บทที่ ๙

เมื่อกลับถึงบ้าน ได้ชื่นอกชื่นใจกันเต็มที่แล้ว กฤตก็หาโอกาสรายงานปัญหาครอบครัวที่เกิดขึ้นระหว่างที่ดิฉันไม่อยู่

“กฤตต้องขอบอกลูกแก้วก่อนที่คนอื่นจะบอก” เขาว่าแก่ดิฉันขณะที่เราอยู่กันสองต่อสองในห้องของเรา “เกิดปัญหาญาติบ้านนอก ไม่รู้จะพูดยังไง”

“ใครเป็นอะไร” ดิฉันถาม

“อาลำใย” กฤตตอบ “แกมขอให้ลูกมาอยู่ด้วยชั่วคราวตอนฤดูร้อน ลูกแกต้องมากวดวิชาในกรุงเทพฯ”

“อ้าว” ดิฉันอุทาน “แกจะให้อยู่ตรงไหน”

“นั่นแหละตัวปัญหา พูดกับคนชนบทนี่ยาก แกว่าให้อยู่ที่ไหนก็ได้” กฤตตอบ

ดิฉันเริ่มมองเห็นเค้าของปัญหาราง ๆ แต่เวลานั้นกำลังเหนื่อย และอยากอยู่กับกฤตด้วยความชื่นชม จึงผัดผ่อนไป “แล้วปรึกษาแม่ดีกว่า” ดิฉันเสนอ “ตอนนี้ขอนอนสักชั่วโมงก่อน แล้วออกไปกินอะไรกันข้างนอกสองคน มีเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่คุณลุงประจิตให้เล่าให้กฤตฟังด้วย เผื่อในวันสองวันนี้มีประชุมที่สภาพัฒน กฤตจะได้รู้ทันแล้วก็อาจช่วยคุณลุงทัน”

กฤตทำตามที่ฉันขอร้อง คุณพ่อและแม่ทำท่าเห็นใจ เมื่อดิฉันลาออกไปรับประทานอาหารข้างนอกกันสองคน รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งเป็นวันที่งานของดิฉันและกฤตผูกความเอาใจใส่ไว้ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่น จนกระทั่งล่วงไปอีกสองสามวัน ดิฉันยังไม่ได้ปรึกษาแม่เรื่องของอาลำใย พอวันเสาร์ตอนสาย ๆ อาลำใยก็มาถึงบ้านพร้อมด้วยเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แต่งตัวอย่างนักเรียน ตัดผมใหม่ เสื้อผ้าใหม่ ในมือถือกระเป๋าหนังสือใหม่ เมื่อได้ทักทายกันที่ระเบียงด้านหน้าซึ่งเป็นที่สำราญของคุณพ่อในเวลาเช้าก่อนอาหารกลางวันแล้ว อาลำใยก็ว่า “แม่แก้วกลับมาแล้วหรือจ๊ะ พ่อกฤตเขาคงบอกแล้วเรื่องเจ้ายง”

ดิฉันว่าดิฉันเดาความเข้าใจของอาลำใยได้ เมื่อหมดหนทาง คนเราจำต้องละเมิดศีลข้อสี่

“เพิ่งกลับมาค่ะ ยังไม่รู้เรื่องตลอดเลย กฤตบอกแต่ว่าอาลำใยอยากให้ลูกมาอาศัยที่บ้านนี้ แต่ดิฉันยังไม่ได้พูดกับแม่ ที่นี่เราก็อยู่กับผู้ใหญ่”

“อ๋อ ก็แน่ซีคะ จะเอาใครเข้าบ้านออกบ้าน ไม่บอกผู้ใหญ่ท่านยังไง” อาลำใยพูดเสียงธรรมดา

แม่เดินออกมาพร้อมกับเข็นรถของคุณพ่อมาด้วย ต่างก็ทักทายกันตามธรรมเนียม แล้วอาลำใยก็เป็นผู้บอกเหมือนกับว่าเป็นเหตุการณ์ธรรมดาที่สุด

“ดิฉันจะเอาลูกมาฝากท่านไว้เดือนนึงนะคะ เขาต้องกวดเกิดวิชา นับไปก็น้องพ่อกฤตแท้ ๆ ปู่ของพ่อกฤตกับพ่อดิฉันลูกท้องเดียวกัน แล้วพ่อเด็กก็เป็นญาติของแม่กฤตอีก”

ดิฉันพยายามไม่มองหน้าแม่ แต่แล้วก็ชำเลืองดูหน้าคุณพ่อ เห็นท่านกำลังตรึกตรอง แต่ไม่ว่าอย่างไร สักประเดี๋ยวแม่พูดขึ้น

“แกจะกวดวิชาที่ไหนคะ”

อาลำใยถามลูกชาย ได้รับทราบว่าโรงเรียนกวดวิชาอยู่ในย่านปทุมวัน แม่บอกว่า “จะอยู่ด้วยต้องอดทนหน่อยนะคะ ที่นี่มองดูกว้างขวาง แต่ห้องไม่ค่อยมี เพราะปลูกเรือนกันเล็กๆ เฉพาะครอบครัว

“โอ๊ย ไม่ต้องห่วงค่ะ มันลูกผู้ชาย ตามระเบียงหน้าห้องหับนี่มันก็นอนได้ ใช่ไหม ยง อยู่กับพี่เขาดีกว่าไปอยู่วัดนะ เขาไม่เลือกที่หรอกค่ะ ลูกอิฉัน” อาลำใยชี้แจง

“จะมาอยู่วันนี้เลยใช่ไหม” คุณพ่อถาม

“ค่ะ มาแล้วก็ไม่ต้องกลับไปกลับมา เขาเป็นคนบอกเองว่าให้มาวันเสาร์ จะได้พบพี่กฤต” อาลำใยบอกต่อไป

“ถ้ายังงั้นก็นั่งเล่นไปก่อน หรือไปเที่ยวเดินดูอะไร หรือจะไปไหนเสียก่อนแล้วกลับมาก็ได้” คุณพ่อว่า

ดิฉันเหลือบดูกฤต เห็นสีหน้าบอกความโล่งใจ ดิฉันยังเดาไม่ถูกว่าคุณพ่อคิดขบปัญหาอย่างไร แม่ถามถึงการรับประทานอาหาร อาลำใยว่าได้กินมาแล้วไม่ต้องห่วง พร้อมทั้งบุตรชายด้วย นิ่งกันครู่หนึ่งแล้วคุณพ่อก็บอกให้ดิฉันไปเรียกจินดาเด็กรับใช้ ดิฉันถามว่าคุณพ่อต้องการอะไร คิดจะไปทำให้เอง คุณพ่อก็บอกซ้ำว่าให้ไปเรียกจินดา ครั้นได้ตัวจินดามาแล้ว คุณพ่อก็บอกให้ไปเรียกน้ารื่น

พอน้ารื่นมาถึง ก็มาคุกเข่าอยู่ใกล้รถของคุณพ่อตามที่น้ารื่นเคยทำ คุณพ่อพูดกับน้ารื่น

“รื่น มีเรื่องจะฝากรื่น นายยง เด็กคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของกฤต รื่นช่วยไปดูแลให้นอนที่ห้องติดกับห้องของรื่น” คุณพ่อหันไปทางยง “นอนอย่างคับแคบหน่อยนะ” แล้วพูดกับน้ารื่นต่อไป “หามุ้งหาหมอนที่นอน แล้วที่เก็บเสื้อผ้าให้ด้วย” คุณพ่อพูดจบก็พยักหน้าให้สัญญาณว่าไม่มีอะไรจะต้องกล่าวอีกต่อไป น้ารื่นลุกขึ้นและพยักหน้าเรียกยง “ไปซิ ไปกับป้ารื่นเขา เขาจะเป็นคนดูแล”

กฤตเดินตามยงไปด้วย ดิฉันเข้าใจแล้วว่าคุณพ่อไม่ให้ดิฉันหรือกฤตไปเรียกน้ารื่น ต้องเป็นคุณพ่อฝากฝังเอง ถึงแม้น้ารื่นจะไม่พอใจ ก็จะไม่โทษว่าดิฉันหรือกฤตเป็นต้นคิด ห้องที่ติดกับห้องน้ารื่นที่คุณพ่อให้ยงอยู่นั้น เป็นห้องที่เพิ่งได้กั้นขึ้นใหม่ สำหรับจะเก็บของกระจุกกระจิกที่เรานานทีจะใช้ เมื่อก่อสร้างปีกใหม่ให้กฤตอยู่กับดิฉันยังไม่ทันได้ใช้ตามแผน มีกล่องกระดาษเก็บหนังสือเก่า ๆ อยู่สองสามกล่อง เมื่อกฤตลุกตามไปแล้ว คุณพ่อพูดกับแม่ว่า

“ห้องนี้เก็บไว้เป็นห้องรับญาติชาวคลองกาญจนาต่อไปเถอะ”

ดิฉันตามกฤตไปบ้าง เมื่อไปถึงห้อง ทั้งกฤตและดิฉันก็ไม่กล้ากล่าวอะไรมากนัก เพราะคะเนใจน้ารื่นไม่ถูก แต่เมื่อได้รับคำสั่งจากคุณพ่อมาแล้ว น้ารื่นก็ลงมือด้วยการเลื่อนกล่องกระดาษให้ติดฝา และหาไม้กวาดมากวาดพื้นห้องซึ่งปูกระเบื้องหน้าวัวแบบใหม่ ดิฉันไปหยิบไม้กวาดและผ้าสำหรับเช็ดหน้าต่างมาช่วยน้ารื่นทำความสะอาดห้อง กฤตถามว่าตัวควรจะช่วยอย่างไรบ้าง ดิฉันแนะให้ไปตักน้ำมาไว้เผื่อน้ารื่นจะถูห้อง ยงมายืนพิงกรอบประตู ไม่ทราบจะทำอย่างไรกับตนเอง แล้วน้ารื่นบอกดิฉันให้ไปเรียกคนใช้ผู้ชายมาเพื่อจะให้ยกเตียงนอนเล็กอันหนึ่งชนิดพับได้ ซึ่งเก็บอยู่ในห้องเก็บของบนตึก แล้วจึงถึงขั้นหามุ้ง ที่บ้านเราได้ใช้ลวดตาข่ายขึงตามหน้าต่างมาเป็นเวลาหลายปี มุ้งที่มีนั้นก็เก่าและมีกลิ่นเป็นลูกเหม็น และหาสายมุ้งไม่ได้ ต้องเกณฑ์เอาว่าให้กฤตขับรถออกไปซื้อสายมุ้ง แล้วดิฉันกับน้ารื่นก็ช่วยกันทำบัญชี สำหรับจ่ายสิ่งของที่จำเป็นสำหรับจะให้ยงมาพักที่บ้านเรา เช่นกล่องใส่สะบู่ แปรงสำหรับสับหวี และอื่น ๆ

อาลำใยพูดจากับแม่ไม่นานก็บอกลา เพราะมีสิ่งของจะซื้อกลับไปบ้านนอกหลายอย่าง รับฝากมาจากญาติและเพื่อนบ้านด้วยกันหลายราย ครั้นแล้วก็ถึงเวลารับประทานอาหาร ดิฉันก็เริ่มอึดอัด จะให้ยงกินอาหารกับเราที่โต๊ะ แล้วน้ารื่นจะต้องมารับใช้ญาติของกฤตอย่างนั้นหรือ และถ้าไม่ให้ยงกินอาหารกับเรา จะไม่เป็นการถือวรรณะเป็นชาวประเทศอินเดียไปหรือ คุณพ่อตัดสินใจรวดเร็ว เมื่อคนใช้ยกอาหารมาที่โต๊ะ คุณพ่อก็บอกว่า

“เรียกยงไปแบ่งกับข้าวกับปลาให้กินเสีย หรือจะยังไง บอกน้ารื่นให้เขาช่วยจัดการด้วย”

กฤตเที่ยวมองหาญาติผู้น้อย ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน และไม่มีใครทราบว่ายงไปไหน เมื่อเรากินอาหารกันจนเกือบอิ่ม จึงเห็นยงเดินกลับเข้ามาจากประตูบ้าน เมื่อสอบถามยงก็บอกว่าเดินไปส่งมารดาที่ปากซอยอโศก

กฤตบอกให้ยงไปกินอาหารกับน้ารื่น แล้วเราก็เลี่ยงกันไปที่ห้องของเราตามลำพัง เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว กฤตก็ว่า

“นิวแซนไหม ลูกแก้วจะทำยังไงกับญาติที่ไม่เข้าใจอะไรพวกนี้”

ด้วยความรักและห่วงใยความรู้สึกของกฤต ดิฉันกล่าวว่า “เท่านี้อย่าเพ่อวุ่นไปเลย เด็กก็จะอาศัยอยู่เดือนเดียวคงไม่นิวแซนอะไรนักหรอก”

พอถึงวันจันทร์ เป็นวันที่ยงจะต้องไปโรงเรียนกวดวิชาเป็นวันแรก กฤตก็ถามว่ารู้จักสถานที่หรือไม่ ยงบอกว่ารู้จัก แต่ไปไม่ถูกเพราะไม่เคยไปจากบ้าน เคยมาจากที่สถานีจอดรถกับเพื่อน กฤตจึงบอกว่า

“วันนี้พี่จะไปส่งถึงโรงเรียน วันต่อ ๆ ไป ยงต้องไปรถประจำทาง พี่จะไปส่งขึ้นรถตามทางที่จะไป พี่ต้องไปส่งพี่ลูกแก้วแล้วต้องไปทำงาน ไม่งั้นไม่ทันเวลา”

“เห็นแม่บอกว่าให้อาศัยรถพี่กฤตไป พี่กฤตมีรถยนต์” ยงพูดเรียบ ๆ รถยนต์คันที่เราใช้คือรถโฟล์กคันเก่าของแม่ ซึ่งแม่ขายให้ด้วยราคาถูก และดิฉันกับกฤตช่วยกันผ่อนส่ง แม่ได้ซื้อรถใหม่คันหนึ่งที่ขับสะดวกกว่า เพราะแม่เหนื่อยกับการขับรถเองไปมา แม่รอว่าเงินเดือนตามที่บริษัทสัญญาแล้ว จะว่าจ้างคนขับรถสักคนหนึ่ง

วันแรกล่วงไปดี พอวันรุ่งขึ้น เมื่อถึงเวลาจะขึ้นรถออกจากบ้านไปทำงาน ก็ตามตัวยงไม่พบ แต่เมื่อกินอาหารเรียบร้อยแล้ว จะต้องออกจากบ้านตามเวลา ก็ปรากฏว่ายงได้นั่งอยู่เรียบร้อยแล้วบนรถแล้ว

“เอ เมื่อตะกี้ตามหายังไม่พบ ยงไปอยู่ไหนมา” กฤตถาม

“ผมออกไปนอกบ้าน ไปเดินดูอะไรหน่อย แล้วก็กลับมาคอยพี่กฤตบนรถ ยงตอบ

“เออ ทีหลังเวลาเช้า ๆ อยู่ให้พร้อมไว้ เดี๋ยวพี่ไปทำงานสาย ถูกเขาว่าเอานะ พี่จะไปส่งขึ้นรถเมล์” กฤตบอก

ต่อจากนั้น ยงไม่ทำให้สถานการณ์อะไรเกิดขึ้นหลายวัน จนกระทั่งเช้าวันอาทิตย์ วันเสาร์กฤตกับดิฉันไปกินอาหารกลางวันกับพัฒนะและเพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อเชี่ยว เขาจะปลูกบ้านใหม่ อยากจะรู้จักกับสถาปนิกที่ไว้ใจได้ พัฒนะจึงชวนให้มาทำความรู้จักกับคุณพ่อ เป็นการอนุเคราะห์กันทั้งสองฝ่าย เชี่ยวเป็นเพื่อนของกฤตที่ดิฉันได้คุ้นเคยมาพอสมควร นับเป็นญาติกันกับอาทรด้วย เขาจะปลูกบ้านในซอยใต้ของเราไปไม่กี่ซอย ใกล้บ้านที่อาทรอาศัยอยู่ในซอยนั้นก่อนสงคราม ตระกูลของอาทรเป็นเจ้าของที่ดินหลายแปลง ได้แบ่งขายให้ญาติไปบ้าง วันนั้นระหว่างเลี้ยงอาหาร เพื่อน ๆ คุยกันเพลิดเพลิน และเมื่อกลับมาถึงบ้านมีเรื่องเล่าถ่ายทอดให้คุณพ่อฟังอีกต่อหนึ่งด้วย

แต่พอถึงวันอาทิตย์ บรรยากาศก็เปลี่ยน พอดิฉันตื่นเช้า อาบน้ำแต่งตัวรับประทานอาหารเช้ากันสองคนกับกฤตที่ระเบียงเล็กด้านตึกของเรา ยังไม่ทันจะลุกจากที่นั่ง ยงก็เดินขึ้นมาทางบันไดที่เป็นทรงลงไปสนาม ยงมายืนใกล้เก้าอี้ที่กฤตนั่งอยู่ มือจับพนักเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง ไม่สบตากับดิฉันหรือกฤต พลางพูดเสียงกระเส่าว่า

“พี่กฤต ป้ารื่นเขาห้ามไม่ให้ผมเข้าไปนั่งเล่นในห้องรับแขกทางโน้น”

ดิฉันใจหายวาบทันที ในชีวิตของดิฉัน ไม่มีใครเป็นโจทย์สำหรับน้ารื่น และภายใน ๑๐ ปีที่แล้วมา น้ารื่นก็ไม่เป็นโจทย์สำหรับผู้ใด น้ารื่นทนสิ่งที่ผิดระเบียบไม่ได้ มักจะบ่นว่าคนรับใช้ที่มาเป็นลูกจ้างรุ่นใหม่ ๆ จนกระทั่งคุณพ่อและแม่ทำความเข้าใจกับน้ารื่นได้ว่า เกินสมัยที่จะเรียกร้องเอาระเบียบจากคนทั่วไป ลูกจ้างที่รับจ้างทำงานบ้านให้เรา เป็นผู้ให้เราอาศัยแรงกล้ามเขาเท่านั้น มีอะไรที่พอชี้แจงได้ให้สมบัติของเราเสื่อมเสียน้อยที่สุด ก็ชี้แจงไปเท่าที่จะทำได้ ถ้าเขารับได้ก็เป็นการดีสำหรับเรา ถ้าเขารับไม่ได้ เราเห็นว่าเป็นการเสียหายแก่สิ่งของของเรามากนัก เราก็เลิกจ้างเขา ในเรื่องมารยาทเขาจะยืนพูดกับเราหรือนั่งพูดกับเรา หรือจะท้าวพนักเก้าอี้หรือจะโยกตัวไปมา เป็นอันเลิกอบรมเขา เมื่อสายตาของเราทนเขาไม่ไหว เราก็เปลี่ยนตัว ถ้าไม่เหลือทน ก็ปล่อยให้เขาใช้มรรยาทตามที่เขาเข้าใจ มียกเว้นบางอย่าง คนไหนเห็นว่าสอนไม่ได้ในทางมารยาท แต่เข้มแข็งในทางการงาน เราก็หาวิธีให้หลีกเลี่ยงจากสายตาคุณป้าให้มากที่สุด

ดิฉันชำเลืองดูหน้ากฤต เห็นสีหน้าไม่ดี มีแววโกรธ ดิฉันไม่แน่ใจว่าโกรธญาติผู้น้อยของตัวหรือโกรธน้ารื่น เรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน แต่ก็ใหญ่พอใช้สำหรับดิฉัน พอกฤตขยับปากจะพูด ดิฉันก็ชิงถามเสียก่อน

“ป้ารื่นพูดว่าไงจ๊ะ ตอนไหน”

ยงไม่ตอบดิฉัน จ้องไปทางกฤต กฤตพูดขึ้น “ว่าไงล่ะ คุณพี่ถาม” ดิฉันค่อยหายใจสะดวกขึ้น ถามต่อไป “ยงเข้าไปพร้อมกับใคร มีใครอยู่ในนั้นบ้างหรือเปล่า เข้าไปเอาอะไร”

ยงกัดริมฝีปาก แเววตาของเขามีความไม่พอใจมากขึ้นจากเดิม “ป้ารื่นเป็นอะไร เป็นคนใช้ใช่ไหม” เขาถาม เสียงเหมือนคำราม

“แล้วกัน ยง” กฤตทำเสียงใกล้ตวาดที่สุด แต่อยู่ในบังคับไม่ปล่อยตามอารมณ์ “ยง พี่กับยงอาศัยคุณลุงคุณป้าอยู่ที่บ้านนี้ โตแค่นี้แล้ว กำลังจะเรียนหนังสือหนังหา จะทำงานทำการ แค่นี้ต้องให้บอกกันด้วยเรอะว่าควรมีมารยาทยังไง”

“ยงนั่งลงก่อนซิ” ดิฉันเขยิบตัวขึ้นจากเก้าอี้ และพยายามปลอบ “ยืนพูดกันอย่างนี้ พี่ไม่สบายใจ”

“ยง นั่งลง” กฤตพูดเสียงเป็นคำสั่ง ถึงแม้จะไม่ฟังเป็นเฉียบขาดนัก

ยงค่อย ๆ เอียงตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ว่างตัวหนึ่ง ดิฉันเริ่มเจรจาด้วยความอึดอัดอย่างยิ่ง “ยง ที่พี่ถามยงยังไม่ได้ตอบ พี่ถามตอนที่ป้ารื่นว่าไม่ให้เข้าไปในห้องรับแขกน่ะ ยงเข้าไปพบใครอยู่ในห้องนั้นมั่ง”

“ไม่มีใคร ผมเข้าไปนอนเล่น” ภายหลังที่ทำกิริยาอึดอัดเท่ากับความอึดอัดในใจดิฉันอยู่นาน แล้วยงจึงตอบคำถาม

ดิฉันชักจะเดาออกว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร แต่ดิฉันต้องจำเป็นต้องให้ยงเข้าใจว่า น้ารื่นจะเป็นจำเลยสำหรับโจทย์คนใดไม่ได้ทั้งสิ้นในบริเวณกลุ่มบ้านของพวกฉัพพรรณสิริในซอยอโศกนี้ ดิฉันพยายามกล่าวเสียงให้เรียบที่สุด

“ยงรู้ไหม พี่ไม่ถามอะไรต่อละ จะบอกยงเลย น้ารื่นเป็นคนมีบุญคุณกะทุกคนในบ้านที่ยงมองเห็นอยู่นี้” ดิฉันยกมือกวาดไปในทิศทางของบ้านทุกหลังที่ญาติข้างมารดามีที่อาศัยอยู่ “ป้ารื่นคงจะสังเกตอะไรที่ยงไม่ทันสังเกต อาจจะรีบบอกให้ออกไปเสียก่อน เพราะที่บ้านนี้พ่อพี่เป็นคนพิการ บางทีก็ไม่สบายอะไรขึ้นมา ป้ารื่นมักจะรู้ก่อนใคร ๆ เพราะป้ารื่นเป็นพยาบาลมากที่สุด พี่ว่ายงลองถามป้ารื่นดู เหตุผลของป้ารื่นมีเป็นยังไง ในบ้านพวกนี้ ไม่มีใครไปถามป้ารื่นให้ ยงถามเองฐานเราเป็นเด็กไม่เข้าใจผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่อย่างป้ารื่นต้องอธิบายให้ยงเข้าใจแน่” พูดจบแล้วดิฉันก็ลุกขึ้นจากที่ พยักหน้าให้กฤตทราบว่าดิฉันพูดจบแล้ว และจะไม่พูดอะไรต่อไปอีก ดิฉันเข้าไปในห้อง เพื่อให้โอกาสกฤตตามเข้าไปถ้าหากมีข้ออะไรจะปรึกษาหรือโต้แย่งกันระหว่างเราสองคน แต่กฤตไม่ตามเข้าไป ดิฉันมองทะลุกระจกหน้าต่างพยายามมองดูว่าเขาไปทางไหน ก็เห็นเขาเดินลงไปทางสนาม ยงนั่งนิ่งอยู่กับที่แล้วก็ลุกไป

ดิฉันรออยู่ไม่เห็นกฤตกลับมาที่ระเบียง ทนอึดอัดไม่ไหวจึงออกไปหาคุณพ่อที่ระเบียงหน้าตึก นั่งคุยอยู่กับคุณพ่อโดยที่ตลอดเวลาอยากเล่าให้คุณพ่อรู้ แต่ระงับไว้ แล้วก็กลับไปห้อง เห็นรองเท้าเดินเล่นของกฤตหายไปจากที่ที่เคยวางไว้ จึงทำความสะอาดในห้องเท่าที่ควรแล้วก็กลับไปนั่งคุยกับคุณพ่อ

ในวันนั้นคุณลุงประจิตมาเยี่ยม ตอนสายประมาณ ๑๐ โมงครึ่ง ซึ่งแสดงว่าจะอยู่รับประทานอาหารกลางวันกับคุณพ่อ แม่ไปบอกให้น้ารื่นจัดการแล้วก็กลับมานั่งคุย คุณลุงประจิตคุยถึงเรื่องเศรษฐกิจแล้วก็ถามถึงกฤต ดิฉันตอบว่าไม่ทราบว่าเขาไปไหน คุณลุงนั่งคุยอยู่จนจวนเวลารับประทานอาหาร โดยมีน้ารวงรัตน์มาร่วม จึงมีโทรศัพท์จากกฤต บอกว่าพูดมาจากบ้านใหม่ของเชี่ยว จะไม่มารับประทานอาหารกลางวัน และจะกลับมากินอาหารค่ำแล้วเขาก็วางหูโทรศัพท์ไปอย่างเร็วตามความรู้สึกของดิฉัน

การสนทนาของญาติวันนั้นเกี่ยวพันมาถึงเรื่องของดิฉันหน่อยเดียว คือแม่เล่าถึงอากรรณประดับกับสามีเก่า

“ทำท่าแปลกนะ คุณเธียรเขาพยายามติดต่อกับกรรณอีก เขานึกยังไงเขาก็ไม่รู้”

“เขาไม่มีเมียใหม่ไม่ใช่เรอะ” ใครคนหนึ่งถาม

“พุทโธ ถามได้ ผู้ชายคนไหนจะอยู่มาตั้งหลายปีไม่มีเมีย เห็นเขาทำท่าจะแต่งงานหนหนึ่งแล้ว แต่แล้วเงียบ”

“เขาทำยังไงที่ว่าเขาอยากติดต่ออีก” น้ารวงรัตน์ถาม

“เขาขอให้พี่นี่แหละช่วยเขา” แม่พูดอย่างสนุกโดยไม่เป็นจริงจังนัก “เขาพบพี่ที่โรงแรม เขาไปเลี้ยงใครไม่รู้ เผอิญพี่มีธุระขึ้นมาทางห้องรับแขกใหญ่ เขาเห็นพี่เขาก็เดินยิ้มเข้ามาหา พี่แปลกใจต้องยืนรอให้เขามาใกล้ ปรกติเขาไม่ยิ้ม เขามักไหว้แล้วก็ทักทายสองสามคำถ้าพบที่ไหน”

“อือ ยังไง ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพิ่งมาเล่า” คุณพ่อพูดอย่างแปลกใจ

“ดูเหมือนเมื่อวานซืนนี้เอง” แม่ตอบทั้งผู้พูดและผู้ฟังก็เริ่มรู้สึกว่าการสนทนาออกรส เป็นเรื่องแปลกเรื่องหนึ่ง มนุษย์ไม่ว่าวัยไหน การศึกษาระดับไหน ก็สนใจเรื่องความรัก การพรากรักและเรื่องเนื่องจากนี้ แม่เล่าต่อไปเมื่อเห็นคนฟัง สนใจ “เขาถามฉันว่า น้องสาวคนเล็กของคุณเกลาเป็นอย่างไรบ้าง”

เมื่อเสียงแสดงความสนใจซักไว้สงบลงแล้ว แม่ก็เล่าต่อ “ฉันบอกว่าฉันเป็นคนทำงาน กรรณประดับเป็นคนอยู่บ้าน นาน ๆ จึงจะพบกัน เท่าที่ทราบก็ดูสบายดี เขาถามฉันว่า กรรณเอาใจใส่กับพวกที่บ้านสี่พระยามั่งไหม หรือไม่เคยพูดถึงเลย ฉันไม่รู้จะตอบยังไง จะตอบว่าฉันเข้าใจว่าเอาใจใส่เพราะยังเรียกไอ้เจ๊กนั่นเจ๊กนี่อยู่เสมอ ก็คิดว่าไม่น่าจะตอบ”

“เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็อุส่าห์มาไต่ถามถึงตาอาทรที่มารู้จักกับลูกแก้วยังไงล่ะ” น้ารวงรัตน์ว่า

“มันก็ปีกว่ามาแล้วนะ ลูกแก้วแต่งงานมาก็หลายเดือนแล้ว” คุณพ่อขัดขึ้น

“น้องไม่เคยรู้ว่าเรื่องที่จริงน่ะเขาโกรธกันเรื่องอะไรเลย” น้ารวงรัตน์ว่า

“เรามันก็เอาใจใส่กับพี่น้องน้อยไปหน่อย” แม่ว่า “เรามันทำงานหากิน สามีเราก็ป่วยไข้ จริงนะ ถ้าดีกันได้ ฉันว่าก็ดีสำหรับกรรณ ฉันว่าแกไม่มีความสุขจริง ๆ หรอก”

“อย่าลืมว่าไม่มีความสุขจริง ๆ ก็ยังดีกว่ามีความทุกข์จริง” คุณลุงประจิตทักขึ้นมาบ้าง “ว่าไง คุณเกลา”

“ผมก็ว่าผมขาดความสนใจไปหน่อย” คุณพ่อรับ

“น้องน่ะสนใจ แต่พยายามไม่ถาม” น้ารวงรัตน์ว่า “เพราะเห็นคนที่เอาใจใส่กับพี่คนนั้นน้องคนนี้ แล้วมักไม่ค่อยรู้อะไรจริงของเขา รู้แค่ตามใจตัว”

ทุกคนหัวเราะเพราะรู้ว่าน้ารวงรัตน์หมายถึงคุณป้าวรรณแสง คุณลุงประจิตว่า “ขาดความพอดีกันทั้งนั้น”

ระหว่างที่ญาติผู้ใหญ่พูดกันถึงความเอาใจใส่และไม่เอาใจใส่ ดิฉันก็คิดไปถึงเรื่องที่ยงกล่าวหาน้ารื่น ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะให้แม่รู้ด้วยดีหรือไม่ คุณพ่อกับแม่จะเกิดรังเกียจกฤตขึ้นมาเพียงไหน ดิฉันก็ยังคาดไม่ถึง ดิฉันเกิดความอยากรู้จนเกือบระงับไว้ไม่ได้ แต่คนรับใช้ยกอาหารมาวางไว้ที่โต๊ะ ดิฉันต้องลุกไปช่วยเหลือดูแล จึงสงบใจไปชั่วคราว เมื่อรับประทานอาหารและคุณลุงประจิตลาไปแล้ว ก็เกิดคิดขึ้นมาว่า ควรคอยดูว่ากฤตมีความรู้สึกแท้จริงอย่างไรเสียก่อน ก่อนที่คุณลุงประจิตจะลาไป คุณลุงบอกดิฉันว่า “อีกสัก ๕-๖ เดือน ลุงจะไปประชุมที่ใต้หวันอีก คราวนี้น่ากลัวเอาลูกแก้วไปไม่ได้ ถ้ายังไงลุงจะขอกฤตไปด้วยได้ไหม คราวนี้มีเรื่องเศรษฐกิจแยะ ลุงอยากให้เขาช่วยทำเอกสาร ลูกแก้วจะได้ช่วยทางภาษาอังกฤษก่อนไป สำนักงานของลุงมันการเมืองจัด ต้องใช้คนชาติโน้นชาตินี้ มันพูดอะไรไม่ค่อยถูกกับใจเรา คนไทยที่ในสำนักงานก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องเศรษฐกิจ เป็นครูบาอาจารย์ที่เคยลาออกจากราชการแล้วมาสมัคร หาคนเหมาะใจไม่ได้จริงๆ”

บ่ายวันนั้นดิฉันอ่านหนังสือก็ไม่สนุก ดูโทรทัศน์ก็ขวางหูขวางตา ฟังวิทยุก็ตั้งสติไม่ได้ จึงหันเข้าหาการทำความสะอาดให้ห้องและบริเวณบ้าน แม่ไม่มีงานพิเศษในวันอาทิตย์นั้น ดิฉันจึงเป็นแรงงานสำหรับการจัดห้องสัมภาระและทำความสะอาดอย่างอื่น เป็นที่พอใจของแม่มาก

ระหว่างที่ช่วยแม่ทำงาน ใจของดิฉันก็พะวงถึงกฤตเกือบตลอดเวลา แต่บังคับใจไว้ได้ จนกระทั่งถึงเวลาที่กฤตกลับมากินอาหารค่ำตามที่บอกไว้ กฤตมาถึงก็คุยกับคุณพ่อเรื่องบ้านของเชี่ยวที่กำลังจะปลูกใหม่ การหารือระหว่างเชี่ยวกับพัฒนะและตัวเขาในปัญหาต่าง ๆ ที่จะมีบ้านใหม่

“พัฒนะเขากระซิบว่า เจ้าเชี่ยวเขาหาเมียเองไม่ได้ เป็นคนคุยกับผู้หญิงไม่เป็น คุยเป็นแต่เรื่องอากาศอย่างเดียว เขาว่าให้ลูกแก้วช่วยหาให้สักคน”

ระหว่างการกินอาหาร ซึ่งกฤตกับดิฉันรับประทานร่วมกับคุณพ่อและแม่ทุกมื้อค่ำเพื่อประหยัดและสะดวก กฤตดูอารมณ์ดี คล้ายกับจะลืมเรื่องยงไปหมดแล้ว ดิฉันจึงตัดสินใจอย่างขี้ขลาดว่าจะทำลืมเสียเช่นเดียวกัน ต่อจากวันนั้นยังก็ไม่รบกวนเรื่องอะไรอีก จนกระทั่งถึงเวลาที่สิ้นสุดการกวดวิชา ยงก็กลับไปบ้านที่คลองกาญจนา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ