียวครามเพลาะติดกันสองผืนเย็บวงรอบกับจอไป ประสงค์จะสอดสีกันแลดูงาม แล้วเอาเชือกมัดเป็นตอน ๆ ตามด้านยาวสองด้านสมมติเรียกว่า “หนวดพราหมณ์” สำหรับจะได้ผูกเหนี่ยวกับคร่าวบนคร่าวล่าง

ผ้าที่สำหรับวงหลังจอซึ่งเรียกว่าบังเพลิงนั้น แต่ก่อนใช้ผ้าใบสาคูเช่นทำใบเรือ แต่ปัจจุบันนี้ใช้ผ้าขาวดิบ

ขนาดของจอนั้น ถ้าจอยาวตามธรรมดาใช้ยาว ๗ วา ๒ ศอกเศษ ถ้าเป็นงานที่เล่นประชันกันหรืองานใหญ่ ๆ เจ้าภาพแข็งแรง ก็ ใช้จอยาวถึง ๙ วาก็มี ๑๑ วา ก็มี ตามท้องไชยภูมิจะสมควร

ระบายห้อยหน้าจอนั้นใช้ผ้าแดงบ้าง เขียวบ้าง ดำบ้าง สลับกันสองชั้น แล้วเอาทองอังกฤษหรืออังกฤษย่น หรือกระดาษน้ำตะโก สลักเข้าเป็นลวดลายต่าง ๆ ติดเข้ากับระบายจอ บ้างก็เอากระจกเงาเข้าติดเป็นเนื่องไป แล้วห้อยแขวนด้วยลูกลุ่ยตามชายระบายจอนั้น ประสงค์จะให้แลดูงามแปลบปลาบนัยน์ตา

จออย่างหนึ่งที่เรียกว่าจอแขวะนั้น แต่โบราณมาก็มิได้มี พึ่งจะมาเกิดขึ้นประมาณ ๒๕ ปี ๒๖ ปีนี้ จอแขวะนั้นเจาะที่ผ้าดิบสองข้างจอเป็นช่องประตูออกมา แล้วทำเป็นซุ้มประตูเช่นประตูเมืองทั้งสองด้าน ที่จอด้านหนึ่งเขียนเป็นแผนที่เมืองลงกา ด้านหนึ่งเขียนเป็นแผนที่พลับพลาของพระราม แล้วเขียนรูปนางเมขลา รูปรามสูรเหาะล่อแก้วกันอยู่ มีดวงพระอาทิตย์พระจันทร์อยู่เบื้องบนข้างละด้านแลดูก็เรียบร้อยไม่ขัดตาชอบกลอยู่ ด้วยจอแขวะนี้มีผู้คิดยักย้ายทำขึ้นก็เห็นว่าดีกว่าเก่า เพราะประกอบความงดงามแล้วทำให้คนเชิด คนเจรจาเข้าออกสบาย ไม่ต้องก้มดังชั้นหลัง ๆ มาสมัยนี้ยิ่งประกอบความคิดในการที่จะตกแต่งประดับประดาจอยิ่ง ๆ ขึ้นไป สมควรกับความเจริญของบ้านเมือง

ว่าด้วยวิธีตั้งจอ

วิธีที่จะตั้งจอหนังนั้น ถ้าผืนจอกว้างเจ็ดศอกเศษ กำหนด ใช้เสาจอยาว ๓ วา ถ้าผืนจอกว้างออกไปยาวออกไปก็ต้องใช้เสายาวออกไปตามส่วนของจอนั้น เสาจอนี้ใช้ ๔ ต้น กล่อมเสียให้กลมเรียบร้อย แล้วมีเม็ดรูปต่าง ๆ ตามแต่จะชอบใจของเจ้าของ ติดปลายเสาทุก ๆ ต้น แล้วเจาะที่ปลายเสาต่ำลงมาประมาณศอกหนึ่ง ติดลูกรอกสำหรับที่จะได้ชักรอกเอาคร่าวที่ขึงผืนจอขึ้นไป ปลายเสาทั้ง ๔ ต้นนั้นปักหางนกยูงมัดเป็นกำใหญ่ ยอดหางนกยูงนั้นเสียบธงแดงบ้าง ธงตราช้างบ้าง เมื่อลมพัดมาสะบัดธงไหว ๆ แลดูสง่างามยิ่งนัก

ยังเสาสำหรับผ้าบังเพลิงที่อ้อมวงหลังจอนั้น ใช้ ๖ ต้น มีธงแดงเสียบปลายเสาแต่ ๔ ต้น สองต้นนั้นไม่ต้องเสียบธงเพราะเหนี่ยวมาผูกติดไว้กับจอไม่แลเห็น แล้วมีเชือกแดงสองเส้นผูกเข้าตะกรุดเบ็ดไว้ที่คร่าวข้างบนข้างละเส้น สำหรับเหนี่ยวรั้งเอาเสาบังเพลิงมาผูกไว้กับจอให้แน่น แล้วโยงถ่างไปข้างหน้าข้างหลังด้านละสองสายเพื่อจะมิให้จอล้ม เสาบังเพลิงอีก ๔ ต้นที่เสียบธงนั้นก็มืเชือกเหนี่ยวโยงไปข้างหลัง เพื่อจะมิให้ล้มซวนเซไปเหมือนกัน

การที่จะปกเสาจอนั้น เมื่อถึงวันกำหนดงานเจ้าของหนังก็ขนเอาเครื่องจอไป แล้วถามเจ้าของงานว่าจะตั้งที่ตรงไหน เจ้าของงานต้องมาชี้ที่ให้ เมื่อชี้ที่ให้แล้ว ก็ขุดหลุมลงยกเสาทั้ง ๔ ต้นขึ้น ชักรอกเอาผืนจอขึ้นไปขึงให้ตึงเรียบร้อย แล้วติดบังเพลิงด้านหลังเหนี่ยวรั้งเชือกที่โยงให้แน่นหนา มีแผงเชิงจอเป็นผืน ๆ เขียนลวดลายต่าง ๆ ยกมาตั้งบังเข้าที่หน้าจอเฉพาะแต่ที่ตรงสว่าง ที่มืดสองด้านนั้นไม่มีแผงบัง เพื่อจะเปิดไว้เป็นทางเดินให้คนเชิดเจรจาเข้าออก

ส่วนข้างในจอนั้นก็ปักหลักแป้นไว้กลางจอสำหรับใส่ได้จะได้ส่องสว่างออกมาเห็นตัวหนัง แล้วตระเตรียมเอาโกร่งกรับสำหรับตีมาทอดวางไว้เสร็จ เมื่อเวลาเล่นจะได้เคาะประโคมเป็นเครื่องเอิกเกริก การที่พรรณนามานี้เป็นอย่างแบบโบราณ ถ้าการสมัยปัจจุบันนี้การที่จะตกแต่งจอก็พลิกแพลงยักย้ายงดงามขึ้นกว่าเก่าหลายเท่า คือใช้จอแขวะมีประตูเข้าออกดังพรรณนามาแล้วนั้น แต่ที่หน้าจอก็ยกพื้นเรียบกระดานปูเสื่อมีรั้วลูกกรงล้อมรอบเป็นเขตแดนกั้นไว้ มิให้คนดูรุกเข้ามากีดที่ในการที่จะเล่นหนังได้ และตามรั้วลูกกรงนั้นก็มีหลักรายเป็นจังหวะสำหรับที่จะตั้งโคมไฟให้ส่องแสงสว่างเห็นทั่ว ๆ

บางทีถ้างานใหญ่ ๆ ก็สานแผงผูกโครงทำเป็นภูเขาเข้าที่หน้าจอ แล้วปลูกต้นไม้ใหญ่เล็กประดับประดาด้วยดอกผลกล่นเกลื่อนดูไสว แล้วก็มีกุฏิ์ฤๅษีที่เชิงเขาปานประหนึ่งว่าเป็นจริง บ้างก็ยกเสามุงหลังคา ทำเป็นโรงคร่อมจอหนังเข้าอีกชั้นหนึ่ง แล้วก็ประดับตกแต่งโรงนั้นโดยวิจิตรต่าง ๆ เหลือที่จะร่ำพรรณนาให้สิ้นสุดได้ การที่ตกแต่งโรงหนังนี้ก็คงจะสมบูรณ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไปตามกาลตามสมัย

ว่าด้วยวิธีเล่นหนัง

วิธีที่จะเล่นหนังนั้นพอทั้งเสาปักจอเสร็จแล้ว นายหนังก็สั่งให้คนขนตัวหนังมาทอดไว้ในจอโดยระเบียบเรียบร้อย แล้วขนเครื่องพิณพาทย์และสิ่งที่จะต้องใช้ในการเล่นนั้นมาพร้อมเพรียง พอถึงเวลาจวนย่ำค่ำพวกคนเชิดคนเจรจาและตลก กับพวกพิณพาทย์ก็มาพร้อมกันที่จอหนัง พอได้เวลาก็เชิญหนังเจ้าทั้งสามองค์ออกมาตั้งที่หน้าจอ เจ้าที่เป็นรูปอิศวรนารายณ์นั้นตั้งหันหน้าเข้าหากัน เจ้าฤๅษีนั้นตั้งกลาง แต่เจ้าสามองค์นี้เมื่อเชิญออกมาก็ไม่ได้ลอดจอ ต้องเชิญอ้อมออกมาข้างหลังจอ เพราะนับถือว่าเป็นเจ้าจะลอดจอไม่ได้ ครั้นตั้งหนังเสร็จแล้วได้เวลาย่ำค่ำเจ้าของงานก็เอาเทียน ๓ เล่มกับเงินกำนลสองสลึงเฟื้องมาให้แก่นายหนัง นายหนังก็เอาเทียนไปให้แก่พวกพิณพาทย์เล่มหนึ่ง พวกพิณพาทย์รับเทียนมาจุดที่ตะโพนแล้ว ก็ทำเพลงโหมโรงขึ้นพร้อมกัน เพลงโหมโรงนั้นตั้งเพลงสาธุการขึ้นก่อน แล้วออกตระ รัวสามลา เข้าม่าน ลา เสมอ เป็น ๖ เพลงด้วยกัน แล้วพิณพาทย์ก็หยุด คนเจรจาจึงจุดเทียนมาติดบูชาที่หนังเจ้าทั้ง ๒ องค์ ส่วนคนที่อยู่ในจอก็โห่ขึ้น ๓ หน คนเชิดก็ชูเจ้าที่เป็นรูปอิศวรนารายณ์ขึ้นที่หน้าจอ พวกพิณพาทย์ก็ทำเพลงเชิดต่อไป แต่รูปที่เป็นฤๅษีนั้นเชิญกลับเข้าจอไว้ คนเจรจานั้นครั้นบูชาเจ้าแล้วก็กลับเข้าไปยืนอยู่ในจอ แล้วยกมือขึ้นปะที่จอห้ามพิณพาทย์ พวกพิณพาทย์ก็หยุด คนเจรจา ๖ คนก็พากย์กันคนละที เรียกว่า “พากย์สามตระ”

พากย์สามตระอย่างโบราณ

๏ ข้าไหว้พระเสร็จเรืองฤทธา ทศรถมหา
เปนเจ้าสำหรับพระธรณี
๏ ไหว้บาทวรนาถจักรี ในพื้นปัฐพี
ผู้ใดจะเปรียบปานปูน
๏ ชาวพ่อไพร่ฟ้าหน้าขุน เล็งแลใครจะปูน
ทุกท้าวพระยาย่อมรักษา ฯ
๏ มีเมียคนหนึ่งเล่า เมื่อจะขึ้นเฝ้าย่อมเล่าลา
เลื่องฦๅแต่ก่อนมา เสร็จแล้วจะไหว้ครูเรียน ฯ
๏ ครูข้าบ่ายหน้าเข้าจับเอาบังเหียน แต่ล้วนคงกะเรียน
ก็จับระบำอยู่เปนกง
๏ อุ้มครกยกสากวางลง เท้าถีบศรก่ง
ปากก็คาบเอาถ่านเพลิงแดง ฯ
๏ เบื้องเท้าเธอเหยียบดาบ ปากก็คาบเอาคมแวง
มีดตรีกระบี่แทง พระแผลงเอาไส้ออกเรี่ยราย ฯ
๏ บัดใจท้าวจะแผลงให้ล้มตาย อาเพศกลับกลาย
ก็กลายเปนพลของท้าวไท
๏ ยกบุญยอคุณพระวิสัย พิณพาทย์ปางไฉน
เสร็จแล้วจะไหว้ท้าวลา
๏ ท้าวเธอยกหัตถ์ขึ้นวันทยา จึ่งจะเริ่มให้หา
เอาหนังพระโคมาตัดแปลง ฯ
๏ จำหลักรูปพระรามา นางสีดาเข้าเฝ้าแฝง
พระลักษณ์ผู้ทรงแรง จะเริ่มเล่นให้อุ่นวัน ฯ
๏ เบื้องซ้ายข้าจะไหว้ทศกัณฐ์ เบื้องขวาอภิวันท์
สมเด็จพระรามจักรี ฯ

ฯ ทวย ๑ ฯ

เพียงนี้เรียกว่าจบทวย ๑ พิณพาทย์ก็ทำเพลงเชิดอีก คนเจรจายกมือขึ้นห้ามพิณพาทย์แล้วพากย์ทวย ๒ ต่อไป

๏ โอมฤๅษีฤทธิเดโชไชย เดชพระเลิศไกร
ประสิทธิพรมงคล
๏ ศรีศรีสวัสดีอำพน สุขเกษมสกาผล
ขอเกิดสวัสดีมีไชย
๏ ข้าไหว้คุณพระพุทธสบสมัย โปรดสัตว์อสงไขย
ให้ลุถึงห้องพระนฤพาน
๏ ข้าไหว้พระอนิรุทธเริ่มการ โป่งป่าท่าธาร
ทุกห้วยละเมาะเซาะเขา ฯ
๏ ข้าไหว้เทพอยู่ในน้ำ ทุกเถื่อนถ้ำแลลำเนา
ไหว้ครูประสิทธิเรา ครูผู้เฒ่าสถิตเสถียร ฯ
๏ ข้าจะขอเล่นเรื่องรามเกียรติ์ สอนวาดฉลาดเขียน
สอนเรียนฉลุฉลักเฉลา ฯ
๏ พากย์พลส่งเสียงให้ล้ำเลิศ ทั้งคนเชิดให้เพริศเพรา
เล่นล้วนแต่ชาวเรา ให้สรรเสริญเยินยอ
๏ ตัดไม้มาสี่ลำ ปักทำขึ้นเปนจอ
สี่มุมแดงยอ กลางก็ดาดด้วยผ้าขาว ฯ
๏ วาดรูปพระอิศวรรายดาว เทียบรถบนกลางหาว
อาทิตย์ก็เลื่อนอยู่เห็นแสง
๏ ลงการากษสสำแดง อยุทธยากล้าแข็ง
จะเล่นให้ท่านทั้งหลายดู ฯ
๏ ไชยศรีโขลนทวาร เบิกบานประตู
ฆ้องกลองตะโพนครู ดูเล่นให้สุขสำราญ ฯ
๏ หนังเราใช่ชั่วช้าสามานย์ เล่นมาแต่ก่อนกาล
บ่ห่อนจะมีใครไยไพ ฯ
๏ ขอกันสารพัด อุบาทว์เสนียดแลจัญไร
ไว้แก่ผู้ไยไพ ติหนังที่ดีว่าบ่มิงาม ฯ
๏ ข้าขอคุณพระลักษณ์พระราม เทพเจ้าผู้ทรงนาม
สถิตอยู่ทั่วทุกตัวหนัง ฯ

ฯ ทวย ๒ ฯ

จบทวย ๒ พิณพาทย์ก็ทำเพลงเชิดเหมือนครั้งก่อน คนเจรจาก็ยกมือขึ้นห้ามพิณพาทย์หยุด แล้วก็พากย์ทวย ๓ ต่อไป

๏ สำเร็จสนธสานนท์สำแดง เขียนแล้วดัดแปลง
เปนเกียรติยศพระรามา ฯ
๏ เอาหนังพระโคมาจำหลัก ให้เห็นประจักษ์อยู่กับตา
เชิญท่านทั้งหลายมา ชมแต่รูปเงาแทน ฯ
๏ งามเกลี้ยงเพียงจงกลหัวแหวน ท่านผู้เฒ่าท่านกล่าวแทน
ว่าหนังนี้เกิดสถาพร ฯ
๏ อุปเท่ห์ท่านบอกให้ ครูผู้ใหญ่ย่อมสั่งสอน
ขอเดชพระภูธร อย่าให้พ่ายแพ้จะอดสู
๏ ที่ใครแพ้ก็ว่าแพ้ อย่าท้อแท้ทำอ่อนหู
ใครชนะเอาเปนครู หาท่านผู้รู้มาให้หนัง
๏ เร่งเร็วเถิดนายไต้ เอาเพลิงใส่เข้าหนหลัง
ส่องแสงอย่าให้บัง จะเล่นให้ท่านทั้งหลายดู ฯ

ส่วนนายไต้ที่คอยอยู่ในจอถือไต้จุดไฟไว้สามลำ ก็เอาไต้ขึ้นวนบนแป้นสามรอบแล้วเอาวางลงบนแป้นที่กองไต้ไว้ ไฟก็ติดลุกโพลงขึ้น พวกพิณพาทย์ก็ทำเพลงเชิดขึ้นพร้อมกัน ฝ่ายคนเจรจาก็ออกมาดับเทียนที่จุดบูชาหนัง แล้วก็จุดเจิมเสก ๆ เป่า ๆ ตามวิธีของเขาที่ได้ร่ำเรียนกันมา คนเชิดก็เชิดหนังเจ้ากลับเข้าจอ เท่านี้แหละเป็นวิธีที่เรียกกันว่าเบิกหน้าพระ

ก็วิธีเบิกหน้าพระแลพิณพาทย์ทำเพลงโหมโรงดังว่ามานั้น ถ้าเป็นส่วนเล่นในราชการหลวงแล้ว ก็มิได้เบิกหน้าพระและโหมโรงเลย ใช้ปล่อยลิงหัวค่ำทีเดียว ที่ต้องเบิกหน้าพระและพิณพาทย์ทำเพลงโหมโรงนั้น ต่อเล่นงานของราษฎรจึงใช้

เมื่อเบิกหน้าพระเสร็จแล้วจึงปล่อยลิงหัวค่ำ ออกลิงหัวค่ำนั้น คือเชิดง่าลิงขาวกับลิงดำออกจับกัน เมื่อเชิดลิงขาวกับลิงดำจับกันนั้น พิณพาทย์ทำเพลงเชิด ครั้นง่าสองตัวเข้าเชิดหนังจับหนึ่งออกสมมติเป็นทีลิงขาวจับลิงดำ สองตัวนั้นกำลังจับกันอยู่เรียกว่า “จับหนึ่ง” พิณพาทย์ทำเพลงเชิดเหมือนกัน แต่ฆ้องกับระนาดมิได้ตี ใช้เป่าแต่ปี่คันเดียว กลองก็ตีกลองเล็กให้เสียงดังตุ๋งขึ้น เรียกว่า “เชิดนอก” เพลงเชิดนอกนี้ปี่ต้องเป่าให้สำเนียงปี่ชัดว่า “จับให้ติดตีให้ตาย” จึงจะชมกันว่าปี่ดี แล้วจึงจับหนังเข้าเชิดง่าสองตัวออกมาอีกสมมติเป็นลิงสองตัวนั้นจับกันหลุดออกไป แล้วก็เข้าจับกันอีกเรียกว่า “จับสอง” แล้วหลุดออกไปกลับเข้าจับกันอีกเรียกว่า “จับสาม” พอหนังจับสามเข้า ก็เชิดหนังลิงขาวมัดลิงดำและหนังรูปฤๅษีออก พิณพาทย์ก็ทำเพลงเตียวแล้วก็หยุด สมมติเป็นลิงขาวชนะลิงดำแล้วมัดลิงดำมาพอพบฤๅษีเข้าฤๅษีขอให้ปล่อย ที่ตรงนี้คนเจรจาออกมาเจรจากันตามเรื่อง ทำเสียงเป็นชาวเหนือกลาย ๆ เมื่อเจรจากันแล้วก็เชิดเตียวกลับ หนังบางโรงเมื่อเบิกหน้าพระแล้ว ก็เชิดบ้องตันแทงเสือออกแทนลิงหัวค่ำก็มี แต่น้อยนักนาน ๆ จึงจะได้เห็นครั้งหนึ่ง เมื่อปล่อยลิงหัวค่ำหรือบ้องตันแทงเสือแล้วจึ่งจับเรื่องในรามเกียรติ์ต่อไป ตามแต่จะเล่นเมื่อตอนไหนไม่กำหนด สุดแล้วแต่จะเตี๊ยมตกลงกัน

ว่าด้วยเรื่องที่เล่นหนัง

ข้าพเจ้าจะขอกล่าวถึงเรื่องเล่นหนังอย่างโบราณก่อน ทราบว่าแต่โบราณนั้นชอบเล่นเมื่อทูษณ์ขรตรีเศียร พอเล่นไปถึงสองยาม พอถึงทูษณ์ขรตาย จึงได้เรียกกันว่า “ล้มขร” แต่คนที่ดูนั้นมากลับเรียกเสียว่า “ขรล้ม” พอขรล้มแล้วก็หยุดพักเลี้ยงกันเสียทีหนึ่ง แล้วก็นอนอยู่ที่ในจอนั้นเรียกว่า “หนังยับ” คือเอาหนังพักไว้ที่จอก่อน ครั้นตีสิบเอ็ดทุ่มจวนจะสว่าง ก็ปลุกกันลุกขึ้นเล่นหนังไปอีกพักหนึ่ง ต่อสว่างจึงได้เลิก ข้าพเจ้าทราบว่าโบราณเขาเล่นกันดังนี้ จึงได้เรียกว่า “เล่นหนังยังรุ่ง” คือจวนจะรุ่งต้องเล่นอีกคราวหนึ่ง แต่ปัจจุบันเดี๋ยวนี้ก็กำหนดเล่นกันเพียงครึ่งคืน คือสองยามหรือเจ็ดทุ่มก็เลิก

อนึ่ง ได้ทราบว่าโบราณแต่ก่อนนั้น พิณพาทย์ที่สำหรับเล่นกับหนังก็มีแต่ ปี่ ฉิ่ง กลอง ตะโพนเท่านั้น หามีฆ้องวง ระนาดไม่ แล้วมีผู้คิดเติม ฆ้องวง ระนาด ขึ้นเป็นหกสิ่ง ภายหลังมาปัจจุบันนี้ ก็ใช้พิณพาทย์เครื่องใหญ่ทีเดียว คือมีปี่สองเลา ระนาดเอกไม้ ระนาดทุ้มไม้ ระนาดเอกทอง ระนาดทุ้มเหล็ก ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ฆ้อง โหม่ง ฉิ่ง ตะโพน กลองเล็กคู่หนึ่ง กลองทัดใหญ่คู่หนึ่งหรือสองคู่ ตามแต่จะใช้ บางทีก็ใช้กลองแขกเข้าด้วย กลองแขกนั้นใช้ตีเมื่อโลม หรือเมื่อรับร้องลำต่าง ๆ บางทีเมื่อง่าพระกับยักษ์ออกรบกันก็ตีเพลงส่าระหม่าและแปลงเช่นรำกระบี่กระบอง แต่หนังโบราณนั้นมิได้ใช้กลองแขกเลย

อนึ่ง ที่เรียกว่าหนังจับระบำหน้าจออย่างโบราณนั้นคือ เล่นตั้งแต่เวลาบ่ายใช้หนังที่เรียกชื่อว่าคเนจรพระ คเนจรนาง ตัวนางนั้น ระบายสีตัดเส้นเขียนโดยงดงามเพราะแลเห็นแต่วัน

คนเชิดหนังระบำนั้นนุ่งผ้ายกหรือผ้าเกี้ยว สวมเสื้ออย่างน้อยคาดเข็มจัดโพกผ้าขลิบ แล้วเชิดพระกับนางเป็นคู่ ๆ กันไป คนร้องก็ร้องบทระบำ คือรำพระทอง บาหลิ่ม เบ้าหลุด สระบุโหร่ง คนเชิดก็ทำท่าทางต่างๆ ไปตามบท แล้วก็เชิดหนังนางเมขลา รามสูร อรชุน ออกมาเล่นตามเรื่องของระบำ พอเวลาค่ำจึงจับเล่นเรื่องต่อไป

ครั้นมาภายหลังมีผู้คิดเอาคนเป็นตัวระบำแต่งตัวเหมือนละครออกมาเล่นทีเดียว บางทีก็เล่นเป็นเรื่องละครแทนระบำไปกว่าจะค่ำ พอค่ำแล้วจึงปล่อยตัวหนังออกมาเล่น บางทีเมื่อเล่นถึงบทที่ดี เพราะก็ปล่อยตัวโขนออกมาเล่นบ้าง แล้วปล่อยตัวหนังออกแกมกันไปจนเลิก เรียกว่า “หนังติดตัวโขน” แต่บ้จจุบันเดี๋ยวนี้ มักจะเล่นปล่อยตัวโขนไปแต่เย็นตลอดกลางคืนจนเลิกทีเดียว เพราะตัวโขนเป็นตัวคนจักให้คนดูสนุกสนานมากขึ้น ถ้าหนังโรงใดเล่นแต่ตัวหนังเปล่าแล้วดูเหมือนจะกร่อย ๆ ไป สู้ติดตัวโขนหาได้ไม่ ส่วนจอนั้นก็ปักไว้พอเป็นพิธีว่าเล่นหนังเท่านั้น การที่เล่นหนังหรือโขนหน้าจอนี้ ถ้าเล่นโดยแข็งแรงสนุกสนาน คือคนดูชอบใจเสียงฮาลั่นบ่อย ๆ แล้ว ท่านเจ้าของงานก็ตกรางวัลบ่อย ๆ ตามที่เสียงคนฮา ถ้าเล่นกร่อย ๆ ไม่ค่อยมีเสียงคนฮาแล้วก็ไม่ได้รางวัล

อนึ่ง เมื่อกำลังหนังเล่นอยู่นั้น ถ้าเป็นงานของราษฎรพอจุดดอกไม้เพลิง หนังก็ต้องหยุดไม่เล่น ต่อจุดดอกไม้เพลิงแล้วจึงจะเล่นต่อไป ถ้าเจ้าของงานบังคับไม่ให้หยุดก็หยุดไม่ได้ การที่หนังต้องหยุดเมื่อเวลาจุดดอกไม้นั้น ชะรอยจะเห็นว่าคนดูผินหน้าไปดูดอกไม้เสียหมด แล้วก็พูดกันเสียงจ้อก ๆ แจ้ก ๆ ให้กลบเสียงพากย์และเจรจา ไม่ตั้งตาดูหูฟังในการที่จะเล่นหนังนั้น ครั้นจะเล่นไปก็กลัวโคม ๆ เพราะไม่มีคนดู อีกประการหนึ่งจะเห็นว่าเสียงดอกไม้เพลิง คือ ดอกไม้กระถาง ระทา พลุ ดังกึกก้องนัก กลบเสียงคนพากย์และเจรจาจะมิได้ยินจึงได้หยุดไว้ ต่อเสียงดอกไม้เพลิงสงบแล้วจึงให้เล่นต่อไป จะเป็นด้วยเหตุดังนี้หรือยังไงไม่ทราบ แต่เล่นหนังในส่วนราชการนั้นก็มิได้หยุดเลย

อนึ่ง การเล่นหนังนั้น เมื่อจะเลิกพิณพาทย์ต้องทำเพลงวา คือเพลงกราวรำชั้นเดียวนี้เอง เป็นธรรมเนียมมาแต่โบราณจนกาลบัดนี้

ว่าด้วยราคาหาหนังไปเล่น

ราคาหาหนังไปเล่นนั้นไม่เท่ากัน โบราณแต่ก่อนหากันไปเล่น ถ้าหนังเปล่าไม่ติดตัวโขนคืนหนึ่งราคาสิบบาท เงินงานสิบบาทนี้ได้แก่เจ้าของหนัง กำนลอีกสองสลึงเฟื้องได้แก่นายหนัง ข้าวสารหนึ่งถัง ปลาหางหนึ่งหาง เยื่อเคย พริก หอม กระเทียม ของเหล่านี้สำหรับให้เลี้ยงกันในพวกที่เล่นหนังนั้นเป็นแบบธรรมเนียมมาแต่โบราณดังนี้

อนึ่ง ถ้าจะให้เล่นหนังจับระบำหน้าจอแต่เวลาบ่ายไปราคาคืนหนึ่งสิบหกบาท ถ้าปล่อยตัวโขนแต่เย็น กลางคืนปล่อยตัวหนังบ้างแกมกัน ราคาคืนหนึ่งยี่สิบบาท แต่เงินกำนลสองสลึงเฟื้องกับของสำหรับเลี้ยงกันก็คงได้ตามเดิม ข้าพเจ้าทราบว่าหนังโบราณแต่ก่อน เขาหากันไปเล่นเป็นราคาตามอัตราเพียงเท่านี้

แต่ปัจจุบันเดี๋ยวนี้ราคาหนังนั้นมากขึ้นไป คือถ้าหากันไปเล่นแต่หนังเปล่าไม่ติดตัวโขน คืนหนึ่งราคายี่สิบบาท ถ้าติดตัวโขนแต่เวลากลางคืนไม่ต้องเล่นแต่เย็นไป คืนหนึ่งราคาสี่สิบบาท ติดตัวโขนแต่บ่ายไปจนเวลากลางคืน ๆ หนึ่งราคาหกสิบบาท ถ้ายกพื้นหน้าจอตกแต่งโดยวิจิตร แล้วเล่นแต่ตัวโขนไปตั้งแต่เวลาบ่ายจนกลางคืน คืนหนึ่งราคาแปดสิบบาทก็มี ร้อยบาทก็มี ร้อยยี่สิบบาทก็มี จะกำหนดแน่ไม่ได้ ตามแต่ผู้หากับเจ้าของหนังจะตกลงกัน แต่กำนลนั้นหกสลึง เงินเบี้ยเลี้ยงแทนสิ่งของสิบสลึง ราคาของหนังในปัจจุบันนี้ขึ้นไปแพงกว่าแต่ก่อนดังนี้

อนึ่ง ราคาของหนังนั้น ถ้าหากันไปเล่นข้ามหัวเมืองเจ้าของหนังก็คิดราคาขึ้นไปอีก คือถ้าข้ามหัวเมือง ๆ หนึ่งก็ขึ้นเงินงานอีกเท่าหนึ่ง ถ้าข้ามสองหัวเมือง สามหัวเมือง ก็ขึ้นเงินงานอีกสองเท่าสามเท่าตามลำดับหัวเมืองไป แต่ถ้าเป็นเมืองใกล้กับกรุงเทพฯ เช่น เมืองปทุมธานี เมืองนครเขื่อนขันธ์ สองเมืองนี้ก็คิดเอาแต่ครึ่งงาน ซึ่งคิดเงินงานตามหัวเมืองนี้ ก็ติดได้แต่คืนเดียวที่เล่นวันแรก ต่อมาวันที่สองที่สามก็คิดเอาตามอัตราเดิมเท่านั้น

ว่าด้วยยลประโยชน์ของผู้ที่เล่นหนัง

การผลประโยชน์ในเงินที่เล่นหนังได้นี้ใช่ว่าเจ้าของจะได้แต่ผู้เดียวก็หาไม่ ถ้าได้เงินงานไปแล้วก็ต้องจำหน่ายจ่ายแจกแก่กันและกัน ตามบรรดาที่คนไปเล่นนั้น คือถ้าเล่นแต่หนังเปล่า คืนหนึ่งแจกคนเจรจาคนละหนึ่งบาท ตลกคนละหนึ่งบาท คนเชิดคนละสลึงเฟื้อง คนตีโกร่งคนละหนึ่งสลึง พิณพาทย์คนละสองสลึง คนปี่หนึ่งบาท นี้เป็นอัตราแจกในงานเล่นหนังเปล่า

ถ้าเล่นโขนหน้าจอไปตั้งแต่บ่ายจนกลางคืน คืนหนึ่งแจกคนเจรจาคนละหกสลึง ตลกคนละหกสลึง คนตีกรับคนละหนึ่งสลึง ตัวโขนตัวดีคนละกึ่งตำลึง ตัวกลางคนละหกสลึง ตัวเลวคนละหนึ่งบาท พิณพาทย์คนละสามสลึง คนปี่คนละหกสลึง นี้เป็นอัตราแจกเล่นโขนหน้าจอ

ส่วนเสียค่าภาษีนั้น ถ้าเป็นหนังเปล่าคืนหนึ่งเสียสองสลึง ถ้าติดตัวโขนเล่นแต่เวลากลางคืน คืนหนึ่งเสียสิบสลึง ถ้าติดตัวโขนตั้งแต่เวลาบ่ายไปจนกลางคืน คืนหนึ่งเสียสี่บาทสองสลึง นี้เป็นอัตราเสียค่าภาษี แต่ถ้าเล่นในส่วนราชการที่เป็นหนังหมายแล้ว เงินภาษีก็ไม่ต้องเสีย

เงินงานที่เล่นได้ในการหนังนี้ ถ้าเหลือจากเสียภาษีและแจกคนบรรดาที่เล่นแล้ว ก็เป็นผลประโยชน์ของท่านเจ้าของหนังทั้งสิ้น แต่ถ้าเจ้าของมีผู้คนของตัวเอง คือ คนเจรจา ตลก พิณพาทย์ และตัวโขนเป็นบ่าวทาสไม่ต้องหาผู้อื่นเขามาแล้วผลประโยชน์ก็ได้มากออกไป ผลประโยชน์ของผู้ซึ่งมีหนังแล้วออกเล่นงานนั้น ถ้าจะกะประมาณรายหนึ่ง ๆ ปีหนึ่งคงอยู่ในสามสิบชั่งหรือกว่าขึ้นไป แต่จะกำหนดเอาเป็นแน่ทีเดียวก็ไม่ได้ ด้วยผลประโยชน์ในการเล่นหนังนี้ สุดแล้วแต่งานจะชุกชุมหรือไม่ชุกชุม ถ้างานศพชุกชุมหรือเขามีการฉลองพระฉลองวัดและแก้สินบนอะไร ๆ ชุมแล้ว เขาก็หาหนังไปเล่นบ่อย ๆ ตามซึ่งมีงานนั้น เพราะเช่นนั้นส่วนเงินผลประโยชน์ในงานหนังนี้จึงจะกำหนดเอาเป็นแน่ไม่ได้ แต่ซึ่งได้ไปเล่นงานนั้นคงได้เล่นในฤดูแล้งมากกว่าฤดูฝน คือตั้งแต่เดือนสาม เดือนสี่ เดือนห้า พอย่างเข้าเดือนหกข้างแรมก็ซาไปไม่สู้หาหนังไปเล่น เพราะเดือนหก เดือนเจ็ด เดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบ เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง ยังเป็นระหว่างฝนตกอยู่ ครั้นจะมีงานมีการเล่นหนัง จุดดอกไม้ก็กลัวจะเป็นที่เปียกปอนเปื้อนเปรอะฉำแฉะทำให้เสียประโยชน์ไปในระหว่างฤดูฝน จึงไม่ค่อยจะได้ไปเล่น แต่ถึงกระนั้นก็ยังได้เล่นในฤดูฝนบ้างรายละสองหนสามหน แต่ต้องมีสัญญาเป็นธรรมเนียมกันมาแต่เดิมว่า ถ้าปล่อยลิงหัวค่ำแล้วจะจับเรื่องเล่นไป แม้นฝนตกลงมาหนังก็ต้องเลิก เจ้าของงานก็ต้องเสียเงินงานให้แก่เจ้าของหนังเต็มอัตรา ถ้ายังไม่ได้ปล่อยลิงหัวค่ำหรือกำลังปล่อยลิงหัวค่ำอยู่ แต่ยังไม่ได้เล่นเรื่อง ถ้าฝนตกลงมากำลังนั้นหนังก็ต้องเลิกอยู่เอง เจ้าของหนังจะคิดเอาเงินงานไม่ได้เลย ถ้าฝนตกหยุดแล้วเล่นหนังต่อไปจึงจะคิดเอาเงินได้ ถ้าฝนไม่หยุดก็เป็นต้องเลิกกันในคืนวันนั้น ตกเป็นภัพของเจ้าของหนังที่ต้องขาดทุนในการที่ตั้งจอขนเครื่องขึ้นไปเล่นและเล่นจนถึงปล่อยลิงหัวค่ำแล้วยังไม่ได้เงิน

แต่ดูเหมือนจะยังชั่วแก่เจ้าของงาน ที่ต้องเสียเงินตามอัตราเมื่อหนังยังไม่ทันจับเรื่อง ฝนตกลงมาหนังเลิกเสีย เจ้าของงานมักบ่นว่า “ได้ดูแต่จับลิงหัวค่ำนิดเดียวหรือยังไม่ทันดูแล้วก็ยังหัวค่ำอยู่แท้ ๆ ไม่ดึกดื่นอะไรเลยไม่สมควรที่จะเลิก แต่จนใจด้วยฝนมาแกล้งพวกหนังเขาย่อมเล่นไม่ได้อยู่เอง” การที่ฝนมาตกลงระหว่างนี้ก็เป็นภัพของเจ้าของงานโดยแท้ ด้วยเงินต้องเสียเต็มอัตรา แต่ถ้าเจ้าของงานพูดจาอ่อนน้อมกับเจ้าของหนัง ขอลดลาวาศอกแต่ครึ่งหนึ่ง ด้วยมิได้เล่นเหน็ดเหนื่อยอะไร ถ้าเจ้าของหนังผ่อนผันตามโดยอัธยาศัยแล้ว การจึงจะตกลงลดราคาเสียแต่ครึ่งหนึ่งได้ ถ้าเจ้าของหนังไม่ยอมตกลงก็ต้องเสียราคาเดิมที่ได้หากันไว้

นี่แหละการผลประโยชน์ของผู้ซึ่งมีหนังนี้ จะเล่นแต่หนังเปล่าหรือหนังโขนหน้าจอก็ตาม สิริรวมปีหนึ่ง ๆ คงได้เงินส่วนที่เล่นนี้ประมาณสามสิบชั่งหรือกว่าขึ้นไป ตามที่ได้เล่นมากเล่นน้อยเป็นธรรมดาของหนังอยู่เช่นนั้น

ข้าพเจ้าเรียบเรียงมาด้วยเรื่องหนัง ว่าด้วยเหตุที่ต้องเล่นหนัง และวิธีทำตัวหนัง วิธีทำจอ วิธีตั้งจอ วิธีเล่น ราคาหาไปเล่นผลประโยชน์ในการเล่นหนัง ยุติโดยสังเขปแต่เท่านี้ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ