ตอน หนุมานถวายแหวน

๑๖

๏ นารายณ์บันเทิงปรีดา ปรึกษาเสนา
จะยาตรพยุหควรไฉน  
๏ มนตรีพร้อมกันทูลไท ยกยาตรพลไป
ทีเดียวจะแสนยากเย็น  
๏ ด้วยท่าทางนั้นขัดเข็ญ หนึ่งไม่ไปเห็น
สมเด็จพระอรรคชายา  
๏ จำจะให้แต่งทูตา คุมพลไปหา
จงสบสมเด็จมหิษี  
๏ แล้วจึงดำเนินโยธี ภายหลังจะดี
ค่อยรู้หนทางไปมา  
๏ พระให้ทำตามปรึกษา เร่งจัดเสนา
ตรีทูตผู้เรืองฤทธี  
๏ สุครีพทูลไทธรณี เห็นแต่กระบี่
หนุมานผู้ชาญเดชา  
๏ เคยข่มขี่มารยักษา ได้พรอิศรา
นุภาพเหี้ยมหักหาญ  
๏ หนึ่งดูเพลาพระกาล ศรีชมพูพาน
จะบอกยุบลร้ายดี  
๏ องคตลูกท้าวพาลี แม้นพบไพรี
จะแก้ด้วยเพโทบาย  
๏ พาทีอาจหาญแยบคาย รู้ลักษณภิปราย
ในรณเรืองวิทยา ฯ  

ฯ เจรจา ฯ

๏ ภูวกวักเรียกหนุมานมา ตรัสสั่งกิจจา
ให้แจ้งประจักษ์ใจจง  
๏ แล้วถอดจักรรัตนธำมรงค์ กับผ้าร้อยองค์
ยุพินทรให้นำไป  
๏ ผิวนางยังแหนงน้ำใจ จงแนะความใน
มิถิลราชโบรา  
๏ อันปรากฏจริงใจมา เมื่อตาต่อตา
ประจวบบนบัญชรไชย  
๏ ถ้าท่านกลับคืนครรไล มาจวบทรงใด
จะยกบำนาญพานร  
๏ แล้วสั่งสุครีพฤทธิรอน ให้เกณฑ์นิกร
ไปโดยทั้งสามเสนี  
๏ สุครีพรับราชวาที มาจัดกระบี่
ได้สองสมุทรเรืองไชย  
๏ จึ่งกฎหมายให้สามไป เดือนหนึ่งจอมไตร
ดำรัสให้เร่งคืนมา  
๏ กษณะนั้นหนุมานฤทธา องคตมหา
นุภาพชมพูพาน  
๏ ทั้งสามก้มเกล้ากราบกราน พาพวกพลหาญ
สำคัญทักษิณทิศจร ฯ  

ฯ กราว ฯ

๏ ไต่ตามสถลมารคดงดอน ข้ามโขดสิงขร
แลห้วยละหานธารไศล  
๏ สามนายนำพลครรไล สามโยชน์บไกล
ก็ถึงสำนักสระศรี  
๏ สระนั้นกว้างขวางยาวรี กุ้งกั้งเต่าตรี
มัจฉาประพาสหลายพรรณ  
๏ กอเบญจกุสุมเนืองนันต์ นิลุบลสัตตบรรณ
สโรชเบิกบานขจี  
๏ ฟักแฟงใบบัดชลธี มั่วหมู่ภุมรี
มาเฟ้นสุคนธ์บุษบง  
๏ โดยดังสมญาสระสรง สมมุตินามตรง
อุทกท้าวพันตา  
๏ พอเย็นยอแสงสุริยา ทั้งสามเสนา
ก็ยั้งนิกรริมธาร  
๏ เที่ยงคืนปักหลั่นขุนมาร ขึ้นจากสระสนาน
แสวงมาพบพลพฤนท์  
๏ ค่อยย่องมองดูพานรินทร์ ผาดเห็นหลานอินทร์
อันนอนอยู่กลางโยธา  
๏ อสุรทะลวงวางมา ถีบถูกอุรา
กระบิลบุตรพาลี ฯ  

ฯ เชิด ฯ

๏ องคตตื่นขึ้นราวี ยักษ์ไหว้แล้วมี
สุภาพถามทันใด  
๏ ท่านนี้สมญาชื่อไร จะไปข้างไหน
มาหยุดเอาทับริมคลอง  
๏ หลานอินทร์จึ่งตอบสารสนอง กูมาทั้งผอง
คือทูตนารายณ์รามา  
๏ ปักหลั่นจึงแถลงกิจจา โดยเดิมโทษา
อันคบด้วยเทพบุตรี  
๏ มัฆวานสาปมาทันที ให้เปนยักษี
อยู่เฝ้ายังสระสินธุ์สรง  
๏ แม้นสัตว์ผู้คนซอนซง จรล้ำมาลง
สำนักสถานวาริน  
๏ ให้หักคอสูบเลือดกิน เปนภักษ์อาจิณ
ไปจวบนารายณ์ไวกูณฐ์  
๏ เมื่อวงศ์อโยทธประยูร ใช้ทูตจำทูล
ยุบลไปเยียนสีดา  
๏ ข้าได้รบด้วยทูตา จึงพ้นโทษา
ไปเกิดในห้องไตรตรึงษ์  
๏ ที่นี้ทูตามาถึง ต้องตัวกูจรึง
แลกูจะพ้นไปสวรรค์  
๏ ว่าแล้วบัดเดี๋ยวบทัน พรับตากุมภัณฑ์
ก็ฟื้นชีวิตวายชนม์ ฯ  

ฯ เหาะเชิด ฯ

๏ กษณะนั้นเสนีรี้พล บมินอนกลัวตน
ก็นั่งระมัดถือตา  
๏ ครั้นแสงสุริยะส่องโสภา ใสสว่างเวหา
กระบิลก็ยกพลไป  

ฯ เชิด ฯ

๏ จากนั้นดั้นดงพงไพร โดยมรคาลัย
ก็พบถนนมหิมา  
๏ เอาเงินดาดพื้นรถยา สามนิ้วโดยหนา
ก็เห็นอร่ามเรืองงาม  
๏ บมีผู้คนจักถาม พานรทั้งสาม
ก็คิดฉงนใจใจ  
๏ อัศจรรย์เมืองนี้เปนไฉน เหมือนเมืองหัสนัยน์
อันเลิศวิลาสลำยอง  
๏ รั้ววังเรือนหลวงทั้งผอง ล้วนแก้วแกมทอง
ฉลักเฉลาเพราพราย  
๏ ฉันใดผู้คนโหดหาย นรชาติหญิงชาย
บมีบมาพานตา  
๏ แต่มาตรแม้นหมู่นกกา ห่อนบินแววมา
จะใกล้จะกรายธานี  
๏ รวยรวยรสคนธ์อันดี ฟุ้งทั่วบุรี
ขจรตรลบอบอาย  
๏ องคตจึงกล่าวภิปราย จงลูกพระพาย
ระเห็จไปดูถึงใน  
๏ ปราสาทสุวรรณเรืองไร เหตุการณ์ฉันใด
จึงเมืองนี้ดูอัศจรรย์  
๏ หนุมานยุรยาตรผาดผัน ขึ้นสู่สุวรรณ
ปราสาทประเสริฐโสภา ฯ  

ฯ แพละ ฯ

๏ เห็นบมีธุลีผงพานตา เตียนตะลิบเคหา
ดั่งหนึ่งจะมีผู้คน  
๏ ขุนกระบิลย่างเยื้องจรดล เข้าในไพรชน
ก็พบอนงค์นารี ฯ  

ฯ แพละ ฯ

๏ ทิพรูปแน่งน้อยมีศรี พักตร์เพียงจันทรี
ชำเลืองชม้อยคอยตา  
๏ หนุมานมีสารเสน่หา เจ้าเยาวยุพา
ยุพินทรเอี่ยมอัปสร  
๏ เหตุผลกลใดบังอร มาอยู่นคร
อันเปล่าประชาดรธาน  
๏ นางฟ้านบนอบตอบสาร ข้าทุกข์ทรมาน
ก็ช้ามาสามหมื่นปี  
๏ เพราะต้องคำสาปโกษีย์ เจ้ามานี้มี
นุกิจใดจำนง  
๏ จึงสู่ล้ำหล้าดานดง ฤๅเปนทูตองค์
นเรศวรอันเรืองไชย  
๏ ถ้าใช่เชิญเจ้าเร่งไป อย่าอยู่เกรงภัย
ธิราชท้าวมัฆวาน  
๏ ผิเปนองค์อรรคทหาร ย่อมหาวเปนภาณ
ณุมาศแลดวงดารา  
๏ ข้าจึงจะสิ้นกังขา แม่นมั่นสัญญา
เปนองค์ทหารจักรี ฯ  

ฯ เจรจา ฯ

๏ หนุมานยิ้มแล้วพาที เปนบุญโฉมศรี
จะพ้นซึ่งโทษทรมาน  
๏ แต่เริ่มเดิมเหตุก่อนกาล ผิไฉนมัฆวาน
จึงลงด้วยเทวทัณฑ์  
๏ นางกล่าวแถลงเรื่องดำบรรพ์ ว่าท้าวหนึ่งอัน
สมรรถชื่อพันตา  
๏ เปนบุตรเจ้าไตรตรึงษา ใคร่สร้างนครา
ให้เหมือนพิภพโกษีย์  
๏ คำนึงชนกาธิบดี วัชรินทร์ก็มี
มาโนชมาดลลูกชาย  
๏ พันตานอบนิ้วภิปราย ทูลขอเมืองหมาย
ให้เหมือนวิมานแมนสวรรค์  
๏ พระอินทร์สั่งวิษณุกรรม์ ตระบัดรังสรรค์
ปราสาทวิจิตรยรรยง  
๏ จัตุรงค์แน่งนางนวลหง เหมือนล้างสวรรค์ลง
มาตั้งอยู่พื้นปัฐพี  
๏ แล้วโกษิตเษกภูมี พันตาเรืองศรี
ให้ครองพิไชยมายัน  
๏ นานมาพันตาอาสัญ คืนขึ้นไปสวรรค์
ก็ละแต่เมืองเปล่าดาย  
๏ มีท้าวตาวันฦๅสาย เวียนขึ้นไปถวาย
บังคมบรมอินทรา  
๏ ให้ข้าชักนางรำภา แล้วลักพามา
ไว้ในนครมายัน  
๏ พระอินทร์หานางในสวรรค์ บมิพบจบจรัล
ก็ลงมาสู่ธรณี  
๏ แกว่งขรรค์ฟอนฟาดเกศี ตาวันสิ้นชี
วกลิ้งในแท่นไสยา  
๏ ตรีเนตรอุ้มนางรำภา ขึ้นไปตรึงษา
ก็ถามว่าใครชักชวน  
๏ รำภาแจ้งเหตุทั้งมวล ท้าวโกรธหุนหวน
ก็สาปผู้ข้ามาพลัน  
๏ แม้นทิพโภคาสบสรรพ์ จะกินจงบัน
ดาลดุจก้อนเหล็กแดง  
๏ สิงสัตว์ผู้คนโดยแถลง อย่ากรายกำแพง
แต่มาตรว่าหมู่นกกา  
๏ ข้าทูลถามท้าววชิรา เมื่อไรโทษา
จะสิ้นกำหนดคืนสถาน  
๏ สองสรวงสระเอื้อนโองการ ปางใดอวตาร
สฤษฏิเปนรามา  
๏ ใช้กระบี่ตรีทูตไปหา มหิษีสีดา
มาแวะณเมืองมายัน  
๏ ต่อพบหนุมานแขงชัน หาวเปนดวงจันทร์
อาทิตย์แลดาราราย  
๏ ข้าจึงพ้นสาปโหดหาย คืนสำราญกาย
ยังชั้นพิมานโกษีย์  
๏ หนุมานครั้นฟังยินดี ยิ้มพลางพาที
ว่าเจ้าอย่าแหนงแคลงใจ  
๏ กษณะนี้นารายณ์เสด็จไว ยกูณฐ์มาใน
ประยูรอโยทธนคร  
๏ ใช้พี่ทูลสารสู่สมร บเจนทางจร
ตำแหน่งนิเวศกุมภัณฑ์  
๏ จงเจ้าช่วยแนะแนวมรร คาให้จรจรัล
จะส่งไปคืนตรึงษา  
๏ พลางเข้าสร้วมกอดกัลยา โลมถามมรคา
จะข้ามไปเกาะทศกัณฐ์  
๏ นางผลักข่วนค้อนผินผัน จะเอาสำคัญ
สิ่งไรก็ไม่เห็นมี  
๏ อย่าทำมายาพาที เราไม่ใยดี
จงไปให้พ้นมณเฑียร  
๏ ท่าทางลงกาทศเศียร ได้ยินระเบียน
ระบิลบูราณสืบมา  
๏ เมื่อยังไม่เห็นฤทธา ใช่เชิงอาสา
จะบอกหนทางอย่างไร ฯ  

ฯ เจรจา ฯ

๏ หนุมานกอดแก้วกลอยใจ อ้าโอษฐอำไพ
ก็หาวเปนดาวดวงจันทร์ ฯ  

ฯ เจรจา ฯ

๏ พุ่งไถงไพโรจน์แสงพรรณ เลื่อมเลื่อมแลวรร
ณุภาสทั้งปรางค์รจนา  
๏ บุษมาลีเห็นหรรษา กราบไหว้ขุนวา
ยุบุตรขออภัย  
๏ ทีนี้จะลุล่วงไป ยังสวรรคาลัย
เพราะบุญกำแหงหนุมาน  
๏ แล้วบอกเรื่องราวข่าวสาร ว่าข้าเนาสถาน
บได้จะไปแห่งไร  
๏ แต่รู้ว่ามีน้ำไหล ข้างทักษิณไกล
แต่นี้ไปสามโยชน์ปลาย  
๏ น้ำนั้นใครอาบบาปหาย ท่านถามอภิปราย
แม่น้ำจะบอกมรคา ฯ  

ฯ เจรจา ฯ

๏ หนุมานช้อนเชยกานดา โอบแอบอุรา
ประกับประกิตชิดชน  
๏ เสพสมชมแก้วโกมล รวยรื่นรสคนธ์
กระเษมกระสันรัญจวน  
๏ ขุนกระบิลจึงบอกแสนสงวน พี่จำจากนวล
เพราะราชกิจติดพัน  
๏ ว่าแล้วนำอรสู่บัญ ชรแก้วแพรวพรรณ
กระบิลก็โยนนารี  
๏ ขึ้นยังหาสห้องเมฆี นางสิ้นชีวี
ไปดลนิเวศหัสนัยน์ ฯ  

ฯ เชิด ฯ

๏ ตระบัดหนุมานคลาไคล ถึงพวกพลไกร
ก็แจ้งแก่สองพานร  
๏ แล้วพาพวกพลพเนจร ผ่านแสนสิงขร
แลหุบละหานธารชล ฯ  

ฯ เชิด ฯ

๏ เดินดั้นกันดารอารญ รอนแรมมาดล
ยังฝั่งมหาธารา  
๏ หนุมานจึ่งร้องเรียกหา แม่น้ำเอ๋ยมา
ช่วยบอกหนทางอย่านาน  
๏ พระสมุทรตีฟองฉ่าฉาน ร้องถามหนุมาน
ว่าท่านจะไปหนใด  
๏ ขุนกระบี่บอกว่าจะไป เมืองลงกาไกล
จงบอกตำบลหนทาง  
๏ พระสมุทรจึงบอกบพราง เร่งข้ามน้ำขวาง
ไปเฉียงข้างฟากชลธี  
๏ ต่อทิศอาคเนย์วิถี จะพบคีรี
จงเลี้ยวลงทิศทักษิณ  
๏ ข้ามโขดลงเขาถึงดิน จะพบวาริน
ลงเลียบไปหว่างคีรี  
๏ บ่ายหน้ามาทิศหรดี จะพบฤๅษี
จงถามหนทางสืบไป ฯ  

ฯ เจรจา ฯ

๏ หนุมานครั้นฟังสงสัย ถามว่าเหตุใด
แม่น้ำจึ่งรู้เจรจา  
๏ พระสมุทรแถลงโดยบูรพา กูกับพันตา
แต่เดิมจะไปดุษฎี  
๏ พี่เราสวามิตรฤๅษี น้ำใจอารี
จึงให้ข้าอยู่โปรดคน  
๏ แม้นใครหลงทางมาดล สายชลวังวน
ให้บอกอรัญมรรคา  
๏ ขุนกระบิลได้ยินหรรษา รู้ว่าเทวา
บันดาลด้วยเดชกลับกลาย  
๏ จึงน้ำนี้อาบบาปหาย วานรทั้งหลาย
ก็ชวนกันอาบอาศัย ฯ  

ฯ ลงสรง ฯ

๏ หนุมานม้วนหางซัดไป ข้ามฟากน้ำไหล
ดั่งอย่างตะพานรจนา  
๏ พวกพลไต่หางขุนพา นรข้ามสายสา
คเรศพ้นชลธาร  
๏ จึงยกโยธาทวยหาญ เดินดั้นกันดาร
มหาสิงขรดอนดง ฯ  

ฯ เชิด ฯ

๏ พอจวนสิ้นแสงสุริยง เรื่อยรอนอ่อนลง
ก็ถึงวนาอาศรม  
๏ สามท้าวเข้าไปบังคม นักพรตอุดม
บพิตรสิทธาจารย์ ฯ  

ฯ เจรจา ฯ

๏ บอกว่าตรีทูตทูลสาร นารายณ์อวตาร
จะไปยังเกาะลงกา  
๏ ไม่เจนตำบลมรคา ขอพระสิทธา
ช่วยบอกหนทางเมืองมาร ฯ  

ฯ เจรจา ฯ

๏ พระสิทธฤๅษีสนองสาร ทางไพรกันดาร
จงหมายไปทิศทักษิณ  
๏ ขึ้นเขาแล้วเลี้ยวลงดิน เจ็ดชั้นศีขริน
ลำบากเปนสุดแสนทวี  
๏ เขาหนึ่งชื่อนิลคีรี สีนิลแสงศรี
เขียวแหลมแลแนมเมฆา  
๏ เขานั้นเปนหลักลงกา เทเวศสมญา
สำคัญที่ข้ามเมืองมาร ฯ  

ฯ เจรจา ฯ

๏ สามนายไหว้ฤๅษีสาร ขอพักบริพาร
อาศัยในราษราตรี  
๏ ครั้นรุ่งจึ่งลาฤๅษี ยกยาตรโยธี
เข้าสู่วนาอารญ  
๏ ดั้นเดินโดยทางพนสณฑ์ ข้ามห้วยเหวชล
ธีศีขรจรลี  
๏ พ้นเจ็ดชั้นขุนคีรี ไต่ตามวิถี
พาพบภูเขามหิมา  
๏ สูงสุดอากาศเวหา ใหญ่พ้นคณนา
บอาจอ้อมอิดใจ  
๏ ตรงขึ้นเดินเนินไศล ข้ามเขาพลไป
จึงถึงนิลาราตรี ฯ  

ฯ เชิด ฯ

๏ มาถึงมรคาวิถี พอจวนราตรี
จะค่ำจะย่ำถึงเขา  
๏ มืดคลุ้มชอุ่มลับเงา บมีทางเทา
รุกขาชอ่ำอนธการ  
๏ กุณฑลในหูหนุมาน ใสสว่างชัชวาล
ดั่งไต้อันส่องทางไกล  
๏ ขึ้นไปสูงสุดยอดไศล บมิรู้ที่ไป
ทั้งสามก็ยั้งยืนฉงน  
๏ บ้างว่าเมืองสวรรค์ชั้นบน เดือนดาวดาษหน
ดังหนึ่งจะเอื้อมถึงมือ  
๏ แม่นมั่นอันเขานี้คือ พระสุเมรุพันฦๅ
จะใกล้ถึงไตรตรึงษา  
๏ หนุมานบอกหมู่โยธา มิใช่สรรคา
เปนพื้นภูเขาสันดาน  
๏ แม้นว่าเมืองสวรรค์วิมาน เรามาถึงสถาน
อันเหงื่อแลไคลไม่มี  
๏ จึงชมพูพานเรืองศรี เรียกสองเสนี
มาหยุดอยู่นั่งปรึกษา  
๏ นารายณ์กฎให้เรามา เดือนหนึ่งโดยตรา
ให้กลับไปถึงทรงธรรม์  
๏ เรามาช้าสิบห้าวัน กลับไปไม่ทัน
จะผิดกำหนดภูวไนย  
๏ ฤๅเราจะกลับคืนไป เห็นควรฉันใด
ด้วยกิจกำหนดกฎหมาย  
๏ หนุมานจึงสนองภิปราย อาสานารายณ์
จะกลับไปเปล่าป่วยการ  
๏ พระสั่งให้ไปเมืองมาร จำไปถึงสถาน
จนพบพระอรรคเทพี  
๏ ให้รู้จักร้ายแลดื แม้นม้วยเปนผี
จะม้วยด้วยทำอาสา  
๏ อย่างขุนสดายุมรณา ทั่วไตรโลกา
จึ่งนับว่าเชื้อชาติชาย  
๏ พวกเราเผ่าเทพสืบสาย ควรจะสู้ตาย
ให้เหมือนอย่างขุนปักษี  
๏ กษณะนั้นสกุณสัมพาที ได้ยินกระบี่
ก็แล่นทะลวงมาพลัน  
๏ พวกพลตกใจตื่นกัน หนีดั้นไพรวัน
เข้าเร้นในเวิ้งหว่างเขา  
๏ บ้างวิ่งลงลุ่มเหวเซรา บ้างแล่นลับเงา
สุมทุมแลเร้นราบกราน  
๏ ยังอยู่แต่ศรีหนุมาน บมิจรจากสถาน
ก็ยืนอยู่ดูท่วงที ฯ  

ฯ เชิด ฯ

๏ สกุณออกจากคิรี บมิเห็นกระบี่
ก็คิดในใจรำพึง  
๏ เมื่อกี้ผู้คนอื้ออึง ครั้นออกมาถึง
มันหายไปแห่งหนไร  
๏ ปักษีทอดตาแลไป เบื้องขวาบมิไกล
ก็เห็นกำแหงหนุมาน  
๏ ยืนอยู่ไป่คลาดจากสถาน จึ่งถามอาการ
ถึงน้องผู้ร่วมชีวา  
๏ กระบิลแถลงเล่ากิจจา ว่าขุนปักษา
พินาศด้วยรบทศกัณฐ์ ฯ  

ฯ เจรจา ฯ

๏ สัมพาทีฟังเหตุพลัน ทอดตัวจาบัลย์
พิลาปลาญสมประดี  
๏ โอ้โอ๋อนุชปักษี มาม้วยชีวี
แลกูจะอยู่เยียใด  
๏ กูจะตายตามนุชไป ยังสวรรคาลัย
เปนเพื่อนสกุณอนุชา ฯ  

ฯ โอด ฯ

๏ หนุมานผู้ชาญอาสา เห็นขุนสกุณา
พิลาปก็กล่าวคำหวาน  
๏ ว่าท่านมีปรีชาญาณ ไตรภพจบสถาน
เกิดแล้วก็ตายวายชนม์  
๏ จงเอาปัญญาผ่อนปรน จะโศกากล
ใช่ว่าจะรอดคืนมา  
๏ หนึ่งข้าขอถามกิจจา ขนทั้งกายา
ไฉนจึ่งหล่นหลุดหาย ฯ  

ฯ เจรจา ฯ

๏ สกุณจึ่งสนองภิปราย จะกล่าวบริยาย
แต่ช้ามาโกฏิปีมี  
๏ กูกับสดายุปักษี อยู่ยอดสิมพลี
พอพระอุทัยไขแสง  
๏ เรืองรองรัศมีสีแดง เลื่อมเลื่อมเรืองแฝง
พระเมรุมาศชัชวาล  
๏ น้องกูสดายุขุนหาญ วิงวอนรำคาญ
กันแสงจะกินสุริย์ใส  
๏ กูห้ามบมิฟังขัดใจ โบยบินขึ้นไป
จะจิกเอาดวงสุริยา  
๏ กูบินไปตามอนุชา พระสุริยโกรธา
ก็แผดมหิทธิรังสี  
๏ ร้อนดังเพลิงกาฬอัคนี กูแผลงฤทธี
กางปีกเข้ากั้นอนุชา  
๏ ขนกูต้องแสงสุริยา ลุ่ยหล่นสหัสา
แต่น้องกูปลอดรอดภัย  
๏ ทินกรซั้นสาปบัดใจ อย่าให้ขนไชย
กูงอกทั้งพื้นกายา  
๏ กูทูลถามไททิวา เมื่อไรโลมา
จะงอกดั่งเก่าฤๅบมี  
๏ ว่าต่ออวตารเรืองศรี ใช่ทูตกระบี่
ไปเยี่ยมสมเด็จพนิดา  
๏ พบกูแล้วโห่สามลา จึ่งให้โลมา
กูงอกดั่งเก่าอย่านาน ฯ  

ฯ เจรจา ฯ

๏ หนุมานจึ่งกล่าวสนองสาร หนทางเมืองมาร
สกุณยังรู้ฤๅไฉน  
๏ แม้นรู้จงบอกให้ไป จะเรียกพลไกร
มาโห่ให้ขนขึ้นมา  
๏ จึ่งสัมพาทีปักษา ดำเนินกฤษฎา
ให้แจ้งแก่ขุนวานร  
๏ ว่ากูผู้ฤทธิกำจร กมลาศน์หลั่งพร
ประสิทธิ์ให้แลเห็นไกล  
๏ พันโยชน์กูแลเห็นไป เมืองลงกาไกล
จะดูก็เห็นแก่ตา  
๏ ท่านจงป่าวพวกพลพา นรโห่สามลา
ให้ขนกูงอกบัดดล  
๏ จึ่งขี่กูขึ้นเวหน จะพาข้ามชล
ไปดูให้เห็นลงกา ฯ  

ฯ เจรจา ฯ

๏ ลูกลมจึ่งร้องเรียกหา พวกพลโยธา
ไฉนจึ่งตื่นแตกฉาน  
๏ วานรพังเสียงหนุมาน วิ่งมายังสถาน
ก็เห็นสกุณปักษี  
๏ ขุนกระบิลบอกตามวาที แล้วสั่งกระบี่
ให้โห่จงถ้วนสามลา  
๏ กระบิลวานรินทร์เสนา เรียกหาโยธา
ครั้นพร้อมก็โห่สามที ฯ  

ฯ เชิด ฯ

๏ กษณะนั้นจึ่งขุนปักษี ครั้นขนคืนดี
ก็ลองกำลังฤทธา  
๏ แล้วขุกคิดถึงอนุชา เสวยโศกโศกา
พิลาปร่ำรำพัน ฯ  

ฯ โอด ฯ

๏ สามนายปลอบโลมด้วยพลัน ท่านอย่าโศกศัลย์
จงผ่อนให้ค่อยเคลื่อนคลาย  
๏ น้องท่านทำความชอบตาย เยี่ยงเราทั้งหลาย
จะให้ไปเหมือนปักษี  
๏ สกุณค่อยคลายโศกี ครั้นพระสุริย์ศรี
จำรูญจำรัสชัชวาล  
๏ เรียกสามพานรผู้หาญ ขี่กูอย่านาน
จะพาไปดูลงกา ฯ  

ฯ เจรจา ฯ

๏ สามนายขึ้นขี่ปักษา สกุณลีลา
ขึ้นเหยียบภูเขาหลวงหมาย  
๏ ถีบภูเขาแตกโทรมทลาย เผ่นบินข้ามสาย
สมุทรเห็นเมืองมาร ฯ  

ฯ แพละ ฯ

๏ จึ่งบอกสามนายบมืนาน ดูลงกาสถาน
จงจำสลักสำคัญ  
๏ แล้วกลับเหาะเหิรจรจรัล ถึงพวกพลขันธ์
ก็ชวนกันชุมปรึกษา  
๏ จะข้ามเกาะกรุงลงกา ใครจะอาสา
ไปได้มิได้เปนไฉน  
๏ จึ่งชมพูพานเฉลยไข กำลังฤทธิไกร
ข้าเหาะไม่ถึงลงกา  
๏ องคตจึ่งตอบวาจา ข้าหย่อนฤทธา
เพราะอยู่ในท้องหกเดือน  
๏ อาสาข้าไม่บิดเบือน กำลังไม่เหมือน
นุภาพกำแหงหนุมาน  
๏ จะข้ามสมุทรกันดาร เห็นท่านห้าวหาญ
ผู้เดียวจะถึงลงกา ฯ  

ฯ เจรจา ฯ

๏ หนุมานฟังคำปรึกษา จึ่งลาสกุณา
ก็ไปยังนิลคิรี  
๏ ครั้นถึงจึ่งสั่งเสนี องคตเรืองศรี
พิไชยชมพูพาน  
๏ จงปกป้องพวกพลหาญ อย่าไว้ใจมาร
เปนแดนอสุรยักษี  
๏ สั่งแล้วผาดแผลงฤทธี ถีบนิลคีรี
ตระบัดก็เหาะเหิรทะยาน ฯ  

ฯ เชิด ฯ

๏ เขานั้นทรุดถึงบาดาล เดโชขุนหาญ
นุภาพเข้มแข็งขัน  
๏ ฝ่ายนางผีเสื้อสมุทรอัน ท่านท้าวทศกัณฐ์
ให้อยู่ตระเวนหว่างชล  
๏ เห็นพานรล่วงแดนตน เกรียงโกรธานนต์
ก็เผ่นขึ้นจากคงคา  
๏ อ้าปากแลบลิ้นเหลือกตา แผดร้องด้วยอา
นุภาพออกราวี ฯ  

ฯ เชิด ฯ

๏ หนุมานรณรงค์ยักษี หัตถาแกว่งตรี
ระเห็จเข้าทางปากมาร  
๏ ออกโดยช่องกรรณบนาน ตระบัดขึ้นทะยาน
เข้าโดยจมูกอสุรี  
๏ พานรแหวะเวิ้งนาภี ลากไส้ยักษี
ออกโยนยังท้องสมุทรไท  
๏ แถวโลหิตมารลูมไหล บนานขาดใจ
พินาศคือคีรี ฯ  

ฯ โอด ฯ

๏ ครั้นเสร็จสังหารยักษี วรราชกระบี่
ก็เหาะระเห็จเตร็ดพลัน  
๏ มาสบเสื้อเมืองกุมภัณฑ์ กรกรายเขนขรรค์
ออกยืนยังพื้นคัคนานต์  
๏ ห้าหน้าสิบมือนมยาน เรียกเร่งทวยหาญ
เข้ากลุ้มจะกุมพานร  
๏ ลูกลมโลดไล่ฟันฟอน สังหารราญรอน
อสุรยอบยับยี ฯ  

ฯ เชิด ฯ

๏ ไหวหวั่นครั่นครื้นธรณี พระสมุทรใสศรี
ก็ขุ่นกระฉอกชลธาร  
๏ เสื้อเมืองต้านต่อหนุมาน สิ้นกำลังหาญ
ก็เหาะระเห็จเตร็ดหนี ฯ  

ฯ เชิด ฯ

๏ ลูกลมติดตามอสุรี ตัดเศียรยักษี
ให้ล้มพินาศในสมร ฯ  

ฯ เชิด ฯ

๏ แล้วกำบังกายพานร เข้าในนคร
ก็เที่ยวเฉวียนเวียนวน  
๏ สิ้นทั้งวังในไพชยนต์ เที่ยวทุกแห่งหน
บสบสมเด็จมหิษี  
๏ เข้าในปราสาทมณี พิเภกอสุรี
ก็ถือกระดานคูณหาร  
๏ กับคัมภีร์โหราจารย์ ยักษีพิสดาร
มาเรียนคัมภีร์โหรา  
๏ มหิษีแน่งนวลเสน่หา บุตรีรจนา
ดั่งนางบำเรอโกษีย์  
๏ ขึ้นมณเฑียรรัตน์รูจี สิบเศียรอสุรี
ประกอบสุรางค์สรรพสรรพ์  
๏ มณโฑนิทรแนบทศกัณฐ์ งามล้ำสาวสวรรค์
ดีร้ายนี่นางสีดา  
๏ ดูดู๋มารักยักษา ขบฟันโกรธา
ชักตรีที่อกบมินาน  
๏ เงื้อง่าจะฆ่าเยาวมาลย์ เทวาในสถาน
ก็ดลจิ้งจกทักทาย  
๏ วานรหยุดยั้งฉงนฉงาย จิ้งจกเพรียกพราย
ชะรอยมิใช่มหิษี  
๏ ขุนกระบิลแก้ผมอสุรี ผูกผมเทวี
มณโฑให้ชิดติดพัน  
๏ แล้วมาจากแท่นทศกัณฐ์ เข้าห้องสุวรรณ
ยังแท่นสุวรรณพรรณราย  
๏ อินทรชิตฤทธิ์เพียงไฟพราย แสนนางรอบราย
ก็ถือธนูดูยง  
๏ บมิพบสีดานวลหง ฉวัดเฉวียนเวียนวง
ทุกแห่งบสบเยาวมาลย์  
๏ จึ่งออกมานอกราชฐาน เที่ยวในวนานต์
ก็พบอาศรมศาลา  
๏ แปลงเปนลิงเล็กเข้ามา ก้มเกล้าวันทา
ฤๅษีแล้วแจ้งแถลงไข  
๏ ข้าสถิตในลงกาไกร เที่ยวล่าเล็มไพร
ได้ยินระบือฦๅมา  
๏ ว่าทศเศียรเจ้าลงกา ได้นางโสภา
ประเสริฐล้ำโฉมสวรรค์  
๏ มาไว้แห่งไรทรงธรรม์ พระผู้แสวงบรร
พชิตยังรู้ฤๅไฉน  
๏ ฤๅษีปรีชาชาญไชย บอกวานรไพร
ว่าทศพักตร์ยักษา  
๏ ไปลักมารศรีสีดา เมียพระรามา
มาไว้ในสวนอุทยาน  
๏ ให้บุตรชื่อสหัสกุมาร คุมไพร่พลหาญ
ได้สองสมุทรรักษา  
๏ หนุมานก้มเกล้าวันทา ข้าขอนิทรา
อาศัยพระสิทธมุนี  
๏ วันนี้ค่ำคล้อยสุริย์ศรี ต่อรุ่งราตรี
จะลาไปล่าเล็มไพร  
๏ ฤๅษีนิมิตศาลาลัย เอ็งไปอาศัย
ศาลาที่หน้าอาศรม ฯ  

ฯ ตระ ฯ

๏ หนุมานนอบนิ้วบังคม นึกในอารมณ์
ฤๅษีมาอยู่เมืองมาร  
๏ ผิดกิจสิทธฤๅษีสาร ใคร่รู้เดชดาล
ประภาพเพียงใดไฉน  
๏ แปลงตัวโตคับศาลาลัย แล้วร้องบอกไป
ศาลานี้เล็กหนักหนา  
๏ ฤๅษีรู้กลมารยา นิมิตศาลา
ให้กว้างให้ยาวออกไป  
๏ ศาลาใหญ่ออกเท่าไร วานรโตไป
จนคับศาลาอาศรม  
๏ มันจะแกล้งลองอาคม พระสิทธอุดม
ก็เขาสมาธิบัดดล  
๏ บันดาลวายุพัดห่าฝน เซ็งซ่าภูวดล
ก็หนาวดังนอกจักรวาฬ  
๏ ตกต้องสกนธ์กายขุนหาญ เย็นพ้นทนทาน
คุดคู้ก็งอย่อกาย  
๏ บมิทำฤทธิ์ได้โดยหมาย รูปนิมิตกลับกลาย
ไปคงเปนองค์หนุมาน  
๏ ฤๅษีจึ่งร้องกล่าวสาร เหวยลิงสามานย์
มึงจงมาผิงอัคคี  
๏ ขุนกระบิลเห็นฤทธิ์ฤๅษี มาผิงอัคคี
ครั้นอุ่นก็นอนในสถาน  
๏ พระสิทธนึกในอาการ วานรอวดหาญ
จะทำให้หนำน้ำใจ  
๏ ครั้นเห็นวานรหลับไหล จับไม้เท้าไป
ถึงสระก็เสี่ยงสัตยา  
๏ ไม้เท้าจงเปนชลุกา วานรลงมา
เร่งเกาะให้มั่นทันใจ  
๏ แม้นปลิดแผลงฤทธิ์อย่างไร ปลิงอย่าหวาดไหว
จงเกาะให้ติดตรึงตรา  
๏ เสี่ยงแล้วคืนเข้าคฤหา พอพระสุริยา
อรุณรุ่งเรืองไร  
๏ ลูกลมตื่นขึ้นบัดใจ ลงในสระใส
กินน้ำชำระพักตรา  
๏ จึ่งปลิงไม้เท้าสิทธา โผนผุดขึ้นมา
ก็เกาะเอาคางบัดดล  
๏ หนุมานเกลียดปลิงพองขน ปลิดสะบัดบัดดล
บหลุดดั่งใจจินดา  
๏ เหาะขึ้นสูงสุดเวหา ฉุดชักด้วยอา
นุภาพกำลังหาญ  
๏ อัศจรรย์ปลิงเท่าสายพาน มิหล่นด้วยการ
อันใดฉะนี้ดูฉงน  
๏ เหาะลงมาพื้นภูวดล ขัดแค้นคำรน
ก็นึกคะนึงแหนงใจ  
๏ ไปวอนนักสิทธทันใด ช่วยปลิดปลิงไป
ให้พ้นที่คางวานร  
๏ พระสิทธฤๅษีสาทร จึ่งยื่นวรกร
ไปปลิดก็หลุดบมินาน  
๏ ปลิงกลับเปนไม้เท้าธาร ว่าไยขุนหาญ
ปลิงนิดจึงปลิดไม่ไหว  
๏ หนุมานกราบไหว้บัดใจ รู้อิทธิฤทธิไกร
ก็ลาพระสิทธมุนี  
๏ มายังอุทยานสวนศรี เห็นหมู่อสุรี
อเนกล้อมรอบราย  
๏ วานรนึกในใจหมาย หมู่มารเห็นกาย
กูใหญ่จะใคร่รณรงค์  
๏ ก็จะเสียกิจการพระองค์ ไม่พบโฉมยง
จะเกิดวิวาทกลางหน  
๏ คิดแล้วนิมิตบิดตน เปนวานรปน
กับฝูงกระบี่ทั้งหลาย ฯ  

ฯ ตระ ฯ

๏ เล็ดลอดสอดดูแยบคาย สกัดมารเพรียกพราย
ก็โผนขึ้นไม้ใบบัง  
๏ ถึงสุวรรณพลับพลาโดยหวัง ค่อยลอดลงยัง
โศกใหญ่ที่ริมพลับพลา  
๏ เห็นโฉมมหิษีสีดา ศิริลักษณ์ลักขณา
อัปสรเทพฤๅทัน  
๏ เหตุไฉนยักษ์ร้ายทศกัณฐ์ จึ่งไม่ใฝ่ฝัน
มาทิ้งไว้ในสวนศรี  
๏ หนุมานแฝงคอยท่วงที ต่อค่ำราตรี
จะลอบลงทูลสายสมร  
๏ สมัยนั้นท้าวยี่สิบกร สถิตบรรจถรณ์
สิงหาสน์พิมานแมนถวาย  
๏ แจ่มแจ้งแสงจันทร์พรรณราย หมดเมฆเฉิดฉาย
เหมือนพักตรสีดาดวงสมร  
๏ วินิจคิดพลางอาวรณ์ เพลิงราครึงรอน
ก็ดาลระลุงฤทัย  
๏ ปานปืนพิษมตรึงใจ สั่งกำนัลใน
ให้บอกกระบวนยาตรา  
๏ แสนสาวอสุรรับบัญชา มายังทวารา
ก็สั่งจะเสด็จจรดล  
๏ มุขมาตย์มนตรีถ้วนตน เทียบพลพหล
แลราชรถบมินาน  
๏ จึ่งองค์อสุรปิ่นกรุงมาร สรงสหัสธรธาร
ตรลบสุคนธ์กำจร  
๏ ทรงเครื่องเคยปลอบอัปสร ขัดขรรค์ฤทธิรอน
ยุบาทวิลาสลาวัณย์  
๏ ดั่งครั้งปลอมสมสาวสวรรค์ กรายกรจรจรัล
มาขึ้นพิไชยรถทรง  
๏ พรึบพร้อมจัตุรงค์ชาญณรงค์ งามรถงามองค์
ดั่งอินทรออกพโนทยาน  
๏ แหนแห่แตรสังข์กังสดาล ธงธวัชฉัตรฉาน
ระยาบระย้าจามร  
๏ ประทีปเทียนทองส่องสลอน เถือกสว่างอัมพร
จำรูญจำรัสชัชวาล  
๏ ครั้นถึงอุทยานพิศาล สารถีชำนาญ
ก็หยุดประทับพลับพลา  
๏ จึ่งเยื้องยุบาทยาตรา อสุรผู้รักษา
ถวายกรแล้วผ่อนผันหนี  
๏ ครั้นใกล้สีดานารี โองการสารศรี
สโรชสุนทรปราศัย  
๏ ไยโฉมสิริลักษณวิไล มาอยู่เดียวใด
รันลุงด้วยแสนโศกา  
๏ พี่หวังบำเรอรักษา สงวนเชยวนิดา
บให้ระคายหฤทัย  
๏ ผัวเก่าเขาไม่อาลัย ซัดอรไว้ใน
วนานตเออาทวา  
๏ หากพี่ไปพบพามา เยียวอยู่ชีวา
จะม้วยเปนภักษ์หมู่มาร  
๏ อันเรียมรักเยาวยุพาล สู้สิ้นเสียปราณ
บทิ้งให้น้องหมองสมร  
๏ ผัวนางผู้เดียวเที่ยวซอน อาศัยสิงขร
บมีพิริยโยธา  
๏ เฉกชาติทุพลพาลา ที่ไหนจะสา
แก่มืออสูรสังหาร  
๏ วันนั้นร้องก้องดงดาน เห็นจะถึงกาล
ด้วยกวางกระลีบีฑา  
๏ ขอเชิญอรสู่นครา ครองแสนศวรรยา
เปนจอมจรรโลงบริบาล  
๏ สีดาฟังคำขุนมาร เพียงเหล็กแดงดาล
มาแทงในกรรณกัลยา  
๏ เคืองขัดกลัดใจโกรธา จึ่งจับไม้มา
ปักลงยังพื้นธรณี  
๏ แล้วแสร้งด่าเปรียบทศศีร์ ว่าจอมจักรี
สฤษฎิเปนรามา  
๏ หวังผลาญโคตรวงศ์ยักษา สิบเศียรอสุรา
จะตกอยู่กลาดกลางสมร  
๏ ช่างว่าไม่กลัวภูธร กูเห็นเศียรกร
ไม่ครันกำลังศิลป์ไชย  
๏ ปางหนึ่งแต่บรรพเกือบไกล มีท้าวหนึ่งใจ
สมรรถชื่ออรชุน  
๏ ทรงศักดาเดชอดุล จับมารทารุณ
ทะเวนประจานจำจอง  
๏ กิจนี้แจ้งทั่วทั้งผอง ครั้งนี้อย่าปอง
ประมาทสมเด็จจักรา  
๏ ทศเศียรฟังเสียงสีดา แจ้วจับวิญญา
ก็ดาลระลุงสมประดี  
๏ บมิเจ็บช้ำน้ำคำเทวี ยิ้มแล้วจึ่งมี
สโรชสุนทรเอาใจ  
๏ ว่าพี่พิศวาสทรามวัย ดุจดวงหฤทัย
แลเนตรอันเนื่องในสกนธ์  
๏ บมิให้เขินค้างกลางหน จะเษกนฤมล
เปนใหญ่ในกรุงลงกา  
๏ ปลอบพลางกราบไหว้สีดา เจ้าจงเมตตา
ดำรงเสน่ห์เรียมนาน  
๏ จึ่งโฉมสีดาดวงมาลย์ บมิได้ตอบสาร
ขึ้งขัดสะบัดเบือนหนี  
๏ ถ่มเขฬะลงธรณี ด่าดุอัปรีย์
แก่ไม้ประเทียบเปรียบปราย  
๏ กูใช่หญิงสามานย์หมาย จะส้องเสพชาย
ผู้อี่นอันใช่สวามี  
๏ สู้สิ้นเสียชีพชีวี จะไว้ความดี
ให้โลกเลื่องฦๅชา  
๏ มึงโกหกยกฤทธา ทั้งโคตรยักษา
จะพลันพิบัติเหตุหาย  
๏ สิ้นทั้งลงกาวอดวาย ด้วยศรนารายณ์
อันทรงพหลเดชา  
๏ หนุมานแฝงไม้ใบหนา ลอบดูอสุรา
ก็ดาลพิโรธรึงใจ  
๏ คิดใคร่ผลาญให้บรรลัย หากกริ่งเกรงใน
จะเกินกำหนดโองการ  
๏ จึ่งจำถ้อยคำขุนมาร ถ้วนถี่พิสดาร
จะทูลสมเด็จภูธร  
๏ ฝ่ายองค์อสุรยี่สิบกร ปลอบโยนบังอร
มิปลงสนิทนิทรา  
๏ ร่านร้อนหฤทัยอสุรา อ้าดูรกานดา
จงดับวิจลหฤทัย  
๏ แม้นยังบลงปลงใจ เหตุเอื้ออาลัย
ถึงผัวจึ่งไม่ใยดี  
๏ พี่จะตามใจค่อยถนอมศรี นุชอยู่จงดี
จะลาครรไลเลอสถาน  
๏ แล้วกลับกลุ้มคิดรำคาญ สมเด็จกรุงมาร
ก็ออกมากริ้วโกรธา  
๏ ไยฝูงอสุรีรักษา ไม่ปลอบกัลยา
ให้ยอมสนิทพิสมัย  
๏ อันครั้งนี้กูแล้วไป มึงพูดเอาใจ
สีดาให้อ่อนจงดี  
๏ เบื้องหน้าผิวบเสร็จสมศรี จะผลาญชีวี
อสุรผู้บริบาล  
๏ ว่าแล้วขึ้นรถทองกาญจน์ ประเวศพลมาร
มาดลพิไชยลงกา  
๏ ฝ่ายนางอสุรผู้รักษา เข้าล้อมสีดา
บ้างปลอบบ้างขู่คุกคาม  
๏ ว่าท้าวพิศวาสนงราม หวังเษกโฉมงาม
เปนศรีนิเวศเวียงไชย  
๏ นางช่างด่าได้กลใด จนจอมภพไตร
จะฆ่าเราผู้รักษา  
๏ เพราะนางไม่โดยกรีฑา ไว้ไยอสุรา
มาชวนกันกินเทวี  
๏ ผิวนางฟังเราโดยดี จะได้เปนศรี
สวัสดิ์ในกรุงยักษา  
๏ ขณะนั้นวรราชสีดา เสวยแสนโศกา
กระทุ่มอุระรัญจวน  
๏ คำนึงภูวนาถคร่ำครวญ เหลือเจ็บจะทวน
เทวษอยู่ท่าท้อใจ  
๏ จึ่งแกล้งบรรทมสนิทใน ผู้เฝ้าหลับไหล
ก็ย่องลงจากพลับพลา  
๏ ตรงต้นโศกใหญ่ใบหนา เสวยแสนโศกา
รำพันพระคุณจักรี  
๏ ก้มเกศกราบกับธรณี ฝากองค์พระศรี
อนุชพระภรรดา  
๏ แม้นตามมาผลาญยักษา ให้พระเดชา
นุภาพปราบทศกัณฐ์  
๏ นางขึ้นปลายโศกโศกศัลย์ ถึงเจ้าจอมธรรม์
จึ่งผูกพระศออรไท  
๏ แล้วตั้งพิษฐานขอไป ท่าภูวไนย
แทบที่ขษิรธารา  
๏ ครั้นเสร็จพิษฐานสัตยา วรราชสีดา
ก็โจนลงยังปฐพี  
๏ หนุมานอกสั่นขวัญหนี โผนมาทันที
เข้ากัดสไบบมินาน  
๏ ค่อยผ่อนหย่อนลงยังสถาน กำแหงหนุมาน
ก็กราบประณตบทศรี  
๏ เยาวราชขัดแค้นแสนทวี ว่าเหวยกระบี่
กัดลงประสงค์สิ่งใด  
๏ กูใคร่รู้อัชฌาสัย ใช่การลิงไพร
จะปองจำนงริษยา  
๏ หนุมานแถลงทูลกิจจา ว่าพระภรรดา
ธใช้มาเยือนบังอร  
๏ อรยินคำขุนพานร ขุกคิดอาวรณ์
จึ่งถามกำแหงหนุมาน ฯ  

ฯ เจรจา ฯ

๏ ว่าท่านเปนทูตทูลสาร สมเด็จอวตาร
ยังมีสำคัญอันใด  
๏ ลูกลมก้มเกล้าเฉลยไข ว่าภูวนัยตรัย
ธให้สำคัญมั่นคง  
๏ คือเทพจักรรัตน์ธำมรงค์ ของพระโฉมยง
ซึ่งราพณทิ้งปักษี  
๏ กับสไบร้อยองค์เทพี อันฝากกระบี่
ไว้ในอรัญมรรคา  
๏ แล้วชูธำมรงค์ภูษา จบเหนือศิรา
ศิโรตม์ถวายอรไท  
๏ นางรับธำมรงค์สไบ จากพานรไป
เทิดทูนศิโรโมลี  
๏ ทรงโสมนัสสันต์พันทวี ว่าพระจักรี
ผู้ทรงพระคุณมโหฬาร์  
๏ อุส่าห์ติดตามเมียมา ถึงเมืองยักษา
ลำบากพระบาทบทจร  
๏ แล้วกลับสงกาอาวรณ์ ถามอรรถพานร
ว่าเรายังแคลงแหนงใจ  
๏ ฤๅพระหริรักษ์เรืองไชย ยังสั่งความใด
มาตัดวิบัติสารี  
๏ หนุมานสนองทูลทันที ว่าพระจักรี
ธสั่งรหัสหนึ่งมา  
๏ ครั้งเสด็จเมืองมิถิลโบรา เนตรต่อนัยนา
ประสบกันบนบัญชร  
๏ นางฟังคำขุนพานร กิจอันอาวรณ์
ก็แจ้งประจักษ์จริงใจ  
๏ หนุมานเทียบทูลทันใด ว่าภูวนัตตรัย
ทุกข์ร้อนคะนึงเทพี  
๏ ข้าขอเชิญสวัสดิ์มหิษี ขึ้นมือกระบี่
จะชูสมเด็จไปถวาย  
๏ เสร็จสมสมเด็จนารายณ์ มาอยู่เดียวดาย
ดั่งนี้บควรในสถาน  
๏ แม้นทูลเจ็บช้ำคำมาร สมเด็จอวตาร
ธรู้จะเข้าไฟตาย  
๏ อรเยื้อนเสาวนีย์ภิปราย ไฉนลูกพระพาย
มากล่าวดั่งนี้ดูเบา  
๏ ท่านบ่าวเราสาวสอดเปลา ท้าวจักนึกเดา
ดั่งชาติคนสาธารณ์  
๏ ทศกัณฐ์ลักมาถึงสถาน บัดนี้หนุมาน
มาลักเรากลับคืนไป  
๏ ท่านท้าวฤๅห่อนเห็นใจ เปนที่สงสัย
สามโลกจะฉินนินทา  
๏ จงท่านทูลจอมนรา เร่งยกโยธา
มาผลาญทั้งโคตรอสุรี  
๏ เราตั้งสัตย์ตัดวาที ป่างใดยักษี
ฉิบหายทั้งวงศ์ยักษา  
๏ จึ่งเราจะจากลงกา นบบาทนรา
นเรศรเจ้าจอมปราณ  
๏ พานรได้เสาวนาการ ชมพระสมภาร
สีดานิองค์ลักษมี  
๏ มั่นคงตรงต่อจักรี อันฝูงสตรี
ในโลกบเทียบเปรียบสอง  
๏ ซื่อสัตย์ตัดตรงตามคลอง ธรรเมศทั้งผอง
ประจักษ์ในใจกระษัตรีย์  
๏ ตริแล้วประณตบทศรี ทูลไทเทพี
ว่าแม่จงคอยตั้งใจ  
๏ ผิวเสด็จสู่สวรรคาลัย ทั้งสองภูวไนย
จะม้วยด้วยท้าวเปนสาม  
๏ ก็จะป่วยรี้พลติดตาม พระค่อยอดความ
ไว้ท่าสมเด็จจักรี ฯ  

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ